การเดินทางนอกจากจะทำให้จิตใจแกร่งขึ้นแล้ว...ยังช่วยบ่มเพาะความคิดให้เติบโตตามไปด้วย...
Group Blog
 
All Blogs
 

อินเดีย...เดินเดี่ยวสู่สิกขิม /กาลิมปง ตอน 27. วัดใหญ่บนไหล่เขาสูง

วัดใหญ่บนไหล่เขาสูง

 

………..

 

                              เช้านี้เป็นเช้าแรกที่รู้สึกสบายๆมากที่สุดนับตั้งแต่มาเหยียบแผ่นดินอินเดีย

 

             ไม่ต้องรีบร้อนกับตารางเวลาที่วางไว้ ไม่ต้องเกรงใจผู้คนรอบข้าง รู้สึกชีวิตมันอิสระอย่างสมบูรณ์แบบในอีกรูปแบบหนึ่งจริงๆ กะว่าวันนี้จะไปสักสองสามแห่งที่อยู่แถบเดียวกันซึ่งไม่ห่างจากกันมากก่อน จากนั้นจึงจะเรียกรถขึ้นไปยังเดโล กะว่าสำหรับเมืองนี้น่าจะเพียงพอแล้วพรุ่งนี้จะไปต่อเมืองนามชิ(Namchi) เมืองที่เพียงได้เห็นชื่อตัวโตติดอยู่ข้างรถบรรทุกก็แอบนึกชอบแล้ว

 

                             ฉันเดินทับเส้นทางเมื่อวานเกือบสุดเส้นทางแล้วจึงเลี้ยวซ้ายขึ้นไปตามไหล่เขาอีกไม่เกินห้าร้อยเมตรก็เจอวัดกานเตน ธาปา โชริ่ง (Ganten Tharpa Choling Monastery) เป็นวัดทิเบตอีกวัดหนึ่งของกาลิมปง มีอายุกว่า 80 ปีตั้งอยู่บนไหล่เขาสูง ห่างจากวัดที่ไปเมื่อวานนี้ตามทางลาดไหล่เขาลงไปไม่น่าจะเกินเจ็ดร้อยเมตร แม้วัดนี้จะไม่ใช่วัดที่ใหญ่ที่สุดของเมืองกาลิมปง แต่ก็เป็นวัดทิเบตที่มีตัวอาคารโบสถ์สูงใหญ่มากที่สุดเท่าที่ฉันได้เห็นมา เจ้าโลกเหงาบอกว่าภายในโบสถ์ประดิษฐานพระไภษัชย (Bhaisajya) พระศากยมุนี(Sakyamuni) และพระไมตริยะ(Maitreya) ซึ่งเป็นองค์พระที่เปรียบเสมือนตัวแทนของพระพุทธเจ้าในอดีต ปัจจุบันและอนาคตตามลำดับ  ‘มิน่า..ตัวโบสถ์ถึงได้ดูสูงและกว้างใหญ่คงเพราะประดิษฐานพระพุทธรูปไว้ถึงสามองค์นั่นเอง’ คาดเดาเอาเอง  

 

                              ฉันมาถึงช่วงที่นักบวชลามะกำลังสวดมนต์ทำวัตรอยู่ในโบสถ์พอดีและมีทีท่าว่าจะดำเนินต่อไปอีกนาน ฉันเลยอดที่จะได้เข้าไปชมภายในตัวโบสถ์ รู้สึกเสียดายเพราะประตูทางเข้าโบสถ์ที่เห็นมีลวดลายสีสันและการแกะสลักลายที่ละเอียดและประณีตดูสวยงาม ลวดลายและสีสันนั้นต่อเนื่องขึ้นไปถึงส่วนที่เป็นเพดานดูอลังการชวนให้คิดว่าด้านในคงสวยกว่าหรือไม่แพ้กัน

 

                              ฉันเดินเตร่อยู่ด้านนอกจุดเด่นที่น่าสนใจของวัดนี้นอกเหนือจากโบสถ์น่าจะเป็นทิวทัศน์เทือกเขาที่สวยงามซึ่งมองได้จากสนามหญ้าหน้าโบสถ์ที่เขียวขจีกว้างเกือบครึ่งสนามฟุตบอล แต่ขณะนี้จากสนามหญ้ามองออกไปกลับกลายเป็นเวิ้งทะเลหมอกขาวโพลนเชื่อมกับท้องฟ้ากว้างเป็นผืนเดียวกันไปแล้วตรงนี้เดาว่าน่าจะเป็นหน้าผาสูง นึกเสียดายหากมาช่วงที่ท้องฟ้าแจ่มใสคงได้ชมทิวทัศน์เมืองกาลิมปงจากมุมสูงอีกมุมหนึ่ง กลางสนามหญ้ามีหญิงแก่กำลังนั่งถอนหญ้าที่ไม่ต้องการทิ้งอย่างละเมียดละไมขณะเดียวกันลามะหนุ่มรูปหนึ่งก็เดินแกว่งพวงกุญแจไปที่รถแล้วก็สตาร์ทขับออกไป

 

                             เมื่อหมดโอกาสเข้าชมภายในโบสถ์กอปรกับวิวทิวทัศน์ถูกบดบงด้วยเมฆหมอกไปทั่วส่วนอื่นของวัดก็ไม่มีอะไรน่าสนใจ ก่อนออกจากวัดเห็นพวงข้าวโพดแห้งห้อยระย้าเรียงกันยาวไปตามชายคาโรงครัวเก่าๆข้างโบสถ์ดูแล้วคลาสสิกไม่เบาเลยยกกล้องกดไปหนึ่งแชะ                 ..................................

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 




 

Create Date : 25 พฤษภาคม 2555    
Last Update : 4 ตุลาคม 2555 17:38:43 น.
Counter : 645 Pageviews.  

อินเดีย...เดินเดี่ยวสู่สิกขิม /กาลิมปง ตอน 26.กลับกลายเป็นคุ้นเคย



กลับกลายเป็นคุ้นเคย

.............

วันนี้น่าจะยังมีเวลาพอที่จะออกไปเตร็ดเตร่ที่ใกล้ๆได้บ้าง สอบถามเด็กหนุ่มคนดูแลเกสต์เฮ้าส์เขาถามฉันว่าจะอยู่กี่วันฉันตอบไม่ได้เพราะไม่รู้ว่าจะมีที่ให้เที่ยวได้แค่ไหน แผนที่คร่าวๆที่เขาให้มาดูสถานที่เที่ยวที่น่าสนใจก็จะเป็นพวกวัดมีอยู่สองสามแห่งที่อยู่ย่านเดียวกันและเดินจากที่พักไปถึง ไกลไปอีกในทิศทางเดียวกันเป็นสถานที่เพาะเลี้ยงดอกไม้ (flower’s nursery)และมีจุดชมวิวบนเขาสูงอยู่สองสามแห่งแต่ไม่ยักมีเดโล (Deolo) สำหรับบ่ายนี้กะว่าจะไปวัดที่อยู่ใกล้ๆสักสองแห่งและย้อนกลับมาเดินตลาดท้องถิ่นที่อยู่อีกด้านไม่ไกลจากที่พักชนิดเดินถึง

บนถนนที่ผ่านหน้าเกสต์เฮ้าส์มองไปรอบๆสังเกตได้ว่าเมืองนี้เป็นเมืองภูเขาที่มีลักษณะผังเมืองที่ดีพอสมควรตึกรามบ้านช่องแม้จะตั้งอยู่บนไหล่เขาแต่ก็ดูเป็นระเบียบมองดูเป็นชั้นๆ แต่ละชั้นมีถนนลาดยางเก่าๆผ่านหน้าตึกหรืออาคาร เขาลูกนี้มีถึงสามชั้น ฉันเดินอยู่บนถนนชั้นกลาง บางช่วงสามารถมองเห็นถนนได้ทั้งชั้นล่างและชั้นบน ระหว่างเดินบนถนนบางช่วงรู้สึกเหมือนเดินอยู่บนหลังคาตึกหรือบ้านคนที่ตั้งอยู่ชั้นล่างลงไป ได้อารมณ์ไปอีกแบบ

เดินไปเจอแขกกำลังคั่วถั่วลิสงขายมีเด็กๆรุมล้อมเลยเข้าไปอุดหนุน เขาม้วนกระดาษสีน้ำตาลเป็นรูปกรวยหยิบถั่วลิสงใส่ลงไปก่อนพับปากกรวยส่งให้ แว่บหนึ่งรู้สึกเหมือนได้กลายเป็นเด็กอีกครั้งด้วยวิธีการขายและบรรยากาศแบบเก่าๆที่คุ้นเคยเมื่อยามเด็กตามมาอยู่ที่นี่เอง มันช่างมหัศจรรย์จริงๆ... นี่แหละอินเดีย..ชีวิตที่ย้อนกลับสู่อดีตได้

ผ่านบ้านหลังหนึ่งเป็นบ้านชั้นเดียวก่อด้วยหินทั้งหลังตั้งอยู่บนไหล่เขาสูงขึ้นไปจากขอบถนน กุหลาบสีแดงและชมพูริมรั้วกำลังบานแข่งกันเต็มต้นโน้มลงมายิ้มรับผู้คนที่ผ่านไปมาช่างดูคลาสสิกซะจริงๆ

