การเดินทางนอกจากจะทำให้จิตใจแกร่งขึ้นแล้ว...ยังช่วยบ่มเพาะความคิดให้เติบโตตามไปด้วย...
Group Blog
 
All Blogs
 

อินเดีย...เดินเดี่ยวสู่สิกขิม/มิริค ตอน12.อุ่นใจในมิตรไมตรี

อุ่นใจในมิตรไมตรี

 

...............

 

                 เช้าแรกที่มิริคฉันถูกปลุกขึ้นมาด้วยเสียงหัวเราะที่ดังมาจากห้องครัว เมื่อลืมตาขึ้นถึงได้รู้ว่ามันสายเกินควรสำหรับผู้อาศัย.....หลับเพลินไปหน่อยคงเพราะเหนื่อยจากการเดินทาง จัดการกับตัวเองเสร็จจึงเยี่ยมหน้าเข้าไปในห้องครัว นิชากำลังสาละวนกับการเตรียมอาหารเช้าโดยมีเพื่อนบ้านต่างวัยชื่อกาชีชวนคุยไปด้วย เธอมีลูกสาวและลูกชายตัวน้อยขี้มูกเกรอะกรังแอบอิงอยู่ข้างๆ ทั้งสองหันมายิ้มให้เมื่อฉันทักทาย

 

                 อาหารมื้อเช้า หนึ่งอย่างเป็นปลาสลิดทอดที่ฉันหอบมาจากเมืองไทยโดยมอบให้นิชาไปทั้งหมด เธอบอกว่าเธอได้แบ่งให้เพื่อนบ้านลองไปทานกันด้วย ฉันดีใจที่มีโอกาสได้แบ่งปันสิ่งที่ตัวเองมีบ้าง  คนที่นี่อยู่ห่างไกลจากเมืองหลวงและความศิวิไลซ์ทางวัตถุมาก คงเพราะเหตุนี้เขาจึงรุ่มรวยในน้ำใจซึ่งต่างจากคนเมือง

 

                 กาชีบอกว่าปลาอร่อยดี ปกติแล้วพวกเธอจะไม่ค่อยได้มีโอกาสทานปลาหรอก  ฉันเดาเอาว่าที่นี่ปลาคงหายาก เพราะอากาศที่หนาวเย็นมากเป็นเวลา 2 -3 เดือนในรอบปี ช่วงนั้นปลาในทะเลสาปคงไม่สามารถอยู่รอดได้  กาชีทำให้ฉันแปลกใจอีกแล้ว เธอสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษให้ฉันพอเข้าใจได้ แม้จะกระท่อนกระแท่น แต่ก็แสดงให้เห็นว่าเธอยังพอจะคุ้นเคยกับมัน

 

                วันนี้เป็นวันเสาร์นิชาบอกว่าเธอจะต้องไปรับลูกสาวกลับบ้าน ลูกสาวเธอไปเรียนหนังสืออยู่อีกหมู่บ้านหนึ่งโดยพักที่บ้านน้องสาว  เสาร์-อาทิตย์ จึงจะกลับมาบ้าน ดังนั้น ฉันจึงขอติดตามไปด้วยโดยจะไปเที่ยวช่วงเช้ากับแซมเทนก่อนแล้วกลับมาเจอเธอตอนเที่ยงที่บ้าน

 

                ที่ผ่านมาความที่เราไม่สะดวกในการสื่อสารระหว่างกันเท่าไรนัก แม้ฉันจะอยากรู้เรื่อราวของครอบครัวเธอหลายเรื่องไม่ว่าจะเรื่องสามีหรือลูกแต่ฉันก็ไม่ได้ถาม เพราะกลัวเธอจะต้องใช้ความพยายามเกินขีดความสามารถในการตอบ แต่ตอนนี้เธอเปิดเรื่องลูกสาวขึ้นมาฉันเลยถือโอกาสถามเรื่องคนอื่นๆในครอบครัวดู เอาเท่าที่จะสื่อได้ ซึ่งก็พอทำให้ได้รู้ว่าเธอมีลูกสองคนอีกคนเป็นผู้ชายทำงานแล้วแต่ไปทำที่เมืองอื่น ส่วนสามีไปเป็นทหารรับจ้างในกองกำลังทหารกูรข่าที่ปากีสถาน นานๆถึงจะมีโอกาสได้กลับมาบ้านสักที ฉันรับรู้ด้วยความรู้สึกเห็นใจและเข้าใจในความจำเป็นของครอบครัวที่จะต้องแยกไปใช้ชีวิตกันคนละทางด้วยหน้าที่การงานและความจำเป็นทางเศรษฐกิจ มันคือเส้นทางชีวิตของแต่ละครอบครัว และนั่นไม่ได้หมายความว่าความรักและจิตใจของพวกเขาจะถูกแยกจากกันตามไปด้วย ยังไงก็ยังดีกว่าบางครอบครัวที่อยู่ด้วยกันทุกวันแต่จิตใจกลับเหมือนจะห่างกันคนละมุมโลก

 

                 แซมเทนมาถึงตามนัดแต่ฉันกลับเป็นฝ่ายที่ยังไม่พร้อมเพราะกำลังทานข้าว  ประโยคแรกที่เธอพูดกับฉันอย่างมั่นใจก็คือ

 

                       “ วันนี้คุณย้ายไปพักบ้านฉันนะ”  สีหน้าจริงจังบอกถึงความจริงใจที่เธอมีให้ กลับทำให้ฉันรู้สึกลำบากใจจนไม่อยากตอบ แต่ด้วยเหตุผลหลายประการฉันจะต้องบอกให้เธอเข้าใจ เหตุผลก็คือ นิชาได้แสดงความมีน้ำใจและเต็มใจอย่างชัดเจนที่จะให้ฉันพักกับเธอต่อไป ฉันจึงไม่กล้าทำลายความรู้สึกของเธอตรงนี้ นอกจากนั้น ฉันเองได้ซักเสื้อผ้าขนานใหญ่ซึ่งยังไม่แห้ง การเคลื่อนย้ายคงจะลำบาก โดยเฉพาะย้ายเพื่อที่จะไปพักเพียงสองคืน ดูแล้วไม่น่าจะต้องทำเช่นนั้นเพราะดูจะทำให้ยุ่งยากกันทั้งสองบ้าน

 

                 สุดท้ายฉันจำใจต้องปฏิเสธเธอไป แต่เมื่อปฏิเสธไปแล้ว ก็รู้สึกเสียใจเมื่อเห็นสีหน้าที่ผิดหวังและหงอยลงทันทีของเธอ โดยเฉพาะเมื่อฉันบอกว่า ฉันซักผ้าไว้ตั้งเยอะยังไม่แห้งคงลำบากในการขนย้าย เธอกลับรีบตอบทันทีว่า

 

                      “ ไม่เป็นไรเดี๋ยวฉันช่วยคุณย้ายเอง ”  เพื่อรักษาความรู้สึกและน้ำใจที่ดีของเธอ ฉันจึงต้องรีบขอบคุณพร้อมบอกว่า

 

                      “ยังไงวันหลังฉันจะขอไปเที่ยวบ้านเธอนะ”  สีหน้าเธอจึงดูดีขึ้น 

 

                 ครึ่งวันเช้าเธอพาฉันไปชมวัดโบการ์ (Bokar Gompa)  ซึ่งเป็นวัดพุทธศาสนาฝ่ายวัชระยานหรือวัดสายทิเบตที่ตั้งอยู่บนยอดเขา ซึ่งฉันหมายตาไว้ตั้งแต่เมื่อวานแรกมองขึ้นไปเห็นแล้ว  ระหว่างทางเราต้องเดินขึ้นทางลาดเป็นเนินเขาระยะไกลพอควร แต่ก็เพลินเพราะอากาศเย็นสบาย บางช่วงเมฆหมอกเบาบางพัดผ่านตัวไปช่างเหมือนเดินเหินอยู่บนท้องฟ้า

 

                 บริเวณวัดค่อนข้างกว้าง  ประตูอาคารวัดยังไม่เปิด เราจึงเดินไปด้านข้างที่เป็นเหมือนจุดชมวิวสามารถมองลงไปเห็นมิริคได้ทั้งเมือง หลังคาบ้านหลากสีสลับซับซ้อนลดหลั่นลงไปตามไหล่เขาสู่ทะเลสาปเบื้องล่าง สายมากแล้วแต่เมฆหมอกก็ยังลอยเลื่อนเกลื่อนอยู่ตรงหน้าบางช่วงชั่ววูบก็หายไปกับสายลม  ลามะน้อย 4-5 รูปกำลังหัวเราะสนุกสนานกับการปีนป่ายกำแพงวัดเล่น ขณะเดียวกันก็กัดกินขนมขบเคี้ยวในมือไปด้วยอย่างสำราญใจ.. ....ไม่ต่างจากเด็กทั่วๆไปจริงๆ

 

