|
นารทชาดก - อุเบกขาบารมี
เมื่อพระพุทธองค์ตรัสรู้เป็นพระอนุตตรสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว เสด็จไปทรงทรมานชฎิลสามพี่น้องซึ่งมีอุรุเวลกัสสปะ เป็นต้น จนได้บรรลุเป็นพระอรหันต์และบวชเป็นภิกษุแล้ว พระอุรุเวลกัสสปะเถระตามเสด็จพระบรมศาสดาไปยังลัฏฐิวโนทยาน (สวนตาลหนุ่ม) ในแคว้นมคธ วันหนึ่งพระเจ้าพิมพิสารเสด็จพร้อมด้วยข้าราชบริพารไปเฝ้าพระพุทธองค์ พวกพราหมณ์ คหบดีในจำพวกราชบริษัทเกิดความสงสัยขึ้นว่า อุรุเวลกัสสปะประพฤติพรหมจรรย์ในสำนักพระมหาโคดม หรือพระมหาโคดมประพฤติพรหมจรรย์ในอุรุเวลกัสสปะ จึงมีพุทธดำริว่า จักต้องประกาศความที่กัสสปะมาบวชในสำนักของเราให้พวกนี้รู้ พระเถระอุรุเวลกัสสปะได้ทราบในพุทธประสงค์จึงแสดงความเป็นสาวกให้ชนทั้งหลายได้ประจักษ์ พระบรมศาสดาจึงตรัสว่า ดูกรท่านทั้งหลาย การที่เราผู้ถึงแล้วซึ่งสัพพัญญุตญาณทรมานอุรุเวลกัสสปะได้ในบัดนี้ ไม่อัศจรรย์เท่าครั้งที่เรายังมีราคะ โทสะ โมหะเป็นนารทมหาพรหม ทำลายข่ายคือทิฐิของเธอกระทำจนสิ้นพยศอันร้าย มีพุทธฎีกาตรัสฉะนี้แล้วก็ทรงดุษณีภาพ บรรดามหาชนซึ่งประชุมอยู่ในที่นั้นจึงกราบทูลขอให้ทรงแสดงอดีตนิทาน ความโดยสังเขปว่า
ในกาลก่อนพระเจ้าอังคติราชเสวยราชสมบัติในพระนครมิถิลา แคว้นวิเทหรัฐ ทรงตั้งอยู่ในสุจริตธรรม มีพระราชธิดาองค์เดียวพระนามว่ารุจาราชกุมารี ทรงเป็นที่โปรดปรานของพระราชบิดายิ่งนัก พระราชธิดาประกอบกุศลกรรมไว้ในอดีตจึงทรงระลึกชาติได้ ทุกกึ่งเดือนจะได้รับพระราชทานทรัพย์จำนวนมากสำหรับบริจาคทาน พระเจ้าอังคติราชทรงมีอำมาตย์ผู้ใหญ่เป็นที่ปรึกษา ๓ นาย คือ วิชยอำมาตย์ สุนามอำมาตย์ และอลาตอำมาตย์
วันหนึ่งพระเจ้าอังคติราชตรัสถามอำมาตย์ทั้งสามว่าพระองค์ควรจะกระทำสิ่งใดที่เป็นประโยชน์ อลาตอำมาตย์กราบทูลว่าควรทำสงครามขยายพระราชอาณาเขต สุนามอำมาตย์กราบทูลว่าควรบันเทิงพระทัยด้วยการเลี้ยงดูและขับร้อง ส่วนวิชยอำมาตย์กราบทูลว่าควรเข้าหาสนนทนาด้วยนักบวชผู้รู้ธรรม พระราชาทรงเห็นด้วยกับวิธีของวิชยอำมาตย์ อลาตอำมาตย์ก็กราบทูลแนะนำให้เสด็จไปยังสำนักของอาจารย์คุณาชีวกซึ่งประพฤติตนเปลือยกายอยู่ ณ ป่ามิคทายวัน ครั้นเสด็จไปถึงพระเจ้าอังคติราชก็ตรัสถามข้อธรรมกับคุณาชีวกว่า ผู้ประพฤติธรรมไฉนละโลกนี้ไปแล้วจึงไปสู่สุคติได้ และเป็นอย่างไรชนบางพวกผู้มิได้ตั้งอยู่ในธรรมจึงตกลงไปยังนรกเบื้องต่ำ ปัญหาที่พระเจ้าอังคติราชตรัสนั้นลึกซึ้งนักควรจะถามพระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์ เมื่อทรงตรัสถามคุณาชีวกผู้เปลือยกายหาสิริมิได้และไม่มีปัญญาหยั่งรู้ คุณาชีวิกกราบทูลว่าผลของบาปไม่มี ผลของบุญไม่มี มนุษย์ทั้งหลายมีชีวิตอยู่เพื่อดำรงความสุขส่วนตนไปวันหนึ่งๆ เมื่อถึงยามดับก็แตกสลายกลายเป็นธาตุเดิม พระเจ้าอังคติราชได้ทรงสดับดังนั้น มีพระดำริว่าถ้ากระนั้นการบำเพ็ญทานและปฏิบัติธรรมของพระองค์ที่ผ่านมาก็ไร้ผล แต่นั้นมาก็ทรงใฝ่ในโลกียสุข เลิกละการปฏิบัติธรรมและงดการบริจาคทาน ชาวเมืองต่างพากันเดือดร้อน
