การเดินทางนอกจากจะทำให้จิตใจแกร่งขึ้นแล้ว...ยังช่วยบ่มเพาะความคิดให้เติบโตตามไปด้วย...
Group Blog
 
All Blogs
 

อินเดีย...เดินเดี่ยวสู่สิกขิม/โกลกาตา ตอน 7 .อนุเสาวรีย์แห่งชัยชนะ

อนุเสาวรีย์แห่งชัยชนะ

 

..................

 

                ออกจากบ้านท่านรพินทรนาถ ฐากูร เอาเกือบเที่ยง ฉันบอกลุงรถลากให้ต่อไปยังวิกตอเรียเมมโมเรียล(Victoria Memmorial) แกถามผู้คนแถบนั้นแล้วพาฉันออกไปบนถนนใหญ่ที่เสียงดังและวุ่นวายไปด้วยผู้คนกับพาหนะหลากชนิด แต่ฉันไม่รู้ว่ามันคือที่ใด ไปได้พักใหญ่แกก็หยุดลงข้างฟุตบาท เล่นเอาฉันงงๆ เพราะมองไปรอบๆก็เห็นแต่ผู้คนและรถราเต็มท้องถนนไปหมด ไม่เห็นจะมีวี่แววของสถานที่สำคัญหรือตัวอาคารวิกตอเรียเมมโมเรียลตามที่ฉันเคยเห็นในรูปภาพ

 

                คราวนี้แกไม่ปล่อยให้ฉันงงอยู่นาน แกละจากรถแล้วเดินไปยังเด็กหนุ่มสาววัยรุ่นคู่หนึ่งที่ยืนอยู่บนฟุตบาท แกคุยอยู่สักครู่ทั้งสองคนก็เดินตามแกมาที่ฉันขณะที่ฉันยังนั่งรออยู่บนรถ หนุ่มน้อยถามฉันเป็นภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่วว่า ฉันต้องการจะไปไหน ฉันจึงตอบเขาไป เขาบอกว่า

 

                      “ วิกตอเรียเมมโมเรียล อยู่ไกลจากที่นี่มาก คุณสามารถนั่งรถใต้ดินไปได้โดยใช้เวลาไม่นาน”  เขาบอกพร้อมชี้ไปยังช่องทางเดินลงไปใต้ดินซึ่งอยู่บนฟุตบาทห่างไปไม่กี่ก้าว ฉันลงจากรถแต่ก็ยังงงๆอยู่รีบถามต่อว่า

 

                     “ใช้เวลานานเท่าไหร่ ?แล้วฉันจะรู้ได้อย่างไรว่าถึงที่นั่นแล้วใบหน้าฉันคงส่อแววยุ่งยากให้เขาเห็นพอควร กอปรกับคงเป็นความโชคดีของฉันด้วย เพราะเขาบอกต่อว่า

 

                     “เดี๋ยวคุณไปกับเพื่อนผมก็ได้ เธอจะบอกคุณเองว่าถึงเมื่อไหร่” ว่าแล้วเขาก็หันไปยังเพื่อนสาวเป็นเชิงไหว้วาน แต่เพื่อนสาวของเขาดูจะยังงงๆอยู่แกมไม่พอใจเล็กน้อยด้วยเธอคงอยู่ในสถานะจำยอมหรือตกกระไดพลอยโจนเพราะยังไม่ได้ตกลงกันไว้ก่อน อย่างไรก็ตาม หนุ่มน้อยก็น่ารักใจหายเขารีบหันไปพูดเชิงขอร้องเธออีกครั้งพร้อมกับท่าทีที่ให้กำลังใจเธอเต็มที่ เพื่อนสาวจึงมีท่าทีอ่อนลงและดูดีขึ้นทันที ฉันรีบขอบคุณเขาทั้งสองและไม่ลืมที่จะจ่ายเงินให้ลุงรถลากที่ยืนพยักหน้าลุ้นอยู่อย่างใจจดใจจ่อ

 

                 ฉันตัดสินใจส่งเงินแบงค์ร้อยรูปีให้ไปแบบลองเชิงดูก่อน แกไม่รับและมีสีหน้าไม่ค่อยพอใจนัก ฉันเลยควักให้แกเพิ่มไปอีกห้าสิบรูปี คราวนี้แกยื่นมือมารับด้วยสีหน้าที่ดีขึ้น ฉันไม่มีเวลามากพอที่จะต่อรองอะไรทั้งสิ้น แต่ดูแล้วก็น่าจะยุติธรรมดี

 

                 หลังจากหนุ่มสาวโบกมือลากันแล้ว ฉันก็ตามติดสาวน้อยลงบันไดไปยังสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินทันที เธอมีอาการดีขึ้นแต่ไม่ช่างพูด ฉันถามเธอว่าประมาณกี่นาทีจะถึงวิกตอเรียเมมโมเรียล เธอตอบไม่เกินสิบห้านาที

 

                ในรถไต้ดินแออัดไปด้วยผู้คนเราจึงไม่ถนัดที่จะคุยกัน ฉันได้แต่ส่งยิ้มให้เธอด้วยความขอบคุณ ช่วงเวลาสั้นๆฉันอดนึกไปถึงวันเวลาที่ฉันอยู่ในรถไฟใต้ดินที่ปักกิ่งไม่ได้ โดดเดี่ยวท่ามกลางคนแปลกหน้าเช่นเดียวกับวันนี้  แต่มีสิ่งหนึ่งที่แตกต่างกันมากระหว่างวันนั้นกับวันนี้ก็คือสีผิวและหน้าตาของคนแปลกหน้าที่ล้อมรอบตัวฉัน เพราะทั้งสองเผ่าพันธุ์นั้นช่างต่างกันเหมือนอยู่คนละฟากโลก ยิ่งกว่านั้นมาวันนี้ฉันได้รับน้ำใจจากคนแปลกหน้าเป็นอย่างดี แต่วันนั้นผู้คนไม่ค่อยจะใส่ใจกันและกันเท่าไรนัก  ฉันมอบคำขอบคุณให้สาวน้อยอีกครั้งก่อนลาและออกจากรถไฟใต้ดินแล้วเดินตามผู้คนไปยังช่องทางออก  

 

                 ระหว่างทางเดินได้รับน้ำใจจากสาวน้อยคนใหม่ช่วยบอกเส้นทางที่จะเดินไปยังวิคตอเรียเมมโมเรียลซึ่งอยู่ไม่ไกล  ก่อนจากกันฉันอวยพรให้เธอโชคดีในการสอบสัมภาษณ์เพื่อเข้าทำงานในที่ทำงานแห่งใหม่ในช่วงบ่ายวันนี้  เธอหัวเราะอย่างร่าเริงพร้อมตอบขอบคุณ  เธอทำให้ฉันนึกถึงวันแรกที่ฉันต้องไปสอบสัมภาษณ์เพื่อเข้าทำงาน มันผ่านมาเนิ่นนานแล้วแต่วันนี้ฉันกลับรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะได้ไปสอบเช่นเดียวกับเธอ ฉันค่อนข้างจะมั่นใจว่าเธอต้องผ่านการสอบอย่างแน่นอน เพราะเธอดูเป็นสาวน้อยที่สดใส น่ารัก เปิดเผยและมีความมั่นใจในตัวเอง ฉันจากเธอด้วยความรู้สึกที่ดี แม้เราจะได้พูดคุยกันแค่ช่วงเวลาของการเดินไม่เกินร้อยห้าสิบก้าว แต่เธอกลับทำให้ฉันนึกถึงเธอได้จนถึงวันนี้

 

                ฉันเดินมาถึงหน้าพลาเนททาเรี่ยม (planetarium)หรือท้องฟ้าจำลอง ก่อนที่จะไปถึงวิคตอเรียเมมโมเรียลซึ่งมองเห็นอยู่ห่างออกไปอีกฟากหนึ่งของถนน อาคารพลาเนททาเรี่ยมสีขาวรูปทรงครึ่งวงกลมคว่ำที่อยู่เหนืออาคารมีขนาดค่อนข้างเล็กเมื่อเทียบกับท้องฟ้าจำลองของไทย แต่ชวนให้อยากเดินเข้าไปสำรวจดูและคงจะดีหากได้เข้าชมแต่นึกถึงเวลาแล้วคงไม่อำนวย ถ้ารอเข้าชมรอบต่อไปคงไปขึ้นรถไฟไม่ทันแน่ เลยต้องเดินผ่านต่อไปยังวิคตอเรียเมมโมเรียลที่มองเห็นอยู่เบื้องหน้าไม่ไกล

 

                 อาคารใหญ่โตทำด้วยหินอ่อนสีขาวหลังคาทรงโดมสไตล์วิคตอเรียลซึ่งจำลองมาจากประเทศอังกฤษ บางคนบอกว่านี่คืออนุสาวรีย์แห่งชัยชนะของอังกฤษที่มีต่ออินเดีย 

             มองจากระยะไกลนอกรั้วโปร่งตัวอาคารดูโดดเด่นอยู่กลางพื้นที่กว้างใหญ่ ล้อมด้วยสระน้ำขนาดเขื่องที่แสดงขอบเขตของสถานที่อันรโหฐานอีกชั้นหนึ่ง  เดินมาถึงประตูทางเข้าด้านหนึ่งรู้สึกเหนื่อยเอาการ  มองจากระยะไกลเห็นรูปปั้นพระนางวิคตอเรียชนิดคุ้นๆเหมือนจะเป็นบล็อกเดียวกับที่อยู่หน้าอาคารสถานทูตอังกฤษในกรุงเทพฯ

 

