Little drops of water, Little grains of sand Make the mighty Ocean, and the pleasant land. Little deeds of kindness, Little words of love Help to make Earth Happy, Like the Heven above.
Group Blog
 
All Blogs
 

บันทึกความทรงจำ ทริปหัวหิน- ปราณบุรี สามร้อยยอด กะ ปาป๊า มาม๊า (ตอนที่ 4)

บันทึกความทรงจำ ทริปหัวหิน- สามร้อยยอด กะ ปาป๊า มาม๊า (ตอนที่ 4)
วันที่ 8-11 ตุลาคม 48

วันอังคารที่ 11 ตุลาคม 48 วันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้ว จะกลับบ้านแล้ว ......ตื่นมาแต่เช้าไปกินอาหารของโรงแรม คราวนี้เป็นแบบอาหารชุด มีให้เลือกหลายชุด น่ากินๆๆๆทั้งน้าน ชอบอาหารสไตล์นี้มากๆๆๆเลย มีผลไม้เสริฟมาอย่างน่ารัก ทานกันอย่างอิ่มหมีทั้ง 3 คน อิ่มแล้วก็เดินเล่นที่ชายหาด เพลินๆ มีม้าวิ่งด้วย แต่ม๊าตัวนิดเดียวเองน่าสงสารจัง ต้องให้คนขี่อีก


จัดได้สวยน่ากินมากเลย แต่อันนี้ไม่ใช่จานหลักนะ จานหลักไม่ได้ถ่ายมา ทนไม่ไหว กินซะก่อน

เดินไปเพลินๆ อ้าว ป๊า ม๊า จะถึงฮิลตันแล้ว งั้นเราเดินเลยไปตลาดฉัตรไชยกะไปซื้อข้าวเหนียวมะม่วงเลยละกัน เดี่ยวขากลับค่อยนั่งสามล้อกลับ 5555
เป็นอันโอเค เรา 3 คนก็เลยได้ เดินๆๆๆ และเดินอีกแล้ว
เดินไปก็เก็บปูเสฉวนมาดูเล่นไป เจอะเยอะมากๆเลยค่ะ จับแล้วก็ปล่อยไป


จับได้ตั้งหลายตัวแหน่ะ อิอิ


ไปถึงร้านป้าเจือ ก็พอดีเมื่อย แต่ก็ต้องร้องแงงงงง เจอะป้ายวันนี้หยุดหนึ่งวัน รายว้า......อุตส่าห์เดินมา เมื่อวานก็แปะว่าให้มาใหม่วันนี้ (วันก่อนโดนเด็กหลอก วันนี้โดนคนแก่หลอก แงๆๆๆ )

เลยอดกินไปตามระเบียบ ก็เลยต้องเดินย้อน เดินๆๆๆ ไปตลาดฉัตรไชยแทน ทีนี้หล่ะ ตื่นตาตื่นใจจริงๆ ตลาดสดนานา แต่ขนมหวานเพียบบบ ได้แวะกินลอดช่องนายดำ ที่เค้าบอกๆกันว่าอร่อยด้วย โดยส่วนตัวเฉยๆนะ ใส่กะทิใสไปหน่อย แต่เดินมาเหนื่อยทานก็สดชื่นดี แต่ชอบลอดช่องที่เยาวราชมากกว่า 5555 ของบ้านเราอร่อยสุด
มาเที่ยวตลาดนี้ มาม๊า ดูจะมีความสุขที่สุด ซื้อของมากมาย ถือกันเต็มมือทุกคน ปลาเค็มตัวเบ่อเร่อ ราคาถูกมากๆๆๆ ไซด์ขนาดนี้ ถ้าซื้อที่กรงเทพ 500 บาทจะซื้อได้ไหมเนี่ย แต่เค้าขายแค่ 180 บาทเอง และก็ซื้อปลาหมึดแห้งปลาหมึกทอด ของกินเล่นต่างๆ ของแห้งของเค็ม นอกจากนี้ยังมีผลไม้ แม่ค้าขายชมพู่ โลละ 50 ออกจะแพงไปนิด เลยเอาโลเดียว แต่พอได้ชิม 5555 หวานมากๆๆๆ เลยเพิ่มเป็น 2 โล แม่ค้าแถวนั้นก็เลยหัวเราะชอบใจแถมให้อีกหน่อย

เดินๆไปว่าจะกลับที่พักละ เหลือบไปเห็น โอ้วววว ...กรรเชียงปูนี่ง แม่ค้าแกะขายไว้ถุงนึง 300 บาท ถุงเบ่อเร่อ น่ากินจริงๆ ไปกินที่ร้านเนี่ยเค้าให้มานิดเดยวเองคิด ร้อยกว่าบาทแล้ว นี่อัดแน่นเต็มถุง เยอะกว่า 3-4 เท่า กรรเชียงปูเนี่ยเป็นอาหารยอดนิยมของครอบครัวเลย เลยเป็นอันว่าตกลงซื้อกลับมา ถุงนึง ว่าแล้วก็หาทางกลับที่พัก เดินตามหาสามล้ออยู่นาน หาไม่เจอะ ทั้งๆที่ตะกี้ยังเห็นอยุ่ตั้งเยอะ แม่ค้าแถวนั้นเลยแนะนำให้ไปนั่งรถ 2 แถว ที่ไปเขาตะเกียบ คนละ 10 บาทเอง ลงหน้าที่พักเลย สะดวกสบายมากๆๆๆ

กลับถึงที่พักก็แกะกรรเชียงปูมากินเลย อุอุ เชื่อไหม กรรเชียงปู ถุงเดียว 300 บาท กินเปล่าๆ ไม่ได้กินกะข้าวนะ แต่อิ่มกันได้ 3 คน แบบตื้อเลย เยอะขนาดไหน และกินครั้งนี้ก็อิ่มอีกนานเลย ตบท้ายด้วยผลไม้ที่ซื้อมาจากตลอดนิดหน่อย อิ่มพอดี (ลืมถ่ายรูปถุงกรรเชียงปู เพราะมาถึงก็จ้วงกันแล้ว )

เที่ยงแล้วว ได้เวลาเก็บของๆๆๆ เช็คเอ้าท์
ก่อนกลับกรุงเทพแวะพระราชวังมฤคทายวัน อีกนิดสวยงามมากๆ มาม๊าชอบมากๆ ในความรู้สึก สวยกว่าที่พระราชวังบ้านปืนอีก แต่จริงๆแล้วเทียบกันไม่ได้ เพราะสวยคนละแบบกัน


มีป้ายบอกตลอดทั่วตึกเลย ว่าให้เดินเบาๆ ห้ามวิ่ง โครงสร้างไม่แข็งแรง แต่ปาป๊า เดินดังตึ้งๆๆๆ ยังกะ ก๊อตซิล่าถล่ม พอเตือนที ก็ย่องที เดินๆไปก้ลืม ตึ้งๆๆ อีก เอิ้กๆๆๆ

เริ่มบ่ายกว่าแล้ว มุ่งหน้าตรงกลับกรุ่งเทพ แวะซื้อขนมหม้อแกงที่เพชรบุรีนิดนึง ถึงบ้านก็ 4 โมงกว่าๆ บ้านแสนรัก ถึงจะไปอยู่รีสอร์ทสวยขนาดไหน ก็ไม่มีที่ไหนมีความสุขเท่าบ้านเรา และก็พึ่งได้รู้ว่า ที่ไปเที่ยวมา 3 คืนเนี่ย มาม๊าสารภาพว่า นอนไม่หลับเลย 55555 แต่คืนนี้กลับมานอนบ้านคนหลับสบายแน่......บายๆช่วงเวลาแห่งความสุข ว่างอีกเมื่อไหร่ เราจะไปเยือนอีกแน่.....^ ^




 

Create Date : 13 ตุลาคม 2548    
Last Update : 13 ตุลาคม 2548 10:50:47 น.
Counter : 581 Pageviews.  