พระราชธิดารุจาทรงสลดพระทัยในการเปลี่ยนแปลงของพระราชบิดา ราตรีหนึ่งขณะเสด็จขึ้นเฝ้า ก็กราบทูลถึงผลบาปผลบุญที่พระนางระลึกชาติได้ว่าเคยกระทำมาแต่ชาติปางก่อน แต่ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความเป็นมิจฉาทิฐิของพระราชบิดาได้ พระราชธิดารุจาจึงตั้งสัตยาธิษฐานขอให้เทพยดาดลพระทัยพระเจ้าอังคติราชให้กลับเป็นสัมมาทิฐิดังเดิม
(นารทมหาพรหมเนรมิตเป็นฤาษีเสด็จมาโปรดพระเจ้าอังคติราชและพระราชธิดารุจา)
(ภาพ พระโพธิสัตว์นารทมหาพรหมนิรมิตเป็นพระนารทกัสสปฤาษี ที่ปรากฏบางภาพเขียนเป็นพักตร์เดียว ๒ กร บางภาพมีพักตร์เดียว ๔ กร บางภาพมี ๔ พักตร์ ๒ กร และบางภาพมี ๔ พักตร์ ๔ กร)
ครั้งนั้นพระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นนารทมหาพรหมทรงทราบในสัตยาธิษฐานของพระราชธิดารุจา มีพระกรุณาจะสงเคราะห์จึงเนรมิตเป็นพระนารทกัสสปฤาษี แปลงเพศเป็นมนุษย์มีวรรณะผุดผ่องดุจทองน่าเลื่อมใส ผูกชฎามณฑลอันงามจับใจ ปักปิ่นทองไว้ในระวางชฎา นุ่งผ้าพื้นแดงไว้ภายใน ทรงผ้าเปลือกไม้อันย้อมฝาดไว้ภายนอก กระทำเฉวียงบ่าซึ่งผ้าหนังเสืออันแล้วไปด้วยเงินซึ่งขลิบด้วยทอง แล้วเอาภิกขาภาชนะใส่ในสาแหรกอันประดับมุดกาข้างหนึ่ง เอาคนโทน้ำแก้วประฬาสใส่ในสาแหรกอีกข้างหนึ่ง เสร็จก็ยกคานทองอันงามขึ้นวางเหนือบ่า แล้วเหาะมาโดยอากาศ โดยเพศแห่งฤาษีไพโรจน์โชตนาประหนึ่งพระจันทร์ในพื้นคัคนานตประเทศ เข้าสู่จันทกปราสาท ยืนอยู่ ณ เบื้องพักตร์พระเจ้าอังคติราช
เมื่อพระเจ้าอังคติราชทอดพระเนตรเห็นพระนารทกัสสปฤาษีเหาะได้ดังนั้นก็สนเท่ห์ในพระทัย ตรัสถามก็ได้ความว่าพระนารทกัสสปฤาษีตั้งมั่นในคุณธรรม ๔ ประการ อันได้แก่ สัจจะ ทมะ ขันติ และจาคะ พระโพธิสัตว์ทรงแสดงผลของบาปซึ่งผู้กระทำจะได้รับในอบายภูมิ ทำให้พระเจ้าอังคติราชทรงหวาดกลัวกลับพระทัยมาปฏิบัติสัมมาทิฐิในที่สุด พระโพธิสัตว์จึงเสด็จกลับพรหมโลก ชาวพระนครมิถิลาก็อยู่เย็นเป็นสุขดังเดิม
เมื่อจบเรื่องนารทมหาพรหมแล้ว พระบรมศาสดาทรงประชุมชาดกกล่าวถึงการกลับชาติของบุคคลต่างๆ คือ อลาตอำมาตย์เป็นพระเทวทัต วิชยอำมาตย์เป็นพระสารีบุตร คุณาชีวกเป็นอเจลกะ พระราชธารุจาเป็นพระอานนท์ พระเจ้าอังคติราชเป็นอุรุเวลกัสสปะและพระนารทมหาพรหมคือสมเด็จพระบรมศาสดา
ที่มา ภาพและเรื่องสำเนาและคัดลอกจากหนังสือชาดกและพุทธประวัติจากตู้ลายรดน้ำ จัดพิมพ์เป็นหนังสือที่ระลึกเฉลิมพระเกียรติในโอกาสมหามงคลงานฉลองสิริราชสมบัติครบ ๖๐ ปี พุทธศักราช ๒๕๔๙ โดย คณะกรรมการฝ่ายประมวลเอกสารและจดหมายเหตุ ในคณะกรรมการอำนวยการจัดงานฉลองสิริราชสมบัติครบ ๖๐ ปี พุทธศักราช ๒๕๔๙ พิมพ์ที่ บริษัท รุ่งศิลป์การพิมพ์ (๑๙๗๗) จำกัด
หมายเหตุ สำเนาภาพและบทความในเรื่อง ได้ถูกคัดลอกมาเผยแพร่ด้วยเจตนาจะมุ่งให้เห็นความประณีต วิจิตรบรรจง อันเกิดจากแรงศรัทธาในพระศาสนาของจิตรกรรุ่นบรรพชนผู้สร้าง ซึ่งสร้างตู้ลายพระธรรมรดน้ำเป็นพุทธบูชา เพื่อเก็บรักษาคัมภีร์ทางพุทธศาสนา ผู้ประสงค์จะนำภาพหรือบทความไปใช้เชิงพาณิชย์ กรุณาตรวจสอบและขออนุญาตกับเจ้าของภาพและเรื่องด้วย
