Little drops of water, Little grains of sand Make the mighty Ocean, and the pleasant land. Little deeds of kindness, Little words of love Help to make Earth Happy, Like the Heven above.
Group Blog
 
All Blogs
 
10-13 มกราคม ทริปดอยผ้าห่มปก-อ่างขาง (วันที่ 2) ตอน จบ

อย่างที่เล่าไปแล้วว่า วันนี้ทัศนวิสัยในการขับขี่ไม่ค่อยดี เพระาหมอกลงเยอะมาก พี่วัฒน์คนขับรถของเรา จึงค่อยๆคลานลงมา ทำให้ข้าพเจ้ามีเวลาได้สำรวจทิวทัศน์รอบๆ เห็นต้นสนริมทางที่ขึ้นอยู่ ดูเป็นแถวเป็นแนวจนผิดปกติ พอถามพี่วัฒน์เลยได้ทราบว่า ต้นสนระหว่าง 2 ทาง เป็นต้นสนที่ทางป่าไม้ปลูกขึ้นมาเพื่อความเป็นระเบียบ ไม่ได้ขึ้นตามธรรมชาติ

ขับไปซักพักเห็นป้ายชี้ไปทางดอยปู่หมื่น (จริงๆขาไปก็เห็นแต่ไม่ได้ถามรายละเอียด)



พี่วัฒน์บอกว่า ชาวมูเซอที่เราจ้างเค้านำทางเดินป่าไปขึ้นยอดเมื่อเช้านี้ เค้าอาศัยอยู่ที่หมู่บ้านในดอยปู่หมื่น และชื่อของดอยปู่หมื่นนี้ จริงๆมาจากชื่อของชาวไทยใหญ่คนแรกที่อพยพจากพม่าข้ามมาอยู่บนดอยแห่งนี้ ในปัจจุบันนี้ลูกหลานของปู่หมื่นยังคงอาศัยอยู่บนดอยเรื่อยมาราว 3 ชั่วอายุคนแล้ว แต่ตอนนี้คนในหมู่บ้านก็มีบัตรประชาชน และใช้นามสกุลเป็นคนไทยกันหมดทั้งหมู่บ้านแล้ว
นอกจากนี้ พี่วัฒน์ยังเล่าว่า ดอยผ้าห่มปกที่เราไปมาและดอยปู่หมื่นในอดีต ทั้งดอยเป็นไร่ฝิ่น และหมู่บ้านของคนนำทางเราก็เคยทำไร่เลื่อนลอยและฝิ่นมาก่อน จนกระทั่งทางการเข้ามาปราบปราม และในวังได้มีจัดโครงการบ้านเล็กในป่าใหญ่ขึ้นมา ทำให้ปัจจุบันไร่ฝิ่นทั้งหลายจึงกลายเป็นไร่ชาและกาแฟแทน ซึ่งมีความสวยงามมากๆ แต่นักท่องเที่ยวยังไม่ค่อยเข้าไปเท่าไหร่ พวกเราจึงนัดกันไว้ว่า จะต้องไปเที่ยวบุกเบิกให้ได้ ก่อนที่ความเจริญจะเข้าไปถึง

แต่เมื่อถามถึงไร่ฝิ่นว่าตอนนี้ยังมีลักลอบปลูกอยู่ไหม พี่วัฒน์ก็เล่าว่า จากเสียงลือที่เคยถามๆชาวมูเซอ บอกว่ายังมีอยู่ แต่ไม่ได้อยู่ในฝั่งไทย ส่วนใหญ่จะอยู่ตามตะเข็บชายแดนค่อนไปทางพม่ามากกว่า ซึ่งทางการพม่ามีการเก็บภาษีไร่ฝิ่นรวมถึงคนงานที่จะเข้าไปงานด้วย โดยคิดคนงานคนละราว 500,000 บาท/ปี แต่ทั้งนี้กว่าจะเดินทางไปถึงที่ไร่ ต้องผ่านด่านถึง 6-7 ด่าน (แต่ทั้งนี้เรื่องไร่ฝิ่นที่ว่าจะจริงเท็จประการใดก็ไม่ทราบ เพราะพี่วัฒน์ก็ฟังเขาเล่ามาอีกที)