เดินต่อไปถนนเริ่มลาดลงจากไหล่เขาแล้วไปบรรจบกับถนนชั้นล่าง บรรยากาศเริ่มมืดครึ้มเหมือนฝนกำลังจะตกเมฆดำเคลื่อนตัวมาให้เห็นอย่างรวดเร็ว จะถอยหลังหรือเดินหน้าดูจากระยะทางคงไม่ต่างกันฉันเลือกเสี่ยงเดินหน้าเพราะน่าจะมีอะไรใส่เติมให้กับชีวิตได้มากกว่า

ก้าวยาวๆไปตามแผนที่ผ่านบ้านชาวบ้านที่อาศัยอยู่ตามตึกเก่าๆสภาพทรุดโทรมตึกเหล่านี้ส่วนมากจะมีรูปทรงหรือสไตล์แบบยุโรปสะท้อนความเป็นจริงที่ว่าเมืองนี้ในอดีตเคยถูกครอบครองโดยอังกฤษมาช่วงหนึ่งเช่นเดียวกับดาร์จีลิ่ง

สภาพบ้านเมืองทั่วไปที่เห็นไม่ว่าจะเป็นสิ่งก่อสร้างหรือผู้คนส่วนใหญ่ บอกเล่าให้รับรู้ได้ถึงร่องรอยของความเจริญรุ่งเรืองที่เคยมีมาก่อน หากมีใครสักคนบอกว่านี่คือผลพวงของการเป็นประเทศอาณานิคมมาก่อน ถ้าฟังเผินๆก็ชวนสงสัยว่าถ้าการเคยเป็นประเทศอาณานิคมหมายถึงการเคยมีความเจริญรุ่งเรืองมาก่อนก็อยากจะถามกลับไปอีกว่า‘ แล้วการรักษาความเจริญรุ่งเรืองที่เคยมีให้คงไว้มันน่าจะง่าย กว่าการที่จะต้องสร้างความเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาใหม่เองมิใช่หรือ?’ แต่ความจริงมันคงมิได้เป็นเช่นนั้นหรอกมันมีอะไรที่ซับซ้อนมากกว่าที่เห็นเป็นแน่

เดินไปอีกไม่ไกลก็เจอวัดแรกคือวัดทองสา(Thongsa Gompa) เป็นวัดขนาดเล็กแต่เก่าแก่ที่สุดในกาลิมปง วัดในแถบนี้ของอินเดียส่วนใหญ่เป็นวัดพุทธสายทิเบต จากรูปลักษณ์ภายนอกไม่ว่าจะรูปทรงหรือลวดลายสีสันของตัวโบสถ์ หรือแม้แต่กงล้ออธิษฐาน(wheel prayer)รอบโบสถ์ที่มีสีสันสดใสก็ไม่ต่างจากวัดทิเบตที่ดาร์จีลิ่ง แต่จากประวัติความเป็นมาของวัดนั้นแปลกออกไปตรงที่ว่าวัดนี้ถูกสร้างขึ้นมาโดยชาวภูฏานมีอายุมานานไม่ต่ำกว่าสามร้อยปีแล้ว แต่กงล้ออธิษฐานมาสร้างใหม่ภายหลังอายุประมาณร้อยกว่าปีได้ หลักฐานเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าที่นี่มีชาวภูฏานมาปักหลักอาศัยอยู่เป็นเวลาเนิ่นนานแล้ว ชวนให้รู้สึกว่าชาวทิเบตและชาวภูฏานจะต้องมีความใกล้ชิดสนิทกันมากมาตั้งแต่อดีตอันยาวไกลโดยดินแดนของอินเดียแถบนี้ก็คงเคยเป็นที่พำนักของชนสองชาติมาแล้วเช่นกัน

ด้วยกลัวฝนมาเลยไม่ได้เข้าไปในโบสถ์แค่เดินชมภายนอก ลักษณะภายนอกโดยรวมก็เหมือนวัดทิเบตที่เห็นผ่านๆมาภายในบริเวณวัดนอกจากจะมีโบสถ์ก็มีเจดีย์หรือสถูป (stupa) ขาวแบบทิเบต และอาคารที่พักของพระสงฆ์อยู่ข้างโบสถ์ช่วงนี้วัดดูเงียบๆที่เห็นมีเพียงเณรหนึ่งรูปและหญิงแก่หนึ่งคนกำลังเดินหมุนกงล้ออธิษฐานด้วยแรงศรัทธาในอาการสำรวม

ฉันตัดสินใจไม่ไปต่ออีกหนึ่งวัดซึ่งอยู่ห่างออกไปอีกประมาณห้าร้อยเมตร แต่ระหว่างเดินกลับอากาศที่มืดครึ้มกลับเริ่มแจ่มแจ้งขึ้นเพราะเมฆฝนได้ถูกลมบนหอบพาไปที่อื่นเกือบหมดแล้ว พอดีข้างทางที่ผ่านมีวัดทิเบตเล็กๆเห็นได้ชัดเจนเลยแวะเข้าไปชมแต่ลักษณะและบรรยากาศทั่วๆไปดูแล้วก็เหมือนจะจำลองกันละกันมาเกือบทั้งหมดเลยแอบถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึกแล้วก็กลับ

มาถึงหน้าที่พักเดินเลยลงจากเนินเขาไปไม่ถึงสองร้อยเมตรก็เจอตลาดท้องถิ่นที่กำลังจะวาย มีของวางขายในบรรยากาศที่คล้ายๆตลาดต่างจังหวัดของไทย เลยได้อุดหนุนกล้วยชาวบ้านกลับมาทาน 4-5 ลูก

มื้อเย็นวันนี้ฝากท้องที่เกสต์เฮ้าส์ระเห็จขึ้นไปกินบนดาดฟ้าเคล้ากับวิวเมฆหมอกที่ครึ้มเกลื่อนเต็มนภาอีกครั้ง หากหวังจะชมกังเชนจุงกาที่นี่ก็ต้องบอกว่าลืมไปได้เลย...... ตอนนี้ทำใจได้แล้ว ‘ก็อยากมาหน้าฝนมันก็ต้องเจอแบบนี้แหละ’

แต่ยังไงวันนี้ก็นับเป็นวันที่ปลอดโปร่งจากผู้คนมากที่สุดเหมือนเป็นเจ้าของเกสต์เฮ้าส์ซะเองยังไงยังงั้นมีอะไรก็เรียกเด็กคนงานซึ่งได้รับการบริการที่ดีเยี่ยม

หลังมื้อเย็นเลยได้โอกาสอ่านเรื่องราวเกี่ยวกับเมืองกาลิมปงซึ่งทำให้ได้รู้ว่าเมืองนี้ในอดีตเคยอยู่ภายใต้การปกครองของประเทศสิกขิมมาก่อน จากนั้นจึงตกเป็นของประเทศภูฏานในช่วงศตวรรษที่สิบแปด แต่ต่อมาอังกฤษได้เข้ามาครอบครองอยู่ช่วงหนึ่งสุดท้ายเมื่ออินเดียได้รับเอกราชจากอังกฤษ กาลิมปงก็ตกเป็นของอินเดียโดยปริยาย และกาลิมปงก็กลายเป็นเมืองชายแดนของอินเดียที่ติดกับประเทศภูฎานและสิกขิมโดยอัตโนมัติ(ปัจจุบันสิกขิมกลายเป็นรัฐที่อยู่ภายใต้การปกครองของอินเดีย)

อย่างนึกไม่ถึงมันได้รื้อฟื้นความจำของฉันให้ระลึกได้ว่าเมืองกาลิมปงนี่เองที่ฉันเคยรู้จักโดยผ่านหนังสือสองสามเล่มที่เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับทิเบตและการอพยพของชนชาวทิเบตที่หนีการรุกรานของจีนลงมายังดินแดนทางใต้ของประเทศทิเบตซึ่งติดกับประเทศอินเดีย เนปาล ภูฏาน และสิกขิม และเมืองหนึ่งที่ชาวทิเบตชอบผ่านชายแดนเข้ามาก็คือเมืองกาลิมปงนี่เอง..ฉันเริ่มคุ้นกับชื่อนี้แล้ว… ไม่น่าเชื่อว่าฉันจะได้มาเยือนดินแดนที่เคยรู้จักแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจมาก่อน...อัศจรรย์อีกแล้ว....