                 ระยะทางจากประตูรั้วไปสู่ตัวอาคารที่ไกลมากพอสมควร ประกอบกับความเหนื่อยและเวลาที่เหลือน้อยลง ทำให้ฉันต้องตัดสินใจแค่ชมอยู่ภายนอก เพราะเกรงจะกลับไปไม่ทันรถไฟ ไม่ทราบว่าที่นี่ไกลจากสถานีรถไฟเพียงใด และขากลับการจราจรจะติดขัดแค่ไหน หากเข้าชมคงเสียเวลาไม่น้อยกว่าชั่วโมง หรือมากกว่านั้น เพราะอาคารนี้ที่ทราบมา ปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์ที่แสดงหลักฐาน ความเป็นมาเกี่ยวกับการเข้ามาปกครองแผ่นดินอินเดียของคนอังกฤษ  เช่น มีรูปปั้นของบุคคลสำคัญ  อาวุธ  แผนที่เก่าๆ  อีกทั้ง ภาพเขียน หรือแม้แต่ เหรียญเงิน และ แสตมป์ เก่าๆ ฯลฯ ซึ่งมีอยู่จำนวนมากเหมือนเช่นพิพิธภัณฑ์ทั่วไป นอกจากนั้น ยังมีผลงานภาพเขียนชั้นเยี่ยมของจิตรกรดังอยู่ในทั้งแกลเลอรี่ภาพของพระนางวิกตอเรีย และผู้นำของประเทศอินเดีย

 

                 ฉันใช้เวลาถ่ายภาพจากนอกรั้วในมุมต่างๆของอาคารพักใหญ่ แล้วจึงเดินต่อไปยังสวนสาธารณะที่อยู่ไม่ห่างกันสักเท่าไร ซื้อของแถวหน้าสวนสาธารณะมากินเล่นๆแทนมื้อกลางวันพอแก้หิวไปก่อนกะว่าจะไปกินมื้อใหญ่ตอนเย็นก่อนขึ้นรถไฟที่สถานี  

 

                 ใต้ร่มไม้ใหญ่หน้าสวนสาธารณะ ลมพัดเอื่อยๆพอเย็นสบายชวนให้เคลิ้มอยากจะหลับ แต่เวลานี้ผู้คนมากมายที่เข้าแถวไหลเข้าไปในสวนสาธารณะน่าสนใจกว่า เพราะหน้าตา ผิวพรรณ การแต่งตัว และอากัปกริยาของพวกเขาดูแปลกและน่าจดจำสำหรับฉัน เขาเหล่านี้ออกจะมีลักษณะเหมือนชาวบ้านจากชนบท หรือชนชั้นที่ด้อยในสังคมและที่น่าขำกว่านั้นฉันเองก็คงเป็นอะไรที่แปลกประหลาดสำหรับพวกเขาเช่นกัน เพราะฉันเห็นแทบทุกคนจะมองมาที่ฉันด้วยสายตาแปลกๆปนอมยิ้มแล้วหันไปหัวเราะคิกคักกับเพื่อนๆที่มองมาที่ฉันเช่นกัน

 

                 ได้เวลาอันสมควรฉันใช้บริการแท็กซี่ที่จอดเรียงแถวรอผู้โดยสารอยู่หน้าสวนสาธารณะ เขาบอก 150 รูปี เพราะไกลมากฉันก็ขอต่อรองตามธรรมเนียมเหลือ 100 รูปี แต่พอรถเคลื่อนตัวออกได้ไม่ถึง 10 เมตรเครื่องก็ดับสตาร์ทเท่าไหร่ก็ไม่ติด เลยต้องเปลี่ยนไปคันใหม่ที่จอดอยู่ใกล้ๆ คันนี้ฉันลองแอบใช้วิชาลองเชิงชิงบอกราคาแบบผิดศีลห้าหนึ่งข้อไปก่อนว่า

 

                      “  70  รูปีนะ เท่ากับคันที่ไปไม่ได้เมื่อกี้ ” คนขับพยักหน้ารับทันทีด้วยความพอใจ .....  

         

            ‘ฮ้า...นี่มันคืออะไร....ทำไมมันดูง่ายดายฉะนี้!! .....ใครโดนใครหลอกกันแน่หว่า...’            

 

                         ..................                             

  

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 




 

Create Date : 30 มีนาคม 2555    
Last Update : 9 ตุลาคม 2555 17:24:14 น.
Counter : 697 Pageviews.  

อินเดีย...เดินเดี่ยวสู่สิกขิม/โกลกาตา ตอน 6. บรรลุสัญญาใจ

บรรลุสัญญาใจ

 

......................

 

                ออกจากมัสยิดจุดต่อไปคือบ้านเกิดท่านรพินทรนาถ ฐากูร บุคคลท่านนี้เป็นทั้งกวี นักคิด นักเขียน   นักปราชญ์ หรือแม้แต่จิตรกรท่านก็เป็นได้ดี โดยเฉพาะการเป็นนักการทูต ท่านเป็นได้อย่างเฉียบขาด การไปบ้านเกิดท่านครั้งนี้จึงนับเป็นความตั้งใจและใฝ่ฝันของฉันมาตั้งแต่ยังวัยเยาว์ด้วยประทับใจในงานเขียนของท่าน ซึ่งถือเป็นส่วนสำคัญอันหนึ่งที่เป็นแรงบันดาลใจให้ฉันใฝ่ฝันและอยากมาทำความรู้จักอินเดียด้วยตัวเอง  การมาครั้งนี้จึงเสมือนการมาตามสัญญาใจที่ให้ไว้กับตัวเองที่ว่าในชีวิตนี้จะต้องบุกบั่นมาอินเดียให้ได้ไม่วันใดก็วันหนึ่ง

 

                  คราวนี้เขาพาฉันผ่านซอกเล็กซอยน้อยและเลียบทางรถไฟไปเป็นระยะทางไกลพอควรสอบถามผู้คนบ้างแต่ก็ไม่เป็นไรอภัยกันได้  ถึงทางแยกแกเลี้ยวเข้าไปในซอยแต่ไม่ลึกมาก แล้วก็เจอประตูบานใหญ่ สีน้ำตาลค่อนไปทางแดง...ที่นี่น่ะหรือ? แค่เห็นประตูทางเข้าฉันก็ขนลุกซู่แล้ว เป็นความรู้สึกที่ไม่อยากจะเชื่อว่าความฝันของเด็กตัวน้อยๆที่ไม่เคยแพร่งพรายให้ใครได้รับรู้ เพราะมันเป็นฝันที่เจ้าตัวเองก็มองไม่เห็นช่องทางที่จะเป็นจริงไปได้ รู้อย่างเดียวว่ามันซุกซ่อนอย่างมีพลังอยู่ในใจมาตลอด บัดนี้ มันเป็นจริงแล้วแม้จะเป็นจริงได้เมื่อย่างเข้าวัยเกือบปลายคนก็ตาม มันคือความสำเร็จและภาคภูมิใจที่หาใครมาร่วมรับรู้ในขณะนี้ไม่ได้เลยจริงๆ !!

 

                 ฉันเดินผ่านประตูบานใหญ่เข้าไป ขวามือเป็นสนามหญ้าขนาดหนึ่งในสามของสนามฟุตบอล ขนาบด้วยตัวอาคารทั้งสามด้าน สนามหญ้าตกแต่งด้วยไม้ดอก และไม้ใบ ดูสดชื่นสวยงามได้อย่างลงตัว ด้านหน้าของอาคารขวาง  มีรูปปั้นท่านรพินทรนาถ ฐากูร ขนาดใหญ่สีขาวดูโดดเด่น  บรรยากาศโดยรอบเงียบเชียบไม่เห็นผู้คน ฉันยืนรีรออยู่หน้าอาคารชั่วครู่ จึงหันไปมองรูปปั้นสง่างามนั้นพร้อมยกกล้องขึ้นหวังจะเก็บภาพไว้เป็นที่ระลึก แต่พลันก็ได้ยินเสียงปรามมาจากด้านหลังว่า

 

                         “ ที่นี่ห้ามถ่ายรูป.....” สุดเสียดายแต่ก็ต้องเคารพกติกาของสถานที่

 

                เป็นที่รู้กันว่าท่านรพินทรนาถ ฐากูร เป็นที่ภาคภูมิใจของชาวอินเดียทั้งประเทศ จึงไม่แปลกที่ฉันจะแอบปลื้มท่านอยู่เงียบๆคนเดียวบ้างตามประสาเด็กที่ชื่นชอบเรื่องราวที่ได้อ่านจากงานเขียนของท่าน หนังสือของท่านหลายเล่มสะท้อนชีวิตและสังคมของคนอินเดียในยุคเก่า ซึ่งทำให้เด็กที่เพิ่งริอ่านหนังสือนิยายและเรื่องสั้นอย่างฉันได้รับรู้และงุนงงกับสังคมที่แปลกออกไปอย่างมากจากสังคมไทยและโลกส่วนตัวของตัวเอง

 

                ฉันหลงใหลและประทับใจกับสิ่งแปลกใหม่ในเรื่องสั้นหลายๆเรื่องของท่าน จำได้ว่าเรื่องหนึ่งได้เรียกน้ำตาในวัยเยาว์ของฉันให้ร่วงไหลพรูลงได้อย่างไม่ขาดสายทุกครั้งที่หยิบขึ้นมาอ่านและก็คลอเบ้าได้ทุกครั้งที่นึกถึง มันเป็นเช่นนี้ไปหลายปีด้วยเพราะความสงสารเพื่อนในวัยเดียวกันซึ่งเป็นตัวเอกของเรื่อง เขาเกิดมาในครอบครัวยากจนและอยู่ในวรรณะจัณฑาล อันเป็นผลให้ชีวิตทั้งชีวิตของเขาต้องอยู่ในฐานะเสียเปรียบสังคมในทุกๆด้านด้วยเหตุผลเพียงมีชาติกำเนิดที่ต่ำต้อยนั่นเอง !!