Create Date : 20 มิถุนายน 2553 | | |
Last Update : 20 มิถุนายน 2553 6:08:37 น. |
Counter : 3594 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
จันทกุมารชาดก - ขันติบารมี
เมื่อพระบรมศาสดาประทับอยู่ ณ เขาคิชฌกูฏ แขวงกรุงราชคฤห์ ภิกษุทั้งหลายประชุมสนทนากันถึงเรื่องพระเทวทัตพยายามที่จะทำลายชีวิตชนเป็นอันมาก แต่ชนเหล่านั้นรอดชีวิตได้ด้วยพุทธบารมี พระพุทธองค์ทรงทราบเรื่องราวที่สนทนาด้วยทิพโสต จึงเสด็จมายังโรงธรรมสภา ตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ท่านนั่งประชุมกันบัดนี้ด้วยเรื่องอะไรหนอ ครั้นเมื่อภิกษุทั้งหลายทูลตอบว่าด้วยเรื่องนี้ แล้วตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระเทวทัตมิใช่แต่ในบัดนี้ ถึงในปางก่อนก็ได้พยายามที่จะฆ่าชนเป็นอันมาก อาศัยเราผู้เดียว เพราะจิตมีเวรในเรา ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลขอให้แสดงอดีตนิทาน ความโดยสังเขปมีว่า
กาลก่อนเมื่อกรุงพาราณสียังมีชื่อว่าบุปผาวดี พระเจ้าเอกราชาได้เสวยราชสมบัติในเมืองนั้นทรงตั้งพระราชโอรสจันทกุมารไว้ในที่พระมหาอุปราช มีพราหมณ์กัณฑหาลเป็นปุโรหิตทำหน้าที่ตัดสินอรรถคดีต่างๆ พราหมณ์กัณฑหาลมีความโลภ รับสินบนตัดสินคดีความอย่างไม่เป็นธรรม ส่วนพระมหาอุปราชนั้นเป็นพระโพธิสัตว์ มีพระทัยตั้งอยู่ในความสุจริตยุติธรรม เป็นที่รักใคร่สรรเสริญของมหาชน ความทราบถึงพระเจ้าเอกราชาจึงทรงมอบหน้าที่พิจารณาตัดสินคดีความทั้งหมดให้แก่จันทกุมารเพียงผู้เดียว พราหมณ์กัณฑหาลเสียประโยชน์ที่เคยได้รับก็โกรธแค้น พยายามหาเหตุที่จะกำจัดพระมหาอุปราชอยู่มิได้ขาด
ราตรีหนึ่งพระเจ้าเอกราชาทรงพระสุบินว่าได้ทอดพระเนตรเห็นสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ครั้นบรรทมตื่นก็มีพระประสงค์จะได้เสด็จไปอยู่ในภพนั้นทั้งที่ยังดำรงพระชนม์ รับสั่งให้พราหมณ์กัณฑหาลทำนายพระสุบินนิมิต พราหมณ์กัณฑหาลเห็นโอกาสที่จะกำจัดพระจันทกุมารก็กราบทูลว่า แม้พระองค์มีพระประสงค์จะเสวยทิพยสูรในดาวดึงส์ภพ ต้องประกอบพิธีบูชายัญด้วยบุคคลอันเป็นที่รักยิ่งได้แก่ พระราชบุตร พระราชธิดา พระมเหสี เศรษฐี ราษฎร์ โคอสุภราช ม้ามโนมัยและสัตว์อื่นๆ อย่างละ ๔ ชีวิต บรรดาพระราชาผู้ทรงบูชายัญ เมื่อได้บั่นศีรษะแห่งสัตว์ทั้งหลาย มีพระราชบุตรเป็นต้นเหล่านั้นด้วยพระขรรค์ รองโลหิตที่ไหลจากคอด้วยถาดทองคำ ซัดลงในหลุมยัญแล้ว ย่อมเสด็จสู่เทวโลกทั้งพระสรีรกายอันนี้ทีเดียว
พระเจ้าเอกราชาทรงหลงเชื่อคำกราบทูลยุยง จึงให้เตรียมการขุดหลุมเพลิงใหญ่สำหรับบูชายัญขึ้นภายนอกพระนคร มหาชนทั้งหลายต่างหวาดหวั่นต่อพิธีอันน่าสะพรึงกลัวครั้งนั้น ความทราบถึงพระมหาอุปราชจันทกุมารและพระญาติวงศ์ ต่างพากันกราบทูลอ้อนวอนขอให้พระเจ้าเอกราชาทรงเลิกล้มความตั้งพระทัย ทั้งทูลถึงผลบาปที่จะเกิดจากการทำลายชีวิตผู้อื่นซึ่งจะไม่ส่งผลให้พระองค์ได้ขึ้นสวรรค์ทั้งเป็นดังที่พราหมณ์กัณฑหาลกราบทูล พระมหาอุปราชทรงตระหนักดีว่ามรณะภัยที่จะเกิดขึ้นแก่พระญาติและชีวิตอื่นๆ ครั้งนี้เป็นเพราะพราหมณ์กัณฑหาลต้องการกำจัดพระองค์เพียงผู้เดียว จึงกราบทูลพระราชบิดาขอให้ยกพระองค์ให้แก่พราหมณ์กัณฑหาลเพื่อแลกกับชีวิตอื่นๆ แต่พระเจ้าเอกราชาก็ทรงตั้งพระทัยแน่วแน่ที่จะประกอบพิธีบูชายัญต่อไป