 การที่จีนได้เข้าไปครอบครองทิเบตเมื่อห้าสิบกว่าปีก่อน ชาวทิเบตที่ถูกรุกรานส่วนหนึ่งไม่พอใจที่จะอยู่ภายไต้การปกครองของจีนจึงได้ตัดสินใจเดินเท้ารอนแรมบุกหิมะและฝ่าลมหนาวระหกระเหินลงมายังดินแดนซึ่งอยู่ทางใต้ของประเทศ 

ที่เลวร้ายและแสนเศร้าสำหรับฉันก็คือเมื่อฉันได้ดูหนังสารคดีเกี่ยวกับการอพยพของชาวทิเบต ซึ่งไกด์นักปีนเขาชาวยุโรปบังเอิญถ่ายไว้ได้มันเป็นภาพการเดินเท้าของกลุ่มชาวทิเบตที่พยายามจะหลบหนีออกจากทิเบต ระหว่างการเดินทางย่ำเท้าไปบนหิมะหญิงสาวคนหนึ่งต้องล้มลงแดดิ้นด้วยลูกกระสุนปืนของทหารจีนที่แอบไล่ล่ามาโดยที่พวกเขาไม่รู้ตัว กลุ่มคนแตกกระเจิงหนีเอาตัวรอดเป็นที่น่าเวทนายิ่งนัก เมื่อภาพนี้ออกเผยแพร่สู่สายตาชาวโลกรัฐบาลจีนก็พยายามออกมาปฏิเสธด้วยเหตุผลต่างๆนาๆแต่ยังไงชาวโลกก็พิจารณาได้

ปัจจุบันอินเดียเป็นประเทศที่รับผู้อพยพชาวทิเบตไว้มากที่สุด ส่วนใหญ่ชาวทิเบตจะอาศัยอยู่ในเมืองทางแถบเหนือของประเทศอินเดีย เช่นที่ธรรมศาลา เลห์ และเมืองในแถบเบงกอลตะวันตก

ท่านดาไลลามะองค์ปัจจุบัน(องค์ที่ 14) ถือเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณของชาวทิเบตซึ่งพวกเขาให้ความเคารพรักและบูชายิ่ง ก็ได้หนีเข้ามาตั้งหลักอยู่ในอินเดียเช่นกัน โดยรัฐบาลอินเดียได้ให้ความช่วยเหลือเป็นอย่างดี และนี่นับเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้จีนและอินเดียต้องหมางเมินกันด้วยจีนกล่าวหาว่าอินเดียแสดงท่าทีเป็นปฏิปักษ์ต่อจีนโดยการให้ที่พักพิงแก่ท่านดาไลลามะ ปัจจุบันท่านดาไลลามะพำนักอยู่ที่เมืองธรรมศาลา

ด้วยสภาพภูมิประเทศที่มีพื้นที่ติดต่อเชื่อมโยงกันทำให้ชาวอินเดีย ทิเบต เนปาล ภูฏานและสิกขิมไปมาหาสู่ มีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดและยาวนานมาตั้งแต่อดีต จึงไม่แปลกที่ชนทั้งห้าชาติจะมีความเชื่อ ศาสนา วัฒนธรรมและประเพณีที่เหมือนหรือคล้ายคลึงกันมาก ดังนั้น กาลิมปงจึงเป็นเมืองชายแดนของอินเดียเมืองหนึ่งที่มีชาวทิเบตอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก และด้วยเคยอยู่ภายใต้การปกครองของภูฏานมาก่อนจึงทำให้ยังคงมีชาวภูฏานอาศัยอยู่ในเมืองนี้อีกไม่น้อยเช่นกัน

ฉันเองรู้สึกปลาบปลื้มแกมแปลกใจไม่หายเพราะคาดไม่ถึงว่าจะมีโอกาสได้มาสัมผัสกับดินแดนแห่งเทือกเขาหิมาลัยอันห่างไกลซึ่งเคยรู้จักจากตัวหนังสือด้วยความสนุกสนานและชื่นชอบไม่เพียงแต่จากเรื่องราวของความลี้ลับแห่งดินแดนแถบนี้แต่รวมถึงอดีตที่น่าตื่นเต้นและซับซ้อนของผู้คนที่เกี่ยวข้องด้วย.....มันเป็นการได้ก้าวไปสู่ความเป็นจริงในโลกที่ก่อนนั้นฉันเคยสัมผัสได้เพียงจินตนาการ (แม้ความเป็นจริงในปัจจุบันกับจินตนาการที่เคยมีจะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงก็ตาม) 

.......................




 

Create Date : 25 พฤษภาคม 2555    
Last Update : 31 ตุลาคม 2560 14:52:04 น.
Counter : 862 Pageviews.  

อินเดีย...เดินเดี่ยวสู่สิกขิม /กาลิมปง ตอน 25. งุนงงแกมตระหนก



งุนงงแกมตระหนก

..........

เจ้าซูโม่กลางเก่ากลางใหม่เคลื่อนตัวออกจากคิวรถ (bus stand) ที่อยู่ริมถนนแคบๆอย่างมั่นใจ...ซูโม่ก็คือยี่ห้อรถจี๊ปของอินเดียอีกยี่ห้อหนึ่งที่ดังและเป็นที่นิยมไม่แพ้ยี่ห้อทาทา พวกนี้มันถนัดในการป่ายปีนไปตามไหล่เขาอย่างสมบุกสมบันและทรหดอดทน หากเปรียบเป็นคนมันก็คือทาสที่ซื่อสัตย์ระหกระเหินไปได้ทุกที่เคียงข้างเจ้านายผู้บงการหลังพวงมาลัยและเมื่อถึงคราจำเป็นมันก็ยอมตายถวายชีวิตให้กับเจ้านายได้ วันนี้ก็คงจะเหมือนทุกๆวันที่มันจะต้องรับภาระแบกข้าวของและผู้คนจนหลังแอ่นแล้ววิ่งไปให้ถึงจุดหมายที่นายสั่ง

โชคดีที่ฉันมาก่อนผู้โดยสารหลายคนเลยได้นั่งข้างหน้าและไม่ติดคนขับ คงจะเป็นเพราะรถที่ไปกาลิมปงมีไม่กี่เที่ยว เที่ยวนี้จึงแน่นเบียดกันทุกแถวมันล้นขึ้นไปถึงหลังคา รอบๆหลังคาทั้งด้านข้างและด้านหลังมีขาห้อยลงมาเป็นคู่ๆเรียงแถวอย่างเป็นระเบียบ ผู้โดยสารนอกจากจะถูกแบ่งเป็นชนชั้นแล้วยังถูกแบ่งเพศไปโดยอัตโนมัติด้วย ชนชั้นบนเป็นชายทั้งสิ้น ส่วนชั้นล่างก็เป็นหญิงหมด แถวหน้าแน่นอนรวมคนขับเป็นสี่ มันแน่นจนให้รู้สึกเห็นใจสาวน้อยคนที่นั่งข้างคนขับเธอต้องเบี่ยงก้นล้ำแดนไปแชร์ที่นั่งกับคนขับเกือบครึ่ง ด้านหลังมีทั้งสาวรุ่นนักท่องเที่ยวจากแถบยุโรปและสาวอินเดีย รวมทั้งชาวบ้านต่างวัยนั่งเบียดกันเต็มพื้นที่

ท่ามกลางผู้คนแปลกหน้ากับการเริ่มต้นอย่างโดดเดี่ยวอีกครั้งทำให้ฉันอดที่จะกลับมาสำรวจความรู้สึกตัวเองไม่ได้ ...คำตอบที่ได้ตอนนี้ก็คือไม่ค่อยรู้สึกกลัวอะไร ออกจะมั่นใจกับการเดินทางตามลำพังมากขึ้น ดูๆมันก็เหมือนการเดินทางที่เมืองไทยเมื่อเรามีจุดหมายว่าจะไปไหนและรู้ว่าจะไปอย่างไรเราก็ไปได้โดยไม่รู้สึกหวั่นไหว โดยเฉพาะผู้คนทั่วไปส่วนใหญ่ดูมีความเป็นมิตรสูง... แต่..พอนึกอีกที...กาลิมปง...เมืองที่ฉันเพิ่งได้ยินจากปากของรูปาภรรยายูเอสเป็นครั้งแรกเมื่อวานนี้ แต่บังเอิญได้รับรู้ข้อมูลเชิงบวกเพิ่มเติมจากบิจอยแม้จะเพียงเล็กน้อยแต่ก็พึงใจเลยเผลอตัดสินใจหยิบขึ้นมาเบียดหน้าสิกขิมทันทีในฐานะที่อยู่ใกล้กับดาร์จีลิ่งมากกว่า

แต่ยังไงก็ตาม จนบัดนี้ฉันยังไม่ได้ศึกษาหาข้อมูลพื้นฐานให้แน่นพอที่จะก้าวไปเสี่ยงไม่ว่าจะข้อมูลเกี่ยวกับสภาพแวดล้อม ที่พักหรือแม้แต่สถานที่เที่ยวที่น่าสนใจก็ยังไม่มีรายละเอียดอะไร คิดแต่เพียงว่าเจ้าโลกเหงา (lonely planet) เพื่อนยากคงจะช่วยได้แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้ว่างที่จะเปิดมันอ่านซักทีเพราะพอมีช่วงว่างนิดหน่อยความขี้เกียจก็วิ่งเข้ามาแทรกทุกครั้ง คงเพราะความอ่อนล้าจากการเที่ยวชนิดนันสต้อป (non-stop) นั่นแหละจนนาทีนี้ฉันก็ยังนึกภาพเมืองกาลิมปงไม่ออกได้แค่ประเมินคร่าวๆจากคำบอกเล่าของรูปาและบิจอยที่ว่า

“กาลิมปงก็น่าไปนะถ้าคุณชอบขึ้นเขาสูง แนะนำให้คุณขึ้นไปเดโล่(Deolo)ที่นั่นจะเป็นเหมือนสวนสาธารณะที่อยู่บนยอดเขา อากาศเย็นสบายดอกไม้สวย บนนั้นมีที่พักด้วย” รูปาบอกกล่าวเชิงชี้แนะผ่าน   บิจอยขณะที่เราสามคนมีโอกาสได้อยู่ด้วยกัน ส่วนหนึ่งคงเพราะบิจอยได้ถ่ายทอดคำเปรยของฉันให้เธอรู้ว่าฉันออกจะเสียดายที่ไม่ได้ไปเคอซงเมืองบนยอดเขา เพราะหากจะไปตอนนี้ก็จะกลายเป็นการย้อนเส้นทางที่มาเพราะจุดต่อไปฉันตั้งใจจะต่อขึ้นไปสิกขิมที่อยู่สูงขึ้นไปอีก บิจอยเสริมแม่ต่อว่า