แต่ด้วยความสงสัย ว่าถึงแม้จะห้ามไม่ให้ปลูกฝิ่น แล้วอย่างหมู่บ้านมูซอที่เราผ่านมาหล่ะ เค้าทำมาหากินอะไร ไม่เห็นมีไร่มีสวนอะไรเลย พี่วัฒน์เลยบอกว่า ส่วนใหญ่ก็ทำงานเป็นคนนำทาง เลี้ยงสัตว์ รับจ้างทำไร่ ทำสวนไปเรื่อย ก็พอหาเลี้ยงชีพอยู่ได้ แล้วก็มีหาของป่าไปขายบ้าง

สำหรับการหาของป่าของชาวเขา ทราบมาว่าอนุญาติให้ได้เฉพาะพวกเห็ด,หน่อไม้และไม้ไผ่ แต่จะมาเก็บเยอะๆแบบขนเป็นคันรถไม่ได้ อนุญาติแค่คนละ 1 กระสอบ ปริมาณพอแค่ใช้ในครัวเรือนเท่านั้น ส่วนเรื่องการล่าสัตว์นั้น พี่วัฒนืว่าที่ดอยผ้าห่มปกนี้มีแต่สัตว์ป่าขนาดเล็ก พวกเก้ง กวาง เลียงผา ลิง พวกช้างหรือเสืออะไรแบบนั้นไม่มี แล้วก็ไม่อนุญาติให้ล่าด้วย พี่วัฒน์เล่าว่าชาวมูเซอคนนำทางของเรา เคยเอาปืนแก๊บยิงนก แค่เปรี้ยงเดียว เช้าวันพรุ่งป่าไม้ก็มายึดปืนไปเลย 555

นั่งรถไปซักพักใหญ่ๆ ในที่สุดพวกเราก็มาถึงบ้านพักอุทยานที่โป่งน้ำร้อนแล้ว เย้ๆ


หลังนี้ไม่ใช่หลังที่เราพัก แต่ก็หน้าตาเหมือนกัน มี 2 ห้องนอน นอนได้ 4 คน มีแอร์กะกระติกน้ำร้อนให้ด้วย เสียดายไม่มีทีวี....


และสิ่งแรกที่พวกเราทำหลังจากเข้าที่พักนั่นก็คือ...



คือเอากางเกงยีนส์ไปตาก เพราะมันเละมากจากที่ไปขึ้นยอดเมื่อเช้า คุ้นๆว่าเดจาวู มาพักที่นี่ทีไร ระเบียงห้องไม่เคยสวยซะที เพราะทุกครั้งต้องไปทรมาณกันก่อน ค่อยมาสบายที่นี่

เพื่อนๆต่างผลัดกันอาบน้ำ กินขนมและพักผ่อนกันตามอัธยาศัย ส่วนข้าพเจ้า เพราะเมื่อเช้าตื่นเร็วกว่าคืนอื่น(แม้จะนอนมากกว่า) แต่ด้วยความเคยชินที่ปกตินอนกลางวันตอนบ่ายทุกวัน ดังนั้น หลังจากอาบน้ำเสร็จ ก็นอนหลับสลบไปแบบไม่รู้เรื่องเลย ตื่นมาอีกที เก๋มาปลุก ไล่ให้ไปล้างหน้าล้างตา บอกว่าเพื่อนๆจะออกไปเดินเล่น แล้วไปกินข้าวกันได้แล้ว


บ้านพักของพวกเราอยู่ค่อนข้างไกล แถมตั้งอยู่บนเชิงเขา เรียกว่าเดินกันเหนื่อยเลยหล่ะค่ะ จำได้ว่าปีก่อนโน้นที่พวกเรามาเที่ยวกัน ขาขึ้นรถที่จ้างมาเค้าขับไปส่ง แต่ขาลงต้องแบกของลงมาเอง จำได้ว่า เก๋กะโชค เดินเตะเต้นท์ลงมาเลยค่ะ เพราะแบกไม่ไหว