บันทึกความทรงจำ ทริปหัวหิน- ปราณบุรี สามร้อยยอด กะ ปาป๊า มาม๊า (ตอนที่ 3)

บันทึกความทรงจำ ทริปหัวหิน- ปราณบุรี สามร้อยยอด กะ ปาป๊า มาม๊า (ตอนที่ 3)
วันที่ 8-11 ตุลาคม 48

วันที่จันทร์ที่ 10 ตุลาคม 48 วันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้วที่เราจะได้อยู่ที่ปราณบุรี วันนี้นอนสายสุดๆๆๆ พักผ่อนอย่างเต็มที่ แต่ปาป๊า มาม๊าก็ยังคงตื่นมาดูสรยุทธ แต่เช้าเช่นเคย ส่วนเรายังนอนอุตุ ไม่ยอมทำอะไร กว่าจะลงมากินข้าวก็เก้าโมงกว่า อาหารอร่อยเหมือนเดิม แต่เรากินได้น้อยลงเพราปวดท้อง และรู้สึกมีไข้เหมือนจะเป็นหวัด กินเสร็จ ก็กลับไปนอนสบายที่ห้องพักต่อ จนถึง 10 โมงกว่าๆ ก็ออกไปเดินเล่นชายหาด
ความตั้งใจแต่แรกของวันนี้ว่าจะว่ายน้ำในสระของรีสอรืทไม่มีแล้ว เพราะหมดแรง ยังเมื่อยตัวอยู่ สรุป ก็ไม่ได้ว่ายน้ำเลย


ดูสิ อดว่ายน้ำเลย แงๆๆ


ส่วนทะเลก็แค่เดินและนั่งเล่นริมหาดเฉยๆ หาดที่สามร้อยยอดนี้ ไม่ค่อยขาว ออกจะไปทางสีน้ำตาลนิดๆ และมักมีกิ่งไม้ขยะ อยู่บ้าง แต่ก็ดีที่ไม่มีเต้นทผ้าใบ หรือร่มมากางเหมือน แถวพัทยา หรือหาดที่หัวหิน มีก็แต่เก้าอี้ของรีสอร์ทวางไว้ 2-3 ตัวให้นั่งเล่น วันนี้คลื่นแรงมาก ยังไงๆก็เล่นน้ำไม่ได้อยู่ดี นั่งไปซักพัก ฝนก็เริ่มโปรย จึงต้องขึ้นห้องพัก แทน เก็บของและเช็คเอ้าท์ ไปเที่ยวต่อกัน

แอบถ่ายปาป๊า หน้าหาดโรงแรม ทรายไม่ค่อยขาว ท้องฟ้าก็สีหม่น นั่งได้แปบเดียว ฝนก็โปรย


วันนี้กะจะไปกินที่ครัวแจ๋ว ที่พลาดไปเมื่อวันแรก แต่ปรากฏว่ากินข้าวสาย ยังไม่หิว ก็เลยพลาดอีก แหงกๆๆ เลยขับรถไปเที่ยวเล่นแถวปากน้ำปราณ และวณอุทยานโกษา ที่เขากระโหลก นั่นแน่ มีทางเดินขึ้นเขาไปชมวิวอีกแล้ว มาม๊า ปาป๊า รีบ บายๆ ทันที เลยได้แค่เดินเล่นตีนเขา ริมหาดแทน จากนั้นก็ถึงเวลา แวะชมรีสอร์ท จริงๆตอนขากลับเนี่ย แวะดูมาเรื่อยเลยตั้งแต่สามร้อยยอด ดอลฟินเบย์ , เดอะไพรเวซี่บีช และบ้านพักเล็กๆอื่นๆ ก็ทำให้ทราบแล้วว่า รีสอรทที่พักได้นอกจากอัญชนาแล้วก็มี 2 ที่นี้หล่ะ ที่ดูแล้วน่าสนใจ มาถึงแถวปราณ ก็ไล่ดูเลยตั้งแต่ ภูริมันตรา (ที่แรกที่จอง แต่เปลี่ยนใจเพราะไม่ได้วิวทะเล) หัวปลี ชาเตอเลท บ้านปราณ พานาลี ปราณฮาวา น่า อลีนตา แล้วก็เลยไปทางปากน้ำปราณ เอวาซอน แอสดรีม แบคคัส ไล่ดูมันทุกรีสอร์ทที่เราหาไว้ในเน็ตเลย เอิ้กๆๆๆ

แต่ดูๆแล้ว เมื่อเทียบกะระยะทางและความสวยงาม คิดถูกแล้วที่เลือกพาปาป๊า มาม๊าไปอัญชนา (ชมกันอย่างออกนอกหน้า จะไม่ได้ค่าโฆษณานะเนี่ย)



ขออวดรูปตัวเองซักรูป 5555 ถ่ายที่เขากระโหลก ไม่ได้ปีนขึ้นไป ยังไงตอ้งขอเก็บภาพซักรูป


บ่ายกว่าแล้ว ยังไม่มีใครหิวข้าวเลย แหงมๆๆ ดังนั้น เราจึงมุ่งหน้าต่อไปที่หัวหิน หาที่พักในหัวหินสำหรับคืนนี้ต่อ เริ่มจากทางเขาตะเกียบ ไล่ไปเลยจากบ้านทะเลดาว กบาลถมอ สมอสปา และวีรดาลอร์ดอีกครั้ง เอิ้กๆๆๆ เดี๋ยวค่อยไปบ่นเตือนความจำเรื่องรีสอร์ท ไว้ในตอนบันทึกรีสอร์ทต่างหากอีกหน้านึง และเลยไปดูฟูเล และเกสเอ้าส์ต่างๆ ซึ่งก็ต้องบายๆไปเพราะปาป๊าไม่ชอบ

ระหว่างทางไปฮิลตัน แอบดูร้านข้าวเหนียวมะม่วงร้านป๊าเจือ แงๆๆๆ ข้าวเหนียวหมดแล้ว แกแปะป้ายไว้ข้าวเหนียวหมด ให้มาใหม่พรุ่งนี้ 9.30 น. โอเค นัดกันไว้ก่อน เวลาก็ล่วงเลยมามากแล้ว เริ่มหิวคราวนี้ไม่รู้จะกินอะไร เพราะเริ่มเบื่อซีฟู๊ด ปาป๊าเลยชวนไปกินร้านไฮ้เปียง ร้านอาหารจีนในหัวหิน รสชาติก็ดีค่ะ ถูกใจพวกเราอยู่แล้ว แต่ฮ่อยจ๊อไม่อร่อย

สรุปสุดท้ายกินอิ่มต้องรีบหาที่นอน ก็เลยเลือกพักวีรดาลอร์ด รีสอร์ทเล็กๆ ราคาพอใช้ ห้องพักสะอาดสะอ้านดี คนไม่พลุกพล่าน และใกล้ตลาดดี แม้ว่าทางเข้ารีสอร์ท เส้นทางจะแคบ ทดสอบขับขี่ได้เลยก็เหอะ


รูปหน้าหาดที่วีรดา มีคนนอนกันอย่างสบายใจเฉิบ เห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่าหาดที่หัวหิน ขาวและละเอียดกว่าที่ปราณมากๆ

ว่าแล้วเมื่อเข้าที่พัก ก็นอนเอาแรงก่อน คืนนี้จะไปเที่ยวตลาดโต้รุ่งกัน หลังจากเริ่มมีแรงแล้ว จะอยู่ในห้องน่าเบื่อทำไม ไปเดินทะเลกันดีกว่า แอบดูรีสอร์ทข้างๆ บ้านบายัน อุอุ มีแต่ฝรั่ง รีสอร์ทนี้แพงจริงๆ แต่ทะเลก็ติดกะรีสอร์ทที่เราพักเลย จะจ่ายแพงกว่าทำไม เอิ้กๆๆๆ แต่ในห้องก็คงตกแต่งหรูหราน่าดู เดินเล่นริมหาดไปแปบๆ เริ่มหิวเลยได้ฤกษ์ไปเที่ยวตลาดโต้รุ่งแทน