ครั้นถึงวันกำหนด พระโพธิสัตว์ พระญาติพระวงศ์ คหบดีและสัตว์เป็นจำนวนมากก็ถูกนำไปยังบริเวณหลุมเพลิงพิธีบูชายัญ กรรมทุกประการในหลุมยัญทั้งหลายก็สำเร็จลง อำมาตย์ทั้งหลายนำพระราชบุตรมาแล้วให้ก้มพระศอลงนั่งอยู่ กัณฑหาลพราหมณ์น้อมถาดทองคำเข้าไปใกล้ แล้วหยิบดาบมาถือ ยืนอยู่ด้วยจำนงว่า เราจักตัดพระศอพระราชกุมาร พระนางจันทาเทวี ชายาของพระโพธิสัตว์เห็นดังนั้นคำนึงว่า ที่พึ่งอื่นของเราไม่มี เราจักกระทำความสวัสดีของพระสามีด้วยกำลังความสัตย์ของเรา จึ่งประคองอัญชลีดำเนินไประหว่างแห่งที่ชุมนุมแล้วทรงทำสัจกิริยา ขอให้เทพดาช่วยคุ้มครองให้พระสามีรอดพ้นจากอันตราย
(ท้าวสักกเทวราชทำลายพิธีบูชายัญ มหาชนเกิดโกลาหลวุ่นวาย ประหารพราหมณ์กันฑหาล)
ลำดับนั้นท้าวสักกเทวราชผู้เป็นราชาแห่งเทวดาสดับเสียงคร่ำครวญของพระนางจันทา ทรงทราบเรื่องราวแล้ว ในทันใดนั้นเทียวฉวยค้อนเหล็กอันโพลงแล้ว เสด็จมาขู่พระราชาให้ปล่อยชนเหล่านั้นทั้งสิ้น ท้าวสักกเทวราชทรงประกาศว่า หากพระเจ้าเอกราชายังดื้อดึงจะทำพิธีบูชายัญอยู่อีกจะปลงพระชนม์เสียในวันนี้ การกระทำทั้งนี้เกิดจากความโลภอยากได้สมบัติในสวรรค์โดยมิได้คำนึงถึงความทุกข์ของผู้อื่นนับเป็นบาปอย่างยิ่ง ขณะนั้นมหาชนที่มาชุมนุมกันอยู่ก็เกิดวุ่นวายโกลาหล ใช้ก้อนดินทุ่มประหารพราหมณ์กัณฑหาลเสียในที่นั้น แล้วขับไล่พระเจ้าเอกราชาออกจากราชสมบัติ ประกาศให้เป็นคนจัณฑาล บังคับให้ไปอยู่นอกเมือง และอภิเษกพระมหาอุปราจันทกุมารสืบราชสมบัติต่อไป
เมื่อจบเรื่องจันทกุมารแล้ว พระบรมศาสดาทรงประกาศอริยสัจ ๔ และตรัสประชุมชาดกว่า พราหมณ์กัณฑหาลได้มาเป็นพระเทวทัต พระนางจันทาเทวีเป็นพระนางพิมพา ท้าวสักกเทวราชเป็นพระอนุรุทธ และพระจันทกุมารเป็นองค์สัมมาสัมพุทธเจ้า
ที่มา ภาพและเรื่องสำเนาและคัดลอกจากหนังสือชาดกและพุทธประวัติจากตู้ลายรดน้ำ จัดพิมพ์เป็นหนังสือที่ระลึกเฉลิมพระเกียรติในโอกาสมหามงคลงานฉลองสิริราชสมบัติครบ ๖๐ ปี พุทธศักราช ๒๕๔๙ โดย คณะกรรมการฝ่ายประมวลเอกสารและจดหมายเหตุ ในคณะกรรมการอำนวยการจัดงานฉลองสิริราชสมบัติครบ ๖๐ ปี พุทธศักราช ๒๕๔๙ พิมพ์ที่ บริษัท รุ่งศิลป์การพิมพ์ (๑๙๗๗) จำกัด
หมายเหตุ สำเนาภาพและบทความในเรื่อง ได้ถูกคัดลอกมาเผยแพร่ด้วยเจตนาจะมุ่งให้เห็นความประณีต วิจิตรบรรจง อันเกิดจากแรงศรัทธาในพระศาสนาของจิตรกรรุ่นบรรพชนผู้สร้าง ซึ่งสร้างตู้ลายพระธรรมรดน้ำเป็นพุทธบูชา เพื่อเก็บรักษาคัมภีร์ทางพุทธศาสนา ผู้ประสงค์จะนำภาพหรือบทความไปใช้เชิงพาณิชย์ กรุณาตรวจสอบและขออนุญาตกับเจ้าของภาพและเรื่องด้วย
Create Date : 13 มิถุนายน 2553 | | |
Last Update : 13 มิถุนายน 2553 5:59:38 น. |
Counter : 2404 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
ภูริทัตชาดก - ศีลบารมี