 

                ฉันเป็นคนแรกของผู้เข้าชมและมาก่อนเวลาเปิด เลยต้องนั่งรอพักใหญ่จึงได้เวลาซื้อบัตรเข้าชมน่าเสียดายที่หลายจุดกำลังอยู่ระหว่างปรับปรุงและซ่อมแซมจึงไม่อนุญาตให้เข้าชม 

                 จากหลักฐานที่นำมาแสดงและเรื่องราวต่างๆเกี่ยวกับท่านรพินทรนาถ ฐากูร กล่าวได้ว่า ท่าน เป็นบุคคลที่มีทั้งชาติกำเนิดและฐานะที่ดีมาตั้งแต่บรรพบุรุษ แม้เวลาหลายช่วงของชีวิต ท่านจะเคยไปพำนักในต่างประเทศหรือเดินทางไปเกือบทั่วโลก แต่อาคารขวางรูปทรงเก่าแก่อย่างมีสไตล์หลังนี้ก็ยังถือได้ว่าเป็นบ้านที่ท่านได้พำนักและใช้ชีวิตอยู่ยาวนานกว่าทุกๆแห่งที่เคยไปมา

                บ้านหลังนี้ได้รับการดูแลรักษาให้คงอยู่ในสภาพเดิมๆมากที่สุด ไม่ว่าจะห้องนอน ห้องรับแขก ห้องทำงาน หรือแม้แต่ห้องครัวซึ่งภรรยาท่านเคยใช้เป็นที่ปรุงอาหาร รวมทั้งห้องน้ำที่รูปแบบของเครื่องสุขภัณฑ์เป็นตัวบ่งบอกได้เป็นอย่างดีถึงกาลเวลาว่าได้ทอดยาวมาเนิ่นนานเพียงใด

 

                หลักฐานที่แสดงในห้องต่างๆทำให้ทราบถึง ประวัติชีวิตความเป็นมาของท่านรพินทรนาถ ฐากูร รวมถึง ความมั่งคั่งของตระกูลฐากูรได้ชัดเจน และเมื่อกอปรกับสิ่งดีๆที่ท่านได้ทำไว้ให้กับคนอินเดียไม่ว่าจะเพื่ออิสรภาพหรือชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น รวมทั้ง การปลูกฝังจิตวิญญาณที่ดีให้กับเพื่อนมนุษย์บนโลกใบนี้ด้วยแล้ว  นับเป็นการตอกย้ำอีกครั้งให้ฉันรู้สึกทึ่งกับความเป็นอัจฉริยะบุคคลในทุกๆด้านของท่าน รักในความเป็นผู้ที่มีจิตใจอันสูงส่ง แม้ท่านจะเกิดในตระกูลที่ดีมีฐานะร่ำรวยแต่ท่านไม่เคยลืมบุคคลที่ตกทุกข์ได้ยาก หรือมีชาติตระกูลที่ต่ำต้อยด้อยกว่า

      

         ฉันลาจากบ้านที่เคยเฝ้าฝันถึงมาเนิ่นนานนั้น ด้วยความรู้สึกเต็มตื้นและอิ่มเอมกับสิ่งที่รอคอยมานาน เวลาที่เหลือของวันนี้ดูเหมือนจะเป็นกำไรที่ไม่มีต้นทุนที่ต้องคิดแล้ว!!     

 ......................................

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 




 

Create Date : 30 มีนาคม 2555    
Last Update : 9 มิถุนายน 2555 22:02:00 น.
Counter : 799 Pageviews.  

อินเดีย...เดินเดี่ยวสู่สิกขิม./โกลกาตา ตอน 5. ชวดวังเก่าเข้ามัสยิด

ชวดวังเก่าเข้ามัสยิด 

                                .................                                                                                      

                 ออกจากที่พักไปยังสถานีรถไฟแต่เช้าเอาของไปฝากไว้ที่ห้องรับฝากของ ค่าฝากถือว่าถูกมากชิ้นละ 10 รูปี วันนี้กำหนดรถไฟออกจากสถานีตั้งทุ่มครึ่ง เมื่อวานมาถึงตอนเช้าทั้งวันก็ไปได้แค่สถานีรถไฟ มันน่าอดสูนัก  วันนี้จึงตั้งใจว่าทั้งวันจะต้องไปอย่างน้อยจุดสำคัญๆในเมืองโกลกาตาสักสองสามแห่งให้ได้ โดยเฉพาะที่พิเศษและพลาดไม่ได้เป็นอันขาดก็ต้องบ้านเกิดของบุคคลสำคัญที่สถิตอยู่ในดวงใจของฉันมาโดยตลอด นั่นคือบ้านเกิดของท่านรพินทรนาถ ฐากูร (Rabindranath Tagore)

                 ออกมายืนนอกอาคารสถานีรถไฟ ชั่วพริบตาฉันก็ถูกล้อมด้วยบรรดาคนลากรถและแท็กซี่ ฉันเลือกรถลากที่คนลากดูแก่ที่สุดด้วยอยากช่วยเหลือคนแก่นั่นเอง ดังนั้นเมื่อเห็นใบหน้าดำๆที่เต็มไปด้วยริ้วรอยของกาลเวลาอีกทั้งสีหน้าที่ดูแสนซื่อในร่างผอมเกร็งที่อยู่ใกล้ๆฉันจึงเทคะแนนสงสารให้ไปหมดทันที  ก่อนตกลงฉันได้บอกเขาก่อนว่าจะไปที่ไหนบ้าง  

                 ขอบอกว่าการสื่อสารระหว่างเราไม่ได้ง่ายนักหรอก แต่โชคดีที่หนุ่มๆแท็กซี่มารุมช่วยสื่อสารและบอกเส้นทางคร่าวๆให้ซึ่งดูลุงแกจะเข้าใจเป็นอย่างดีสังเกตจากอาการพยักหน้ารับรู้อย่างกระตือรือร้น ซึ่งก็ทำให้ฉันอุ่นใจ และที่น่ายินดีจุดที่ฉันอยากไป 2-3  แห่งซึ่งรวมทั้งบ้านเกิดของท่านรพินทรนาถ ฐากูรด้วย อยู่ในวิสัยที่รถลากจะไปได้ เพราะแกพยักหน้าหงึกหงักยิ้มรับด้วยความยินดีแถมพอถามว่าเท่าไหร่ ยังตอบด้วยท่าทีที่ว่าเท่าไหร่ก็ได้แล้วแต่จะให้ ฉันขึ้นนั่งบนรถด้วยความรู้สึกลิงโลด หวังว่าวันนี้คงเที่ยวอย่างราบรื่นก่อนลาจากเมืองนี้ไป

                  จากหนังสือคู่มือหรือเจ้าโลกเหงาจุดแรกที่น่าสนใจและไม่ไกลมากนักก็คือพระราชวังหินอ่อน  (Marble Palace) ลุงลากรถพาเข้าไปในถนนที่ไม่ได้โอ่โถงอะไร สองข้างทางเป็นตึกแถวเก่าๆยาวเหยียด  มองเข้าไปข้างในแต่ละห้องดูมืดทึบ บางห้องเหมือนเป็นโกดังเก็บของ คนงานกำลังง่วนกับการลำเลียงของขึ้นรถบรรทุก ถนนเกลื่อนกลาดไปด้วยเศษขยะเหมือนไม่เคยถูกเก็บมาแรมปี  บางช่วงลมอ่อนพัดผ่านยังต้องอุดจมูกไว้เพราะมันคือกลิ่นจากขยะกลางเก่ากลางใหม่ที่ไม่มีใครเหลียวแล

                 กำลังเพลินได้ที่รถก็หยุดลง ลุงลากรถหันมาบอกด้วยท่าทีให้รู้ว่าถึงแล้ว ฉันมองตามสายตาแกไปทางซ้ายมือ รู้สึกงงๆเพราะสิ่งที่เห็นก็คือด้านหลังของบ้านเก่าๆสีขาวซีดหลังหนึ่งดูเงียบเหงาอยู่ภายในรั้วโทรมๆ แกพามาด้านหลังของตัวบ้านนั่นเอง ตัวบ้านห่างจากถนนไม่มาก แม้จะดูหลังใหญ่แต่ก็ไม่น่าเข้าขั้นเป็นพระราชวัง  บริเวณบ้านคงไม่เกินสองไร่รกร้างไปด้วยต้นไม้ขนาดย่อม ดูสภาพแล้วเหมือนไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่ยาวนานเป็นปี นึกไม่ออกว่าหน้าบ้านจะเป็นอย่างไร  คนขายมะพร้าวอ่อนบอกว่าวันนี้เขาปิด ฉันหยิบหนังสือคู่ใจขึ้นมาอ่านถึงได้รู้ว่าวันนี้เขาไม่ได้เปิดให้เข้าชม

                  สำหรับความเป็นมา พระราชวังนี้มีอายุมากกว่า 170  ปีแล้ว สร้างด้วยหินอ่อนโดยราชาราเจนโดร มุลลิค บาฮาเดอร์ มีพระบัญชาให้สร้างขึ้น ด้านในมีของตกแต่งที่มีค่าสไตล์วิคตอเรียล ในส่วนของพื้นที่สวนที่เห็นเคยเป็นสวนสัตว์ย่อมๆ มีทั้งกวาง  นก และ.... น่าเสียดาย..ทั้งหมดนี้ดูจากภายนอกมันเป็นอดีตไปแล้วจริงๆ !!!