“คุณแวะกาลิมปงก่อนไปต่อสิกขิมก็ดีนะเพราะกาลิมปงอยู่ระหว่างดาร์จีลิ่งกับสิกขิม ที่นั่นคุณสามารถดูกังเชนจุงกาได้ด้วย” แน่ะเอากังเชนจุงกามาล่อฉันอีก

“แล้วที่สิกขิมดูกังเชนจุงกาได้ใหม?” ฉันคลับคล้ายคลับคลาว่าที่สิกขิมก็สามารถเห็นกังเชนจุงกาได้แต่เพื่อความมั่นใจเลยขอถามย้ำอีกทีเพราะเห็นเขาเชียร์ให้ไปดูที่กาลิมปง

“ดูได้เหมือนกัน แต่ที่กาลิมปง เดโลก็น่าไปพวกเราเคยไปที่นั่นดอกไม้สวยมาก อากาศดีจริงๆอยู่บนนั้นถ้าท้องฟ้าไม่มีเมฆหมอก มองลงมาจากยอดเขาจะเห็นวิวทิวทัศน์รอบๆสวยงามมาก” เขาเชียร์ต่อ

แรงเชียร์ของสองแม่-ลูกเกี่ยวกับกาลิมปง แม้จะแค่สามหรือสี่ประโยคก็เพียงพอแล้วสำหรับการตัดสินใจของฉันผู้ซึ่งคลั่งไคล้ไหลหลงที่สูง มันเป็นความสุขอย่างเยี่ยมยอดเมื่อมีโอกาสได้ขึ้นไปยืนอยู่บนเขาสูงๆแล้วมองลงไปเบื้องล่างรอบๆตัวเรามันเหมือนกับทุกสิ่งทุกอย่างในโลกอยู่ภายใต้สายตาแห่งเรา

ฉะนั้น กาลิมปงหากจะประมาณหรือประเมินตามที่ได้รับรู้จากสองแม่-ลูกก็คงจะเป็นเมืองเล็กๆหรือหมู่บ้านที่ใหญ่หน่อยอยู่ท่ามกลางป่าเขาเช่นเมืองหรือหมู่บ้านหลายๆแห่งที่เคยนั่งรถผ่านมา หรือถ้าเป็นเมืองใหญ่ขึ้นมาหน่อยก็อาจจะไม่ต่างจากมิริคเท่าไหร่ การที่แต่ละเมืองในแถบนี้จะมีสถานที่พักผ่อนหรือที่ท่องเที่ยวบนยอดเขาคงไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะแถบนี้ถือเป็นถิ่นภูเขาอยู่แล้ว จึงหวังว่าเมื่อไปถึงที่นั่นคงจะเดินหาที่พักพิงสักแห่งได้ไม่ยาก

นับจากนี้ไปเจ้าโลกเหงาคงจะเป็นตัวช่วยตัวเดียวที่ฉันมอบชีวิตให้นำทาง

เส้นทางที่รถแล่นเลี้ยวและลุยไประหว่างป่าเขาดูแล้วไม่แตกต่างจากเส้นทางมิริคกับดาร์จีลิ่ง ความงามของทิวทัศน์เบื้องหน้าและสองข้างทางบอกได้คำเดียวว่าสวยได้ใจจริงๆ ไม่ว่าจะ หุบเขา เมฆหมอก ต้นไม้ หรือแม้แต่สายธารเล็กๆที่รถต้องแล่นลุยตัดผ่านไปล้วนก่อเกิดและประกอบกันขึ้นมาเป็นส่วนผสมที่ลงตัวของธรรมชาติทั้งสิ้น แต่ที่น่าอัศจรรย์กว่านั้นทุกอย่างดูมันเคลื่อนไหวเป็นตัวของมันเองได้อย่างน่าประทับใจ

ชื่นชมความงามของสองข้างทางอยู่ได้ไนาน

 อาการง่วงเหงาหาวนอนและอ่อนเพลียจาก ชีวิที่สมบุก

สมบันเมื่อสองสามวันที่ผ่านมาก็เริ่มแผลงฤทธิ์

มันง่วงสุดๆหนังตาหนักอึ้งพยายามจะฝืนก็ ไม่เป็นผล 

ตอนนี้ความมีชีวิตชีวาของสองข้างทางไม่ได้มีอิทธิพลเหนืออารมณ์ใดๆแล้ว สุดท้ายเลยต้องปล่อยเลยตามเลยมีเพียงจิตสำนึกลึกๆที่รับรู้อาการสัปหงกโยกไปเอนมาและกระทบ กระแทกเอาคนข้างๆ แต่ความรู้สึกตอนนั้นมันช่างสุขเหลือล้ำเหนือความเกรงใจผู้ใดทั้งสิ้น... แต่พอได้สติตื่นขึ้นมาจากอาการสลบไสลก็อายจนแทบจะไม่อยากมองหน้าใครๆในรถ

ไม่นานรถก็วิ่งพ้นแนวป่ามองเห็นชุมชนใหญ่อยู่เบื้องหน้า ตึกรามบ้านช่องที่ดูค่อนไปทางเก่าแก่และทรุดโทรมเรียงรายตามไหล่หรือหุบเขาเต็มไปหมดยังไม่แน่ใจว่าจะเป็นกาลิมปงหรือไม่ ออก จะก้ำกึ่งเพราะดูเป็นเมืองที่ใหญ่กว่าที่คาดไว้ แต่พอรถจอดให้ผู้โดยสารลง ณ จุดที่น่าจะเป็นใจกลางเมืองเพราะมีผู้คนรถราเต็มไปหมด รอบๆเป็นร้านค้าและตึกสูงบรรยากาศรู้สึกได้ถึงความแออัดและโกลาหล ฉันมองท่าทีผู้โดยสารข้างๆทุกคนอยู่ในอาการเตรียมพร้อมที่จะลง เพื่อความมั่นใจฉันถามคน ข้างๆด้วยคำพูดคำเดียวว่า 

“กาลิมปง?” เธอพยักหน้าตอบ

         ลงจากรถบรรยากาศโดยรอบชวนให้รู้สึกตระหนกหนุ่มแขกตัวดำต่างเข้ามากลุ้มรุมผู้โดยสารที่ลงจากรถทันทีพร้อมส่งเสียงเซ็งแซ่แข่งกันแย่งลูกค้าฉันเองยังตั้งตัวไม่ติดด้วยทุกอย่างรอบตัวมันต่างไปจากที่คาดไว้มาก

พอมองรอบตัวพลันสายตาก็เหลือบไปเห็นหนุ่มหนึ่งเอื้อมมือขึ้นไปรับเป้ของฉันซึ่งกำลังถูกส่งลงมาจากหลังคารถคิดว่าเขาจะช่วยรับวางลงที่พื้น แต่เปล่าเขากลับหิ้วมันเดินฝ่าผู้คนที่โกลาหลอยู่รอบๆรถออกไป ฉันตกใจจึงรีบวิ่งตามอีกใจก็ยังพะวงกับถุงนอนที่ยังอยู่บนหลังคารถเมื่อถึงตัวเขาฉันจึงรีบคว้าเป้กลับมาด้วยความโมโห แล้วรีบกลับมาที่รถเพื่อรอรับถุงนอน ....'เกือบไปแล้วใหมล่ะ

ดีนะที่ตาไวมองเห็นซะก่อน....'

แต่แล้วฉันก็เห็นเขาเดินกลับมาที่รถอีกเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ตอนนี้เลยชักไม่แน่ใจแล้วว่าเขาจงใจจะฉวยโอกาสขโมยเป้ของฉันหรือว่านี่คือการจับจองเชิงบังคับลูกค้าหรืออาจเป็นการช่วยบริการลูกค้าเบื้องต้นเพื่อจูงใจให้ลูกค้าต้องใช้บริการรถเขาก็ไม่รู้ แต่ลักษณะอาการแบบนี้มันเสี่ยงจริงๆยากที่จะให้มองในแง่บวกได้

             จะยังไงก็แล้วแต่ ตอนนี้ฉันขวัญเสียไปแล้ว ได้ถุงนอนเลยรีบแบกเป้ฝ่าวงล้อมผู้คนออกมาให้พ้นจากความวุ่นวายและเซ็งแซ่รอบๆรถซะก่อน แต่แล้วก็ไม่วายมีไอ้หนุ่มอีกสองสามคนรวมทั้งเจ้าคนที่ฉกเป้ของฉันไปเมื่อสักครู่ตามมาตื้อเพื่อจะให้ใช้บริการรถของพวกเขา 