เมื่อพระบรมศาสดาประทับอยู่ ณ พระเชตวันวิหาร เมืองสาวัตถี วันหนึ่งอุบาสกทั้งหลายอธิษฐานอุโบสถศีลแล้วพากันไปเฝ้าพระบรมศาสดายังโรงธรรมสภา มีพุทธดำรัสถึงบุพจริยาที่ทรงสมาทานอุโบสถศีลในกาลเมื่อเสวยพระชาติเป็นนาคภูริทัต ความโดยสังเขปว่า
ในอดีตกาลพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ ณ กรุงพาราณสี ทรงระแวงว่าพระราชบุตรจะชิงเอาราชสมบัติ จึงตรัสสั่งให้ไปอยู่เสียนอกพระนครจนกว่าพระองค์จะสิ้นอายุขัย พระราชบุตรก็ถวายบังคมลาไปถือเพศบรรพชิตอยู่ที่บรรณศาลาริมฝั่งแม่น้ำยมุนา ต่อมามีนางนาคมาณวิกาผู้หนึ่ง สามีตายแต่ยังสาว จากนาคพิภพมาคอยปรนนิบัติพระราชบุตรจนได้นางเป็นชายา ก็ประสูติโอรสทรงนามว่าสาครทัต กับธิดาอีกองค์หนึ่งทรงนามว่าสมุททชา เมื่อพระเจ้าพรหมทัตสิ้นพระชนม์แล้ว เหล่าอำมาตย์จึงออกไปทูลเชิญพระราชบุตรกลับมาครองราชสมบัติ ฝ่ายชายาที่เป็นนางนาคมาณวิกาไม่ประสงค์ที่จะเข้าไปอยู่ในพระนครด้วยเพราะเกรงว่าวิสัยนาคเมื่อเกิดโทสะแล้วย่อมเป็นภัยต่อมนุษย์ จึงขอกลับไปยังนาคพิภพ
กาลต่อมานางสมุททชาได้เป็นมเหสีของท้าวธตรฐ ราชาแห่งนาคในกรุงบาดาลและมีโอรส ๔ องค์คือ สุทัสนะ ทัตตะ สุโภคะ และกาณาริฏฐะ ท้าวธตรฐทรงจัดการให้โอรสทั้งสี่ ครองนาคพิภพเป็นส่วนๆ ในบรรดาโอรสทั้งหมด ทัตตะเป็นผู้มีปัญญาเฉลียวฉลาดที่สุด จึงได้นามว่า ภูริทัตตะ หรือ ภูริทัต
พระโพธิสัตว์ภูริทัตปรารถนาจะได้อุบัติในเทวโลก จึงปฏิบัติอุโบสถศีลอย่างเคร่งครัดและได้ขึ้นมาสมาทานบนแดนมนุษย์ที่จอมปลวกริมฝั่งแม่น้ำยมุนา เนรมิตร่างเป็นนาคราช มีกายสีขาวขนาดเท่างอนไถ เมื่อที่ภูริทัตขึ้นมายังแดนมนุษย์นั้น ยามรุ่งอรุณของทุกวันนางนาคทั้งหลายจะพากันมาปรนนิบัติแล้วเชิญพระภูริทัตกลับไปยังนาคพิภพเสมอมา
เช้าวันหนึ่ง ขณะที่นางนาคทั้งหลายกำลังปรนนิบัติพระโพธิสัตว์อยู่ มีพราหมณ์เนสาทกับบุตรชื่อโสมทัตออกล่าสัตว์มาถึงฝั่งแม่น้ำยมุนา พบพระโพธิสัตว์ซึ่งเนรมิตร่างเป็นมนุษย์อยู่ก็เข้าไต่ถาม ภูริทัตตั้งมั่นในอุโบสถศีลจึงเล่าความจริงให้ทราบทุกประการแล้วดำริว่า พราหมณ์เนสาทผู้นี้ต่อไปจะเป็นอันตรายแก่การสมาทานศีลของพระองค์ จึงชวนพราหมรณ์กับบุตรให้ลงไปยังนาคพิภพ เลี้ยงดูอย่างสุขสำราญด้วยสมบัติทิพย์ เมื่อทั้งสองจะเดินทางกลับก็ให้ทรัพย์สินติดตัวมา และรับสั่งว่าหากเมื่อใดมีความเดือดร้อนก็ให้ไปเฝ้าจะช่วยเหลืออีก
(เหล่านางนาคมาณวิภาบริวารพากันหลบหนีไปเมื่อพราหมณ์อาลัมพายน์ร่ายมนตร์จับพระโพธิสัตว์)
อยู่มาพราหมณ์เนสาทได้รู้จักกับพราหมณ์อาลัมพายน์ซึ่งเป็นผู้รู้มนตร์จับนาค พราหมณ์อาลัมพายน์เก็บดวงแก้วสารพัดนึกที่พวกนาคลืมทิ้งไว้ริมหาดทราย แต่ไม่ทราบคุณวิเศษของดวงแก้วนั้น ถือติดมือมาด้วย พอดีพราหมณ์อาลัมพายน์ประสงค์จะได้นาคใหญ่ พราหมณ์เนสาทรู้คุณวิเศษของดวงแก้วนั้นก็มีความต้องการ จึงบอกพราหมณ์อาลัมพายน์ถึงสถานที่จำศีลของนาคภูริทัตเป็นการแลกเปลี่ยน โสมทัตผู้บุตรไม่เห็นด้วยกับการกระทำที่อกตัญญุของบิดา จึงตำหนิและปลีกตัวไปบวชเป็นฤาษี พราหมณ์อาลัมพายน์เดินทางไปตามที่พราหมณ์เนสาทบอกจนได้พบพระโพธิสัตว์ ก็ร่ายมนตร์และกรอกยาล้างพิษนาค นำใส่ภาชนะบังคับให้แสดงฤทธิ์ต่างๆ ตามคำสั่ง พระโพธิสัตว์สู้ระงับความโกรธไม่ทำอันตรายด้วยเกรงว่าอุโบสถศีลจะด่างพร้อย