ป้ายๆๆๆ


หวานชื่นคู่ที่ 1


หวานชื่นคู่ที่ 2


เห็นแล้วมันอิจฉารู้ไหม
(ดีมากเพื่อนวิ ให้รู้ซะมั่งว่าอิจฉาจนควันขึ้นมันเป็นยังไง)


เอ้า......โดดดดดด


รูปนี้ขอโดแก้ตัว รูปตะกี้โดดไม่ขึ้น


คู่นี้ไม่ยอมโดด สงสัยกลัวลูกในท้องกระทบกระเทือน (ลูกในท้องโชคนะ)


หลังจากเฮฮากันพอเหนื่อย ก็ได้เวลากินข้าว เพราะในอุทยานที่โป่งน้ำร้อน ไม่ค่อยมีอะไรกิน พวกเราจึงต้องออกมาหาของกินข้างนอก แถมไม่รู้ว่าจะกินร้านไหนด้วย เลยขอให้พี่วัฒน์เลือกร้านและช่วยพาพวกเราไปเลยแล้วกัน

ระหว่างทางเข้าไปในเมือง ผ่านไร่ที่ปลูกผักขนาดใหญ่ ด้วยความสงสัยเลยถามพี่วัฒน์ว่านี่มันผักอะไร ดูเท่าไหร่ก็จำไม่ได้ (ตอนนี้เริ่มซี้กะพี่เค้าแล้ว เพราะเม้าท์แตกมาตลอดทางลงจากเขา อีกอย่างด้วยความที่กลัวว่าพี่วัฒน์แกจะเปิดเพลงลูกทุ่งยอดรัก ข้าพเจ้าเลยถือโอกาศชวนคุยซะเลย)


ต้นอะไรน๊า.....อ๋อ ต้นยาสูบนี่เอง เกิดมาเคยเห็นแต่บุหรี่เป็นม้วนๆ พึ่งจะเคยเห็นตอนมันยังเป็นต้นๆก็วันนี้หล่ะ


ถามได้ใจความาว่าเจ้านี่คือต้นยาสูบ จริงๆต้นยาสูบมีความสูงไม่มากนัก น่าจะประมาณเอว จขบ ได้ มีใบใหญ่ และไม่แผ่กิ่งก้าน ไร่ในรูปนี้เป็นของกรองทิพย์ค่ะ

พี่วัฒน์เล่าว่า ใบยาสูบ จะเก็บวันละ 3-4 ใบ โดยเวลาเก็บเนี่ย จะต้องเก็บจากใบด้านล่างขึ้นไปข้างบน แต่ใบล่างเตี้ยๆกับใบแถวๆยอดจะไม่เก็บ ดังนั้น ต้นยาสูบ 1 ต้น จะเก็บเกี่ยวได้แค่ 2/3 ต้นและเก็บเฉพาะตรงกลางๆต้นเท่านั้นเอง และหลังจากเก็บเกี่ยวหมดแล้ว ในอดีตจะตัดทิ้งแล้วเอาไปเผาทำลาย แต่ในปัจจุบันนี้ มีการคิดค้นสูตร เอาเศษกิ่งและใบยาสูบที่ใช้ไม่ได้ ไปบด,แช่น้ำแล้วเอาไปใช้ฉีดเป็นยากันแมลงให้ต้นส้มได้ อืม...ใช้ประโยชน์ได้คุ้มค่าจริงๆ



ไร่หัวหอม


นอกจากไร่ยาสูบแล้ว ก็ยังมีไร่หัวหอมที่กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาเลยค่ะ ปลูกกันเยอะมากๆ พี่วัฒน์เองก็ปลูกเช่นกัน บอกว่าเพราะมันดูแลรักษาง่าย ไม่ยุ่งยากมากเหมือนส้ม ทำให้มีเวลาว่างมารับจ๊อบรับจ้างขับรถเนี่ยหล่ะ