ห้องพักเรา เตียงใหญ๊ ใหญ่ นอนสบายมากๆ เสียแต่หน้าต่างน้อย แถมวิวไม่สวย แหงกๆๆ

ที่ตลาดโต้รุ่งนี้จะว่าไป ก็ไม่ค่อยมีอะไรเท่าไหร่มีของกินอยู่บ้างสลับกับของที่ระลึกของกินแบบเป็นชิ้นเป็นอันไม่ค่อยมี ร้านซีฟู๊ด ก็ดูแล้วท่าทางจะราคาแพง ก็เลยได้แต่กินขนมเล่นๆไปตลอดทาง รสชาติก็ธรรมดาๆ หรือเพราะว่าช่วงนี้เป็นเทศกาลกินเจ และบังเอิญเป็นวันธรรมดาด้วยเลยไม่ค่อยมีคนขายอะไร เดินๆแล้วคิดว่ากลับไปตายรังที่เยาวราชจะดีกว่า 55555

ว่าแล้วก็ซื้อของที่ระลึกติดมือมาหน่อย กับผลไม้ ลองกองน่ากินๆ กะมะพร้าว แล้วก็ขับรถกลับที่พัก มีนั่งกินก๋วยเตี่ยว กับข้าวต้มปลากระพงริมถนนปากซอยเข้าที่พัก เอิ้กๆๆกลับมาตายรัง อร่อยกว่ากันเยอะ ราคาก็นะ 30 บาท เท่า กทม.เลย แต่ปลาสดกว่ามาก ถึงที่พักก็หลับปุ๋ยตามระเบียบ....




 

Create Date : 13 ตุลาคม 2548    
Last Update : 16 ตุลาคม 2548 12:49:00 น.
Counter : 827 Pageviews.  

บันทึกความทรงจำ ทริปหัวหิน- ปราณบุรีสามร้อยยอด กะ ปาป๊า มาม๊า (ตอนที่ 2)

บันทึกความทรงจำ ทริปหัวหิน- สามร้อยยอด กะ ปาป๊า มาม๊า (ตอนที่ 2)
วันที่ 8-12 ตุลาคม 48วันที่สอง วันอาทิตย์ที่ 9 ตุลาคม 48

หลังจากนอนหลับๆตื่นๆ เมื่อคืน หลงเวลานึกว่าตี 2 เป็น 6 โมง ก็ตื่นมาเล่นเน็ตแปบนึงแล้วหลับต่อ ตื่นอกีอีกที ตี 5 ครึ่ง ก็รีบแต่งตัวๆๆๆ จะลงไปกินข้าว แล้วจะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่จุดชมวิว แต่ปรากฏว่าอาหารเช้าของรีสอร์ท เปิด 7 โมง แงๆๆ เลยไปเดินเล่นริมหาด ดูเด็กๆว่ายน้ำ และก็นั่งเล่นแถวล็อปบี้ รอกินข้าว อาหารเช้าที่นี่ เป็นบุฟเฟ่ห์ มีทั้งข้าวต้ม ผัดซี่อิ้ว หรือจะเป็นไส้กรอก ขนมปังแบบฝรั่ง หรือจะเป็นปาท่องโก๋ น้ำเต้าหู้ก็มีให้เลือกเยอะมาก และยังมีอาหารเจอีกด้วย มื้อนี้ก็อร่อยอีกเช่นเคย กินกันอย่างเต็มที่เพราะต้องใช้พลังงานเยอะ
7.30 น. แวะเติมน้ำมันที่แพงที่สุดตั้งกะเคยเติมมา เบนซิน 91 ลิตรละ 27.99 แถมเป็นปั๊มชาวบ้านแบบไม่ได้มาตรฐานด้วย รถตรูจะเจ๊งไหมเนี่ย จากนั้นออกเดินทางสู่อุทยานแห่งชาติเขาสามร้อยยอด ซึ่งอยู่ใกล้ๆกะที่พักมากๆ จ่ายค่าชมอุทยานทั้งคนทั้งรถไป 90 บาท ได้แผนที่เล็กๆแนะนำที่เที่ยวในอุทยานมา 1 ใบ ซึ่งเป็นประโยชน์มากๆ ใช้ดุตลอดทาง ระหว่างทางไป ก็พบทิวทัศน์ เขาสามร้อยยอด มีหมอกลงจางๆ และบ้านชาวบ้านเลี้ยงปูเลี้ยงกุ้งตลอดทาง บรรยากาศดีมากๆ น่าลงไปถ่ายรูปสุดๆ แต่ฝนมันเริ่มตกปรอยๆ เลยไมได้แวะ ระหว่างทางไปถ้ำพระยานครก็มีป้ายทางชี้ตลอดเลยดีมากๆ ผ่านทางเข้าถ้ำแก้วด้วย ซึ่งทางเข้ายังเป็นดินแดงอยู่เลย คงต้องขอบายไป ขับไปๆก็มีป้ายรีสอร์ทบ้านปูละคอน อืม พึ่งรู้นะเนี่ยว่าอยุ่ในอุทยานเลย จำได้ว่าตอนหาที่พักดูที่นี่ไว้เหมือนกัน แต่จำได้ว่าแพงๆๆๆ แพงสุดๆๆๆ ว่าแล้วก็ตั้งใจไว้ว่าจะต้องแวะเข้าไปดูให้ได้

ก่อนจะไปถึงหาด ต้องผ่านเข้าไปในวัด ตกใจว่าเอ....จะหลงอีกป่าวเนี่ย ดูๆไปเออ ไปถามชาวบ้านเอาข้างหน้าก็ได้ ปรากฏว่ามาถูกทางแล้ว มีลานจอดรถด้วย มีรถตู้จอดอยู่คันนึง หาดตรงนี้สวยมากๆๆ ได้ลงไปเดินเล่น เมื่อมองไปจะเห็นบ้านตึกอยู่ไกลลิบๆ ที่สุดหาด คาดว่าน่าจะเป็นรีสอร์ทบ้านปูละคอน ซึ่งบรรยากาศสวยสมกับราคาจริงๆ หาดสะอาดและดีกว่าหาดพุน้อยแถวที่พักมาก ถ่ายรูปกันปีบนึง ก็ถึงตอนเดินข้ามเขา



รูปนี้ถ่ายจากบนเขา เห็นคลื่นเยอะมาก สวยมากๆเลยค่ะ

ตอนแรกไปติดต่อเรือ แต่ชาวบ้านบอกว่าคลื่นลมแรงมาก ออกไม่ได้ต้องเดินอย่างเดียว ก็คิดๆอยู่ว่าปาป๊า มาม๊าจะไหวไหม แต่ทั่ง 2 คน ช่างมั่นใจในร่างกายอันฟิตเปรี๊ยยิ่งนัก แถมทางเดินก็เป็นบรรไดหินมีที่จับด้วย ก็เลยเป็นอันว่าเดินๆๆๆ ระหว่างทางเดินเมื่อไปถึงจุดสูงๆ วิวที่ถ่ายมาสวยมากๆ เห็นคลื่นเป็นลูกๆเลย ตลอด 2 ข้างทางก็สะอาดเรียบร้อย มีแต่ต้นไม้ ไม่มีขยะให้เห็นเลย เดินไปซักพัก เริ่มคุยกันน้อยลง ปาป๊าแรงยังดีอยู่ ส่วนมาม๊าเริ่มเหนื่อย เลยต้องมีการพักเป็นระยะๆ