(พระเจ้าพาราณสีทอดพระเนตรการแสดงนาคของพราหมณ์อาลัมพายน์)
ฝ่ายทางนาคพิภพเมื่อพระโพธิสัตว์หายไปนานผิดสังเกตุก็พากันออกติดตาม สุทัสนะผู้เป็นพี่กับนางอัจจิมุขีกนิษฐาต่างมารดาของภูริทัตออกตามหาบนแดนมนุษย์ สุทัสนะเนรมิตรูปเป็นดาบส ส่วนนางอัจจิมุขีแปลงเป็นเขียดน้อยนอนอยู่ในมุ่นมวยชฎาของดาบส พบพระโพธิสัตว์ตกอยู่ใต้อำนาจของพราหมณ์อาลัมพายน์ ขณะที่กำลังนำนาคภูริทัตไปแสดงหน้าพระที่นั่งถวายพระเจ้าพาราณสีทอดพระเนตร ดาบสแปลงเข้าไปดูการแสดงของนาคด้วย ได้กล่าวสบประมาทว่า นาคของพราหมณ์อาลัมพายน์มีฤทธิ์ไม่เท่าเขียดน้อยของตน ทำให้พราหมณ์อาลัมพายน์โกรธและท้าประลองกันขึ้น พระเจ้าพาราณสีรับสั่งให้จัดสถานที่ประลองฤทธิ์ระหว่างนาคกับเขียดน้อยที่สนามหน้าพระลาน ดาบสแปลงให้เขียดน้อยพ่นพิษออกมาเพียง ๓ หยด พราหมณ์อาลัมพายน์ต้องไอพิษ ทำให้ผิวหนังลอกกลายเป็นโรคเรื้อน นาคภูริทัตก็ปรากฏร่างเป็นมนุษย์แล้วสุทัสนะก็กราบทูลพระเจ้าพาราณสีว่า ตนและภูริทัตเป็นโอรสของนางสมุททชาผู้เป็นกนิษฐาของพระเจ้าพาราณสีนั่นเอง ต่อมาภูริทัตก็พาพระมารดาขึ้นมาพบกับพระเจ้าพาราณสีที่ริมฝั่งแม่น้ำยมุนา จากนั้นพระโพธิสัตว์ก็ทรงบำเพ็ญอุโบสถศีลต่อไปในสำนักของพระเจ้าพาราณสีโดยไม่มีผู้ใดรบกวน
เมื่อจบเรื่องภูริทัตแล้ว พระบรมศาสดาตรัสประชุมชาดกว่า มารดาบิดาของพระภูริทัตในครั้งนั้นได้มาเป็นศากยมหาราชตระกูล พราหมณ์เนสาทมาเป็นเทวทัต โสมทัตมาเป็นพระอานนท์ นางอัจจิมุขีมาเป็นนางอุบลวัณณา สุทัสนะมาเป็นพระสารีบุตร สุโภคะมาเป็นพระโมคคัลลานะ กาณาริฏฐะมาเป็นสุนักขัตตลิจฉวี ภูริทัตเป็นเราผู้รู้รอบด้วยตนเอง
ที่มา ภาพและเรื่องสำเนาและคัดลอกจากหนังสือชาดกและพุทธประวัติจากตู้ลายรดน้ำ จัดพิมพ์เป็นหนังสือที่ระลึกเฉลิมพระเกียรติในโอกาสมหามงคลงานฉลองสิริราชสมบัติครบ ๖๐ ปี พุทธศักราช ๒๕๔๙ โดย คณะกรรมการฝ่ายประมวลเอกสารและจดหมายเหตุ ในคณะกรรมการอำนวยการจัดงานฉลองสิริราชสมบัติครบ ๖๐ ปี พุทธศักราช ๒๕๔๙ พิมพ์ที่ บริษัท รุ่งศิลป์การพิมพ์ (๑๙๗๗) จำกัด
หมายเหตุ สำเนาภาพและบทความในเรื่อง ได้ถูกคัดลอกมาเผยแพร่ด้วยเจตนาจะมุ่งให้เห็นความประณีต วิจิตรบรรจง อันเกิดจากแรงศรัทธาในพระศาสนาของจิตรกรรุ่นบรรพชนผู้สร้าง ซึ่งสร้างตู้ลายพระธรรมรดน้ำเป็นพุทธบูชา เพื่อเก็บรักษาคัมภีร์ทางพุทธศาสนา ผู้ประสงค์จะนำภาพหรือบทความไปใช้เชิงพาณิชย์ กรุณาตรวจสอบและขออนุญาตกับเจ้าของภาพและเรื่องด้วย
Create Date : 06 มิถุนายน 2553 | | |
Last Update : 6 มิถุนายน 2553 6:07:22 น. |
Counter : 5964 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
เนมิราชชาดก - อธิษฐานบารมี