เมื่อถามถึงเจ้าของไร่เหล่านี้ ว่าเป็นคนพื้นที่ หรือนายทุนมาทำ พี่วัฒน์แกก็ร่ายยาวเลยค่ะ ข้าพเจ้างงๆฟังไม่ค่อยเข้าใจ แต่สรุปได้ประมาณว่า ไร่หัวหอมที่นีส่วนใหญ่เป็นเจ้าของที่ทำเอง แต่มักจะไม่มีเงินทุน และต้องไปกู้เงินจากนายทุนมาลงทุน จากนั้นนายทุนก็เป็นคนควบคุมทุกอย่าง ทั้งการเก็บเกี่ยว การให้ปุ๋ย การฉีดยา รวมไปถึงกำหนดราคา และรับซื้อผลผลิตในราคาที่นายทุนตั้งไว้ ซึ่งก็แน่นอนโดนกดราคาน่าดู แต่ถึงอย่างนั้น แม้บางไร่เจ้าของพอมีทุนทำเอง บางครั้งก็เอาไปขายนายทุนเหมือนกัน

ด้วยความสงสัยพวกเราจึงถามไปว่า ทำไมไม่เอาไปขายเอง เค้าไม่ให้หรือว่าอย่างไร พี่วัฒน์บอกว่า จะเอาไปขายเองก็ได้แต่ก็เสี่ยงกลัวจะขายไม่ได้ จริงๆถ้าเอาไปขายที่สหกรณ์การเกษตร ก็จะพอได้ราคาดีอยู่ แต่ว่าสหกรณ์รับซื้อจำนวนไม่มาก แค่ประมาณ 800 กิโลเท่านั้นเอง ในขณะที่ไร่หัวหอม 1 ไร่ มีผลผลิตมากถึง 8000 กิโลแหน่ะ

ในบางปีถ้าผลผลิตออกมาเยอะมาก ราคาตกไปถึงกิโลและ 3-4 บาท ชาวไร่ที่ต้องไปกู้นายทุน พอขายผลผลิตได้ ก็ต้องเอาเงินไปชำระหนี้ให้นายทุน บางครั้งจ่ายเงินจนหมดที่ขายได้ ก็ยังไม่พอชำระหนี้ นานๆเข้าหนี้สะสมเยอะมาก ก็ต้องขายที่ดินแทนเพื่อเอาไปจ่ายหนี้ จากนั้นก็ค่อยไปเช่าที่ดินจากนายทุนมาทำไร่แทน ฟังแล้วน่าสงสารมากๆ ระบบชาวไร่กับนายทุนนี่ จากที่ฟังๆดู ชาวไร่มีแต่จะจนลงๆทุกวัน ยากที่จะมีโอกาศได้ลืมตาอ้าปาก แต่พี่วัฒน์บอกว่า ถ้าปีไหนผลผลิตแย่มากๆจริงๆนายทุนเค้าก็ช่วยเหลือ ผ่อนหนี้ให้ก็มี เพราะต่างฝ่ายต่างต้องพึ่งพาอาศัยกัน ถ้าบีบชาวไร่มากๆ นายทุนเองก็อยู่ไม่รอดเหมือนกัน

เมื่อเข้าสู่ตัวเมือง หลังจากพี่วัฒน์พาวนรอบๆตลาดไปแล้ว 1 รอบ เพื่อให้พวกเราเลือกร้านอาหารที่จะกินมื้อเย็น แต่ เพราะไม่รู้ว่าจะกินอะไรดี เลยขอให้พี่วัฒน์ช่วยเลือกให้แล้วกัน แต่ Mr.Thermoman รีเควสอาหารพื้นบ้าน อยากกินไส้อั่ว พี่วัฒน์เลยพาไปที่ตลาดฝางซื้อไส้อั่วกินเล่นกันก่อน ค่อยไปหามื้อเย็นกินกัน



ร้านนี้หล่ะค่ะที่พี่เค้าแนะนำ อยู่หน้าตลาดฝางริมถนนเลย ไส้อั่วหนักเครื่องเทศ รสชาติเผ็ดร้อนดีมากๆ อร่อยสุดๆ