รูปทางเดินบนเขาที่ต้องข้ามไป มีราวให้จับพันด้วยเชือกดีมากๆเลยไม่ลื่นเลยค่ะ
กว่าจะข้ามเขามาถึงหาดก็เหนื่อยหอบกันพอควร แต่เห็นป้ายบอกทางไปถ้ำกะ ชายหาดพระยานคร ซึ่งสวยมากๆ มีบ้านพักชองอุทยานอยู่หลายหลัง น่าอยู่พอสมควร เดินตามป้ายไปเรื่อยๆซักพัก มีเด็กคนนึงวิ่งมา”พี่ครับๆ มาครั้งแรกป่าวครับ ต้องการไกด์ท้องถิ่นไหมครั้บ ราคาแล้วแต่จะให้ครับ “ ดูๆไปเป็นเด็ก อายุไม่น่าจะเกิน 10 ขวบ 5555 พูดจาฉะฉาน ถูกใจปาป๊า มาม๊า เลยเป็นอันตกลงได้ไกด์ตัวน้อยมานำทาง แต่ปรากฏว่าไม่ใช่เด็กคนนี้ กลับเป็นน้องสาวเค้าอีกที ตัวเล็กกว่าเดิมอีก ตอนหลังคุยๆกันถึงได้รู้ว่าอายุแค่ 9 ขวบเอง

ไกด์ของเราก็พาเดินลิ่วๆๆ ปาป๊าชอบมากๆ ชวนคุยตลอดทาง พอถึงทางขึ้น เด็กบอกไม่ไกลๆๆ ขึ้นไปแปบๆ แถมป้ายก็บอกว่าแค่ 430 เมตรเอง มาม๊าบอกยังใกล้กว่าจากบ้ากออกมาหน้าหมู่บ้านเลย ก็เลยขึ้นไปด้วย (โดนป้าย + เด็กหลอกซะแล้ว ไอ้ 430 เมตรเนี่ยมันขึ้นเขา ไม่ใช่ทางราบนะมาม๊า )

ทางขึ้นถ้ำนี้ ยากลำบากกว่าเขาลูกที่ข้ามมามากๆเลย เพราะไม่มีที่ให้จับ แถมฝนเริ่มโปรยๆ ลื่นด้วยอีกต่างหาก ยังดีว่ายังทำเป็นทางไว้บ้าง แต่ก็เดินลำบากพอดู งานนี้มาม๊าขอพักเป็นระยะตลอดทางเลย เพราะขึ้นไม่ไหว แถมยุงเยอะมากๆๆ ดีนะที่ติดยาตะไคร้หอมฉีดกันยุงของรพ.พระยาอภัยภูเบศไป ซึ่งดีมากๆๆเลย ฉีดๆๆ ยุงไม่มากัดเลย มัวแต่ฉีดให้คนอื่นๆ ลืมฉีดให้ตัวเอง แถมใส่เสื้อสีเข้มอีก ทั้งขาทั้งแขน เลยลายพร้อยแถมคันยิกๆๆๆเลย

เดินมาก็นานไม่ถึงซะที ส่วนไกด์ของเราก็ปีนลิ่วๆๆ แข็งแรงจริงๆ หายตัวไปเลย ไม่รอคนแก่มั่งเลย ซักพักก็เจอะนู๋น้อยนั่งรออยู่แล้วบอกว่า ถึงแล้ว ดีใจๆๆๆ แต่ดีใจได้แป๊บเดียว แงๆๆ เพราะที่ถึงแล้วหน่ะ คือถึงที่พักครึ่งทาง เจอะกลุ่มหนุ่มสาว 4 คน นั่งพักอยู่ ก็สนทนากันซักครู่ นู๋น้อยบอก ไม่ไกลหรอกค่ะ ไปอีกนิดเดียว น้ำก็ไม่กิน ไอ้เรารืหิวน้ำแทบแย่ แถมเล่าให้ฟังอีกว่าตอนนี้ปิดเทอม ปกติ เคยพาขึ้นมามากสุดก็ 3 ทริปต่อวัน เหอๆๆ สุดยอด ไอ้เราขึ้นแค่วันละรอบก็จะแย่แย้ว
พอหายเหนื่อย ก็เริ่มเดินทางต่อ มาม๊าเริ่มอิดออด จะขอนั่งรถที่จุดพักครึ่งทาง แต่เราไม่ยอมเพราะเปลี่ยวมาก ไม่มีคนเลย ไหนๆก็จะเที่ยว unseen แล้ว มาม๊า คงได้มาครั้งแรก และครั้งเดียวในชีวิต เพราะงั้น อดทนขึ้นมาเถอะ เกลี้ยกล่อมอยุ่นาน ก็ยอมขึ้นมาจนได้ แต่ระยะทางช่วงนี้สั้นจริงๆ หรือเพราะได้พักมาหน่อยนึง แปบเดียวก็ถึงถ้ำแล้ว ซึ่งไปพอถึง ก็สวยสมกับความเหน็ดเหนื่อยจริงๆ หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง ธรรมชาติสวยมากๆ อากาศก็เย็น

ถึงถ้ำ ก็ตามเวลาที่กำหนด เกือบๆ 10 โมง เป็นเวลาที่แสงจะส่องถ้ำได้สวยที่สุดพอดี ไกด์ของเรา ก็ทำการแนะนำ จุดชมหินงอกหินย้อยต่างๆ ตั้งกะ น้ำตกแห้ง ซึ่งเป็นลักษณะหินย้อยเป็นชั้นๆคล้ายน้ำตก ต่อมาก็ ลานหินปุ่ม เค้าบอกว่าคนโบราณไว้นวดเท้า ช่วงนี้จะมืดนิดนึง โชคดีพกไฟฉายไปด้วย แต่ก็แค่ทางสั้นๆเอง เข้าไปถึงข้างในก็เจอะพลับพลา เย้ๆๆๆๆ สวยมากๆๆๆเลย ปาป๊า มาม๊าชอบกันมากๆ แสงส่องพอดีด้วย แต่ถ่ายรูปออกมาคนไม่สวยเลย แต่ถ้าพลับพลาเปล่าๆสวย

อวดซะหน่อย นานๆจะถ่ายรูปได้ดูดีอย่างไม่น่าเชื่อ อิอิ พลับพลาพึ่งบูรณะใหม่สวยมากๆเลยค่ะ

ข้างในมีฝีพระหัตถ์ของ ร.5 ด้วย และก็มีเจ้าหน้าที่ของอุทยานขายน้ำ ขายโปสการ์ด สวยๆ และที่ขั้นหนังสือ ซึ่งเราก็ได้ซื้อติดมือมาด้วย ไกด์ของเราก็พาเที่ยวชม ลอดต้นไม้ประหลาด โค้งๆ 2 ต้น ต้นแรกบอก ลอดแล้วให้อธิฐาน ให้ไม่เมื่อย ลอดแล้วจะไม่เมื่อย หรือจะขออะไรก็ได้ ว่าแล้วทุกคนก็ลอดดดดต้นไม้ตามที่ไกด์แนะนำ (โดนเด็กหลอกป่าวไม่รู้ ) ลอดเสร็จ ก็ไปดูหินจรเข้

เค้าบอกว่าหินจรเข้นี้ศักดิสิทธิ ห้ามปีนป่าย นู๋น้อยเล่าว่า เคยมีนักท่องเที่ยวปีนขึ้นไปที่หัวจะถ่ายรูป แค่ตั้งกล้องยังไม่ได้ถ่าย คนที่ปีนก็ตกลงมาตายซะก่อน ซึ่งดูๆแล้ว ก็ไม่ได้สูงอะไร ข้างล่างก็ไม่ได้เป็นหิน อืมท่าจะศักดิ์สิทธิจริง เมื่อ มองๆไปรอบๆก็สะดุดเอะใจ เอ๊ะ ทำไมมีหินมีไม้มาวางๆๆค้ำอยู่ทีผนังถ้ำ ไกด์เราบอกว่าเป็นความเชื้อว่าค้ำแล้วจะอายุยืน ใช้ไม้หรือหินก็ได้ พูดไม่ทันขาดคำ ปาป๊า มาม๊าก็จัดแจงหาไม้หาหินมาค้ำกันใหญ่ พอวางเสร็จนู๋น้อยก็บอกว่า จริงๆเจ้าหน้าที่ไม่อยากให้ทำหรอก เพราะเอาไม้เอาหินมาวางแบบนี้มันเสียทัศนีย์ภาพ 55555 แล้วนู๋มาแนะนำทำไมเนี่ย คราวหลังอย่าบอกสิ จะได้ไม่ทำ ดูซิ เรา 3 คนเลยทำลายธรรมชาตหมด (โทษเด็กอีก เอิ้กๆๆ) แต่ก็ไม่ได้เอาหินไปวางที่เดิม ฮา.....ว่าแล้วน๋น้อยก็พาไปดู ท่อนไม้ใหญ่ เล่าว่าคนที่ค้ำเนี่ย เค้ากะอยู่ 200 ปี อุอุ ไม้ท่อนใหญ่มาก ยังกะท่อนซุง ไม่รู้ว่ายกมาได้ยังไง จากนั้นก็พาไปลอดต้นไมอีกแล้ว 5555 คราวนี้บอกว่าถ้าโสดลอดแล้วจะได้คุ่ ถ้าคู่รักมาลอดจะรักกันนานๆ ถ้าเป็นครอบครัวแล้วก็รักกันเหมือนกัน ว่าแล้วก็ยอมโดนเด็กหลอกอีกครั้ง ลอดกันไปตามระเบียบ