เมื่อพระบรมศาสดาประทับอยู่ ณ อัมพวันอุทยาน (สวนมะม่วง) กรุงมิถิลา เย็นวันหนึ่งเสด็จจาริกพร้อมด้วยพระสาวก ทอดพระเนตรรมณียสถานในอุทยานแห่งนั้น ทรงใคร่จะตรัสเรื่องในอดีตชาติของพระองค์ จึงทรงแย้มพระโอษฐ์ พระอานนท์กราบทูลถามถึงเหตุที่ทรงแย้มพระโอษฐ์ จึงมีพุทธดำรัสว่า ดูก่อนอานนท์ ภูมิประเทศนี้เราเคยอาศัยอยู่ เจริญฌานในกาลเมื่อเราเสวยพระชาติเป็นมฆเทวราชา ตรัสเพียงนี้แล้วก็ทรงดุษณีภาพนิ่งอยู่ ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลขอให้ทรงแสดงอดีตนิทาน พระพุทธองค์จึงตรัสเรื่องเนมิราชชาดก ความโดยย่อมีดังนี้
ในกาลอันไกลโพ้น พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นพระราชานามว่ามฆเทวราชเป็นบรมกษัตริย์ครองพระนครมิถิลา แคว้นวิเทหะ วันหนึ่งทรงสังเกตุเห็นพระเกศาเส้นหนึ่งหงอกขาว ทรงปลงธรรมสังเวชในความไม่เที่ยงของสังขาร จึงมอบราชสมบัติให้พระราชโอรสแล้วพระองค์ก็ออกผนวชเป็นฤาษี ครั้นดับสังขารก็ได้ไปบังเกิดในพรหมโลก กษัตริย์ที่สืบราชสมบัติต่อๆ มาก็ทรงประพฤติเช่นเดียวกับพระองค์สืบมาเกือบถึง ๘๔,๐๐๐ องค์ หย่อนอยู่ ๒ องค์ (คือ ๘๓,๙๙๘ องค์) พระเจ้ามฑเทวราชซึ่งทรงไปบังเกิดในพรหมโลกนั้น เมื่อสิ้นอายุขัยก็ลงมาอุบัติในพระครรภ์ของพระอัครมเหสีแห่งกรุงมิถิลาอีก พระราชบิดาทรงตั้งพระนามพระราชโอรสว่า เนมิกุมาร
พระโพธิสัตว์ทรงยินดีในการบำเพ็ญทานรักษาศีลตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ ตราบจนพระราชบิดาทอดพระเนตรเห็นพระเกศาเส้นหนึ่งหงอกก็ทรงมอบราชสมบัติให้พระราชโอรสแล้วออกผนวชบำเพ็ญเพียรอยู่ในพระราชอุทยาน เมื่อเนมิราชกุมารได้ครองพระนครมิถิลาแล้ว ทรงแสดงธรรมสั่งสอนชาวพระนครให้ตั้งอยู่ในการบำเพ็ญทานรักษาศีล ครั้นชาวพระนครเหล่านั้นสิ้นชีวิต ก็ได้ไปบังเกิดในสวรรค์ เทพโลกเต็มไปด้วยเทพยเจ้า นรกปรากฏดุจว่างเปล่า ครั้งนั้นเทพยดาในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ได้ประชุมกันสรรเสริญพระคุณของพระเจ้าเนมิราชว่า เป็นอาจารย์ของพวกเรา เราทั้งหลายอาศัยพระองค์จึงได้เสวยทิพยสมบัติ จึงเทพยดาเหล่านั้นพากันไปทูลท้าวสักกเทวราชว่าปรารถนาจะได้เห็นพระเจ้าเนมิราชและสดับธรรมจากพระโอษฐ์ของพระองค์ ท้าวสักกเทวราชจึงมีเทวบัญชาให้พระมาตลีเทพบุตรนำเวชยันตรถไปทูลเชิญเสด็จพระเจ้าเนมิราชมายังดาวดึงส์พิภพ
(ท้าวสักกเทวราชให้พระมาตลีเทพบุตรนำเวชยันตรถทูลเชิญเสด็จพระเจ้าเนมิราชไปยังดาวดึงส์พิภพ)
ขณะที่พระเจ้าเนมิราชทรงรักษาอุโบสถศีลท่ามกลางเหล่าข้าราชบริพารในคืนเดือนเพ็ญ ทรงเปิดสีหบัญชรด้านตะวันออก พระมาตลีเทวบุตรก็นำเวชยันตรถอันมีรัศมีโชติช่วงปรากฏขึ้นเบื้องหน้าสีหบัญชรทูลเชิญให้เสด็จไปโปรดเทพยาดา ความในนิบาตชาดกว่า
ตโต ราชา ตรมาโน เวเทโห มิถิลคฺคโห อาสนา วุฏฺฐหิตวาน ปมุโข รถามารุหิ อภรุฬฺหํ รถ ทิพฺพํ มาตลิ เอตฺถ พฺรวิ เกน ตํ เนมิ มคฺเคน ราชเสฏฺฐ ทิสมฺปติ เยน วา ปาปกมฺมนฺตา ปุญฺญกมฺมา จ เยน วา ฯ
ความว่า แต่นั้นพระราชามิถิลานาถวิเทหรัฐประมุข ด่วนเสด็จลุกจากราชอาสน์ขึ้นสู่เวชยันตทิพยรถ มาตลีเทพสารถีได้ทูลถามพระองค์ผู้ขึ้นสู่ทิพยรถว่า ข้าแต่พระราชาผู้ประเสริฐ ผู้ทิสัมบดี ทางไปสถานที่อยู่ของเหล่าสัตว์ผู้ทำบาปทางหนึ่ง ทางไปสถานที่อยู่ของเหล่าสัตว์ผู้ทำบุญทางหนึ่ง จะโปรดให้ข้าพระเจ้านำเสด็จไปทางไหน ฯ