พอได้ขนมแล้ว พวกเราก็ไปหาของกินจริงจังกัน พี่วัฒน์พาพวกเราไปกินข้าวที่ร้านอาหาร ซึ่งอยู่หน้าที่ว่าการอำเภอฝางพอดี จะว่าเป็นร้านก็ไม่ถูก เพราะเค้าเป็นรถเข็น แล้วเอาโต๊ะมากางๆเอาค่ะ เอิ้กๆ ขายอาหารตามสั่ง ไม่มีชื่อร้านด้วย แต่คนเยอะมากๆ ทั้งคนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยวไทย หรือแม้แต่ชาวต่างชาติก็มี


ตึกที่ว่าการอำเภอฝาง สีครีมสวยคลาสสิก มิทราบว่าคู่หวาน 2 คู่ที่มาเนี่ย สนใจจะมาจดทะเบียนกันที่นี่หรือเปล่าจ๊ะ อิอิ



ระหว่างรออาหาร นอกจาก จขบ จะเดินไปถ่ายรูปที่ว่าการอำเภอฝางแล้ว ยังเหลือบไปเห็นวัดใกล้ๆ เลยถือโอกาศแวะเข้าไปเที่ยวซักหน่อย ตั้งแต่ปีใหม่มา 10 วันนี้ ยังไม่ได้เข้าวัดเลยซักวัน




วัดเจดีย์งาม



โบสถ์สวยๆ



อะไรๆก็สีทอง แวววับ




เจดีย์สไตล์ทางเหนือ


ถ่ายรูปเสณ้จเดินกลับมา อาหารมาพอดี เสียดายที่ท้องฟ้ามืดเร็วมาก แถมที่นั่งก็คับแคบทำให้ถ่าบรูปลำบาก
(ความจริงคือ แต่ละคนหิวโซ ฟาดเรียบไม่ทันได้ถ่ายรูป เลยได้มารูปเดียวเอิ้กๆ )


confirm by เก๋ อิอิ


พี่วัฒน์บอกว่าร้านนี้อาหารอร่อย ราคาไม่แพง แถมขายเฉพาะกลางคืน ปิดตี 2 แหน่ะ ถ้ามาตอนดึกๆร้านนี่จะเต็มไปด้วยคนงานจากโรงงาน หรือ สวนไร่นา ที่พึ่งเลิกงาน เค้าก็มาฝากท้องกันที่ร้านนี้
อืม....กลุ่มเป้าหมายหลากหลายจริงๆ
ส่วนเมนูแนะนำนี่ก็ หมูนรกค่ะ ลักษณะเป็นหมูผัดเครื่องแกง คอนเฟริม์โดย Mr. Thermoman ว่าอร่อยมากๆ (เจ้าตัวสั่งมาว่าให้เขียนลงบันทึกไว้ด้วย)

สรุปมื้อนี้กินข้าวกันไปเฉลี่ยคนละ จาน 2 จาน รวมอาหาร/น้ำแกงตรงกลางอีก นอกจากอร่อยแล้ว คิดตังค์ออกมา 300 กว่าบาท อิ่มเกือบตาย ถูกสุดๆ จนทุกคนออกปากว่า เราย้ายมาอยู่ที่ฝางกันเถอะ

ระหว่างทางกลับอุทยาน ท้องฟ้าก็เริ่มมืดลงเรื่อยๆ ทิวทัศน์ 2 ข้างทางสวยมากๆ ท้องฟ้าเป็นสีแดงหมดเลย แถมอากาศก้เย็นลงด้วย