บรรยากาศภายในถ้ำ


จากนั้นก็ไปดูต้นไม้มีพิษ แปะป้ายเอาไว้ นู๋น้อยบอกว่าจะคันมากๆๆ เป็นอันตราย ปาป๊า สงสัยก็ถามวกไปวนมา เพราะดูแล้วมันก็คล้ายๆต้นลีลาวดีเล็กๆ เป็นเหมือนไม้พุ่มธรรมดา สงสัยว่า กินไม่ได้ หรือว่าแตะแล้วคัน หรือยางมันมีพิษ บลาๆๆๆ ถามซอกถามแซกตามประสาคนแก่ อยากรู้ ทำเอาไกด์เด็กของเรามึนตึ๊บ ตอบไม่ถูก สรุป คุณตาอย่าไปจับละกัน ดูเฉยๆเป็นพอ เดี๋ยวนู๋จะพาไปเก็บกล้วยไม้ป่าในอุทยานแทนละกัน 5555 เปลี่ยนเรื่องทันทีเลย

ลืมเล่าไปจุดนึงคือ อัฐิของหลวงปู่ทวด ซึ่งมาฝังไว้ในถ้ำใกล้ๆ กับฝีพระหัตถืของ ร.5 ก็ได้ทำการจุดเทียนบูชากันได้ และตรงบริเวณนั้น ก็มีเสาอยู่ 2 เสา เรียกว่าเสาเป็น กับ เสาตาย แตกต่างกันตรงที่ เสาเป็นเมื่อเอาไฟส่งจะมีลายประกายแวววาว ส่วนเสาตายจะไม่มี คาดว่าคงเกิดจากแร่ธาตุคนละชนิด ขณะนู๋น้อยนำเสนอ ก็หยิบไฟแช็ก ขึ้นมาจุดไฟโชว์ด้วย แหม.....เตรียมพร้อมดีจริงๆ
หลังจากเที่ยวชมถ้ำ และพักผ่อนพอสมควรแล้ว ก็ถึงขาลง 5555 มาม๊าบ่นอุบเลย ว่านี่จะลงไปไหวไหมเนี่ย แต่ปรากฏว่า ขาลงเร็วมากๆๆๆเลย แปบๆ ถึงจุดพัก แป๊บๆ ถึงข้างล่างละ แถมระหว่างทางยังเจอะคนขึ้นถ้ำอีกหลายกรุ๊ป ทั้งผุ้ชายผุ้หญิง คนหนุ่มๆ และวัยกลางคน พักหอบแฮกๆๆๆ กันตลอดทางเลย ปาป๊า มาม๊า ได้ทีใหญ่ คุยทับ ว่าไปอีกไม่ไกล ไม่เหนื่อยมากหรอก ทำเอาคนหนุ่มๆสาวๆอายไปเลย 55555 หารู้ไม่ว่า คนแก่ 2 คนนี้ ขาขึ้นก็แทบตายเหมือนกัน เอิ้กๆๆๆ
ลงมาถึงข้างล่าง ฝนตกลงเม็ดหนาพอดี เมื่อตอนขาขึ้น ฝนแค่ตกปรอยๆพอเย็น ขาลงก็หนักขึ้นอีกเรื่อยๆ ระหว่างนั่งพักที่ร้านอาหารของอุทยาน ก้เจอะฝรั่งกลุ่มใหญ่มาก ตัวอ้วนๆใหญ่ๆทั้งนั้นเลย บางคนใส่กระโปรงอีกต่างหาก เหอๆๆ คิดแล้วสยอง เราตัวเล็กแบกแค่เป้ ใส่กล้องกะน้ำ ยังแทบแย่ แล้วนี่ฝรั่งตัวอ้วนๆจะไหวเหรอเนี่ย ว่าแล้วเค้าก็เดินขึ้นถ้ำไป

หลังจากพักผ่อนเพียงพอ จ่ายตังค์ค่าไกด์ไป 100 บาท เอิ้กๆๆ นู่น้อยบอกบางคนให้แค่ 30 40 เอง ไอ้เราคิดโหดมากๆเลย เดินตั้งไกล พอนู๋น้อยได้ตังค์ปุ๊บก็เผ่นแนบไปหาลูกค้ารายใหม่เลย อ้าวเดินด้วยกันตั้งนานลืมถามชื่อไป 55555 คราวหน้ามาใหม่ จะหานู๋เจอะไหมเนี่ย


ท้องฟ้าเริ่มสว่าง พวกเรา ก็เลยไปเดินเล่นริมหาดพลางๆ ตามทางที่จะปีนเขาลูกเดิมกลับไป เช่นเดียวกับขาลงถ้ำ ปีนไปแป๊บเดียว อ้าวถึงที่จอดรถซะแล้ว เอิ้กๆๆ สงสัยขาไปมันลุ้น เลยรู้สึกว่าไกลมากๆๆ แต่มาคิดอีกที ตะกี้ตอนลอดต้นไม้ก็ขอไว้ไม่ให้เมื่อยนินา สงสัยจะศักดิสิทธิจริงๆ เอิ้กๆ


ปาป๊า มาม๊า เดินลิ่วๆ ทิ้งนู่ไว้ข้างหลังอีกแล้ว เฮ้อ..... เขาลูกนี้หล่ะที่เราต้องข้ามไปข้ามกลับ เหอะๆ


มาถึงรถก็เที่ยงพอดี หลังจากเปลี่ยนเสือ้ผ้าที่ชุ่มแฉะไปด้วยเหงื่อ หรือฝนก็ไม่รู้ โชคดีนะที่รอบคอบติดมาด้วยไม่งั้นหวัดกินตายแน่
ขณะนี้ ก็ได้เวลากินข้าว เราก็มุ่งหน้าสู่ร้านหมูซีฟู๊ด ที่ถ้ำไทร ตามคำแนะนำของชาว bp (again and again) (ลืมแวะดูรีสอร์ทบ้านปูละคอนไปซะสนิทเลย แหงกๆๆ) สำหรับอาหารร้านนี้ ไม่ผิดหวังจริงๆ ปูผัดพริกไทยดำสุดยอดจริงๆๆ ปูเนี่ยเป็นของโปรดของมาม๊า และอร่อยขนาดนี้ ก็นั่งแทะๆๆๆกินกันอย่าไม่เหน็ดเหนื่อยส่วนต้มยำกุ้ง รสแข็งไปนิดนึง แต่ขอน้ำตาลมาเติม แล้วก็อร่อยกำลังพอดี ที่สำคัญ กุ้งตัวโตมากๆๆๆๆแถมเยอะอีกต่างหาก และก็มีปลากระพงทอดน้ำปลา ซึ่งรสชาติไม่แรงเท่า 2 จานนั้น เลยกลายเป็นลูกเมียน้อย โดยปูขโมยซีนไปหมด ทั้งๆที่อร่อยมากเช่นกัน หลังจากอิ่มกันแล้ว เจ้าของร้านก็ยกสัปปะรดมาเป็นของหวานแถมให้ และไปเอากุ้งในครัวมาอวด แงๆๆๆๆๆ ตัวใหญ่มากๆๆๆเลย พลาดๆๆๆๆๆ คราวหน้าต้องสั่งกุ้งอบเกลือซะแล้ว นัดกันไว้ก่อนนะ ฮึมมมม