ฉันร           ฉันรู้สึกหงุดหงิดกับสิ่งที่เกิดขึ้นและออกจะงุนงงเพราะไม่รู้ว่าจะไปทางไหนดีไม่ได้หาข้อมูลเกี่ยวกับที่พักและสถานที่ต่างๆของเมืองนี้ไว้ล่วงหน้า คิดไว้แต่ว่าที่นี่น่าจะออกแนวหมู่บ้านหรือเมืองเล็กๆที่เดินแบกเป้หาที่พักได้ไม่ยาก แต่เอาเข้าจริงๆมองไปทางไหนมีแต่ผู้คนเต็มไปหมด ตึกรามบ้านช่องก็ดูเก่าๆค่อนไปทางสกปรก ผู้โดยสารหลายคนที่มารถคันเดียวกันรวมทั้งฝรั่งนักท่องเที่ยวสาวรุ่นสามสี่คนก็อันตรธานไปทางไหนอย่างรวดเร็วก็ไม่รู้หวังจะเป็นที่พึ่งซะหน่อยก็ไม่ได้ บอกตัวเองว่าดีที่สุดตอนนี้ต้องรีบเดินออกไปตั้งตัวให้ห่างจากพวกคนรถที่ตามตื๊อเสียก่อน

ฉันรีบเดินหนีผู้คนชนิดไม่ยอมสนใจหรือสบตาใครทั้งสิ้น นับว่ายังโชคดีที่มาถึง ช่วงเที่ยงกว่าๆมีเวลาเหลือเฟือที่จะได้ตั้งตัวและถือโอกาสทำความรู้จักเมืองนี้กับเจ้าโลกเหงาเพื่อนยากอย่างเป็นทางการซะที

เดินออกจากคิวรถ(เมืองนี้เขาเรียก motor stand ) มาได้สักพักลองมองย้อนกลับไปดูที่เดิมอีกที.... อ๊าว.. ไอ้หนุ่มตัวดำหนึ่งในสามที่ตามตื๊อเมื่อสักครู่ยังอุตส่าห์เดินตามมาห่างๆอีก... ฉันล่ะอ่อนใจกับคนพวกนี้จริงๆ เลยเดินต่อและทำเป็นไม่สนใจหันกลับไปดูอีก

นึกๆดูอีกทีก็ขำ ไม่ได้เจอบรรยากาศแบบนี้ซะหลายวันเพราะมัวแต่วาสนาดีมีคนอุ้มชูพาเที่ยวแบบไฮโซเลยชักจะลืมๆกำพืดเดิมไปซะแล้ว ‘เอาวะ...ก็ดีเหมือนกันเจอๆเพื่อเตือนให้ได้รู้ไว้มั่งว่าชีวิตคนเราไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอไปหรอกน่ะ นับจากนี้ไปเจ้าจะต้องกลับไปสู่โลกแห่งความเป็นจริงของเจ้าแล้ว... ’บอกตัวเอง 

เดินออกมาไกลพอควรเจอทางแยกมีร้านขายขนม ในร้านมีขนมสไตล์แขกๆหลากชนิดหลายรูปแบบโชว์อยู่ในตู้กระจกดูแล้วน่าจะพอกินได้ ที่เยี่ยมกว่านั้นมีโต๊ะและเก้าอี้ยาวสองสามตัวยังว่างอยู่ ช่างเหมาะที่จะได้อาศัยเป็นที่นั่งเสวนากับเจ้าโลกเหงาเพื่อนยากให้ได้เรื่องได้ราวซะที ปะเหมาะจะได้สอบถามผู้คนเพิ่มเติมอีกเพราะบางทีเจ้าโลกเหงาก็รู้ไม่ทันโลกปัจจุบันทั้งหมดหรอก บางอย่างต้องอัพเดทจากผู้คนในพื้นที่อีกที 

หลังจากจัดแจงวางของอันพะรุงพะรังให้เข้าที่เข้าทางในร้านเพื่อไม่ให้เกะกะชาวบ้านแล้ว พอเงยหน้าขึ้นก็เจอกับสายตาทุกคู่ที่อยู่ในร้าน รวมทั้งของเด็กหนุ่มๆคนงานในร้านที่มีอยู่สองสามคนพุ่งเป้ามาที่ฉัน มันไม่ใช่สายตาที่มองคนธรรมดาทั่วไปแต่เป็นสายตาแปลกๆเหมือนมองมนุษย์ต่างดาวมากกว่าที่จะมองมนุษย์เดินดินกินข้าวเหมือนๆกัน เขาทำให้ฉันต้องหันกลับมาสำรวจตัวเองและข้าวของที่จัดวางไปเมื่อสักครู่อีกครั้งว่ามันบกพร่องหรือก่อกวนสิ่งแวดล้อมในร้านให้เป็นที่น่าขัดเคืองผู้คนตนใดหรือไม่ แต่ดูแล้วก็เรียบร้อยดีทุกสิ่ง และพอเงยหน้าขึ้นมาอีกที ก็ยังทันได้เห็นอาการรีบเบนสายตาจากฉันของผู้คนแล้วหันไปหัวเราะให้กันเเหมือนขบขันในอากัปกริยาหรือท่าทีของฉันเสียเต็มประดา.. ‘เอ๊ะหรือว่าเขาคิดว่าฉันเป็นมนุษย์มาจากต่างดาวจริงๆก็ไม่รู้ ’

ฉันทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ยกมือขึ้นเป็นสัญญาณเรียกเด็กในร้านหนึ่งในนั้น พร้อมลุกขึ้นไปหน้า  ตู้กระจกที่มีขนมเรียงรายอยู่ข้างใน แล้วก็ ชี้...ชี้......ชี้....เอาอย่างละชิ้น

                “สไปรท์”บอกไปคำเดียวพร้อมยกนิ้วชี้ขึ้นเป็นสัญลักษณ์ 

ของกินมาเสริฟตรงหน้าแถมอมยิ้มขำๆจากคนเสริฟชนิดฉันเองก็ไม่รู้ว่าเขาขำอะไรนักหนา นึกหาเหตุที่คนที่นี่มองฉันแบบแปลกๆไม่เจอ เลยสรุปเอาว่าคงเป็นเพราะหน้าตาฉันมันแปลกไปจากคนที่นี่เช่นเดียวกับที่ฉันได้เจอมาแล้วที่หน้าสวนสาธารณะที่โกลกาตา... มันแน่นอนอยู่แล้วหน้าตา กะเหรี่ยงย่อมไม่เหมือนฝรั่งนักท่องเที่ยวจากแดนไกลที่เขารู้สึกคุ้นเคยมากกว่า แถมเป็นกะเหรี่ยงหญิงระหกระเหินมาเดี่ยวๆคนเดียวคงจะเป็นอะไรที่พิสดารมากๆสำหรับคนที่นี่

ฉันก้มหน้าก้มตาเสวนากับเจ้าโลกเหงาเพื่อนยามยากไปพร้อมๆกับการละเลียดขนมแขกที่หวานจนแสบคอสลับกับการตอกย้ำความหวานให้สะใจด้วยการกรอกสไปรท์ลงคอไปอีกเผื่อว่าชีวิตจะได้เจออะไรที่ดูหวานๆขึ้นมาบ้าง 

ได้เวลาอันควรจึงตัดสินใจเลือกเกสต์เฮ้าส์ที่คิดว่าราคาไม่แพงนัก แถมมีดาดฟ้า(roof top)ให้ชมวิวทิวทัศน์ยอดเขาด้วย มันตั้งอยู่บนถนนไตรพาย(tripai) ในย่านเดียวกันมีเกสต์เฮ้าส์ระดับใกล้เคียงกันอีกสองสามแห่ง ไว้เป็นทางเลือกใหม่หากไม่พอใจแห่งแรก แต่ว่าจะอยู่ไกลแค่ไหนนั้นยังไม่รู้น่าจะประมาณได้จากค่ารถที่คนขับเรียกเอาได้ 

เจอรถสองแถวขนาดเล็กเรียกว่ารถกระป๋องน่าจะเหมาะกว่าเพราะมันดูกระป๊องกระป๋อง ลักษณะเหมือนตุ๊กๆเมืองไทยแต่ตัวล้อเล็กกว่ามากชนิดวิ่งเร็วๆแล้วเลี้ยวก็เสียวคว่ำเอาง่ายๆได้ ฉันบอกชื่อเกสต์เฮ้าส์ไปเขาพยักหน้าบอกราคา

“สามสิบรูปี” ฉันต่อตามธรรมเนียมที่ยี่สิบรูปีเขาส่ายหน้า ฉันถามต่อว่า

“สามสิบรูปี ฉันไปคนเดียวใช่ไหม?” เขาพยักหน้าฉันเลยตะกายขึ้นรถ รถวิ่งไปได้ไม่ถึงนาทีเขาก็ผิดสัญญาโดยรับเด็กหนุ่มที่โบกอยู่ข้างทางขึ้นมา ฉันทำเฉยเพราะไม่อยากเสียพลังงานอ้าปาก สักพักเด็กหนุ่มก็ลงไปและจ่ายเงิน รถวิ่งขึ้นเนินเขาที่มีตึกรามบ้านช่องทั้งสองข้างทางได้อึดใจหนึ่งก็จอดหน้าตึกเก่าทรงยุโรป ฉันชะงักเล็กน้อยไม่อยากเชื่อว่าถึงแล้ว แต่พอมองผ่านเหนือประตูรั้วทึบขึ้นไปก็เห็นป้ายชื่อเกสต์เฮ้าส์ตัวโตติดอยู่บนผนังตึก ชัดเจนว่าถึงแล้วเขาพามาไม่ผิดที่ แต่ผิดสัญญานิดหน่อยกอปรกับระยะทางประมาณว่าไม่เกินสามร้อยเมตรเทียบกับราคาแล้วฟันธงได้เลยว่า ‘โดนแขกหลอกให้แล้ว ’เพื่อไว้เชิงซักนิดก่อนควักเงินเลยต่อว่าไปซะหน่อย