                  ก่อนละจากฉันซื้อมะพร้าวอ่อน 2 ลูกเผื่อลุงลากรถด้วย กินน้ำมะพร้าวหวังแก้ความวังเวงในใจก่อนไปต่อที่มัสยิดนัคโฮดา(Nakhoda Mosque)   ก่อนถึงมัสยิดนัคโฮดาลุงลากรถผู้มีความอดทนสูงพาฉันแวะเวียนเข้าซอยเล็กซอยน้อยเบียดเสียดผู้คนไปอย่างไม่รู้สึกเบื่อหน่าย แกแวะถามผู้คนตามรายทางบ่อยมาก ถามไปถามมาดอดวนกลับมาที่เดิม ถึงตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าแกไม่ได้แสนรู้เหมือนท่าทีรับงานตอนแรก แกดูว้าวุ่นซึ่งตรงกันข้ามกับเมื่อเช้าที่ดูเหมือนอัจฉริยะกลับชาติมาเกิดเพราะแกพยักหน้ารับรู้ทุกอย่างที่เพื่อนแท็กซี่บอกเหมือนไม่มีข้อกังขาใดๆ  แต่ยังไงตอนนี้ฉันก็เริ่มสงสารในความอดทนของแกมากกว่าที่จะหงุดหงิด... หรือไม่...บางทีฉันอาจจะเริ่มชาชินกับความไม่เข้าท่าที่มันเวียนผ่านเข้ามาบ่อยๆในชีวิตของฉันช่วงนี้แล้วก็ได้!!

                 สุดท้ายความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จก็อยู่ที่นั่นจริงๆ  แกพาฉันมาถึงเป้าหมายด้วยอาการของนักวิ่งมาราธอนผู้กำชัยชนะแต่มาสลบเอาตรงเส้นชัย แกมีอาการหอบหนักขณะที่ใบหน้าที่หันมายังเปื้อนยิ้มและเหงื่อโชก ฉันเลยส่งยิ้มเยี่ยงเพื่อนไปให้เพื่อปลอบใจก่อนลงจากรถ

                 มัสยิดนัคโฮดาเป็นมัสยิดที่ใหญ่และเก่าแก่มีอายุกว่า 80 ปี สร้างด้วยหินทรายสีแดงอยู่ติดกับถนนและย่านชุมชนการค้า ก่อนเข้ามัสยิดต้องถอดรองเท้าไว้ข้างนอก ฉันกังวลเล็กน้อยเพราะกลัวหายแต่ก็ต้องตัดใจ ช่วงสายมากแบบนี้ภายในมัสยิดพิธีการทางศาสนาต่างๆเสร็จไปแล้ว จึงดูค่อนข้างเงียบ มีเพียงผู้ชาย 2-3 คน เดินไปมาบนลานกว้างข้างบ่อน้ำพุ คนหนึ่งกำลังทำความสะอาด กวาด ถูพื้น ทุกคนเห็นฉันแต่ก็ไม่ได้ใส่ใจ คงจะชาชินกับการมีนักท่องเที่ยวมาแบบนี้บ่อยๆ ซึ่งก็ทำให้ฉันรู้สึกสบายใจที่จะเดินสำรวจพื้นที่ให้ทั่วไม่ว่าจะชั้นล่างหรือชั้นบนของมัสยิด

                  บ่อน้ำพุสี่เหลี่ยมกว้างพอควรที่พวยพุ่งอยู่กลางลานชั้นล่างมองดูแล้วเย็นใจขึ้นเยอะ จุดเด่นของมัสยิดแห่งนี้น่าจะเป็นตัวอาคารที่สร้างด้วยหินทรายสีแดงดูตระหง่านท่ามกลางตึกเก่าๆรอบข้าง ยอดโดมที่สูงเสียดฟ้าทาสีหนักไปทางเขียวขณะนี้ดูโดดเด่นบนผืนฟ้าที่ดูสีฟ้าสนิทแซมปุยเมฆขาวบางส่วน  ชั้นบนของอาคารสดุดตาตรงกรอบหน้าต่างไม้ที่แกะสลักลายสวยงาม ประณีต ดูอ่อนช้อยอย่างมีศิลปะ เสียดายที่ฉันไม่มีความรู้ด้านศิลปะพอที่จะถ่ายทอดความงามและที่มาที่ไป ได้อย่างเต็มที่

                 ฉันโผล่หน้าผ่านกรอบหน้าต่างลายสวยออกไปดูบรรยากาศภายนอก  เบื้องล่างถนนสายยาวทอดไปไกลจนลับไปกับเหลี่ยมมุมอาคารสูงหลายชั้นที่ขนาบไปกับถนน อาคารเหล่านี้ดูเก่าแก่และทรุดโทรม ความเก่าแก่ของตัวอาคารชวนให้สงสัยยิ่งนักถึงความรุ่งเรืองที่เคยมีมาแต่อดีตว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร?ช่วงไหนกันนะ? และมันร่วงโรยไปได้อย่างไร ? น่าคิด....น่าคิด.....

  

..........………

 

               

    

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 




 

Create Date : 29 มีนาคม 2555    
Last Update : 9 ตุลาคม 2555 17:16:23 น.
Counter : 771 Pageviews.  

อินเดีย...เดินเดี่ยวสู่สิกขิม./โกลกาตา ตอน 4. ยอมเสีย...เพราะที่นี่อินเดีย

ยอมเสีย…เพราะที่นี่อินเดีย  

 .................  

                ถึงย่านซัดเดอร์ สตรีทที่แออัดไปด้วยตึกเก่าๆ ซึ่งถูกปรับมาเป็นที่พักในรูปแบบเกสต์เฮ้าส์ และโรงแรมราคาถูกสำหรับนักท่องเที่ยวประเภทแบคแพค ฉันเดินดูที่พัก 2-3 แห่งที่อยู่ใกล้ๆกัน เมื่อเทียบสภาพกับราคาแล้วไม่ประทับใจสักแห่ง ตัดสินใจไปดูที่ใหม่ตามคำแนะนำของแท็กซี่ที่บอกจ่ายเพิ่มอีก 40 รูปี ได้ที่ดีและถูกกว่านี้แน่  ฟังแล้วก็อดถามใจตัวเองข้างธรรมมะก่อนไม่ได้ว่า ‘มันจะเชื่อได้ไหมหว่า....  ใจข้างธรรมมะตอบกลับมาว่า ‘ ลองๆยอมเชื่อดูหน่อยก็แล้วกันน่ะ ’ เขาบอกว่าไปไกลพอสมควร แต่พอไปจริงๆมันใกล้นิดเดียวไม่ถึงป้ายรถเมล์ เพียงแต่ทะลุออกไปอีกซอยหนึ่งเท่านั้น ถือว่ามันก็ย่านเดียวกันนั่นแหละ  

                ฉันขึ้นไปสำรวจดูสภาพเกสต์เฮ้าส์ ที่บอกว่าราคาถูกแต่ดี มันไม่ต่างจากที่ผ่านมาซักเท่าไหร่ สรุปแล้วก็หลวมตัวเสียค่าโง่ไปเปล่าๆอีก 40 รูปี ‘.. เฮ้อ ! เหนื่อย เริ่มคิดได้ไม่อยากเสียเวลาและเสียค่าโง่ไปมากกว่านี้อีกแล้ว เลยตัดสินใจเอามันที่นี่ซะเลยโดยกะว่าพักแค่คืนเดียวเพราะรู้สึกไม่ประทับใจเมืองนี้ซะแล้ว ตั้งใจว่าวันนี้จะต้องซื้อตั๋วรถไฟเพื่อต่อไปยังดาร์จีลิ่งในวันพรุ่งนี้ให้ได้ 

                สอบถามเรื่องตั๋วรถไฟจากที่พัก เขาคิดค่าบริการตั้ง 100 รูปี  เลยตัดสินใจที่จะจัดการเองซึ่งน่าจะดีกว่าเพราะที่พักไม่ไกลจากสถานีรถไฟเท่าไหร่  

                  เด็กประจำเกสต์เฮ้าส์กุลีกุจอช่วยยกของและนำขึ้นไปยังห้องพักซึ่งอยู่ชั้นสอง พอเปิดประตูห้องเข้าไป แว่บเดียวสายตาฉันก็ทะลุทุกซอกมุมของห้องเล็กๆรวมทั้งห้องน้ำซึ่งมองเห็นไปถึงด้านใน พลันอารมณ์หงุดหงิดก็เกิดขึ้นพร้อมๆกับเด็กวางของลงบนเก้าอี้ ฉันฝืนบอกขอบใจแล้วแกล้งทำเฉยหันหลังให้เพราะไม่สบอารมณ์กับสภาพห้องพักที่ไม่สมกับราคาเอาซะจริงๆ และตอนนี้ก็ไม่อยากจ่ายค่าทิปใดๆทั้งสิ้น แต่เจ้าเด็กนั่นยังไม่ยอมออกจากห้องกลับรีบหันมาทวงเอาเงินกันดื้อๆว่า    

                          “คุณจะไม่ให้อะไรผมเลยเหรอ?” ‘แน่ะ..ทวงเอาเงินกันดื้อๆ’ฉันเลยต้องแก้รำคาญโดยควักให้ ไป 10 รูปี... ‘เฮ้อ...ถูกขืนใจอีกแล้ว...’  