                 เราเดินกลับมาที่ด้านหน้าอาคารวัดอีกครั้ง คราวนี้ประตูวัดเปิดแล้ว เราเข้าไปชมในตัวอาคาร กรอบประตู ผนัง และเพดานห้องถูกวาดลวดลายและป้ายสีสันลงอย่างสวยงาม ระหว่างนั้น มีคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาและทักทายแซมเทนอย่างคุ้นเคย นัยว่าเป็นญาติกับเธอ พวกเขาเอาของมาถวายท่านรินโปเช่ (ตำแหน่งเจ้าอาวาสใหญ่ของวัด) พร้อมกับมาขอพรจากท่านให้กับหลานเนื่องในวันคล้ายวันเกิดด้วย  ของที่พวกเขาหอบหิ้วมาถวายนอกจากผลไม้เมืองหนาวที่ดูสดน่ากินแล้วยังมีต้นลิลลี่ที่กำลังออกดอกสีขาวชูช่อบานสะพรั่งถูกอุ้มมาเป็นกระถางดูแล้วรู้สึกสดชื่นขึ้นมาทันที

 

                       นับว่าเป็นโชคดีของเราสองคน แซมเทนบอกว่าไม่ง่ายนักที่ใครจะได้เข้าพบท่านรินโปเช่ แต่เราก็ได้รับโอกาสนั้นด้วยญาติของแซมเทนสนิทและคุ้นเคยกับท่าน พวกเขาได้ชวนเราขึ้นบันไดไปพบท่านที่ชั้นสอง กว่าจะได้เข้าพบต้องรอลามะหนุ่มพักใหญ่เพื่อมานำเข้าไปในห้อง เขาให้เราสองคนเข้าไปก่อน โดยแซมเทนเป็นคนแรก เธอเข้าไปกราบพระพุทธรูปที่ตั้งอยู่บนแท่นสูงก่อน โดยไหว้คล้ายๆคนจีนไหว้เจ้าคือก้มลงกราบจนหัวจรดพื้นแล้วลุกขึ้นยืนคารวะ ทำแบบนี้ 3 ครั้ง ฉันรู้สึกอยากจะทำแบบเธอตามธรรมเนียมของที่นี่บ้าง แต่ออกจะรู้สึกขัดเขินในใจอยู่เลยเอาแค่นั่งลงกราบ 3 ครั้งตามธรรมเนียมของไทย แล้วจึงหันไปกราบท่านรินโปเช่อยู่ห่างๆ  ทุกคนทยอยตามกันเข้ามากราบท่านรินโปเช่ใกล้ๆทีละคนโดยท่านจะเอามือแตะที่ศีรษะแล้วให้พรแบบร่ายยาวจนครบทุกคน จากนั้นเขาจึงถวายของที่นำมาให้ท่าน 

 

                 เมื่อท่านรู้ว่าฉันมาจากเมืองไทย ท่านก็บอกว่าท่านไปไต้หวันเมื่อหลายปีก่อนได้มีโอกาสแวะเมืองไทย 2-3 วัน จึงได้ไปเที่ยววัดสำคัญๆในกรุงเทพฯ

 

                      “เราเป็นชาวพุทธเหมือนกันนะ” ท่านพูดดวงตาฉายแววเมตตา

 

                 ก่อนที่เราสองคนจะลาท่านออกมาก่อนคนอื่นๆ ท่านได้เรียกเราให้เข้าไปใกล้ๆแล้วมอบด้ายนำโชคโดยคล้องคอให้พร้อมแตะศีรษะให้พรเหมือนคนอื่นๆก่อนหน้า แล้วก็แถมแอ๊ปเปิ้ลให้อีกคนละลูก ฉันถือว่าแอ๊ปเปิ้ลลูกนี้เป็นผลไม้มงคลสำหรับฉันที่จะนำแต่สิ่งดีๆมาให้ตลอดการเดินทางในอินเดีย วันนี้จึงเป็นวันที่ฉันรู้สึกอบอุ่นและชุ่มชื่นหัวใจเป็นอย่างมากนับจากวันที่ได้ห่างจากแผ่นดินไทยมา

 

                ขากลับเราผ่านย่านเจริญของเมืองมิริค สองข้างถนนมีทั้งเกสต์เฮ้าส์และโรงแรม เพิ่งรู้สึกได้ถึงความศิวิไลซ์ทางวัตถุของเมืองนี้ก็ที่นี่แหละไม่คิดว่าจะมีได้ขนาดนี้ มันช่างแตกต่างจากตัวหมู่บ้านบนไหล่เขาที่ฉันพัก ที่นี่แทบจะมีทุกอย่างที่ถิ่นเจริญเขามีกัน ไม่ว่าจะเป็นโรงแรม หรือเกสต์เฮ้าส์ผู้คนที่ขวักไขว่ไป-มา ร้านค้าที่ขายของตามสมัยนิยม หรือ แม้แต่ธนาคาร แซมเทนขอตัวเข้าไปทำธุระในธนาคาร ฉันจึงถือโอกาสเดินเล่นข้างนอก และหลบเข้าไปในซอยเล็กๆข้างทางเพื่อชมวิวเขาสูงที่อยู่ด้านหลังร้านค้า กำลังฝันเพลินกับวิวเบื้องหน้าก็มีผู้ชายวัยกลางคนคนหนึ่งมายืนอยู่ใกล้ๆและถามว่า

 

                     “คุณกำลังจะไปไหน”  งงเล็กน้อย แต่เมื่อเห็นเขายิ้มให้เยี่ยงมิตรก็เลยตอบตามตรงไป

 

                     “กำลังชมวิวสวยรอบๆ” พร้อมกับกวาดมือไปยังเทือกเขาสูงเบื้องหน้าประกอบ  เขายิ้มต่อด้วยความพึงใจแล้วบอกว่า

 

                     “ถ้าคุณสนใจไปที่โบสถ์ซิ เขากำลังมีการร้องเพลงสวดให้ท่านไสบาบากัน”   ฉันหูผึ่ง เดินตามด้วยความอยากรู้อยากเห็น ค่อนข้างเชื่อมั่นในบุคลิกของเขาและคิดว่าคงไปไม่ไกล  และไม่ถึง 50 ก้าวก็เลี้ยวเข้าซอยเล็กๆขวามือ พร้อมกันนั้นก็ได้ยินเสียงเพลงสวดดังแว่วมา  สักครู่ก็ถึงต้นกำเนิดเสียง

 

                ห้องแถวกว้างสองห้องรวมกันมีผู้คนทั้งเด็กและผู้ใหญ่ไม่ต่ำกว่า 30 คน กำลังนั่งกับพื้นแยกเป็นสองฝ่าย หญิง-ชาย คั่นด้วยแนวยาวของดอกไม้สีเหลืองที่ถูกจัดวางเป็นจุดๆ บนพื้นห้อง ทุกคนกำลังร้องเพลงสวดอย่างตั้งอกตั้งใจโดยหันหน้าไปยังเวทีที่ตั้งเครื่องสักการะและรูปภาพขนาดใหญ่ของท่านไสบาบา 2 ภาพ เป็นรูปเดียวกับที่ฉันได้เห็นอยู่บนหิ้งบูชาในห้องของนิชานั่นเอง

 

                 เขาแสดงท่าทีเชื้อเชิญให้ฉันเข้าไปนั่งร่วมในพิธีด้วย  เพื่อไม่เป็นการทำลายความรู้สึกที่ดีที่เขาอุตส่าห์ชวนมา ฉันเลยเข้าไปนั่งลงแถวหลังสุดของฝ่ายหญิง ส่วนเขาเดินไปยืนหน้าเวทีร่วมร้องเพลงสวดเสียงดัง ฉันนั่งสงบฟังการสวดอยู่พักหนึ่ง หญิงวัยกลางคนสองคนก็ลุกขึ้นพร้อมมือถือถ้วยใบเล็กบรรจุผงสีน้ำตาลปนเขียว เดินไปยังคนที่กำลังสวดแล้วใช้นิ้วแตะผงในถ้วยเอาไปแตะหน้าผากทีละคนจนครบ สุดท้ายก็มาถึงฉันเธอยิ้มให้  ฉันเลยยื่นหน้าผากไปให้เธอแต้มผงให้พร้อมไหว้รับและขอบคุณ เธอยิ้มรับอย่างพึงพอใจ สักพักการสวดก็จบลง แต่ก็มีทีท่าว่าจะเริ่มสวดบทใหม่ ฉันจึงรีบขอลากลับเพราะกลัวแซมเทนจะรอ เดินออกมาแล้วอดบอกกับตัวเองไม่ได้ว่า ‘มันเป็นประสบการณ์ที่ดีทีเดียวที่ได้มีโอกาสเช่นนี้’

 

                 แซมเทนบอกเธอเดินหาฉันอยู่พักหนึ่งเลยต้องขอโทษเธอไป ขากลับผ่านร้านไอศกรีม ด้วยเวลาที่จำกัดเพราะกลัวไปไม่ทันนัดนิชา เลยได้เลี้ยงแค่ไอศกรีมเธอไปก่อนสำหรับวันนี้ กะว่าวันหลังจะเลี้ยงตอบแทนน้ำใจเธอมากกว่านี้