หลังจากอิ่มกันแล้ว เราก็มุ่งหน้าเที่ยวต่อไป เป้าหมายคือ พิพิทธภัณฑ์สัตว์น้ำที่หว้ากอ ขับตัดในอุทยาน มาออกกุยบุรี เข้าตัวเมืองประจวบ มีป้ายบอกทางตลอดเลย ไปถึงพิพิธภัณฑ์ ก็บ่าย2 กว่าๆแล้ว แถมเจอะ ขบวนเด็กนักเรียนอีก คนเลยเยอะมากๆๆๆ ไม่ได้เข้าไปดูหลายส่วน เลยดูแค่พิพิทธภัณฑ์สัตว์น้ำ กะสวนผีเสื้อ


สำหรับพิพิทธิภัณฑ์สัตว์น้ำ ที่นี่ไม่เสียค่าเข้าชม และเป็นหน่วยราชการ ซึ่งก็นับว่า จัดได้สวยงามพอสมควร แต่จากประสบการณ์ เที่ยวพิพิทธภัณฑ์สัตว์น้ำ มาหลายที่ ทั้งในต่างประเทศ และในไทย ที่บึงฉวาก ที่ระยอง และ ที่ underwaterworld จากความรู้สึก ที่นี่ยังสู้ที่อื่นไม่ได้ แต่ก็น่าเข้าชมฟรี ปลาน้อยไปหน่อย และดูไม่ค่อยแข็งแรง จริงๆก็น่าจะเก็บค่าบำรุงซักหน่อย แล้วทำให้ดีๆหน่อยน่าจะดีกว่า ถ้าเทียบกัน underwaterworld ที่พัทยาสวยสุด 5555 แต่ก็น่าหล่ะค่ะ ราคาก็แพงสุดๆๆ ด้วย คงเทียบกันไม่ได้ แต่ถ้าของราชการคิดว่าที่ระยองดีสุดค่ะ


เดินพิพิทธภัณฑ์ มาตั้งนาน ชอบกุ้งตัวนี้มากที่สุด เพราะอะไรรู้ไหมค๊ะ ......เพราะว่ามันยอมอยู่เฉยๆให้ถ่ายรูปหน่ะสิ 555555
ต่อมาก็สวนผีเสื้อ เอิ้กๆๆ ดันมาตอน บ่าย 3 กว่าๆ ผีเสือ้ที่ไหน จะออกมาให้เห็น มันต้องเที่ยวเช้าๆ แงๆๆๆ ได้เห็นบ้างเล็กน้อย ข้างในค่อนข้างโทรม แต่ก็มีสีแปลกๆสวยๆให้พอเห็นเหมือนกัน สรุปงดวหน้ามาใหม่ตอนเช้าๆจะดีกว่า เอิ้กๆๆๆ ไม่อยากจะบอกเลยว่าพอออกมาจากซุ้ม ขับรถผ่านดอกไม้ที่ปลูกไว้ริมทาง มีผีเสื้อมาบินเยอะมากๆๆๆ 555 ถึงจะไม่ได้เป็นพันธ์แปลกตา แต่ก็เยอะกว่าในสวนแน่ๆ กลายเป็นงั้นไป

รูปผีเสื้อที่ดีสุดแล้ว 5555 ยังไหวซะขนาดนี้ แต่ตัวนี้สีสวยมากจริงๆ

ขากลับแต่ละคนอ่อนระโหยโรยแรง เลยได้แต่ขับรถให้ชมอ่าวมะนาว กะกองบิน 53 แทน มาม๊าปวดไปทั้งตัว ไม่มีแรงเดินแล้ว เลยรีบกลับที่พัก ระหว่างทางก็แวะซื้อสัปปะรดที่กุยบุรีด้วย มีขายเยอะแยะเลย ซื้อมาตั้ง 15 กิโล หวานๆทั้งน้านนน ถึงที่พักก็ 5โมงครึ่งไปแล้ว ตามโปรแรกมวางไว้ว่าจะกินซีฟู๊ดที่โรงแรม กลายเป็นว่าเหนื่อยจนแต่ละคนกินกันไม่ลง ต้องสั่งข้าวต้มร้อนๆ มากินบนห้องพักแทน หมดสภาพไปตามๆกัน เนื่องด้วยประการนี้แล้ว เราก็เลยพามาม๊าไปสปา นวดอโรม่า ของโรงแรมซะ จะได้หายเมื่อย ราคาก็โอเค นวดดีพอใช้ได้ ข้อสำคัยคือมันสบายดี แต่ระหว่างนวดไปก็ร้องโอยๆๆ เพราะปวดเนื้อปวดตัวไปหมด กลับมาถึงห้องพัก ปาป๊าหลับไปซะแล้ว 555 ก่อนนอน มาม๊ากินพาราไปเม็ดนึง เพราะกลัวจะไม่สบาย คืนนี้ทุกคนหลับปุ๋ย เพราะความเหนื่อยอ่อน เตรียมพบกับวันสุดท้ายที่ปราณบุรี




 

Create Date : 12 ตุลาคม 2548    
Last Update : 13 ตุลาคม 2548 10:34:28 น.
Counter : 836 Pageviews.  

บันทึกความทรงจำ ทริปหัวหิน-ปราณบุรี สามร้อยยอด กะ ปาป๊า มาม๊า (ตอนที่ 1)

บันทึกความทรงจำ ทริปหัวหิน- สามร้อยยอด กะ ปาป๊า มาม๊า (ตอนที่ 1)
วันที่ 8-12 ตุลาคม 48

หลังจากทีผ่านมรสุม งานหนัก แต่ว่างๆ (อ๊ะยังไง ) คือ มีงานแต่ใจไม่ว่าง ขี้เกียจทำไปได้ ในที่สุดก็ถึงวันที่รอคอย ถึงกำหมดปุ๊บเคลียรทุกอย่างๆๆๆ ศึกษาที่เที่ยว ที่พักเป็นบ้าเป็นหลังอยู่สัปดาห์นึง แล้วก็เผ่นแนบเลย

วันแรก เสาร์ที่ 8 ตุลาคม 48
ด้วยความตื่นเต้น เมื่อคืนเลยนอนไม่ค่อยหลับ แต่ก็ยังตื่นเช้าอยู่ดี เลยไปฤกษ์ออกบ้านตั้งกะยังไม่แปดโมง จากบ้านขับไปตามเส้นกาญจนาภิเศก ออกสู่ถ.พระราม 2 แวะกินข้าวแกงระหว่างทางนิดนึงแถวปากท่อ แล้วไปต่อ เข้าสู่เพชรบุรี แวะเที่ยวพระราชวังบ้านปืน ตรงทางไปหาดเจ้าสำราญนิดนึง ข้างนอกสวยมากๆเลย แต่ข้างในเรียบๆ ไม่ค่อยมีเฟอร์นิเจอร์อะไรเท่าไหร่ ดูเหมือนบูรณะไม่มากนัก และไม่ให้ถ่ายรูป เลยไม่ได้เก็บภาพอะไรมาฝาก ภายในแต่ละห้อง ตกแต่งแบบฝรั่ง ตามผนังของทุกห้อง มีลายไม้แกะสลัก ตกแต่งแปะๆๆ ดูๆไป ก็คิดได้ว่า อ๋อ....สมัยก่อนไม่มีวอลเปเปอร์เหมือนสมัยนี้ เค้าเลยต้องเอาไม้มาประดับให้เป็นลวดลายแทน พระราชวังนี้ตกแต่งแบบฝรั่งเลย ทั้งการจัดห้อง และการตกแต่ง ดูๆไปก็เหมือนคฤหาสเล็กๆ ที่ขายกันตามถนนราชพฤกษ์ หลังละ 30- 40 ล้าน ต่างกันหน่อยตรงที่ การจัดห้องช่างโปร่งสบาย ไม่ต้องติดแอร์ ก็อยู่ได้ ไม่เหมือนบ้านสมัยใหม่ แต่งกันซะร้อน