ราว ทุ่มนึงพวกเราก็ถือบ้าน หารือเรื่องเที่ยวของวันพร่งนี้ว่าจะไปไหนต่อดี พร้อมกับแกะถุงขนมที่ซื้อมา (ได้ข่าวว่ามื้อตะกี้อิ่มแปร้ แต่ขนมที่มันคนละกระเพาะชิมิ) จากนั้นเพื่อนๆก็เริ่มรำพัดกัน ไพ่ดูเหมือนจะเป็นของเล่นที่ขาดไม่ได้ทุกทริป ส่วนข้าพเจ้านั่นขอบาย นอนอ่านหนังสือ+ฟังเพลงดีกว่า ไม่นานนักก็หลับไป มีตื่นเป็นพักๆตามเสียงเฮของเพื่อนๆ





Create Date : 03 กุมภาพันธ์ 2552
Last Update : 3 กุมภาพันธ์ 2552 9:54:05 น. 5 comments
Counter : 2898 Pageviews.

 
วัดอะไรหนะครับสวยจัง


โดย: Genzo IP: 124.121.242.61 วันที่: 3 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:22:57:13 น.  

 
น่าเสียดาย ว่าจะไปอยู่แล้วนะ วิวสวยจัง


โดย: Johann sebastian Bach IP: 118.172.53.58 วันที่: 6 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:9:25:08 น.  

 
อัพตอนต่อไปให้ไวเลย เพื่อน


ปล. วัดสวยจริงๆ พวกเพื่อนๆ ไม่ยอมมาดูกันเนอะ

ได้ยลกันอยู่ 2 คน อิอิ


โดย: aimer@ วันที่: 10 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:16:16:06 น.  

 
เรื่องสนุกอีกแล้ว
วัดสวยจิง
แต่ที่น่าเสียดายมากกว่าคือร้านอร่อย
วันหลังพาเราไปอีกรอบนะ ^_^


โดย: ดัช IP: 58.64.73.138 วันที่: 10 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:17:45:17 น.  

 
ชื่อวัด เจดีย์งาม ครับ ตามนั้น เป็นวัดคู่เมืองฝาง มาแต่ครั้งกระโน้น...อุโบสถที่ถ่ายมาคือ อุโบสถไม้สักทอง แห่งเดียวในโลก ใช้ไม้สักทองทำทั้งหลังครับ เหมือน ๆ ไม่เว้นแม้แต่หลังคา สมัยนั้น.... สวยมาก ๆ ครับ เชิญทัศนาได้ตาม google ครับผม ยินดีต้อนรับทุกท่านที่มาแอ่วครับ...


โดย: คนฝางแท้ ๆ IP: 182.52.162.216 วันที่: 29 ธันวาคม 2554 เวลา:18:37:38 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Vitamin_C
Location :
Pasadena United States

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




สวัสดีค่ะ อากาศดี ก็อารมณ์ดีเนอะ .......^-^

คิดถึงบ้านที่เมืองไทยเป็นที่สุด
ถ้าไม่นับห้องสมุดๆเจ๋งๆกับพิพิธภัณฑ์ดีๆ กับอาหารหลากหลายเชื้อชาติให้กินได้ไม่ซ้ำทุกวันแล้วหล่ะก็ เมืองไทยชนะขาดในทุกกรณี ว่าแต่เมื่อไหร่ ห้องสมุดกับพิพิธภัณฑ์ของบ้านเราจะพัฒนาซักทีน้อ....


ถึงแม้ว่าบล๊อกนี้จะไม่ค่อยมีสาระ แต่เนื้อหาและข้อความทั้งหมด
รวมไปถึงรูปภาพที่ข้าพเจ้าเป็นผู้ถ่ายเอง ถือเป็นลิขสิทธิ์ ของสำนักพิมพ์บางกอกสาส์น จำกัด
ห้ามผู้ใดนำไปเผยแพร่โดยมิได้รับอนุญาติจากเจ้าของบล๊อก หรือ จากกองบรรณาธิการ

หากมีข้อสงสัยใดๆ กรุณาติดต่อหลังไมค์
หรือ
กองบรรณาธิการ สำนักพิมพ์บางกอกสาส์น 966/10 ซ.พระราม6 19 ถ.เพชรบุรี เขตราชเทวี กทม 10400
โทร 02-6137140
Email vitavitac@gmail.com
Friends' blogs
[Add Vitamin_C's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.