 

                 ระหว่างทางเห็นคนงานกำลังซ่อมถนน บางคนแบกบุ้งกี๋ที่ใส่หินก้อนโตๆถึง 2-3 ก้อน น่าทึ่งจริงๆพวกเขาช่างแข็งแรงเอามากๆ แค่ก้อนเดียวอย่างเราๆให้ยกก็ไม่ไหวแล้ว แซมเทนบอกว่า คนที่นี่ส่วนใหญ่เป็นชาวเนปาลีมีทั้งที่ย้ายมาจากเนปาลตั้งแต่บรรพบุรุษและที่เข้ามาทำงานชั่วคราว เพราะมิริคเป็นเมืองที่อยู่ใกล้ชายแดนเนปาลจึงมีคนเนปาลมาอาศัยอยู่ที่นี่มาก นอกจากนั้น คนอินเดียและคนเนปาล ยังสามารถเข้า- ออกระหว่างประเทศทั้งสองได้โดยเสรีไม่จำเป็นต้องใช้พาสปอร์ตหรือวีซ่า

 

                 เป็นครั้งแรกที่แซมเทนบอกกล่าวในเรื่องราวที่เป็นความรู้และน่าสนใจด้วยท่าทีของผู้รู้ที่ทรงภูมิ  นอกจากเธอจะอธิบายได้เป็นเรื่องเป็นราวแล้วเธอยังได้ให้ความรู้ใหม่ๆกับฉันอีกด้วย โดยเฉพาะที่เธอพูดถึงพาสปอร์ตและวีซ่า เธอพูดอย่างคนที่รู้เรื่องและเข้าอกเข้าใจในเนื้อหาเป็นอย่างดี เธอเป็นเด็กฉลาดจริงๆ ไม่น่าเชื่อเด็กมัธยมต้นแห่งเมืองในหุบเขาจะฉลาดหลักแหลมได้เพียงนี้ ตอนนี้เธอเป็นหนูน้อยที่น่าทึ่งสำหรับฉันแล้ว และฉันก็เพิ่งจะนึกได้ว่าคนที่มิริคที่ฉันเห็นๆอยู่ทั่วไปก็น่าจะต้องเป็นคนเนปาลีหรือคนจากประเทศเนปาลเกือบทั้งหมดด้วย

 

 

 

………………………………..

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 




 

Create Date : 30 มีนาคม 2555    
Last Update : 15 เมษายน 2555 8:48:44 น.
Counter : 558 Pageviews.  

อินเดีย...เดินเดี่ยวสู่สิกขิม/มิริค ตอน11.มิตรภาพอันยิ่งใหญ่

มิตรภาพอันยิ่งใหญ่

 

…….....

 

                       เจ้าของบ้านที่ฉันจะต้องไปพักด้วยมารอรับอยู่แล้ว ท่านลามะแนะนำให้รู้จัก เธอชื่อนิชาอายุน่าจะราวๆสี่สิบต้นๆ และที่ยืนอยู่ไม่ห่างจากเธอก็คือเด็กสาวตัวเล็กที่มีชื่อว่าแซมเทน ท่าทางเธอเป็นเด็กฉลาดเพราะดูเธอคุยโต้ตอบกับท่านลามะได้อย่างฉะฉาน ฉันเดาว่าอายุเธอน่าจะอยู่ราวๆสิบสาม หรือสิบสี่ปี คงจะเรียนไม่เกินชั้น ม. 3 แน่ ท่านลามะบอกว่าเธอพูดภาษาอังกฤษได้ดีพรุ่งนี้เธอจะเป็นไกด์พาฉันไปเที่ยวที่ต่างๆ ในมิริค  

 

                        ดีเพนขอแยกตัวกลับบ้านเขาบอกพรุ่งนี้ถ้าว่างให้แซมเทนพาไปเที่ยวบ้านเขาก็ได้ แต่มะรืนนี้เขาจะต้องไปทำเรื่องพาสปอร์ตที่โกลกาตาอีกครั้ง ฉันพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้และโบกมือลาก่อนที่เขาจะหันหลังให้ ส่วนท่านลามะบอกว่าท่านจะขอไปที่วัดก่อนพร้อมชี้มือไปบนเขาที่อยู่ฟากถนนฝั่งตรงข้าม ตอนเย็นท่านจึงจะแวะไปที่บ้านนิชา

 

                       เราสามคนหันหลังให้ถนนแล้วค่อยๆเดินเลียบข้างอาคารศูนย์ประชุมหมู่บ้านลงจากเนินเขาซึ่งเป็นเหมือนทางลาดของไหล่เขาแต่ก็ชันไม่เบา แม้นิชาจะพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ แต่เธอก็พยายามแสดงท่าทีว่าอยากช่วยฉันแบกเป้ใบใหญ่ซึ่งอยู่บนหลัง  ฉันขัดขืนเพราะไม่อยากรบกวนเธอมากไป  แต่เพื่อไม่เป็นการทำลายน้ำใจที่เธอมีให้ ฉันจึงส่งเป้ใบเล็กที่อุ้มไว้ข้างหน้าให้แทน 

 

                      ทางลาดของเขาที่เราเดินลงไปนี้เป็นส่วนหนึ่งของหุบเขากว้างที่ลาดลงสู่ทะเลสาบใหญ่ซึ่งมองเห็นอยู่ข้างหน้าเบื้องล่าง ระหว่างทางเราผ่านบ้านของชาวบ้านสาม - สี่หลังที่ตั้งอยู่บนลาดเขาห่างกันเป็นระยะท่ามกลางป่าสนที่สูงชะลูดแย่งกันพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า 

 

                      แซมเทนหนูน้อยตัวเล็กบอกว่าวันนี้แม่เธอไม่อยู่บ้านไม่งั้นเธอจะให้ฉันไปพักที่บ้านเธอ  ฉันรู้สึกเอะใจกับท่าทีและคำพูดของเธอที่ช่างดูเป็นผู้ใหญ่เกินตัว แต่ก็ละความรู้สึกนั้นเสียเพราะสำนวนและสำเนียงการพูดภาษาอังกฤษของเธอนั้นทำให้ฉันแปลกใจได้มากกว่า มันน่าทึ่งที่เด็กในหมู่บ้านห่างไกลเมืองใหญ่แบบนี้สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ดีอย่างคาดไม่ถึง แสดงว่าระบบการสอนภาษาอังกฤษของที่นี่มีประสิทธิภาพจริงๆ มันเป็นเรื่องที่น่าศึกษาว่าเขามีวิธีการสอนกันอย่างไร เทียบกับเมืองไทยแล้วยังห่างกันมาก โดยเฉพาะหากเทียบกับยุคของฉันจบปริญญาตรียังพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ขนาดนี้  ความผิดพลาดของการศึกษาเมืองไทยมันอยู่ตรงไหนหรือ... ?

 

                      เราเดินลงจากเขามาเรื่อยๆพักใหญ่ก็ถึงบ้านนิชา  มองเลยลงไปข้างหน้าอีกไม่เกิน150 เมตรก็เป็นทะเลสาบกว้าง โชคดีที่เป็นการเดินลงเขาท่ามกลางอากาศเย็นสบายฉันจึงไม่เหนื่อยมากนักกับการแบกเป้ที่หนักเอาการ บ้านนิชาเป็นบ้านสองชั้นอยู่บนทางลาดของไหล่เขาและไม่มีรั้วบ้านเช่นเดียวกับบ้านหลังอื่นๆที่ผ่านมา  พอขึ้นบันไดซึ่งอยู่ข้างตัวบ้านก็เจอชานที่ยื่นออกมาจากด้านหลังของบ้าน รู้สึกคุ้นเคยทันทีเมื่อเห็นมุมหนึ่งของชานมีตุ่มน้ำอยู่สองใบไว้เป็นพื้นที่ซักล้าง

 

                       จากตัวชานหลังบ้านซึ่งอยู่เกือบติดกับไหล่เขาที่เป็นเนินสูงขึ้นไป ทั้งผืนของเนินดูละลานตาไปด้วยสีแดงของดอกเฟื่องฟ้าที่ถูกพาดเกี่ยวด้วยเถาวัลย์สีเหลือง ถัดขึ้นไปเป็นพุ่มพวงชมพู ส่วนที่ลาดต่ำลงมาประดับไปด้วยสีเหลืองของดอกดาวกระจายที่เต็มพรึบไปหมด ฉันตลึงกับภาพข้างหน้า อดถามตัวเองไม่ได้ว่า ‘เรามาพักรีสอร์ทหรือเปล่าเนี่ย

 