                 เป้เปียกไปกว่าครึ่งคงเพราะน้ำฝนเมื่อคืนนี้  เลยต้องรื้อของออกให้หมดเพื่อจะได้เอาเป้ผึ่ง โชคดีของทุกอย่างได้ใส่ถุงพลาสติกใสไว้ชั้นหนึ่งก่อนแล้วทุกชิ้นเลยปลอดภัย จัดการกับภารกิจยามเช้าแล้วก็รีบออกจากห้องพักที่แสนจะคับแคบและอบอ้าว 

             แวะกินข้าวเช้าที่ร้านอาหารใกล้ๆที่พักราคาอาหารค่อนข้างยุติธรรมระดับ 15-45 รูปี ขึ้นกับชนิดของอาหาร  ข้าวขาว 8 รูปี นับว่าใช้ได้ แต่ข้าวผัดที่สั่งดูจะแห้งแล้งไปหน่อยเพราะข้าวมันแข็งจนฝืดคอ  

                 ออกจากร้านอาหารจะไปสถานีรถไฟเพื่อซื้อตั๋วไปดาร์จีลิ่ง บนถนนแคบๆพอรถสวน เจอผู้คนมากมายรวมทั้งแท็กซี่และริกชอว์(รถที่มีลักษณะคล้ายรถสามล้อเมืองไทยแต่ตรงตำแหน่งคนถีบและล้อหน้าถูกปรับให้เป็นช่องเพื่อใช้คนลากแทน ดูคล้ายรถลากในหนังจีนสมัยโบราณ แต่ถ้าหากตรงคนลากถูกปรับเป็นรถขับด้วยเครื่องยนต์ก็จะเรียกว่าออโต้ริกชอว์ ในที่นี้ ขอเรียกว่ารถลากก็แล้วกันเพราะดูย้อนยุคและเข้ากับบรรยากาศดี ) 

            พาหะนะเหล่านี้ต่างแข่งกันโกลาหลอยู่บนถนน บางช่วงของริมถนนเกลื่อนไปด้วยกองผักผลไม้ที่พ่อค้าแม่ค้าเอามาวางขาย  ดูแล้ววุ่นวายสับสนกว่าย่านถนนข้าวสารของเมืองไทยกว่าร้อยเท่า ผู้คนที่ขวักไข่วดูมากมายหลายเชื้อชาติ นอกจากแขกเจ้าถิ่นแล้วก็มีทั้งฝรั่ง  เกาหลี  ญี่ปุ่น ฯลฯ  

                 คนขับแท็กซี่และรถลากที่จอดเรียงรายอยู่ริมฟุตบาทต่างใช้สายตาที่ดูประดุจดังสายตาเหยี่ยวคอยจับจ้องเหยื่อ มันพุ่งตรงไปที่ลูกค้าซึ่งเป็นนักท่องเที่ยวที่เดินเตร็ดเตร่ไปมา  หน้าตาฉันคงจะดูเหรอหราและมีอาการไม่คุ้นเคยกับพื้นที่เหมือนเหยื่อรายใหม่ที่เพิ่งหลงมา

               ฉันเผลอส่งสายตาพาดผ่านพวกเขาไปโดยไม่ได้ตั้งใจและอย่างคาดไม่ถึงตายังไม่ได้กระพริบพวกเขาก็กรูเข้ามากลุ้มรุมฉันชนิดที่ตั้งตัวไม่ติด ดีอยู่นิดเดียวที่ยังไม่ถึงขั้นเข้ามาทึ้งและแล้วก็มีมือดำๆข้างหนึ่งยื่นเข้ามาประชิดสะกิดแขนเหมือนคุ้นเคยกันมาแรมปี  

                ฉันสะดุ้งตกกะใจแขนที่ถูกสะกิดถูกดึงเข้ามาแนบตัวโดยไม่ได้ตั้งใจ สายตาเหลือบขึ้นไปมองหน้าเจ้าของมือดำๆข้างนั้น พลันให้รู้สึกผิดขึ้นมาทันทีที่ได้เผลอแสดงอาการเหมือนรังเกียจออกไปโดยไม่รู้ตัวเช่นนั้น ใบหน้าดำกร้านเจ้าของมือข้างนั้นส่งแววตาแสนซื่อสื่ออารมณ์เว้าวอนออกมาให้เห็น ฉันพ่ายแพ้ต่อสายตาคู่นั้นทันที ....  

                 จะด้วยรู้สึกผิดหรืออารมณ์สงสารเข้าครอบงำฉันไม่อาจแจกแจงได้หรือบางคนอาจบอกว่าฉันตกกระไดให้ต้องกระโจนมากกว่าฉันก็คงไม่เถียง ฉัน รีบตัดสินใจเลือกเจ้าของสายตาคู่นั้นบอกไปยังสถานีรถไฟซีลดา(Sealda)ทันที

                เขาเป็นคนร่างแกรนแม้จะอยู่ในวัยแก่แต่ก็ดูแก่เกินวัยคงเพราะด้วยอาชีพดูๆก็น่าสงสาร เราตกลงราคากันได้ 50 รูปี  คิดแล้วถ้าขากลับจ่ายอีก 50 รูปี ก็เท่ากับค่าบริการซื้อตั๋วจากที่พักที่เขาเรียกพอดี...‘คิดซะว่าได้ไปดูลาดเลาสถานีรถไฟไว้ก่อน น่าจะถือเป็นข้อได้เปรียบน่ะ’ บอกตัวเอง  

                 ระหว่างทางผ่านย่านตึกแถวเก่าๆ และตลาดใหญ่ที่แออัดไปด้วยผู้คนมากมายขวักไขว่ไปกับกิจกรรมชีวิตของตัวเอง ฉันนั่งอยู่บนรถลากถือว่าทัศนะวิสัยดีเยี่ยม อยู่บนมุมสูงมองได้รอบทิศ เห็นความเคลื่อนไหวของผู้คนทั้งหมด ส่าหรีสีสันสดใสพลิ้วไสวไปมามองแล้วให้รู้สึกเพลิดเพลินเหมือนชีวิตทุกชีวิตเคลื่อนไหวอยู่ภายใต้สายตาของเราแต่ผู้เดียว

                เพลินจนรถหยุดและคนลากรถต้องบอกให้ลง มือดำชี้ทะลุผ่านแผงลอยแม่ค้าขายเสื้อผ้าใต้สะพานลึกเข้าไปท่าทีเหมือนบอกว่าเดินทะลุช่องนี้ไปอีกนิดเดียวก็ถึง  

                 ฉันไม่โต้แย้งเพราะดูระยะทางกับราคาแล้วน่าจะเหมาะสมดี แต่....พอตาลุงแก่หน้าซื่อรับเงิน 50 รูปีไปแล้วก็กลายเป็นตาแก่เจ้าเล่ห์ไปโดยพลัน ดวงตาแปรเปลี่ยนเป็นฉายแววขี้โกงออกมาชัดเจนพร้อมกับมือดำข้างเดิมยื่นออกมาขอตังค์เพิ่มอีก 20 รูปี สำทับต่อด้วยท่าทีที่บอกว่ามาตั้งไกล ....

              ‘ อ้าว...เฒ่าผู้น่าสงสารได้เปลี่ยนบทเล่นแล้วหรือนี่ ไม่อยากจะเชื่อเลย ....มันทุกสถานการณ์ ให้ได้ลับสมองทดลองปัญญาซะจริงๆ ’ ฉันยืนกรานที่จะไม่ให้เช่นกันเลยบอกเสียงแข็งไปว่า                    

            “ โน.....ตกลงมาเท่านี้ก็ต้องเท่านี้” ว่าแล้วฉันก็หันหลังให้แล้วเดินฝ่าผู้คนมุ่งไปยังทิศทางที่แกชี้นำอย่างหงุดหงิดและทำเป็นไม่แยแส (ช่วยไม่ได้จริงๆตอนนี้อารมณ์มันบอบช้ำจนใจฝ่ายอธรรมต้องเข้ามาบงการซะแล้ว!)

               จริงๆแล้วในใจก็หวาดๆและกลัวเหมือนกันว่าแกจะโวยวายให้ผู้คนรอบข้างรับรู้แล้วตามมาอาละวาดต่อ...ชั่วครู่จึงลองแอบหันกลับไปดูอย่างหวั่นๆ แต่... 

             ‘เฮ้อ...’โล่งอกจนบอกไม่ถูกเพราะแกลากรถออกไปแล้วเห็นแค่หลังไวไว... ‘ ฮา...ไม่แน่จริง! ’               

             ห้องจองตั๋วหาไม่ยากอยู่ชั้นสองของตัวอาคาร แต่พอโผล่เข้าไป ‘อุแม่เจ้า.....’ผู้คนเข้าแถวยาวเหยียดสิบกว่าแถวตามช่องบริการที่มีให้ มองหาหน้าอินเตอร์ไม่เจอแม้แต่หน้าเดียว

                 ช่องแรกแจกแบบฟอร์มให้กรอก ช่องอื่นๆเป็นช่องยื่นแบบฟอร์มที่กรอกเสร็จแล้ว ในแบบฟอร์มจะต้องกรอกรายละเอียด เช่น จะไปไหน เมื่อไหร่และด้วยรถไฟขบวนใดเป็นต้น  ซึ่งก็มีรายชื่อขบวนรถไฟที่ยาวเหยียดและถี่ยิบอยู่บนกระดานใหญ่ติดไว้ที่ผนังห้องด้านข้างให้ดู มีทั้งภาษาอังกฤษและฮินดี ดูแล้วตาลายไปหมด  

                 ฉันสงบสติอารมณ์พร้อมกับเรียกความพยายามและความอดทนให้มาอยู่เคียงข้าง  และแล้วแบบฟอร์มก็กรอกเสร็จเรียบร้อยด้วยน้ำใจจากสาวน้อยยุคใหม่ในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์ที่อยู่ข้างๆซึ่งเธอก็กรอกของเธอไปด้วย เข้าใจว่าเธอคงจะเป็นนักศึกษาระดับมหาวิทยาลัยเพราะพูดภาษาอังกฤษได้คล่องและดูจะคุ้นเคยกับนักท่องเที่ยวเป็นอย่างดี