ปาป๊า มาม๊า เดินนำลิ่วๆๆเลยดูสิ ไม่รอกันมั่งเลย

เดินพระราชวังเสร็จ เริ่มใกล้เที่ยง ท้องเริ่มร้องอีกแล้ว เลยได้แวะตามร้านที่ชาว bp แนะนำไว้ นั่นคือร้านปลาทู ตรงชะอำ เนื่องด้วยปาป๊า มาม๊า ชอบกินปลาทูกันเหลือเกิน พอแนะนำร้านนี้ไปดีใจกันใหญ่ ไปถึงก็สั่งแต่ปลาทู ต้มยำปลาทู ปลาทูชุปแป้งทอด และก็ไรอีกหว่า จำไม่ได้แล้ว เพราะไม่ประทับใจเลย แม้สถานที่จะสวย คนกินก็เยอะ แต่โดยส่วนตัวไม่ถูกปากเอามากๆ เค็มๆเผ็ดๆ มีอยู่ 2 รส แต่ก็นะ ปากคนเราอาจจะชอบอะไรแตกต่างกัน ดูโต๊ะอื่นเค้าก็กินมีความสุขดี แต่สำหรับครอบครัวเรา ขายทิ้งๆๆๆ ไม่ไปกินอีกแล้ว

หลังจากกินอิ่มก็เตรียมพร้อม ดิ่งตรงไปน้ำตกป่าละอู สถานที่นี้ ที่ป๊ากะ ม๊า เคยมาสมัยก่อน แล้วรถข้ามไปไม่ได้ ตามคำบอกเล่าที่ฟังมาว่าตอนนี้ถนนดีสุดๆ เข้าถึงน้ำตกได้แล้ว คนแก่ไปเทีย่วได้สบายมาก ซึ่งก็เป็นจริงตามนั้น ทางขึ้นเขาก็ดี โค้งชันไม่มาก พอได้ตื่นเต้น ไปถึงน้ำตก ก็มีคนไปเที่ยวอยู่พอสมควร แต่ดูๆแล้วเหมือนจะเป็นคนพ้นที่ซะส่วนใหญ่ และไม่มีรถเก๋งเลย มีแต่กระบะ กะ 4W มีแต่ city ของเราคันเดียวในลานจอด 555
ทางขึ้นน้ำตก เดินลำบากนิดหน่อย มาม๊า ยอมแพ้ ขอนั่งรอตั้งกะยังไม่ถึงครึ่งทางชั้นที่ 1 เราเห็นว่ามีคนเล่นน้ำอยู่แถวนั้นหลายครอบครัว ป๊า กะ เราจึงเดินต่อไป กะว่าจะไปให้ถึงชั้น 3 ที่เค้าว่ามันสวยสุดแล้ว แต่สุดท้ายก็ไปไม่ถึง 555 ได้แค่ชั้น 1 ก็หมดแรง ทางเดินลำบาก กลัวป๊าขึ้นไปต่อแล้วจะลงไม่ไหว และเป็นห่วงม๊าด้วย ก็เลยรีบเก็บภาพ แล้วเดินลงมาหาม๊า เจอะม๊านั่งรออยู่ มีผีเสื้อมากมายบินอยู่ข้างๆ แหมช่างมีความสุขจริงๆ แต่ถ่ายรูปมาไม่ได้ซักกะตัว เพราะมัน hyper มากๆ ป๊ากะ ม๊าบอกว่า ตอนมาเที่ยวป่าละอูสมัยก่อน ก็มีผีเสื้อเยอะมากๆ เยอะกว่านี้อีก เป็นฝูงๆเลย ความประทับใจที่สุดของน้ำตกนี้ก็อยู่ที่ผีเสื้อนี่หล่ะ ถึงลายมันจะไม่ได้ วิจิตรพิสดารอะไร มีแต่ขาวๆเหลือง แต่ปริมาณเยอะไว้ก่อน 5555


น้ำตกน่าเล่นมากๆ แต่ไม่มีคนลงเป็นเพื่อน ก็เลยได้แต่ถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึก แหม อยากถ่ายให้สายน้ำเป็นสายนุ่มๆแบบโปรเค้ามั่งจัง ชาตินี้จะมีปัญญาไหมเนี่ย

หลังจากนั่งพักกันพอสมควรแล้ว เราก็เดินทางต่อ สู่อัญชนา รีสอร์ท ปราณบุรี สามร้อยยอด ที่จองเอาไว้ ขาลงแวะซื้อกล้วยไข่ที่ชาวบ้านขายไว้ริมทาง กินเล่น อร่อยมากๆๆเลย ป๊าบอกว่าที่มันเนื้อเหลืองอร่อยกว่าที่กรุงเทพ เพราะว่ามันสุกที่ต้น ไม่เหมือนที่เค้าขายตาม กรุงเทพ ตัดมาทั้งเขียวๆ แล้วรอให้สุก จะไม่อร่อยเท่านี้ หลังจากขับลงมาถึงตัวเมืองหัวหินระหว่างทาง ก็แวะดูรีสอร์ท ในหัวหิน ที่กะจะมา walk in ในคืนสุดท้ายด้วย ที่บ้านราชดำเนิน กะ วีรดาลอร์ด แล้วก็ตรงรวดดดด ไปอัญชนาละ ทีนี้ แผนที่ที่ได้ในเวป ก็ดูยากซะเหลือเกิน ต้องอาศัยแผนที่ของรีสอร็ทข้างเคียง (ดอลฟิน เบย์ อิอิ ให้เครดิตหน่อย ทำแผนที่ชัดเจนดีมากเลย ) แต่ถึงกระนั้น ก็ยังหลง ขับวนรถไปรอบนึง เพราะว่าป้ายรีสอร์ท ดันปลุกต้นไม้ บังไว้อย่างสวยงาม เลยขับผ่านไปมองไม่เห็น

กว่าจะไปถึงรีสอร์ทก็ปาไป เกือบ 5 โมง ไปถึงก็ปล่อยป๊ากะ ม๊าลงไปก่อนที่ล็อปบี้ ตัวเองเอารถไปจอดที่ลานจอด เลยทำให้อด welcome drink เลย แงๆๆๆๆ ม๊าบอกอร่อยด้วย สำหรับรีสอร์ทนี้ ไม่ผิดหวังจริงที่เลือกที่นี่ สระว่ายน้ำสวยมาก วิวก็ดี พนักงานต้อนรับก็ดีมากๆๆๆๆเลย มาถึงห้องก็ตกแต่งสวยมากๆๆ เป็นเตียง 4 เสา อย่างที่ฝันเอาไว้เลย แต่หลังจากเปิดหน้าต่างออกไปดูวิวที่ระเบียง แงๆๆๆๆ มีต้นไม้ใหญ่บังวิวทะเลนู๋ แถมกล้วยพัดอีก ต้นเบ่อเร่อ มองไปมีแต่ต้นไม้ แหงกๆๆ ว่าแล้ว เราก็รีบลงไปขอเปลี่ยนห้องทันควัน ซึ่งเค้าก็ยอมให้เปลี่ยน จากห้องชั้น 2 เป็นชั้น 3 แต่มุมเดียวกัน เพราห้องอื่นๆเต็ม แต่ตอนเปลี่ยนห้องเนี่ย ลืมขอขึ้นไปดู เพราจะรีบออกไปกินข้าว เลยเป็นผลให้ห้องใหม่ต้องนอน เตียงแยกกัน 3 เตียง ไม่ได้นอนเตียงคู่ 4 เสาแล้ว แงๆๆๆ แต่วิวที่หน้าต่าง ดีกว่าห้องข้างล่างมากๆๆ โปร่งสบาย เห็นทะเลมากขึ้น แม้จะมีเจ้าต้นไม้ใหญ่ต้นเดิมบังอยู่ แต่ไม่มีกล้วยพัดแล้ว (ห้องเบอร์ 316 แต่ไปเดินดุมาละ งวดหน้าต้องพัก 311 312 313…. จะอยู่แถวหน้าๆ ไม่ติดต้นไม้ และเห็นวิวทะเลงามกว่าห้องหลังๆ แต่เดี่ยวไปเตือนความจำกันอีกที ในภาค ที่พัก )