                      นิชาเดินนำเข้าไปในห้องขวามือสุด ชี้ชวนให้วางของไว้บนโซฟาซึ่งอยู่ปลายเตียงนอน ขนาดห้องไม่ได้กว้างนัก และเมื่อใส่ตู้เสื้อผ้า โซฟายาว รวมทั้งเก้าอี้ชุดเดียวกับโซฟาเข้าไปอีกสองตัว แถมโต๊ะหมู่บูชาที่วางสิ่งสักการะและรูปภาพขนาดใหญ่ของไสบาบา(ผู้ชายผมฟูที่เขาเลื่องลือไปถึงเมืองไทยว่าสามารถเนรมิตสิ่งที่เขาต้องการให้มาอยู่ในฝ่ามือได้ในชั่วพริบตา แต่บางคนที่ไม่เชื่อก็บอกว่าเขาเป็นนักเล่นกลตัวฉกาจ สำหรับฉันเขายังเป็นปรัศนีย์ที่น่าสนใจตัวหนึ่ง) ที่เคารพบูชาซึ่งอยู่ข้างเตียงเหนือศีรษะขึ้นไป ห้องนี้จึงดูคับแคบลงถนัดมีที่ว่างเป็นช่องแคบๆไม่เกินสองฟุตเพียงสองด้าน คือระหว่างข้างเตียงกับโต๊ะหมู่บูชา และระหว่างปลายเตียงกับโซฟา ดูจากสิ่งของภายในห้องก็พอเดาออกว่าห้องนี้น่าจะเป็นห้องนอนของนิชาเอง พอออกมานอกห้องแซมเทนก็บอกว่า

 

                             “ พรุ่งนี้คุณไปนอนบ้านฉันนะฉันจะมารับตอนเช้า ”   ตอนนี้ฉันยังคิดอะไรไม่ออก งงๆเหมือนกัน หนูน้อยคนนี้พอเธอเห็นห้องนิชาไม่รู้ว่าเธอคิดยังไงแต่เธอพูดจาเป็นผู้ใหญ่เกินตัวอีกแล้ว หรือไม่อีกทีอาจเพราะเธอเด็กเกินไปเลยพูดอะไรตรงๆตามใจตัวเองก็ได้ ฉันเลยทำเฉยไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ ที่สำคัญคงต้องคุยกับท่านลามะก่อนเพราะไม่รู้ว่าท่านลามะได้ตกลงกับนิชาหรือพูดกับแซมเทนไว้อย่างไรบ้าง

 

                       ตอนนี้ก็บ่ายสี่โมงกว่าแล้วแซมเทนขอลากลับก่อน เธอบอกพรุ่งนี้เช้าเธอจะมารับฉันไปเที่ยวในเมืองนี้ เธอโผล่เข้าไปในห้องคุยกับนิชาสองสามประโยคแล้วก็จากไป นิชากำลังเก็บห้องให้ดูดีขึ้น เธอสื่อสารโดยพยายามใช้ศัพท์ภาษาอังกฤษที่พอจะรู้บ้างประกอบกับท่าทีแสดงให้ฉันรู้ว่าเธอจะให้ฉันนอนห้องนี้ ส่วนเธอจะไปนอนอีกห้องพร้อมชี้มือไปยังห้องริมสุดอีกด้านของตัวบ้าน ฉันมองตามมือเธอทะลุประตูห้องนั้นเข้าไปก็พอรู้ว่าเป็นห้องเล็กๆ ปกติคงไม่มีใครพัก  จึงตัดสินใจบอกเธอว่าฉันขอไปนอนห้องโน้นดีกว่าโดยใช้ภาษามือประกอบแล้วฉันก็เอื้อมมือจะไปหยิบเป้เพื่อที่จะย้ายไปห้องใหม่ แต่เธอรีบยกมือห้ามไว้ในขณะที่สีหน้าดูยินยอมพร้อมบอก โอเค ๆ  แล้วเธอก็รีบเดินออกไปยังห้องดังกล่าวโดยมีฉันเดินตามไป

 

                      ห้องนี้ดูเล็กกว่าห้องของนิชา แต่เป็นห้องนอนอีกห้องหนึ่ง มีเตียง ตู้เสื้อผ้า กองหนังสือเก่าๆและถุงใส่เสื้อผ้าใบโตสองใบกองอยู่หน้าเตียง ระหว่างเตียงและถุงผ้ามีช่องว่างคั่นประมาณหนึ่งฟุต เข้าใจว่าปกติห้องนี้คงไม่มีใครใช้จึงกลายเป็นห้องเก็บของไปในตัวด้วย นิชาดึงผ้าคลุมเตียงลายเสือออกแล้วเปลี่ยนผ้าปูที่นอนให้ใหม่ ฉันเข้าไปช่วยเธอจนเสร็จแล้วจึงย้ายของเข้ามาเก็บ

 

                       ห้องครัวอยู่ตรงกลางระหว่างห้องนอนทั้งสอง ประตูอีกด้านทะลุออกไปยังระเบียงบ้านด้านหน้า  ฉันเดินผ่านห้องครัวไปยังระเบียงหน้าบ้าน มองเห็นทะเลสาปอยู่เบื้องหน้าไม่ไกล นับว่าบ้านหลังนี้ตั้งอยู่ในทำเลที่ดีทีเดียว ลดระดับสายตาต่ำลงมาตรงหน้าบ้านเบื้องล่างเห็นเถาฟักแม้วที่เขียวขจีเลื้อยพาดพันกันเป็นพุ่มผืนขนาดใหญ่อยู่บนห้างร้านที่จงใจทำขึ้น มันกำลังแตกช่อชูยอดอ่อนสดๆกระจายเต็มไปทั่ว รู้สึกคุ้นเคยและอุ่นใจอย่างประหลาด เหมือนมาพักบ้านบนดอยทางเหนือของเมืองไทยยังไงยังงั้น

 

                       ระเบียงบ้านถูกตกแต่งด้วยไม้ดอกเมืองหนาวหลากสีสวยงามดูสะพรั่งตา  เพราะถูกจัดวางเป็นจุดๆ ทั้งตามพื้น ระเบียง และสันของลูกกรง รวมทั้ง ที่แขวนจากเชิงชายลงมาก็มี แต่ทั้งหมดดูเหมาะเจาะและลงตัว สะท้อนให้เห็นถึงการเป็นคนรักสวยรักงามของเจ้าของบ้าน กำลังเพลินกับทิวทัศน์เบื้องหน้า ก็แว่วเสียงนิชาคุยกับใครสักคนมาจากในครัว พอหันกลับไปดูท่านลามะนั่นเองเข้ามานั่งในครัวแล้วฉันเลยเข้าไปสมทบ ท่านถามว่า

 

                               “ เป็นไงบ้าง ที่นอนใช้ได้ไหม ? ” ฉันรีบตอบว่า ดีมากพร้อมชี้ไปยังห้องนอนของฉันและไม่ลืมที่จะขอบคุณท่านที่ได้กรุณาเอื้อเฟื้อฉันเป็นอย่างดี ทุกอย่างสำหรับฉันต้องรู้สึกดีมากแน่นอนเพราะสิ่งที่ฉันได้รับมาจากความมีน้ำใจอันใสบริสุทธ์ของคนแปลกหน้าล้วนๆ ส่วนฉันไม่มีต้นทุนแม้แต่รูปีเดียวท่านบอกต่อว่า

 

                             “ วันต่อไปถ้าอยากไปพักบ้านแซมเทนก็ได้นะ อาตมาคุยกับแม่แซมเทนแล้วเธอก็ยินดีที่จะให้คุณไปพักที่บ้านเธอ”  ฉันไม่รู้จะพูดอย่างไรดีรู้สึกซาบซึ้งกับสิ่งที่ได้รับจากคนที่นี่โดยไม่คาดคิด ทั้งๆที่เราไม่เคยรู้จักกันมาก่อน

 

                       ที่บ้านนิชาจึงนับว่าดีมากแล้วสำหรับคนจรอย่างฉันที่พลัดมารบกวนเจ้าของบ้านโดยไม่ได้บอกกล่าวให้เขาได้เตรียมตัวล่วงหน้า  เมื่อนึกถึงโปรแกรมการเดินทางที่วางไว้คร่าวๆแล้วฉันคงอยู่ที่นี่ได้ไม่นานนัก เพราะหนทางที่จะไปยังอีกยาวไกล โดยเฉพาะความจำเป็นที่จะต้องขึ้นไปให้ถึงเมืองเลห์ ก่อนสิ้นเดือนกันยายนนี้ไม่งั้นอาจไม่สามารถขึ้นไปได้เพราะถนนจะถูกปิดซะก่อนเนื่องจากหิมะจะตกลงคลุมถนนจนรถยนต์ไม่สามารถวิ่งได้ จะมีทางเดียวที่ไปได้คือทางเครื่องบิน ซึ่งฉันก็ไม่อยากจะทำเช่นนั้น เพราะนอกจากจะต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นแล้วยังจะพลาดโอกาสดีๆที่จะได้ชมทิวทัศน์อันสวยงามระหว่างเส้นทางจากมะนาลีสู่เมืองเลห์ซึ่งหลายๆคนเคยบอกว่าเส้นทางนี้เป็นเส้นทางสู่ฝันเลยล่ะ ซึ่งฉันจะพลาดไม่ได้เด็ดขาด เลยตอบท่านไปว่า