            ตอนนี้คิดว่าไม่หนักใจกับเรื่องการสื่อสารกับคนที่นี่แล้ว  สงสัยอะไรพยายามมองหาและประกบเด็กวัยนักศึกษาเข้าไว้เพราะทั้งเก่งภาษาอังกฤษและฉลาด สูตรนี้เคยใช้ได้ดีเมื่อคราวไปเที่ยวเมืองจีน....‘และนี่ก็น่าจะเป็นสัญลักษณ์ของประเทศที่กำลังจะยิ่งใหญ่ในอนาคต ’  

                  คราวนี้ก็ไปเข้าคิวเพื่อยื่นแบบฟอร์มและซื้อตั๋ว เลือกแถวที่ดูคนน้อยกว่าแถวอื่นๆ แต่พอยืนรอไปเรื่อยๆชักรู้สึกว่าแต่ละแถวแทบไม่มีการขยับขึ้นเลยหรือไปได้ช้ามากทั้งๆที่แต่ละช่องมีคอมพิวเตอร์บริการทุกช่อง ชักไม่แน่ใจแล้วว่าเจ้าคอมพิวเตอร์จะเป็นตัวช่วยที่ดีหรือ เป็นตัวถ่วงให้ช้าลงก็ไม่รู้ เพราะสังเกตเห็นพนักงานทุกคนดูจะขลุกอยู่กับเครื่องคอมพิวเตอร์ซะนานเกินกว่าเหตุชวนให้คิดได้ว่า  ‘ คงจะเพิ่งมาฝึกคอมพิวเตอร์เอากันวันนี้ล่ะมั๊ง ’  

                  ผ่านไปยี่สิบนาทีฉันยังไม่สามารถขยับขึ้นไปถึงครึ่งแถวของคนกว่ายี่สิบคน เริ่มรู้สึกว่าเวลาที่สูญเสียไปพร้อมกับความร้อนอบอ้าวที่รุมเร้าเข้ามามันกระชากความอดทนของฉันไปเกือบหมดแล้ว มองกวาดไปแต่ละแถวเพื่อดูอาการเพื่อนร่วมชะตากรรม ดูเหมือนว่าเขาเหล่านั้นจะยอมรับสภาพชะตาชีวิตที่เป็นอยู่อย่างไม่สะทกสะท้านกันถ้วนหน้า

               และแล้ววินาทีนั้นเจ้าความพยายามและความอดทนของฉันมันก็โบกมือลาไปก่อนซะแล้ว... ‘แล้วฉันจะทนอยู่ทำไมล่ะ?...ก็ฉันยังพอมีทางเลือกอยู่อีกหนึ่งทาง...ก็ที่ที่พักไงล่ะ’            

               ออกมาสำรวจที่ทางสถานีรถไฟไว้เผื่อวันพรุ่งนี้จะได้ไม่หลง  ดีทีเดียวมีห้องพักให้นักเดินทางที่จองตั๋วระดับชั้นหนึ่งและชั้นสองที่ต้องแกร่วอยู่ที่สถานีนานๆด้วย บางห้องมีเก้าอี้ให้นั่ง บางห้องถึงขั้นมีเตียงให้นอนเพราะเห็นเตียงนอนเรียงกันเป็นแถวยาวอยู่ในห้องโถงใหญ่แต่ละเตียงปูด้วยผ้าปูที่นอนสีขาวที่ไม่ค่อยจะขาวเท่าไรแต่ดูแล้วก็ให้ความรู้สึกดีได้....ทั้งสองแบบมีห้องน้ำให้ใช้ด้วยที่รู้ก็เพราะกลิ่นส่งมาถึงทางเดินนั่นเอง  

                 กลับถึงที่พักช่วงเย็นรีบไปเจรจาเรื่องตั๋วกับลูกชายเจ้าของเกสต์เฮ้าส์ นายคนนี้บอกว่าเขาไปเมืองไทยบ่อยมากเพื่อทำธุรกิจการค้าระหว่างไทยกับอินเดีย  คุยว่ามีบ้านส่วนตัวอยู่กรุงเทพฯซะด้วย

               ความที่เห็นเขาพูดถึงเมืองไทยด้วยความคุ้นเคย เลยแอบหวังว่าจะได้รับความจริงใจจากเขาบ้าง ที่ไหนได้เล่ห์เหลี่ยมแกแพรวพราวเอาทุกช่องทางที่จะได้เปรียบเรา ยิ่งกว่านั้น ยังออกลายนิสัยขี้ขโมยให้เห็นกันซึ่งๆหน้าชนิดไม่แคร์นรกกันเลยทีเดียวเชียว 

                 วีรกรรมของแกก็คือเจ้าปากกาลูกลื่นสีสวยรุ่นใหม่เขียนได้หลากสีในด้ามเดียวซึ่งฉันชอบมากและตั้งใจซื้อมาเพื่อใช้บันทึกการเดินทางท่องเที่ยวครั้งนี้ ฉันควักขึ้นมาใช้ขีดเขียนต่อรองราคาบนโต๊ะ เผลอแผล็บเดียวมันก็อันตรธานหายไปโดยไม่รู้ตัว เพราะจะหยิบขึ้นมาใช้อีกทีหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอไม่ว่าจะบนโต๊ะ ใต้โต๊ะ หรือค้นในกระเป๋าอีกครั้ง ฉันแปลกใจมากจนต้องโพล่งถามด้วยความงุนงงว่า 

                          “เอ๊ะ....ปากกาฉันที่ใช้อยู่เมื่อกี้มันหายไปไหน?”  หน้าตาเขาเฉยบริสุทธิ์จริงๆ แต่ไอ้ที่ไม่รับรู้คำถามของฉันนี่สิมันทะแม่งๆอยู่ เขาได้แต่พยายามจะเจรจาโก่งราคาตั๋วให้สูงขึ้นท่าเดียว เมื่อเขาทำเป็นไม่สนใจคำถามฉัน ฉันก็เลยแกล้งทำเป็นไม่สนใจท่าทีหรือคำพูดของเขาเช่นกัน ตั้งหน้าตั้งตาค้นหาปากกาต่อ           

                ของสำคัญยิ่งหายไปอย่างไร้ร่องรอยและไม่สมเหตุผลแบบนี้ มันจะเป็นไปได้ยังไง ฉันรื้อและค้นตามกองเอกสารบนโต๊ะต่อ ด้วยเชื่อว่ามันจะต้องอยู่แถวนี้ตามหลักที่ว่าสะสารย่อมไม่สูญหายไปจากโลก              

               แต่แล้วไม่อยากเชื่อเลยจริงๆ  เขาคงทนต่อท่าทีของฉันไม่ได้ที่ไม่ใยดีต่อสิ่งใดแม้แต่คำพูดของเขา สุดท้ายเขาจึงดึงลิ้นชักโต๊ะด้านหน้าตรงสะดือออกมาแล้วหยิบปากกาแสนสวยของฉันขึ้นมาวางบนโต๊ะเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ฉันตะลึงงงชั่วขณะมองหน้าเขาด้วยความรู้สึกไม่อยากเชื่อและคาดไม่ถึง

              จากนั้นความรู้สึกเอือมระอาก็เกิดขึ้นทันทีโดยไม่ได้ตั้งใจ.....‘ อุแม่เจ้า..แค่ปากกาด้ามเดียวมันยังแอบยักยอกไปต่อหน้าหรือต้องบอกว่าเอากันหน้าด้านๆ...  นี่มันดินแดนส่วนไหนของโลกกันแน่? ’ ฉันอดรำพึงในใจไม่ได้

            รู้สึกหดหู่กับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันความเบื่อหน่ายต่อความเลวร้ายหลายครั้งที่เจอะเจอมาภายในวันนี้วันเดียวจู่โจมเข้ามาจนต้องบอกกับตัวเองว่า‘ คงอยู่เมืองนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว ยังไงพรุ่งนี้จะต้องไปจากที่นี่ให้ได้ ’  

 

                 อาการมึนเฉยต่อความผิดที่ตัวเองกระทำของเจ้าตัวแสบทำให้ฉันท้อที่จะโต้ตอบด้วยคำพูดใดๆ  แต่เขายังไม่หยุดที่จะใช้กลเม็ดลูกล่อลูกชนต่อเพื่อที่จะขายตั๋วให้ได้ราคาและค่าบริการที่สูงขึ้น 

              ถึงตรงนี้ฉันต้องยอมรับความบกพร่องของตัวเองที่ไม่ได้ตรวจสอบราคาตั๋วรถไฟไว้ล่วงหน้า จึงต้องเชื่อไปตามที่เขาบอก  เชื่อเขาแม้กระทั่งที่เขาบอกว่ารถไฟที่ฉันต้องการนั่งขากลับเพื่อแวะวาราณสีก่อนต่อไปยังนิวเดลีนั้นแน่นมากไม่สามารถซื้อตั๋วตามช่วงเวลาที่ฉันต้องการได้

             เขาพยายามแนะนำและโน้มน้าวให้นั่งเครื่องบินจากสนามบินแบกดอร่า(Bagdora  Airport:สนามบินใกล้เมืองดาร์จีลิ่ง) ตรงไปยัง

นิวเดลีจะดีกว่า ฉันเองซึ่งก็เกรงจะเสียเวลาจนไม่สามารถขึ้นไปเมืองเลห์ได้ตามกำหนด เลยตัดสินใจตามที่เขาโน้มน้าว ทั้งๆที่เสียดายมากที่ต้องพลาดโอกาสที่จะแวะวาราณสีจุดหนึ่งที่ตั้งใจเต็มที่ว่าจะต้องแวะให้ได้ ซึ่งสุดท้ายก็ต้องตัดใจไปก่อน ( ตอนหลังจึงรู้ว่ารถไฟไม่ได้แน่นตามที่เขาบอกแต่เขาจะได้ประโยชน์จากการโก่งราคาตั๋วเครื่องบินและค่าบริการที่มากกว่าขายตั๋วรถไฟ )  