“อะไรใกล้นิดเดียวเอาตั้งสามสิบรูปี” เขาทำหน้ามึนๆเหมือนไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น... ป่วยการที่จะไปต่อล้อต่อเถียง

ตึกเก่าสองชั้นทรงยุโรปถูกปรับมาเป็นที่พักสำหรับนักท่องเที่ยว ดูรวมๆก็คลาสสิกดี ด้านหน้าตึกอาจจะดูแคบแต่พอเดินทะลุไปด้านหลังกลับเจอพื้นที่กว้างขึ้นจัดเป็นสวนหย่อมตกแต่งด้วยไม้ดอกเมืองหนาวดูน่ารักแถมมีที่นั่งพอเป็นที่หย่อนใจของแขกที่มาพัก ถัดเข้าไปด้านในเป็นตึกสูงทรงสมัยใหม่สำหรับห้องพักที่ขยายเพิ่ม ชั้นสูงสุดมีดาดฟ้า ฉันพักที่ตึกหน้าซึ่งภายในได้ปรับปรุงให้ดูใหม่ ในห้องมีสองเตียงห้องน้ำสะอาดใช้ได้เมื่อเทียบกับราคาถือว่าไม่แพง เทียบกับที่พักที่โกลกาตามันคนละเรื่องกันเลย พยายามมองหาแขกที่มาพักไม่ยักกะเจอซักราย เดาเอาว่าคงเพราะช่วงนี้เป็นหน้าฝนไม่ใช่ช่วงท่องเที่ยวของเมืองแถบนี้

................................




 

Create Date : 25 พฤษภาคม 2555    
Last Update : 31 ตุลาคม 2560 14:39:09 น.
Counter : 1319 Pageviews.  

อินเดีย...เดินเดี่ยวสู่สิกขิม/ดาร์จีลิ่ง ตอน 24.ไทเกอร์ฮิลล์



ไทเกอร์ฮิลล์

...........

ตื่นเต้น..ตกใจ

ฉันคงจะตื่นเต้นโดยไม่รู้ตัวหรือไม่ก็กลัวจะตื่นไม่ทันเวลานัด เมื่อคืนจึงหลับไม่ค่อยสนิท ตอนตีสองกว่าๆ เลยตัดสินใจลุกออกมาเข้าห้องน้ำเห็นหนุ่มน้อยมาดพระเอกนอนอยู่กลางห้องโถงเลยต้องค่อยๆย่องผ่าน... ‘ กิจกรรมของฉันนี่ช่างใหญ่โตนักเล่นเอาคนบางคนอดกลับไปนอนบ้านเลยนะนี่ ’ นึกแล้วก็ขำไม่ออก เขาพลิกตัวใต้ผ้าห่มหนาพร้อมโงหัวขึ้นเล็กน้อยมองมาที่ฉัน เราต่างก็เงียบเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น นี่ฉันอุตส่าห์เงียบที่สุดแล้วนะแต่ก็ไม่พ้นสัญชาตญาณของตำรวจหนุ่มไปได้

กลับเข้าห้องพยายามจะนอนต่อแต่ก็ไม่หลับเลยลุกขึ้นมาเตรียมตัวรอเวลาออกจากบ้านซะเลย ก่อนได้เวลาเดินทางเล็กน้อยบิจอยโผล่หน้าเข้ามาในห้องฉันด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสพร้อมตะโกนบอกว่า

“ซูเรคาเปลี่ยนใจไปกับเราแล้วล่ะ” ฉันพลอยดีใจไปกับเขาด้วยเพราะเมื่อพลพรรคที่ร่วมทางมีความสุขฉันก็ควรเป็นสุขไปด้วยมิใช่หรือ? ไม่งั้นบิจอยอาจมีอาการเหมือนคนที่ไม่ได้พกหัวใจติดตัวไปด้วยก็ได้และฉันก็คงจะรู้สึกผิดตลอดเวลาที่อยู่ที่ไทเกอร์ฮิลล์แน่ๆ

พลขับเอารถมารับเราตรงเวลาที่หน้าบ้าน เราทั้งสี่วิ่งฝ่าความหนาวเย็นไปขึ้นรถ สองข้างทางยังมืดสนิทบ้านช่องตามรายทางยังดูเงียบเชียบ ผู้คนส่วนใหญ่คงยังหลับใหลอยู่ใต้ผ้าห่มอันอบอุ่น เส้นทางบางช่วงคดเคี้ยวขึ้นเขา แสงไฟจากรถสาดส่องไปข้างหน้ากระทบกับไอหมอกที่ลอยตัวผ่านไป ฉันเผลอตัวกระชับมือทั้งสองข้างที่ซุกอยู่ในกระเป๋าเสวทเตอร์เข้ามาเกาะกุมกันไว้เพื่อเพิ่มความอบอุ่น บรรยากาศดูเงียบสงบทั้งนอกและในรถ

                 บิจอยและซูเรคาอิงแอบแนบชิดกันแบบไม่เกรงใจใครอยู่ข้างคนขับบรรยากาศช่างเป็นใจกับทั้งคู่ ดูเหมือนหัวใจของคนทั้งสองจะถูกความหนาวเย็นห่อหุ้มสงบนิ่งเป็นดวงเดียวกันไปแล้ว ตอนนี้ดูเหมือนมีแค่พวกเราห้าคนเท่านั้นที่หลงกลออกจากบ้านในยามวิกาลที่หนาวเหน็บเช่นนี้

รถวิ่งไปพักใหญ่ฉันก็ต้องตกใจเมื่อเห็นหญิงสาวนางหนึ่งถลาออกมาจากความมืดข้างทางพร้อมโบกมือให้รถเราจอด แต่คนขับกลับยังคงขับรถต่อเหมือนมองไม่เห็น ทุกคนในรถดูมีอาการปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แม้จะสงสัยกับสิ่งที่เห็นเต็มแก่แต่ฉันก็ไม่กล้าทำลายความเงียบที่เจือมนต์ขลังในขณะนั้น

เราต่างก็เงียบกันต่อแต่แล้วอีกไม่นานหญิงสาวคนใหม่ก็ถลาออกจากข้างทางสายเปลี่ยวพร้อมโบกรถเราให้จอดในอาการเดียวกับคนแรก ทุกคนในรถยังคงเงียบต่อไม่มีปฏิกิริยาใดๆเช่นเดิม ฉันชักสงสัยว่าตัวเองตาฝาดไปหรือเปล่า?หรือว่าผีข้างทางออกมาหลอกหลอนให้ฉันเห็นคนเดียว แต่อีกใจหนึ่งก็ค่อนข้างจะมั่นใจว่าทุกคนต้องเห็นเหมือนฉัน แล้วทำไมทุกคนจึงดูนิ่งเฉยไร้อารมณ์ใดๆเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเช่นนั้น ?

รถวิ่งต่อไปบนเส้นทางลาดชันสลับพื้นที่ราบบางช่วงและไม่นานก็มีหญิงวัยกลางคนออกมายืนโบกมือให้รถเราจอดอีกเช่นเดียวกับสองรายที่ผ่านไปเมื่อพักใหญ่ คราวนี้ต่อมความอยากรู้ของฉันมันไม่ยอมนิ่งเฉยแล้ว ฉันเผลอทำลายความเงียบงันในรถโดยโพล่งถามบิจอย ไปว่า

“บิจอย...ผู้หญิงพวกนี้มาโบกรถเราทำไม?” บิจอยสดุ้งเล็กน้อยแต่ก็เอี้ยวตัวมาตอบ

“พวกนี้เป็นแม่ค้า เขาจะขออาศัยขึ้นรถไปไทเกอร์ฮิลล์ด้วย” โล่งอกไปทีคำตอบของเขาสลายความกังขาของฉันได้อย่างหมดสิ้นและไม่น่าเชื่อ มันไม่เพียงทำให้ฉันโล่งอกจากความสงสัยหากยังให้ความอุ่นใจว่าใช่มีแต่เพียงพวกเราเท่านั้นที่จะขึ้นไทเกอร์ฮิลล์ในวันนี้

ระยะทางประมาณแปดกิโลเมตรจบลงด้วยเวลานานพอควรในความรู้สึกของฉัน รถจอดบนยอดเขาสูงลูกหนึ่งใกล้ๆกับอาคารสีขาวสูงไม่เกินสามชั้น ใกล้ๆมีรถจอดอยู่ก่อนแล้วไม่กี่คัน ฟ้าเริ่มสาง

              เราขึ้นไปชั้นบนสุดของอาคารสีขาวที่สร้างขึ้นอย่างถาวรเพื่อเป็นที่ชื่นชมเทือกเขากังเชนจุงกาเป็นการเฉพาะ ทั้งชั้นเป็นห้องโถงเดียวมีเก้าอี้วางเรียงรายเกือบเต็มห้องสำหรับผู้มาชม ด้านหน้าและด้านข้างของโถงติดกระจกตลอดแนวช่วงกลางเป็นหน้าต่างบานเลื่อน เรามาก่อนใครๆเลยได้เลือกจุดที่คิดว่าดีที่สุด คือด้านหน้ามุมขวาที่มองได้ทั้งด้านหน้าและด้านข้าง