 

                              “ คงจะอยู่ที่นี่ได้สักสองหรือสามคืน เพราะจะต้องต่อไปยังเมืองดาร์จีริ่งและกังต๊อก จากนั้นจะต่อไปนิวเดลีเพราะได้ซื้อตั๋วเครื่องบินไว้แล้ว” ท่านลามะพยักหน้ารับรู้อย่างเข้าใจ ส่วนนิชาคงฟังไม่รู้เรื่องได้แต่ส่งยิ้มอย่างมีไมตรีให้ จากนั้นฉันจึงถือโอกาสถามแกมหารือท่านลามะไปว่า

 

                             “หากฉันจะพักบ้านนิชาทั้งสามคืน ไม่ทราบจะเป็นการรบกวนเธอมากไปหรือไม่? ” ที่ฉันถามไปเช่นนี้ก็เพราะได้เห็นความจริงใจของนิชาแล้วและก็ไม่อยากจะขนย้ายของไปยังบ้านแซมเทนอีกครั้งให้มันดูยุ่งยาก ท่านลามะหันไปพูดและถามนิชาต่อ เธอรีบหันมามองฉันพร้อมกับพูดว่า

 

                             “โน.......” ประกอบกับโบกไม้โบกมือเป็นเชิงปฏิเสธและก็ชี้มือมาที่ตัวฉันก่อนที่จะชี้ลงที่ตัวบ้านของเธอซึ่งพอจะเดาได้ว่าเธออยากจะบอกว่าไม่มีปัญหาอะไรหรอก คุณพักที่บ้านนี้แหละ ท่านลามะยิ้มและเสริมว่า

 

                            “ เธออยากให้คุณพักที่นี่  ” ฉันจึงรีบขอบคุณเธอและท่านลามะอีกครั้ง

 

                       จากนั้นท่านลามะก็บอกว่าวันนี้จะขอเป็นไกด์พาฉันไปเดินชมรอบๆทะเลสาปก่อน ฉันรีบตอบรับทันทีเพราะตรงกับที่ตั้งใจไว้ก่อนแล้วว่ายังไงเย็นๆจะต้องออกไปเดินเล่นที่ทะเลสาปให้ได้

 

                       ระหว่างที่เดินตามท่านลามะลงไปยังทะเลสาป สวนทางกับชาวบ้านสาม-สี่คน ทุกคนทักทายท่านอย่างคุ้นเคยด้วยท่าทีนอบน้อม เราเดินลงมาถึงพื้นราบก็เจอถนนดินที่ทอดยาวเลียบริมทะเลสาปกว้าง  สองข้างถนนขนาบข้างด้วยต้นสนขนาดใหญ่ทิ้งระยะห่างกันพอควร เราเลี้ยวซ้ายเดินไปบนถนนไม่ไกลก็เห็นสวนสาธารณะอยู่เบื้องหน้าเป็นพื้นที่ราบกว้างขนาดสองสนามฟุตบอลเชื่อมต่อกัน เราเลี้ยวขวาไปขึ้นสะพานโค้งเพื่อข้ามทะเลสาบซึ่งเป็นจุดที่แคบที่สุด เหมือนทะเลสาปถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน  ท่านลามะบอกว่าทะเลสาปแห่งนี้ชื่อทะเลสาปซูเมนดู(Sumendu lake) เป็นทะเลสาปที่เกิดขึ้นด้วยน้ำมือของมนุษย์มิได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ

 

                        เมื่ออยู่บนสะพานมองไปรอบๆจึงรู้สึกได้ว่าที่ราบขนาดสองสนามฟุตบอลพร้อมทะเลสาปกว้างที่ขนานกันไปนั้นก็คือพื้นที่ราบระหว่างหุบเขาที่ถูกล้อมรอบด้วยเขาลูกเล็กและใหญ่ซึ่งมีบ้านคนกระจุกเป็นหย่อมๆตามไหล่เขาระเรื่อยขึ้นไปจนถึงยอดเขาเกือบทุกยอด เขาลูกที่สูงที่สุดอยู่เหนือสวนสาธารณะ มองขึ้นไปตรงยอดเขาเป็นที่ตั้งของวัดสไตล์ทิเบต อาคารสีเหลือง-แดงดูเด่นเป็นสง่าฉันหมายตาไว้แล้วว่าจะต้องไปให้ถึงไม่พรุ่งนี้ก็มะรืนนี้

 

                        เมื่อข้ามสะพานไปอีกฝั่งเราเลี้ยวขวาไปบนทางแคบๆระหว่างตีนเขากับทะเลสาป  ภูเขาฝั่งนี้ไม่มีบ้านคน เราเดินเลียบทะเลสาปอ้อมไปตามเชิงเขา มองออกไปกลางทะเลสาปมีเกาะเล็กๆบนเกาะมีสิ่งปลูกสร้างดูแล้วน่าจะเป็นที่ตั้งของศาสนสถาน ถ้าจะไปที่นั่นคงต้องพายเรือไป ซึ่งดูน่าจะยุ่งยากพอควร ท่านลามะบอกว่าที่นั่นเป็นวัดฮินดู ทุกปีจะมีเทศกาลงานบุญประจำปีจัดขึ้นหนึ่งครั้ง ในช่วงจัดงานเทศกาลชาวบ้านจะต้องพายเรือไปทำบุญหรือประกอบพิธีที่นั่น ปกติแล้วที่วัดนี้จะไม่มีคนพักอยู่เลย

 

                       ฉันรู้สึกว่าเมืองนี้น่าจะอยู่ในจุดที่สูงพอดู หน้าหนาวคงจะหนาวมากทีเดียว ฉันเคยลองถาม

 ดีเพนมาก่อนแล้วว่าที่นี่เคยมีหิมะตกหรือไม่ เขาบอกว่าไม่เคยมี แต่ตอนนี้อยากลองแอบถามท่าน ลามะอีกครั้ง  ปรากฏว่าท่านตอบว่า ที่นี่เคยมีหิมะตก และน้ำในทะเลสาปก็เคยกลายเป็นน้ำแข็งแต่ว่าเกิดขึ้นนานหลายปีมาแล้ว ฉันเลยถามท่านด้วยความแปลกใจว่า ทำไมดีเพนถึงบอกว่าที่นี่ไม่เคยมีหิมะตกเลย ท่านลามะหัวเราะและบอกว่า ดีเพน เองไม่ค่อยได้อยู่ที่นี่เท่าไหร่หรอกส่วนใหญ่เขาจะไปทำงานที่อื่น บางทีสองหรือสามปียังไม่ได้กลับมาที่บ้านเลย

 

                       แผ่นน้ำกลางทะเลสาปเบื้องหน้าทำให้ฉันอดไม่ได้ที่จะนึกถึงช่วงฤดูหนาวกับภาพหิมะที่กำลังโปรยปรายลงสู่ทะเลสาปกว้างที่กลายเป็นน้ำแข็งไปแล้วก่อนที่จะถูกโรยด้วยปุยหิมะ  เหนือขึ้นไปบนเขาเบื้องหน้าป่าสนสูงชะลูดถูกปกคลุมไปด้วยหิมะขาวโพลน แทรกด้วยบ้านสีสันสดใสหลังคาถูกห่อหุ้มด้วยหิมะอีกเช่นกัน....แน่นอนเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากแดนสวรรค์ที่ฉันเคยฝันถึง

 

                       เราเดินต่อไปอีก เมื่อพ้นเหลี่ยมเขาข้างหน้าจึงได้เห็นโค้งทะเลสาปกว้างซึ่งเป็นจุดจบของทะเลสาปทางด้านนี้  เมื่อถึงโค้งเราจึงหวนกลับทางเดิม ฉันมองนาฬิกาข้อมือห้าโมงเศษๆรู้สึกได้ชัดว่าอากาศเย็นลง ดวงอาทิตย์ลับยอดเขาสูงไปนานแล้วแต่ยังคงความสว่างไว้บ้างเพราะยังไม่ได้หายไปจากเหลี่ยมโลก

 

                       ระหว่างทางกลับฉันได้ขอบคุณท่านลามะอีกครั้งด้วยความซาบซึ้งในน้ำใจและมิตรภาพที่มีให้ ท่านกลับบอกว่าท่านเข้าใจความรู้สึกของคนเดินทางดีเพราะท่านเองก็ชอบการเดินทาง ระหว่างการเดินทางท่องเที่ยวสิ่งหนึ่งที่คนเดินทางกังวลที่สุดก็คือเรื่องค่าใช้จ่ายว่าจะเพียงพอกับช่วงเวลาของการเดินทางหรือไม่ ท่านเคยไปเมืองไทยมาแล้วคนไทยดูแลต้อนรับท่านดีมาก ท่านเองก็รู้สึกซาบซึ้งในน้ำใจของคนไทยเช่นกัน เมื่อได้ฟังคำตอบจากท่านลามะฉันเองก็รู้สึกปลาบปลื้มและสบายใจขึ้นมาก ตอนนี้เลยรู้สึกซาบซึ้งในน้ำใจของคนไทยไปด้วยและอยากขอบคุณคนไทยทุกคนที่มีส่วนทำให้ฉันมีวันดีๆที่นี่เช่นวันนี้....                                                   

 

 

 

.....................................