(พระเจ้าเนมิราชตรัสให้พระมาตลีเทพบุตรนำพระองค์ไปทางภูมินรกก่อน)
พระเจ้าเนมิราชทรงขอให้พระมาตลีเทพบุตรนำพระองค์ผ่านไปทางแดนอันเป็นที่อยู่ของเหล่าสัตว์ผู้ทำบาปก่อน ได้แก่นรกขุมต่างๆ เมื่อทอดพระเนตรก็ตรัสถามถึงบุพกรรมที่สัตว์เหล่านั้นเคยกระทำไว้ในชาติปางก่อน
ขณะนั้นท้าวสักกเทวราชรออยู่ ณ สุธรรมเทวสภาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เห็นว่าเวลาล่วงไปนานแล้วจึงตรัสใช้เทพบุตรองค์หนึ่งไปเตือนพระมาตลีให้เร่งนำพระโพธิสัตว์ไปยังเทวโลก
(พระเจ้าเนมิราชเสด็จถึงเทวโลก)
พระมาตลีขับเวชยันตรถผ่านทิพยวิมานต่างๆ อันบังเกิดด้วยอำนาจกุศลกรรมของเทพยดาผู้เป็นเจ้าของ เทพยาดาทั้งหลายต่างชื่นชมยินดี บูชาพระโพธิสัตว์ด้วยดอกไม้ทิพย์ พระเจ้าเนมิราชเสด็จถึงสุธรรมเทวสภาประทับบนทิพยบัลลังก์ ทรงแสดงธรรมประทานแก่เหล่าทวยเทพสิ้นเวลา ๗ วันในแดนมนุษย์ พระมาตลีเทวบุตรก็เชิญเสด็จกลับคืนยังพระนครมิถิลา
เมื่อพระบรมศาสดาตรัสเรื่องเนมิราชจบแล้ว ทรงประชุมชาดกกล่าวถึงการกลับชาติของบุคคลในครั้งนั้น ได้แก่ ท้าวสักกเทวราชเป็นพระอนุรุทธ มาตลีเทวบุตรเป็นพระอานนท์ พระเจ้าเนมิราชคือองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ที่มา ภาพและเรื่องสำเนาและคัดลอกจากหนังสือชาดกและพุทธประวัติจากตู้ลายรดน้ำ จัดพิมพ์เป็นหนังสือที่ระลึกเฉลิมพระเกียรติในโอกาสมหามงคลงานฉลองสิริราชสมบัติครบ ๖๐ ปี พุทธศักราช ๒๕๔๙ โดย คณะกรรมการฝ่ายประมวลเอกสารและจดหมายเหตุ ในคณะกรรมการอำนวยการจัดงานฉลองสิริราชสมบัติครบ ๖๐ ปี พุทธศักราช ๒๕๔๙ พิมพ์ที่ บริษัท รุ่งศิลป์การพิมพ์ (๑๙๗๗) จำกัด
หมายเหตุ สำเนาภาพและบทความในเรื่อง ได้ถูกคัดลอกมาเผยแพร่ด้วยเจตนาจะมุ่งให้เห็นความประณีต วิจิตรบรรจง อันเกิดจากแรงศรัทธาในพระศาสนาของจิตรกรรุ่นบรรพชนผู้สร้าง ซึ่งสร้างตู้ลายพระธรรมรดน้ำเป็นพุทธบูชา เพื่อเก็บรักษาคัมภีร์ทางพุทธศาสนา ผู้ประสงค์จะนำภาพหรือบทความไปใช้เชิงพาณิชย์ กรุณาตรวจสอบและขออนุญาตกับเจ้าของภาพและเรื่องด้วย
Create Date : 23 พฤษภาคม 2553 | | |
Last Update : 23 พฤษภาคม 2553 6:27:29 น. |
Counter : 3052 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
|
Location :
กรุงเทพฯ Thailand
[Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 10 คน [?]
|
บทความในกลุ่ม ข้อคิด-ธรรมะ ได้ถูกเรียบเรียงขึ้น โดยบางบทความได้คัดลอกและสำเนาภาพมาถ่ายทอดจากหนังสือธรรมะต่างๆ หรือหนังสืออื่นที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ด้วยเจตนาประสงค์จะให้ธรรมะอันเป็นสัจจะและมงคลของพระพุทธศาสนาได้รับการเผยแพร่และเข้าถึงพุทธศาสนิกชนหรือผู้ที่สนใจให้ได้มากที่สุด รวมทั้งให้บทความธรรมะได้ถูกรวบรวมไว้ในรูปแบบที่จะสะดวกแก่การสืบค้นและเข้าถึงในภายหลัง
ผู้ที่ประสงค์จะคัดลอกไปเพื่อประโยชน์ทางพาณิชย์ กรุณาตรวจสอบกับต้นฉบับหรือเจ้าของลิขสิทธิ์ ด้วยครับ
|
|
|
|
|
|
|
|