ไม่สมหวัง..แต่ยังสมใจ

ดวงอาทิตย์ยังไม่โผล่ แต่สิ่งที่เราเห็นอยู่เบื้องหน้าขณะนี้ก็คือเวิ้งทะเลเมฆและหมอกที่ขาวโพลนกระจายอยู่เต็มท้องฟ้า ด้านข้างขวามือต่ำลงไปยังพอมองเห็นยอดเขาสีเขียวเป็นหย่อมๆโผล่ขึ้นมาแทรกเมฆและหมอกที่บางเบาซึ่งกำลังเคลื่อนตัวไปตามสายลมที่พัดพาไปทางด้านหลัง ความงามของธรรมชาติเช่นนี้หาดูได้ไม่ง่ายนักเมื่อบวกกับความหนาวเย็นของอากาศที่ไม่ถึงขั้นยะเยือกก็ต้องบอกว่าประทับใจและได้อารมณ์จริงๆ

เบื้องล่างหน้าอาคารมีผู้คนอีกจำนวนหนึ่งที่สมัครใจยืนชมตามอัธยาศัย บ้างก็ยืนเป็นกลุ่มก้อนบ้างก็กระจายไปตามจุดที่พึงใจ หลายคนจดจ้องด้วยกล้องทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ มีอยู่หนุ่มหนึ่งใส่เสื้อสีแดงออกจะทำตัวพิเศษกว่าใครๆคือผ่าขึ้นไปตั้งขาตั้งกล้องบนหลังคารถดูโดดเด่นกว่าชาวบ้านชนิดไม่เกรงใจสายตาผู้ใด ฉันและบิจอยก็ถือกล้องไม่วางเช่นกัน

แสงจากดวงอาทิตย์เริ่มสาดส่องเสียดแทงกลุ่มเมฆขึ้นมาแล้ว แต่เมฆหมอกยังคงเกลื่อนเต็มอยู่เหมือนเดิม ผู้คนเริ่มหนาตามากขึ้นโดยเฉพาะเบื้องล่างหน้าอาคารคนเริ่มยืนออกันเต็มพื้นที่เกือบหมด เวลานี้จิตใจทุกคนมุ่งสู่สิ่งเดียวที่เป็นเป้าหมายซึ่งทำให้ทุกคนมาที่นี่

บิจอยบอกว่าช่วงนี้ท้องฟ้าไม่ค่อยแจ่มใสมีเมฆหมอกเยอะคงยากที่จะเห็นกังเชนจุงกาได้ชัดเจน

“คุณต้องมาเดือนเมษายนท้องฟ้าจะแจ่มใสและเห็นกังเชนจุงกาได้ชัดเจน มันสวยงามมากเมื่ออาทิตย์ขึ้นแสงอาทิตย์จะทำให้เทือกเขาสว่างแจ่มแจ๋วไปทั้งเทือกเขา ผมมาเมื่อปีที่แล้วสวยจริงๆท้องฟ้าไม่มีเมฆหมอกเลย” บิจอยผู้มีความสุนทรีย์ในอารมณ์บรรยายให้ฉันเห็นภาพได้โดยไม่ต้องจินตนาการ

แสงแรกของอาทิตย์ที่สาดส่องแทรกเมฆหมอกมาได้เมื่อสักครู่ บัดนี้ได้ถูกเมฆหนาเลื่อนลอยมาทาบทับไปหมดแล้ว ท้องฟ้ากล่นเกลื่อนไปด้วยเมฆหมอกหนาเช่นนี้ความหวังที่ทุกคนจะได้ยลโฉมแม่นางกังเชนจุงกาเริ่มมีแววลางเลือนซะแล้ว หลายคนลดกล้องลงเพื่อรอเวลาและความหวังใหม่ที่อาจจะมาเยือน บิจอยก้มลงมองนาฬิกา มันคือสัญญาณเตือนให้ฉันรู้ว่าเวลาของฉัน ณ ที่นี้มันมีจำกัด

“ถ้าเมฆเยอะขนาดนี้คงยากที่จะเห็นกังเชนจุงกาได้ หากรอจนสายมากๆอาจจะพอได้เห็นบ้าง” บิจอยบอก แต่ฉันตระหนักดีว่าเราคงไม่มีเวลามากขนาดนั้น....ได้เริ่มทำใจแล้ว

เราลงมาชั้นล่างและถ่ายรูปร่วมกันกับวิวสวยบนยอดเขาพอเป็นพิธี แล้วก็ลาเมฆหมอกและทิวเขารอบๆตัว โดยหวังว่าผู้คนที่ยังคงรอคอยต่อไปจะไม่ผิดหวังก่อนจากลาเช่นฉัน

บนรถระหว่างทางบิจอยบอกว่า ที่โรงเรียนเซนต์ปอล (St.Paul’s School)ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากเส้นทางกลับก็เป็นอีกแห่งที่ดูกังเชนจุงกาได้สวย แต่นี่เราคงไม่มีเวลาแล้ว เพราะเขาต้องรีบไปโรงเรียน

( เอ๊า...พูดทำไมบิจอย? ฟังแล้วมันแค้นนนน....มากกว่า...)

เรากลับถึงบ้านโดยสวัสดิภาพ นับว่าสมใจฉันที่ ได้ทำในสิ่งที่ปรารถนา แม้ว่าจะไม่บรรลุเป้าหมายแต่นั่นก็ด้วยเหตุสุดวิสัย ฉันตั้งใจมั่นว่าจะต้องกลับมาที่นี่อีกครั้งให้ได้เพื่อมาล้างแค้นแม่นางกังเชนจุงกา...ไม่วันใดก็วันหนึ่ง!

ใจหาย..ร่ำลา

ฉันเดินเข้าห้องเพื่อเก็บข้าวของบางส่วนที่เหลือ พลันความรู้สึกวังเวงและใจหายก็เกิดขึ้นแทบจะไม่ทันรู้ตัว คำถามผุดขึ้นในใจ ‘นี่ถึงเวลาแล้วหรือ ?....เวลาที่เราจะต้องเดินอย่างโดดเดี่ยวออกจากวงจรชีวิตของผู้คนที่ได้ให้ความอบอุ่นทั้งใจและกายตลอดเวลาที่เราได้มีโอกาสใกล้ชิดกับพวกเขา แม้จะเป็นเวลาสั้นๆแต่ช่างประทับใจได้แน่นหนัก ’ ใจข้างหนึ่งตอบกลับทันควัน ‘ใช่...ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นแล้วก็ต้องจบลง... ’

‘ฉันต้องเข้มแข็งและก้าวเดินต่อไป ที่ผ่านมาคือสิ่งดีๆตามรายทางที่เพิ่งเริ่มต้น ฉันจะต้องเดินต่อเพื่อไปให้ถึงจุดหมายของความตั้งใจ’ ฉันบอกกับตัวเอง

หลังอาหารเช้าก่อนร่ำลากันฉันได้ขอถ่ายรูปร่วมกับทุกคนยกเว้นเชดุป น้องชายของบิจอยและลามิงผู้เป็นภรรยาซึ่งทั้งสองได้ออกจากบ้านไปเคอซงก่อนที่ฉันจะกลับจากไทเกอร์ฮิลล์แล้ว

บิจอยบอกลาก่อนไปโรงเรียนพร้อมยื่นหนังสือเล่มเล็กปกสวยน่ารักชื่อดาร์จีลิ่งให้ฉัน หน้าปกหนังสือเป็นรูปเทือกเขากังเชนจุงกาที่ดูสง่างามด้วยแสงทองสะท้อนทาทาบไร้เมฆหมอกบดบัง ฉันรับด้วยความรู้สึกประทับใจอย่างนึกไม่ถึงจริงๆ และไม่ลืมที่จะชวนเขาให้ไปเที่ยวเมืองไทยบ้าง

เพม่ามีเพื่อนมารับที่บ้านเพื่อไปโรงเรียน เธออยู่ในชุดนักเรียนกระโปรงลายสก๊อตต์ดูน่ารักมาก ฉันอวยพรให้เธอเรียนหนังสือเก่งๆได้เป็นคุณหมอสมความตั้งใจ เธอยิ้มรับดูเอียงอายเล็กน้อย ยูเอสและรูปาผู้ภรรยา บอกว่าหากมีโอกาสให้มาเที่ยวดาร์จีลิ่งอีกนะ ฉันไม่อาจบรรยายความรู้สึกในขณะนี้ได้ บอกได้แต่เพียงว่ามันเต็มตื้นในหัวใจไปทั่วฉันจะจดจำความรู้สึกนี้ไว้ในใจตลอดไป

ยูเอสเอารถมาส่งฉันที่ท่ารถเพื่อจะต่อไปยังเมืองกาลิมปง(Kalimpong) เมืองที่บิจอยและ

รูปาแนะนำว่าน่าไปเพราะไม่ไกลจากดาร์จีลิ่ง มีสถานที่ท่องเที่ยวเยอะโดยเฉพาะยอดเขาเดโล (Deolo) ซึ่งรูปาย้ำว่า “ต้องขึ้นไปให้ได้นะ

ฉันอำลาดาร์จีลิ่งด้วยความรู้สึกเต็มตื้น ที่นี่มีสิ่งที่ทำให้ฉันประทับใจมากมายโดยเฉพาะการได้สัมผัสกับไออุ่นของความรักที่อบอวลอยู่ในครอบครัวของยูเอส มันได้เผื่อแผ่มาที่ฉันด้วยตลอดเวลาที่ได้ใกล้ชิดและร่วมชายคา ทุกอย่างจะตรึงตราอยู่ในหัวใจฉันตลอดไป ฉันสัญญากับตัวเองว่าจะต้องหาโอกาสกลับมาที่นี่อีกครั้งให้ได้

........................................