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 




 

Create Date : 30 มีนาคม 2555    
Last Update : 15 เมษายน 2555 8:47:39 น.
Counter : 531 Pageviews.  

อินเดีย...เดินเดี่ยวสู่สิกขิม/มิริค ตอน 10.น้ำใจคนแปลกหน้า

น้ำใจคนแปลกหน้า

 

………

 

                       ฉันฆ่าเวลารอดีเพนต่อด้วยการควักปากกาและสมุดโน้ตออกมาจดบันทึกการเดินทาง ดีเพนกลับมาเอาเกือบเที่ยง และเราก็ถือโอกาสอุดหนุนร้านอาหารต่อด้วยมื้อกลางวัน จากนั้นจึงนั่งออโต้ริกชอว์ไปยังบ้านเพื่อนดีเพนเพื่อที่จะไปพบท่านลามะที่นั่น   

 

                      บนถนนที่จอแจและแออัดไปด้วยรถราหลากชนิด  สองข้างทางเป็นตึกแถวเก่าๆสูงต่ำไม่เป็นระเบียบ  รถไปได้ช้ากว่าปกติ เพราะมีคนเดินข้ามถนนตัดหน้ารถเป็นระยะๆ  แต่ไม่นานเราก็ไปถึงบ้านเพื่อนดีเพนซึ่งตัวบ้านมีบริเวณ ด้านหน้าบางส่วนปรับเป็นร้านอาหารเล็กๆแบบร้านอาหารของชาวบ้านต่างจังหวัดในเมืองไทย

 

                 ปรากฏว่าท่านลามะยังมาไม่ถึงซึ่งเราก็ต้องรอ  ดีเพนได้แนะนำให้ฉันรู้จักสองสามีภรรยาเจ้าของบ้าน ทั้งสองคนพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ แต่ก็ยิ้มแย้มแจ่มใสและต้อนรับฉันเป็นอย่างดีพร้อมถามผ่านดีเพนว่าฉันกินอาหารกลางวันมาหรือยัง เมื่อทราบคำตอบว่าเพิ่งกินมาเขาก็ยังเอาน้ำมาเสริฟให้ ฉันรู้สึกซาบซึ้งในน้ำใจที่ได้รับจากสองสามีภรรยาคู่นี้ แม้เราจะสื่อสารกันทางตรงไม่ได้แต่สายตาและรอยยิ้มที่ทั้งสองส่งให้นั้นบ่งบอกถึงความบริสุทธิ์ใจอย่างไม่มีข้อกังขา ด้วยอุปสรรคทางภาษาเราจึงไม่ได้พูดคุยกันมากนักแต่ฉันก็ไม่ลืมที่จะขอถ่ายรูปของทั้งสองไว้เป็นที่ระลึก พร้อมขอที่อยู่อีเมล์ไว้เพื่อจะได้ส่งภาพมาให้ภายหลัง

 

                 ระหว่างรอท่านลามะดีเพนได้เล่าให้ฟังว่าลามะท่านนี้เคยเดินทางไปเมืองไทยมาแล้ว ถึงตรงนี้ฉันเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมดีเพนจึงดูมีข้อมูลและคุ้นเคยกับเมืองไทยเป็นพิเศษเมื่อเวลาพูดถึง เรารอเกือบชั่วโมงท่านลามะจึงมาถึง ผิดไปจากที่คาดไว้มาก เบื้องแรกฉันคิดว่าท่านลามะคงจะดูแก่วัยและเงียบขรึมอยู่ในที แต่นี่ดูหนุ่มและอ่อนวัยกว่าฉันมาก ที่แปลกไปอีกก็คือดูอารมณ์ดีใบหน้าเปื้อนยิ้มตลอดเวลา ฉันยกมือไหว้ด้วยความรู้สึกเดียวกับไหว้พระสงฆ์ที่เมืองไทยท่านทักทายฉันเป็นภาษาอังกฤษพอเป็นพิธี แต่ก็ไม่ลืมที่จะบอกว่าท่านเคยไปเมืองไทยมาแล้วเมื่อสามปีที่ผ่านมาและท่านได้รับการดูแลจากคนไทยเป็นอย่างดี 

 

                           “คนไทยใจดีมาก” ท่านบอกต่อ ฉันยิ้มรับคำชมด้วยความปลาบปลื้มและอยากขอบคุณคนไทยทุกคนที่มีส่วนทำให้ผู้คนที่ไปเยือนเมืองไทยรู้สึกได้เช่นนี้  และฉันก็ค่อนข้างจะมั่นใจว่าที่ดีเพนดูเป็นมิตรกับฉันมากก็เพราะได้รับการถ่ายทอดเรื่องเมืองไทยในทางบวกจากท่านลามะนี่เอง

 

                ฉันยอมรับทันทีว่าสิ่งดีๆที่ได้รับในวันนี้ถือเป็นอานิสงค์ที่ส่งต่อมาถึงฉันเพราะความเป็นคนมีจิตใจโอบอ้อมและเอื้ออารีของคนไทยที่มีต่อแขกผู้ไปเยือนอย่างแน่นอน จากนั้นท่านก็หันไปดูเอกสารกับดีเพน ฉันเลยถือโอกาสเลี่ยงออกไปเดินเล่นและถ่ายรูปบริเวณหน้าบ้านและริมถนน

 

                      ฉันคิดว่าก่อนหน้าที่ท่านลามะจะมาเจอฉัน ดีเพนคงได้โทรศัพท์พูดคุยเรื่องของฉันกับท่านลามะไปบ้างแล้วเพราะดูท่านจะเข้าใจที่มาที่ไปของฉันพอสมควร ไม่ได้ซักถามอะไรมากนัก เสร็จธุระแล้ว เราทั้งสามก็นั่งออโต้ริกชอว์ไปยังคิวรถที่จะต่อไปยังเมืองมิริค

 

                      รถที่จอดอยู่ที่คิวรถส่วนใหญ่จะเป็นรถจี๊ปยี่ห้อทาทาและซูโม่ มีแลนด์โรเวอร์แซมบ้าง พื้นที่แถบนี้เป็นภูเขาทั้งสิ้นจำเป็นต้องใช้รถโฟร์วิลล์สภาพแข็งแรงและทนทานเป็นพิเศษ แต่ขนาดของรถทำให้จุผู้โดยสารได้ไม่มาก เมื่อไปถึงรถคันที่จะออก ปรากฏว่ามีที่นั่งเหลือให้เรา 3 ที่นั่งพอดี โดยด้านหน้าข้างคนขับยังว่างน่าจะนั่งได้สองคน สำหรับแถวหลังถัดไป ผู้โดยสารที่ดูเป็นคนท้องถิ่นทั้งหมดซึ่งนั่งกันเต็มพื้นที่อยู่ก่อนแล้วพอเห็นเราก็ได้พยายามขยับเบียดกันเพื่อให้เกิดที่ว่างริมสุดขึ้นอีกหนึ่งที่ นับเป็นความมีน้ำใจอย่างน่าชื่นชมของผู้โดยสารด้วยกันโดยแท้ 

 

                      ดีเพนและท่านลามะมีท่าทีที่อยากจะให้ฉันได้นั่งข้างหน้าระหว่างคนขับกับท่านลามะ  ฉันพอจะรู้มาก่อนว่าลามะที่นี่สามารถที่จะใกล้ชิดหรือแตะต้องผู้หญิงได้ แต่ในความรู้สึกของฉันขณะนี้ไม่สามารถยอมรับเช่นนั้นได้ เพราะรู้สึกว่าท่านก็คือพระสงฆ์รูปหนึ่ง และท่านเองก็อาจลืมนึกไปถึงข้อปฏิบัติของคนไทยที่มีต่อพระสงฆ์ซึ่งแตกต่างออกไปจากวิถีปฏิบัติของที่นี่ 

 

                      ฉันแอบเลี่ยงไปด้านหลังและรีบบอกท่านลามะไปว่า ฉันขอปฏิบัติต่อท่านเช่นเดียวกับการปฏิบัติต่อพระสงฆ์ที่เมืองไทย พอได้ฟังเช่นนั้นดูท่านลามะจะนึกอะไรขึ้นมาได้และเข้าใจความหมายที่ฉันพูดทันที  พลันท่านก็บอกให้ดีเพนขึ้นไปนั่งข้างคนขับแล้วท่านจึงตามขึ้นไปนั่งข้างๆ ส่วนฉันเลี่ยงขึ้นไปนั่งที่ว่างแถวหลัง จากนั้นท่านลามะก็หันกลับมาบอกว่าท่านเพิ่งนึกได้ว่าคนไทยเคารพและปฏิบัติต่อพระสงฆ์พิเศษมาก

 

                       รถวิ่งออกมาไม่นานก็มีหญิงสาวคนหนึ่งยืนโบกมือขอขึ้นรถอยู่ข้างทาง รถชะลอแล้วจอดข้างเธอ  ฉันออกจะงงว่าเธอจะขึ้นมานั่งตรงไหนได้อีก เพราะแถวที่ฉันนั่งก็เต็มที่แล้วไม่สามารถขยับให้ได้อีกแน่นอน แต่พอเห็นท่านลามะเตรียมขยับที่นั่งให้ก็เข้าใจได้ทันที  ฉันออกจะรู้สึกแปลกๆที่เห็นหญิงสาวนั่งเบียดชิดกับพระสงฆ์อยู่ข้างหน้าแถมพูดคุยกันอย่างคุ้นเคยในขณะที่ทุกคนในรถกลับไม่ได้รู้สึกอะไร.....คงเพราะมันคือสิ่งปกติสำหรับที่นี่....ฉันซึ้งได้ทันทีกับคำกล่าวที่ว่า ‘ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ล้วนถูกสมมุติขึ้นทั้งสิ้น..