เตียง 4 เสา แต่ดูวิวตรงหน้าต่างสิ แงๆๆๆ กล้วยพัดต้นเบ่อเริ่ม

หลังจากเข้าที่พัก พักผ่อนแป๊บนึง ก็ไปหาที่กินข้าวกันตามคัมภีร์ที่จดเอาไว้ จากคำแนะนำของชาว bp (อีกแล้ว) ไปทานมื้อเย็นกันที่ปากน้ำปราณ ตอนแรกตั้งใจจะกินร้านครัวแจ๋ว แต่ขับเพลินเลยเลยไป เป็นอันว่า ได้ไปกินร้านอุดมแทน ซึ่งก็ไม่ผิดหวังจริงๆ บรรยากาศดี อยู่ริมทะเล ปา เลือกไปนั่งโต๊ะหน้าสุดเลย ซึ่งเป็นผลให้เรียกเด็กเสริฟยากมาก แต่ก็นะ อาหารไว เก็บตังค์เร็วก็โอเคแล้ว มาถึงเมนูกันดีกว่า ไอ้เราก็สั่งตามเมนูแนะนำ ปลาหมึกแดดเดียว ปลาทรายทอดกระเทียม กรรเชียงปูนึ่ง ส่วนป๊าอยากกินผัก เลยสั่งคะน้าหมุกรอบมา (แหวะมากเลยไม่อร่อย นี่หล่ะน๊า เค้าเรียกสั่งอาหารไม่ถูกร้าน มาทะเลจะมากินผัดผักแหงกๆๆ ) อาหารที่สั่งอร่อยมากเลย (ยกเว้นคะน้า) ขนาดป๊ากะม๊า ที่ว่าปลาหมึกเป็นอาหารต้องห้าม ยังจิ้มเอาๆ กลับไปงานนี้คอลเลสเตอรอลพุ่งพรวดแน่ ได้เข้าคอร์สลดกันอีกนาน ส่วนปลาทรายทอดกระเทียบก็ทอดได้กรอบอร่อยมากๆ สำหรับกรรเชียงปู อร่อยด้วยตัวมันเองอีกอยู่แล้ว แม้จะที่เล็กไปหน่อยแต่ก็โอเค กินไปซักพักเด็กเสิร์ฟก็ยก อะไรซักอย่างทอดๆมาให้ คล้ายๆปลาทรงเครื่องทอด ที่สุรพลฟู๊ด แช่แข็ขาย ไอ้เราก็ตกใจ แต่เด็กบอกว่าแถมครับ แล้วบอกชื่อมา แต่ฟังไม่ทัน มันรีบวาง รีบพูด แล้วหายไปเลย = = แต่อร่อยมากๆๆ กินไปซักพัก จนอาหารหมดเกือบทุกอย่างแล้ว ทุกคนเริ่มอิ่ม ว๊ากกก!!!! เด็กเสิรฟมันยกมาอีก คราวนี้เป็นแกงต้มส้มปลาอะไรซักอย่างเนี่ย น่าจะเป็นต้มส้มปลากระบอก ฟังไม่ทันอีกเช่นเคย เพราะมาอีกหรอบเดิม “แถมครับ” รีบวาง รีบพูด รีบเผ่น อะไรว้า..... กำลังคิดว่าสงสัยเป็นการตลาดของร้าน จะแนะนำอาหาร เลยใช้วีธีแถมแทน แต่ถ้าจะแถมเนี่ย ต้องบอกชื่ออาหารชัดๆหน่อย ไม่งั้นคราวหน้ามา สั่งไม่ถูกแหงมๆ สำหรับจานสุดท้ายที่แถมมาเนี่ยเด็ดสุด ขนาดอิ่มกันทุกคนแล้ว ก็ยังกินจนหมด รสชาติถูกปากมาก เปรี้ยวๆหวานๆ เค็มๆ แต่ที่สำคัญ ปลาสดมากกกกก ขนาดมาม๊า ซึ่งปกติ ทานปลาไม่เก่ง กลัวคาวสุดๆ ยังกินไปตั้งเยอะ สรุปก็หมดค่ะ หมดทุกอย่างอิ่มอร่อย ยังคิดๆอยู่ว่าของแถมมันอร่อยกว่าของที่สั่งเองซะอีก เอิ้กๆๆ ว่าแล้วก็คิดตังค์ รวมเป็นเงิน 475 บาท ถ้ากินแค่เท่าที่สั่งราคาก็ปกติธรรมดา แต่ถ้านับไอ้ที่แถมๆมานี่ก็ถือว่าถูกๆสุดๆๆๆ สรุปมื้อนี้ ร้านอุดม ได้ใจครอบครัวเราไปเต็มๆ นัดไว้คราวหน้าถ้ามาใหม่จะมากินอีก.....อิ่มเสร็จ ก็กลับที่พัก 55555 ยังคงขับเลยอีกตามระเบียบ แต่คราวนี้เลยตั้งกะ ทางแยกไปสามร้อยยอดเลย เพราะถนนมันมืดไม่มีไฟเลย มีรถเราวิ่งอยู่คันเดียว กลับถึงที่พักทุกคนก็รีบเข้านอนตั้งกะ 2 ทุ่ม เพราะ โปรแกรมพรุ่งนี้ค่อนข้างหนัก เราจะไปเที่ยวอุทยานสามร้อยยอดกันแต่ตรู่เช้า.....ราตรีสวัสดิ ฝันดี




 

Create Date : 12 ตุลาคม 2548    
Last Update : 13 ตุลาคม 2548 10:34:49 น.
Counter : 896 Pageviews.  

1  2  3  4  

Vitamin_C
Location :
Pasadena United States

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




สวัสดีค่ะ อากาศดี ก็อารมณ์ดีเนอะ .......^-^

คิดถึงบ้านที่เมืองไทยเป็นที่สุด
ถ้าไม่นับห้องสมุดๆเจ๋งๆกับพิพิธภัณฑ์ดีๆ กับอาหารหลากหลายเชื้อชาติให้กินได้ไม่ซ้ำทุกวันแล้วหล่ะก็ เมืองไทยชนะขาดในทุกกรณี ว่าแต่เมื่อไหร่ ห้องสมุดกับพิพิธภัณฑ์ของบ้านเราจะพัฒนาซักทีน้อ....


ถึงแม้ว่าบล๊อกนี้จะไม่ค่อยมีสาระ แต่เนื้อหาและข้อความทั้งหมด
รวมไปถึงรูปภาพที่ข้าพเจ้าเป็นผู้ถ่ายเอง ถือเป็นลิขสิทธิ์ ของสำนักพิมพ์บางกอกสาส์น จำกัด
ห้ามผู้ใดนำไปเผยแพร่โดยมิได้รับอนุญาติจากเจ้าของบล๊อก หรือ จากกองบรรณาธิการ

หากมีข้อสงสัยใดๆ กรุณาติดต่อหลังไมค์
หรือ
กองบรรณาธิการ สำนักพิมพ์บางกอกสาส์น 966/10 ซ.พระราม6 19 ถ.เพชรบุรี เขตราชเทวี กทม 10400
โทร 02-6137140
Email vitavitac@gmail.com
Friends' blogs
[Add Vitamin_C's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.