                  เวลาผ่านไปเกือบชั่วโมงจนรู้สึกเบื่อที่จะเสียเวลาต่อรองให้มันมากไปกว่านั้น คิดอย่างเดียวว่าซื้อความรำคาญและเอาเวลาอันมีค่าไปนอนดีกว่า จ่ายเกินราคาบ้างก็ช่างมันเถอะ เพราะอยากกลับไปอาบน้ำนอนเต็มทน จึงตกลงซื้อทั้งตั๋วรถไฟจากโกลกาตาไปยังเมืองนิวจัลปายกูริ(New Jalpaiguri :NJP)เพื่อจะต่อไปดาร์จีลิ่งอีกที กับขากลับเป็นตั๋วเครื่องบินจากสนามบินแบกดอร่า(Bagdora) ไปยังเมืองนิวเดลลี โดยต่อรองราคาได้อีกเล็กน้อย (แต่สุดท้ายมารู้ภายหลังว่าเขาคิดค่าตั๋วรถไฟและตั๋วเครื่องบินสูงกว่าราคาจริงเกือบพันรูปี  นอกจากค่าตั๋วที่แพงกว่าดังกล่าวแล้วยังคิดค่าบริการซื้อตั๋วเกือบพันรูปีอีกด้วย งานนี้กะเหรี่ยงพื้นราบโดนเชือดไปสองชั้นรวมแล้วเกือบสองพันรูปี !!  )   

       

           สรุปแล้ววันนี้ทั้งวันเสียเวลาไปกับเรื่องตั๋วอย่างเดียว แถมให้รู้สึกเหนื่อยหน่ายกับสิ่งรอบข้างอีกด้วย หากต้องอยู่ต่ออีกซักหนึ่งคืนคงไม่ไหวแน่ นอกจากค่าใช้จ่ายที่ต้องเพิ่มขึ้นอีกมากกว่าพันรูปีแล้ว ที่สำคัญเริ่มไม่สนุกกับที่นี่ซะแล้วคิดแล้วขอต่อไปยังดาร์จีลิ่งแดนสวรรค์ที่รออยู่ข้างหน้าดีกว่า

 

 

…………………………..

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 




 

Create Date : 29 มีนาคม 2555    
Last Update : 9 ตุลาคม 2555 12:19:54 น.
Counter : 899 Pageviews.  

อินเดีย...เดินเดี่ยวสู่สิกขิม/โกลกาตา ตอน 3.เอาตัวรอด

                         เอาตัวรอด
                           ..........


                   ที่เคาท์เตอร์จองแท็กซี่ ลุงแก่ๆกำลังก้มตัวกวาดพื้นห้องแคบๆอย่างขมีขมันอยู่หลังเคาท์เตอร์ ฉันตะโกนบอกเบาๆ
               “แท็กซี่หนึ่งคัน” แกหันมามองและตอบ
               "ได้ซิ รอเดี๋ยวนะ” ว่าแล้วแกก็กวาดห้องต่อเหมือนไม่มีฉันอยู่ตรงนั้น มันนานจนเกิดคำถามขึ้นในใจว่า ‘ไอ้ที่บอกไปแล้วนั่นมันรู้เรื่องกันหรือเปล่านะ?’ ฉันเงียบใช้ความอดทนในการรอคอยต่อไปอีกพร้อมกับปลอบตัวเองให้ใจเย็นๆ ‘เมืองแขกคงเป็นแบบนี้ล่ะมั๊ง!! ’
                   กว่านาทีทองของฉันจะมาถึงก็ปาเข้าไปเกือบ 5 นาที ความหงุดหงิดมาเยือนชั่วครู่ ตาแก่ละไม้กวาดและหันหน้ามาทางเคาท์เตอร์ ฉันรีบชิงบอกจุดหมายทันที เพราะลึกๆชักกลัวว่าแกจะหันกลับไปจับไม้กวาดอีกรอบ
                   “ไปแถวซัดเดอร์ สตรีท(Sudder street) ” ย่านที่ฉันจะไปพักถ้าเปรียบกับกรุงเทพฯก็คือถนนข้าวสารนั่นแหละ
                   “200 รูปี ขอเพิ่มอีก 10 รูปี” ตาแก่บอกหน้าตาเฉย ไม่มีความละอายใจกับเงินส่วนเกินที่ขอเพิ่มเอาดื้อๆ อยากจะบอกว่ามันเป็นการกระชากเงินออกจากกระเป๋าฉันโดยที่ฉันไม่เต็มใจแต่ไม่มีโอกาสปกป้อง  ว่าแล้วแกก็หยิบปึกตั๋วที่อยู่ใกล้มือออกมาเขียนอะไรยุกยิกลงบนแผ่นแรกก่อนฉีกและยื่นให้
                  ฉันจำใจต้องควักเงิน 210 รูปีออกมาอย่างยอมจำนนโดยไม่มีเงื่อนไข ถ้าเป็นที่เมืองไทยฉันคงไม่ยอมแน่ แต่ที่นี่ไม่ใช่ จึงได้แต่รู้สึกเข่นเขี้ยวอยู่ในใจเพราะทำอะไรไม่ได้ ฉันได้รับรู้มาก่อนแล้วว่าจะต้องมีการรีดเเงินเพิ่มเอาดื้อๆกันแบบนี้กับคู่กรณีที่เป็นชาวต่างชาติ ฉันจะต้องเรียนรู้และพยายามรับให้ได้กับสิ่งเหล่านี้เพื่อความราบรื่นตลอดการเดินทาง ฉันเตือนและย้ำกับตัวเอง
                  เมื่อคลี่ใบเสร็จออกดู ก็ต้องเกิดอาการมึนงงขึ้นมาทันควัน ก็ในใบเสร็จมีช่องให้เติมชื่อคนขับรถ แต่ไม่มีการเขียนอะไรลงไป ฉันทำหน้าสงสัยพร้อมปล่อยคำถามออกทางสีหน้าไปยังตาแก่จมูกงุ้มและชี้ตรงชื่อคนขับให้แกดู แกทำหน้าเฉยและบอกให้ถือออกไปข้างนอกเดี๋ยวมีคนเดินมารับเอง ฉันแสดงอาการไม่พอใจโดยส่ายหน้าแบบเบื่อหน่ายให้เห็นก่อนที่ตาแก่จะหันหลังให้แบบไม่ใยดี

            หากมีชื่อคนขับรถมันย่อมเป็นหลักประกันความปลอดภัยได้อีกทางหนึ่ง แต่นี่.....เฮ้อ!... ‘เอาล่ะวะมันคงไม่มีอะไรหรอก......’   ปลอบตัวเองด้วยความระเหี่ยใจเพราะไม่อยากให้มันดูวุ่นวายไปมากกว่านี้
                  ออกมาด้านนอก ตอนนี้ไม่มีผู้โดยสารรอแท็กซี่อีกแล้วมีแต่รถแท็กซี่ไม่กี่คันจอดนิ่งอยู่นอกชายคาอาคารท่ามกลางฝนปรอยหลังจากคงตกหนักไปพักใหญ่

             ใต้ชายคาลึกเข้ามาแขกหนุ่มจับกลุ่มคุยกันเสียงดัง ฉันละล้าละลังสักพักก็มีคนหันมามอง ฉันยกใบเสร็จขึ้นโชว์ หนึ่งหนุ่มหน้าดำสนิท(ปกติดูหน้าดำทุกคนอยู่แล้ว)เดินอ้อยอิ่งมารับใบเสร็จแล้วหันไปคุยกับเพื่อนเป็นนัยว่าจะจัดสรรให้ใครดี ท้ายสุดเดินกลับมาและชี้ไปยังแท็กซี่ที่จอดอยู่กลางสายฝนฝั่งขวามือห่างไปจากชายคาประมาณ 10 เมตร พร้อมบอกว่า 
                 “รถอยู่ตรงโน้นสีเหลือง” ท่าทีชวนให้ตีความได้ว่าฉันต้องเดินแบกเป้ฝ่าสายฝนไปขึ้นรถที่นั่น        

         หนุ่มคนขับเดินไปก่อนโดยไม่ได้ใส่ใจฉันแม้แต่นิดเดียว ความหงุดหงิดเริ่มมาเยือนอีกละลอก มันเห็นชัดๆอยู่แล้วว่า แท็กซี่สามารถเลื่อนมารับฉันที่ใต้ชายคาอาคารแล้วออกประตูด้านซ้ายมือได้เลย จะเห็นว่าได้มีการจัดวางที่ทางเพื่อการบริการผู้โดยสารได้ถูกต้องดีแล้ว แล้วนี่ยังจะให้ฉันเดินฝ่าฝนปรอยไปขึ้นรถอีกหรือ ฉันรีรอและถามต่ออย่างหัวเสียหน่อยๆว่า
                “ทำไมไม่เอารถมารับฉันที่นี่ เพราะแค่เลี้ยวมานิดนึง และฉันก็อยู่ทางผ่านที่จะออกจากสนามบินอยู่แล้ว” 
              “ ถ้าให้เอารถมารับก็ต้องจ่ายเงินเพิ่ม” เขาตอบหน้าตาเฉย ฉันมึนและเริ่มอ่อนล้าในหัวใจหน่อยๆกับความงกเงินของคนพวกนี้ 
            “อ้าว...เอากะมันซิไอ้แขก” ฉันเผลอตะโกนเป็นภาษาไทยออกไปโดยไม่รู้ตัว และต่อด้วยภาษาอังกฤษว่า
            “ฉันต้องจ่ายเงินเพิ่มอีกเหรอ?” ถามย้ำพร้อมแสดงสีหน้าหงุดหงิดเข้าใส่ เขาพยักหน้าแบบเนือยๆ แต่แล้วพักเดียวเหมือนมีสิ่งศักดิ์สิทธ์มาดลใจให้เปลี่ยนท่าทีดั่งโจรกลับใจ เขาบอก
            “โอเค โอเค เดี๋ยวเขามารับ” พร้อมชี้มือไปที่คนขับซึ่งเดินไปถึงรถพอดี 
           “ไม่ต้องจ่ายพิเศษนะ?” ฉันยังหงุดหงิดเลยย้ำเพื่อความมั่นใจอีกครั้ง เขาพยักหน้าหงึก ๆ ค่อยโล่งใจขึ้นมาหน่อย แบบนี้มันเข้าประเภทถ้าหลอกได้ก็เอานี่หว่า...