 

                      บนเส้นทางระหว่างสิริกูริกับมิริคชวนให้นึกถึงการนั่งรถขึ้นเขาลงห้วยไปตามดอยต่างๆในพื้นที่ทางเหนือของเมืองไทย จะต่างก็ตรงสองข้างทางที่นี่เต็มไปด้วยไร่ชาสีเขียวเข้มสุดลูกหูลูกตาสลับกับเทือกเขาสูงสลับซับซ้อนซึ่งบางช่วงก็แทรกเข้าไปในกลุ่มเมฆหมอกขาวที่ลอยเกลื่อน 

 

                     ตอนนี้บรรยากาศทั่วไปเริ่มดูมืดครึ้มคล้ายกำลังย่างเข้าสู่ยามเย็น แต่ความจริงแล้วยังคงเป็นยามบ่ายหากท้องฟ้าถูกปกคลุมไปด้วยเมฆหมอกสีดำของฤดูฝนต่างหาก   อากาศเย็นเยือกขึ้นเรื่อยๆ ไม่นานฝนก็พรำลงมา ทุกคนในรถต่างเงียบเหมือนทุกอย่างคือความปกติ นานๆจะมีรถสวนมาสักคัน บรรยากาศชวนให้เกิดความรู้สึกเหงาๆและงงๆว่าฉันมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ไม่อยากเชื่อเลยว่าขณะนี้ฉันอยู่ห่างไกลจากบ้านเกิดเมืองนอนตั้งหลายพันไมล์ รอบข้างมีแต่ผู้คนแปลกหน้าที่ยากจะสื่อสารภาษากันโดยตรงได้ มีเพียงรอยยิ้มเท่านั้นที่เป็นสื่อให้เข้าใจในอารมณ์กันได้บ้าง

 

                     ไม่รู้ว่าอนาคตอันใกล้นี้จะเป็นอย่างไร แม้แต่เย็นนี้จะไปพักที่ไหนก็ยังมืดมน  เมื่อเช้าดีเพนบอกว่ามีที่พักอยู่หลายแห่ง หวังว่าคงหาได้สักแห่งและคงจะดูดีและน่าพักมากกว่าเมื่อคืนที่โกลกาตา  กำลังอยู่ในห้วงความคิดเพลินๆ ดีเพนก็หันกลับมาบอกว่า

 

                              “ อีกประมาณชั่วโมงกว่าๆ ก็จะถึงมิริคแล้ว คุณอยากพักบ้านบนเขาหรือริมทะเลสาบ ” ฉันสะดุ้งและแปลกใจเล็กน้อยเหมือนเขาจะล่วงรู้ว่าฉันกำลังคิดอะไรอยู่  มันเป็นคำถามที่ฟังแล้วดูดีและเท่ห์มาก ชวนให้นึกไปถึงบ้านสวยบนเนินเขาที่ตกแต่งด้วยไม้ดอกเมืองหนาวหลากหลายสีสันท่ามกลางอากาศเย็นเยือกของยอดเขา และอีกหลังคงจะเป็นบ้านปีกไม้ริมทะเลสาบอันเงียบสงบมองลงไปเห็นเงาของเทือกเขาแสนสวยสะท้อนลงในทะเลสาป ช่างชวนฝันเหมือนในหนังฝรั่งหรือโปสเตอร์ แต่เมื่อฉุกใจนึกถึงค่าเช่าก็ต้องชะงักคงจะแพงพอดู เลยถามกลับไปว่า ค่าเช่าแต่ละแห่งเป็นอย่างไร

 

                            “ฟรี... ท่านลามะจะฝากให้คุณพักที่บ้านของชาวบ้าน”  คำตอบดีเพนทำให้ฉันงงและอึ้งชั่วขณะ  ‘โอ...อะไรกันนี่’ อดรำพึงกับตัวเองไม่ได้ ไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่าจะได้รับสิ่งดีๆแบบนี้จากคนต่างชาติต่างภาษาที่เราไม่เคยรู้จักมาก่อน เราเพิ่งจะรู้จักกันยังไม่ถึงหนึ่งวันเลย  ฉันออกจะรู้สึกเกรงใจขึ้นมาทันที เกรงใจทั้งท่านลามะ และทั้งชาวบ้านที่ฉันจะไปพักด้วย เลยบอกไปว่า

 

                           “ ฉันรู้สึกว่าจะเป็นการรบกวนท่านลามะมากเกินไปแล้ว ถ้ายังไงฉันขอพักโรงแรมหรือเกสต์เฮ้าส์ก็ได้ ”   แต่แล้วท่านลามะก็หันกลับมาตอบทันทีว่า

 

                           “ ไม่เป็นไรหรอก เจ้าของบ้านเขาเต็มใจ และยินดี ”  พูดเสร็จโดยไม่รอคำตอบท่านลามะก็กดโทรศัพท์ในมือ ขณะที่ฉันเองก็รู้สึกว้าวุ่น นึกไม่ออกว่าควรจะตอบรับหรือไม่?อย่างไร?  สุดท้ายท่านลามะก็เสร็จจากการโทรศัพท์และหันมาบอกว่า

 

                            “ ตอนนี้ติดต่อบ้านริมทะเลสาปได้แล้วเขายินดีที่จะให้คุณไปพักที่บ้านเขา  แต่บ้านบนเขายังติดต่อไม่ได้”  มาถึงตอนนี้ฉันคงปฏิเสธน้ำใจที่ท่านลามะมอบให้ไม่ได้แล้ว เลยต้องรีบบอกขอบคุณและขอพักที่บ้านริมทะเลสาป เพื่อท่านจะได้ไม่ต้องยุ่งยากในการติดต่อบ้านบนเขาอีก

 

                      รถวิ่งไปตามไหล่เขาลูกแล้วลูกเล่าผ่านหมู่บ้านและชุมชนชาวเขาหลายแห่ง สภาพพื้นที่โดยทั่วไปดูไม่ต่างไปจากหมู่บ้านชาวไทยภูเขาทางเหนือของไทยสักเท่าไหร่ และแล้วก็เข้าสู่ชุมชนขนาดใหญ่สังเกตได้จากรถผ่านเข้าไปในตลาดที่มีร้านค้าเป็นห้องแถวยาวผู้โดยสารลงจากรถเป็นระยะ  รถผ่านเลยตลาดไปพักใหญ่จึงจอดให้เราลงตรงเนินเขาหน้าอาคารที่มีป้ายชื่อเขียนไว้ว่าศูนย์ประชุมหมู่บ้าน แล้วเราทั้งสามก็ลงเกือบเป็นชุดสุดท้าย

 ………………………..

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 




 

Create Date : 30 มีนาคม 2555    
Last Update : 9 ตุลาคม 2555 12:56:35 น.
Counter : 674 Pageviews.  