 

Create Date : 04 เมษายน 2555    
Last Update : 31 ตุลาคม 2560 14:14:14 น.
Counter : 887 Pageviews.  

อินเดีย...เดินเดี่ยวสู่สิกขิม/ดาร์จีลิ่ง ตอน 23.อิ่มใจ



อิ่มใจ

............

วันนี้เราเที่ยวกันทั้งวัน ถึงบ้านทุกคนต่างก็แยกย้ายกันไปพักผ่อนตามอัธยาศัยส่วนฉันและบิจอย รวมทั้ง พระเอกมาดขรึม พรุ่งนี้เราจะต้องตื่นแต่เช้าไปไทเกอร์ฮิลล์(Tiger Hill) เพื่อชมเทือกเขากังเชนจุงกา มันเป็นความปรารถนาอย่างแรงกล้าของฉันที่พลาดหวังมาจากมิริคและคาดว่าจะต้องมาชมที่นี่ให้ได้

แม้ยูเอสจะบอกว่าช่วงนี้คงยากที่จะได้เห็นเทือกเขากังเชนจุงกาได้ชัดเจนเพราะจะมีเมฆหมอกมาบดบังเกือบตลอดเวลา แต่คนดื้ออย่างฉันก็บอกเขาว่ายังไงก็อยากจะไปดูให้รู้ว่าเป็นยังไงโดยยินดีที่จะว่าจ้างรถไปเอง และได้สอบถามเรื่องรถที่จะไป ยูเอสไม่ตอบแต่ใจดีอีกแล้ว เขาบอกว่า ถ้าไปก็คงต้องไปแต่เช้ามืด เขาจะให้บิจอยและลูกน้องไปด้วยโดยเอารถของเขาไป แต่คงต้องกลับเร็วหน่อยเพราะบิจอยจะต้องไปสอนหนังสือที่โรงเรียน พอได้รับน้ำใจจากเขาแม้จะดีใจที่ได้สมหวังกับสิ่งที่ต้องการซะที แต่ก็รู้สึกกังวลที่ต้องรบกวนเขาอีกแล้ว อีกทั้งรู้สึกว่าไปเบียดบังเวลาของบิจอยด้วย

“ พรุ่งนี้เราต้องออกจากบ้านตั้งแต่ตีสี่ ” บิจอยโผล่หน้าเข้ามาในห้องฉันและตะโกนบอก ส่วนฉันกำลังหยิบสร้อยหินหลากสีราคาถูกที่ซื้อขึ้นมาชื่นชม

“ถ้าคุณตื่นช่วยเคาะประตูปลุกฉันด้วยนะ” ฉันเงยหน้าจากสร้อยในมือและรีบกำชับเขาเพราะกลัวจะตื่นไม่ทัน

“เสียดายจังที่ซูเรคาไม่ยอมไปด้วย” บิจอยพูดถึงภรรยาด้วยสีหน้าหงอยลง ฉันจึงถามเหตุผล

“เธอบอกว่าขี้เกียจตื่นแต่เช้า” เขาตอบ

บิจอยและซูเรคาเป็นคู่หนุ่มสาวที่เพิ่งจะแต่งงานกันได้ไม่นาน ฉันเห็นเขากุมมือกันตลอดเวลาที่นั่งเคียงข้างกันบนรถ เรียกได้ว่ายังอยู่ระหว่างข้าวใหม่ปลามัน แต่งานนี้ฉันคงช่วยอะไรเขาไม่ได้แน่

บิจอยหายไปได้ครู่เดียว ซูเรคาและเพม่าก็โผล่เข้ามาในห้องขณะที่ฉันกำลังชื่นใจกับสร้อยสวยราคาถูกในมือ ทั้งคู่เดินยิ้มเข้ามาตามองสร้อยหลากสีในมือฉัน ซูเรคาขอชื่นชมตามประสาหญิงสาวเห็นของสวยงาม พักเดียวทุกคนรวมทั้งรูปาและยูเอสก็ทยอยเยี่ยมกรายเข้ามาในห้องฉันเหมือนเช่นเมื่อวาน

ซูเรคาและลามิงภรรยาเชดุป(น้องสะใภ้บิจอย) หยิบสร้อยขึ้นมาพินิจพิจารณาด้วยความชื่นชมเป็นพิเศษ ช่างโชคดีที่ฉันซื้อมาหลายเส้นเลยได้โอกาสให้ซูเรคาและลามิงเลือกไปคนละเส้น พร้อมทั้งให้หนุ่มน้อยมาดพระเอกที่ยืนมองอยู่เงียบๆเลือกไปอีกหนึ่งเส้นเพื่อไปฝากภรรยา(แปลกใจมากตอนที่รู้ว่าหนุ่มน้อยนี้มีเจ้าของไปแล้ว) อาการดีใจอย่างชื่นมื่นของทุกคน(ไม่เว้นแม้แต่หนุ่มน้อยผู้เงียบขรึม) เมื่อได้รับสร้อยสวยจากฉัน มันช่างทำให้ฉันรู้สึกเป็นสุขได้มากจริงๆ ความสุขที่เกินคุ้มเมื่อเทียบกับมูลค่าหรือราคาสร้อยที่จ่ายไป

รูปาเดินออกไปจากห้อง ครู่เดียวเธอก็กลับมาพร้อมกับสร้อยเส้นสวยราคาแพงที่เธอซื้อพร้อมฉันเมื่อตอนบ่าย เธอยิ้มและยื่นให้ฉันบ้าง มันเป็นสร้อยเส้นที่ฉันเชียร์ให้เธอซื้อนั่นเอง !

ลุเข้าวันนี้ฉันเริ่มจะคุ้นเคยกับความไม่เป็นส่วนตัวสนุกกับผู้คนและความแปลกใหม่ที่อยู่รอบข้าง ฉันต้องตอบคำถามหลายเรื่องที่ทุกคนสงสัยและอยากรู้ แม้กระทั่งเรื่องส่วนตัวที่ยังไม่เคยมีใครกล้าถามฉันตรงๆโอกาสนี้ก็มีซูเรคานี่แหละที่กล้าถามตรงๆ

“ทำไมคุณไม่แต่งงาน... ทำไมอยู่เป็นโสด... คุณไม่ชอบการแต่งงานเหรอ ฉันอึ้งเล็กน้อยกับคำถามธรรมดาๆแต่ไม่เคยมีใครล่วงล้ำจึงไม่เคยคิดว่าจะได้ตอบ แต่คงเป็นสิ่งที่กังขาอยู่ในใจของซูเรคาผู้กำลังมีดอกรักบานอยู่ในหัวใจ

“ไม่ใช่ยังงั้นหรอก... เพียงแต่ฉันไม่โชคดีด้านความรักเหมือนคุณกับบิจอยตะหาก” ฉันตอบตามความรู้สึกที่แท้จริงแถมชิงเอาใจเธอเล็กน้อย ซูเรคายิ้มพึงใจแอบเดินไปชิดบิจอยและกระซิบบอกใกล้หู

นับว่าฉันโชคดีที่มีโอกาสได้สัมผัสกับชิวิตความเป็นอยู่ของผู้คนที่นี่จริงๆ ได้พูดคุย แลกเปลี่ยนความคิดเห็น ได้เรียนรู้อารมณ์ความรู้สึกนึกคิดของพวกเขา สุดท้ายได้เยื่อใยและสายสัมพันธ์ที่มีคุณค่าควรแก่การระลึกถึงและสานต่อให้ยืนยาวต่อไป ดูมันเป็นอะไรที่ล้ำค่ามากกว่าการมาเที่ยวชมแค่สถานที่แล้วก็จากไป

วันนี้เราแยกย้ายกันไปนอนด้วยความชื่นมื่นและเร็วกว่าเมื่อวาน คงเพราะเราต่างก็เหน็ดเหนื่อยกับการตระเวณเที่ยวกันทั้งวัน อีกทั้งเราสามคนจะต้องตื่นแต่เช้าเพื่อไปไทเกอร์ฮิลล์

................................................




 

Create Date : 04 เมษายน 2555    
Last Update : 31 ตุลาคม 2560 13:55:13 น.
Counter : 745 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  

SmileIce
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




"คนฉลาดที่อยู่แต่ที่เก่า...ไม่เท่าคนโง่ที่เดินทาง.."
จากหลวงปู่หล้าตาทิพย์ วัดป่าตึง


"การเปลี่ยนแปลง...ต้องนำไปสู่สิ่งที่ดีกว่า..."

New Comments
Friends' blogs
[Add SmileIce's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.