                  ตอนนี้เลยต้องพยายามเตือนตัวเองว่าต่อไปนี้อย่าพยายามเดาหรือเข้าใจอะไรไปเองง่ายๆเด็ดขาดเพราะอาจเพลี่ยงพล้ำแขกได้
                  แท็กซี่ทรงโบราณ (ถ้าอยู่เมืองไทยคงจะดูเท่ห์ไม่เบาแต่ที่นี่มีเต็มไปหมด) เข้ามาจอดข้างๆ คนขับดูดีหน่อยลงมาช่วยยกเป้ขึ้นรถ แต่พอขึ้นนั่งเบาะหลังเสร็จรถกำลังจะเคลื่อนตัวออก ฉันก็ต้องตกใจจนอยากจะเปิดประตูกระโดดลงจากรถ ก็ไอ้หนุ่มหน้าดำสนิทนั่นดอดเปิดประตูรถและผลุบเข้ามานั่งข้างคนขับด้วยทันที พลันรถก็เคลื่อนตัวออก
                   ฉันตกใจมากกับสิ่งที่เกิดขึ้น คิดอะไรไม่ออก คำถามเดียวที่กำลังจู่โจมเข้ามาก็คือ จะทำไงดี? ก็เคยอ่านหนังสือมาเขาบอกว่ารถแท็กซี่ต้องไม่มีใครนั่งไปด้วยนอกจากเราและคนขับ หากมีนั่นเป็นสัญญาณว่าน่าจะมีอะไรผิดปกติ และทำนองนี้ก็เคยมีแหม่มถูกฆาตกรรมมาแล้ว หรือหากโชคร้ายนิดหน่อยก็อาจถูกชักชวนหรือถูกหลอกให้มีอันต้องเสียทรัพย์มากกว่าที่ควรก็ได้
                  นึกแล้วสะท้านใจเกรงจะเจอเหตุร้ายแบบนั้น ภายในรถเงียบไม่มีใครพูดอะไร อุ่นใจขึ้นมาหน่อยที่ตอนนี้สว่างมากแล้ว ลอบถอนหายใจทำใจดีสู้เสือ รถผ่านไปได้ระยะหนึ่งเลยลองแหย่คำถามแบบกล้าๆออกไปว่า 
                    “ทำไมแท็กซี่ที่นี่จะต้องมีถึงสองคน ไม่เสียเวลาทำงานของอีกคนไปเปล่าๆเหรอ?” นายคนหน้าดำที่ขึ้นมาทีหลังรีบหันกลับมาตอบทันทีว่า
                   “เพื่อความปลอดภัย เผื่อมีอะไรอีกคนจะได้ติดต่อกับคนที่สนามบินได้ เลยต้องมีสองคน” คำตอบที่ได้รับกลับชวนให้ฉันรู้สึกสะดุ้งใจมากขึ้น แทบอยากจะโต้กลับไปว่า ‘ปลอดภัยของใครกันแน่? แกหรือฉัน?’ แต่สถานการณ์ทำให้ฉันจำต้องเงียบและทำใจให้สงบไว้ก่อน ปลอบใจตัวเองว่า
‘คงไม่มีอะไรร้ายๆเกิดขึ้นหรอกน่ะ ดูหน้าตามันก็ไม่เหี้ยมนักหรอก’
                  นั่งสงบสติอารมณ์ พร้อมใช้สมองคิดหาทางหนีทีไล่อยู่สักพัก พลันเจ้าหน้าดำก็ยกโทรศัพท์ขึ้นคุย ท่าทีเหมือนจะคุยกับคนที่สนามบิน (มองในแง่ดีไว้ก่อนเพื่อความสบายใจของตัวเอง) แต่ใจยังรู้สึกหวั่นๆไม่หาย
                   มองออกไปนอกรถ ฝนหยุดตกไปแล้ว สองข้างทางมีแต่ตึกเก่าๆโทรมๆและดูสกปรก ไม่ค่อยมีผู้คนเดินไปมาเท่าไหร่คงเพราะยังเช้าอยู่            

             บรรยากาศทั่วไปไม่เหมือนที่วาดไว้ล่วงหน้า โกลกาตาน่าจะดูดีกว่านี้เพราะเป็นเมืองธุรกิจมายาวนาน แต่เอาเข้าจริงๆดูเหมือนจะเป็นเมืองธุรกิจแบบยังอาศัยตึกเก่าๆโทรมๆทำธุรกิจโดยไม่สนใจใยดีกับความศิวิไลซ์ที่ควรจะเดินไปพร้อมกับธุรกิจที่งอกงามหรือทันสมัยกระนั้น
                    โทรศัพท์เสร็จเจ้าหน้าดำสนิทก็กลับมาชวนฉันคุยโดยไม่หันหน้ากลับมามอง ยิงคำถามมากมายหลากหลาย ประมาณว่าจะต้องรู้ให้ได้ว่า ฉันเป็นใคร? มาทำอะไรที่นี่? และจะอยู่กี่วัน? จะไปไหนบ้าง? มีเพื่อนอยู่ที่นี่หรือไม่...?

                      เมื่อมาไม้นี้ชักเข้าเค้าว่าอะไรๆที่น่ากลัวมากๆอาจจะไม่ถึงขั้นนั้น ฉันชักเริ่มรู้สึกว่าในเบื้องต้น เจ้านี่คงแค่มีเจตนาที่จะหาข้อมูลเพื่อที่จะประเมินเงินในกระเป๋าฉันก่อนว่าพกมามากน้อยเพียงใด หากรู้ว่าอยู่นานก็ต้องพกเงินมามาก ขั้นต่อไปจะได้อาสาเข้ามาช่วยหาที่พัก หรือบริการเรื่องการเดินทาง หรือเสนอโปรแกรมทัวร์ให้โดยคิดค่าตอบแทนมากกว่าที่ควรจะเป็นหรือพูดง่ายๆก็คือหาช่องทางหลอกเอาเงินฉันนั่นแหละ มันคล้ายกับเรื่องราวหรือประสบการณ์ที่คนเคยมาเที่ยวอินเดียได้ถ่ายทอดไว้และฉันโชคดีได้อ่านก่อนที่จะมาที่นี่

            ถึงตอนนี้ฉันใจชื้นขึ้นมาก เพราะดูๆสถานการณ์คงไม่เลวร้ายไปกว่าการพยายามหาทางหลอกเอาเงินเรา เมื่อประเมินได้เช่นนี้มีหรือที่ฉันจะยอมเพลี่ยงพล้ำเป็นจำเลยที่ซื่อสัตย์ ฉันเริ่มสบายใจและสนุกที่จะเป็นนักแต่งเรื่องเพื่อเอาตัวรอดให้ได้ซะแล้ว
                         ฉันบอกเล่าด้วยสำเนียงซื่อๆและดูจริงใจว่า ฉันมาเรื่องงานแต่ออกเดินทางมาล่วงหน้าเพื่อที่จะมาเที่ยวก่อนการทำงานสักสองวันและวันนี้จะมีเพื่อนคนไทยที่อยู่ที่นี่มารับจากที่พักเพื่อออกไปเที่ยว

            ฉันบอกเช่นนี้เพื่อให้เขารู้ว่าฉันไม่ได้มาเที่ยวนานๆและไม่ได้พกเงินมามากมาย นอกจากนั้น ยังให้รู้ว่าฉันมีเพื่อนอยู่ที่นี่ด้วยนะ ลูกไม้นี้ได้ผลทันใจเขาเงียบไป สักพักแท็กซี่ก็จอดข้างทางแล้วเจ้าหน้าดำสนิทก็ลงจากรถ แต่ก็ไม่ลืมหันกลับมายิ้มพร้อมโบกมือลา ฉันยิ้มให้ แอบเก็บอาการดีใจจนเนื้อเต้นไว้ข้างใน... ‘เฮ้อ..ไปซะได้ก็ดี.. อะไรทำไมมันดูง่ายดายแบบนี้....’
                         ฉันต้องขอบคุณผู้ที่ได้เล่าประสบการณ์ที่เจอทำนองนี้ออกมาเป็นตัวหนังสือให้ฉันได้มีโอกาสอ่านและเป็นประโยชน์ต่อฉันมากมายในวินาทีนี้ หวังว่าจากนี้ไปฉันคงไม่เจออะไรแบบนี้อีกนะ.... 

                      .......................
                                                     




 

Create Date : 29 มีนาคม 2555    
Last Update : 9 ตุลาคม 2555 12:00:27 น.
Counter : 925 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  

SmileIce
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




"คนฉลาดที่อยู่แต่ที่เก่า...ไม่เท่าคนโง่ที่เดินทาง.."
จากหลวงปู่หล้าตาทิพย์ วัดป่าตึง


"การเปลี่ยนแปลง...ต้องนำไปสู่สิ่งที่ดีกว่า..."

New Comments
Friends' blogs
[Add SmileIce's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.