อินเดีย...เดินเดี่ยวสู่สิกขิม/มิริค ตอน 9.คิดถึงเมืองไทย



คิดถึงเมืองไทย

………

เช้าตื่นขึ้นมาหกโมงกว่าผู้โดยสารหายไปส่วนหนึ่ง เมื่อคืนคงลงระหว่างทาง ฉันย้ายไปนั่ง ฝั่งตรงข้าม เหม่อมองออกไปนอกรถ แว่บนึงรู้สึกเหมือนกำลังนั่งรถไฟจากกรุงเทพฯไปเชียงใหม่เพราะบรรยากาศและทิวทัศน์ข้างทางดูช่างไม่ต่างกันเลยจริงๆ

ดีเพนย้ายตามมานั่งตรงกันข้ามฉันยิ้มทักทาย เขาบอกเจ็ดโมงกว่าก็จะถึงสถานีนิวจัลปายกูริแล้วถ้าฉันจะต่อไปยังดาร์จีลิ่งจะต้องนั่งรถเล็กที่สถานีรถไฟไปยังคิวรถที่จะไปดาร์จีลิ่ง

เขาไม่รู้ว่าฉันได้เปลี่ยนใจแล้วหลังจากเมื่อคืนได้อ่านหนังสือคู่มือพบว่าสิริกูริเมืองที่อยู่ใกล้ๆนิวจัลปายกูริก็เป็นเมืองที่น่าหยุดพักทักทายซัก 1-2 วัน ฉันจึงบอกเขาไปว่าฉันเปลี่ยนใจอาจจะไปพักที่สิริกูริสัก 1-2 วัน ความที่ฉันชอบภูเขา จึงถามไปว่าเมืองนี้มีภูเขาเยอะไหม

“ ถ้าคุณชอบภูเขาไปเที่ยวบ้านผมสิ..เมืองมิริค (Mirik) ที่นั่นเมืองภูเขาเลยล่ะ แถมมีทะเลสาบสวยงามอยู่กลางเมืองด้วย มีที่พักหลายแห่งเพราะมีนักท่องเที่ยวไปเยอะ”

คำโฆษณาที่เขาโปรยออกมาเล่นเอาฉันตื่นใจรีบควักหนังสือคู่มือออกมาค้นหาชื่อเมืองที่ได้ยินเป็นครั้งที่สองแต่ใหม่เอี่ยมในความรู้สึก.....

             มิริคเป็นเมืองเล็กๆอยู่ระหว่างสิริกูริและดาร์จีลิ่ง ใกล้ชายแดนเนปาล จากยอดเขาของเมืองยังสามารถมองเห็นเทือกเขากังเชนจุงกา หนึ่งใน  13 ยอดเขาสูงสุดของเทือกเขาเอเวอร์เรสต์ได้....ตัวอักษรไม่กี่บรรทัดแต่มีพลังพอที่จะทำให้ฉันตื่นเต้นและเปลี่ยนใจได้

“สิริกูริ ดูวุ่นวายและไม่สวยเท่ามิริคหรอก” เขาเชิญชวนต่อเมื่อเห็นฉันปิดหนังสือและคงมีท่าทีโอนเอียงไปทางเขาอย่างเห็นได้ชัด…..เขากลายเป็นเซลล์แมนของบริษัททัวร์ไปโดยไม่รู้ตัว

การเดินทางคนเดียวมันก็ดีไปอย่าง ชีวิตเป็นของเราไม่ผูกพันกับใครจะตัดสินใจอย่างไรก็ได้หากเราชอบที่จะทำ ‘แล้วผู้ชายคนนี้ล่ะจะไว้ใจได้แค่ไหน ?’ เป็นคำถามที่ผุดขึ้นในใจ

จากการได้พูดคุยกับเขามาตั้งแต่เมื่อวานก็ดูเขาซื่อๆ เมืองนี้หากฉันจะไปด้วยตัวเองก็คงไม่ยากเพราะข้อมูลมีพร้อมในหนังสือคู่ใจ แต่หากจะไปกับคนในท้องที่ก็น่าจะดีกว่าแถมได้เพื่อนใหม่ ฉันเลยตัดสินใจบอกเขาว่าฉันเปลี่ยนใจขอไปเที่ยวมิริคกับเขาแล้วกัน... ดูท่าทีเขาจะดีใจเอามากๆกับคำตอบของฉัน

ฉันถามเขาถึงเรื่องเมืองมิริคต่อ ดูเขาภูมิใจที่จะนำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับบ้านเกิดของเขาจริงๆ แต่ท้ายสุดของการพูดคุยกลับมาจบเอาที่เมืองไทยโดยที่เขาเป็นฝ่ายซักและฉันกลายเป็นฝ่ายต้องตอบคำถามโดยไม่รู้ตัว!

สายๆก็ถึงสถานีนิวจัลปายกูริเขาพาฉันลงต่อรถโดยสารเล็กซึ่งจอดรอผู้โดยสารอยู่เต็มไปหมดที่ลานจอดรถกว้าง เราจะต้องนั่งรถเล็กเข้าไปยังตัวเมืองสิริกูริก่อนเพื่อต่อรถไปยังมิริค ระยะทางไม่ไกลมากจ่ายไปคนละ 10 รูปี ฉันรู้สึกดีใจที่มีเพื่อนนำทางเป็นคนท้องถิ่น ไม่งั้นฉันคงเหน็ดเหนื่อยกับการหลบหลีกพวกรถรับจ้างอีกรอบแถมอาจถูกหลอกเรื่องค่าโดยสารอีกด้วย

ระหว่างอยู่บนรถโดยสารเล็ก อย่างนึกไม่ถึงท้องเจ้ากรรมก็เกิดปั่นป่วนขึ้นมา และก็เพิ่งนึกได้ว่าตลอดเวลาทั้งคืนบนรถไฟไม่ได้เข้าห้องน้ำเลยเพราะรู้มาก่อนว่าห้องน้ำบนรถไฟที่นี่ไม่ค่อยจะโสภานักเลี่ยงได้ก็เลยพยายามจะเลี่ยง แต่ตอนนี้ท้องเจ้ากรรมมันเริ่มประท้วงแล้วสิ.. ‘ เอาไงดี

พยายามสงบสติอารมณ์และทำสมาธิ แอบเว้าวอนสิ่งไม่มีตัวตนมาเป็นที่พึ่งสุดท้ายเผื่ออานุภาพอันสูงส่งของสิ่งเหล่านั้นจะช่วย ได้ ‘โอย.....ธัมโม สังโฆ คุณพระ คุณเจ้าช่วยด้วย.... ’ และก็ได้ผลนิดหน่อย ช่างโชคดีที่รถมาถึงปลายทางหรือคิวรถแล้ว ที่นี่เขาเรียกว่าบัสแสตน(bus stand) ดีเพน บอกว่าเขามีนัดกับเพื่อนคนหนึ่งที่จะช่วยจัดการเรื่องเอกสารในการต่อพาสปอร์ตให้เรียบร้อย ซึ่งเราต้องนั่งออโต้ริกชอว์ไปเจอเพื่อนคนนี้ก่อนแล้วถึงจะไปมิริคได้

ถึงตอนนี้ฉันไม่นึกถึงอะไรทั้งสิ้นประเมินอาการตัวเองแล้วไม่ไหวจริงๆ ถ้าไม่ได้เข้าห้องสุขาซะก่อนภายใน 5 นาทีนี้คงได้ขายหน้าแน่ๆ รีบบอกความจริงกับดีเพนไปแต่ด้วยรู้สึกอายเล็กน้อยเลยต้องสงวนท่าทีให้ดูดีหน่อย

“ ตอนนี้ฉันขอเข้าห้องน้ำก่อนก็แล้วกัน แล้วค่อยไปเจอเพื่อนคุณ แถวนี้พอจะมีห้องน้ำไหม? ”

ฉันคงเก็บงำความรู้สึกภายในได้ดีเกินไป

 ดีเพนรับฟังอย่างปกติ พร้อมบอกว่าเดี๋ยวไปเข้าที่บ้านเพื่อนเขาซึ่งอยู่ไม่ไกล จะด้วยแถวนี้ไม่มีห้องน้ำหรือเขาอาจหวังดีอยากให้ฉันเข้าห้องน้ำที่ดูดีหน่อย ตามประสาคนที่ผ่านต่างประเทศมาและบ้านเพื่อนเขาคงอยู่ไม่ไกล(พยายามมองในแง่ดีไว้ก่อน) ฉันเลยต้องเก็บอาการต่อด้วยหวังว่าบ้านเพื่อนเขาคงอยู่ไม่ไกลจริงๆ

เขาเรียกออโต้ริกชอว์คันเดียว ฉันไม่ว่าอะไรความที่อยากไปให้ถึงจุดหมายเร็วๆ เบียดนิดหน่อยก็ยอมทน อาการปวดท้องทั้งหนักและเบามันมาเป็นระลอกๆ ช่วงที่โหมมาก็ขนลุกซู่ซะทีนึง ฉันพยายามใช้สมาธิเข้าช่วยโดยนึกถึงเรื่องอื่นแทนซึ่งมันก็จะค่อยๆหายไปแต่แล้วก็เกิดขึ้นอีก ฉันเพิ่งประจักษ์ชัดแจ้งตอนนี้เองว่าที่ใดไม่มีห้องสุขาที่นั่นมีทุกข์จริงๆ

ออโต้ริกชอว์ผ่านไปบนถนนแคบๆ สองข้างทางเต็มไปด้วยโรงแรมขนาดเล็กและเกสต์เฮ้าส์ คงด้วยอานุภาพแห่งจิตที่จดจ่ออยู่ตลอดเวลาภาพห้องสุขาจึงมาลอยเด่นอยู่ตรงหน้า ดีเพนคงแปลกใจที่ฉันเงียบไป เขาชวนคุยต่อเรื่องเพื่อนที่เขาจะไปพบ เขาบอกเพื่อนเขาคนนี้เป็นลามะ ฉันฟังแล้วก็หูผึ่ง แต่ความตื่นเต้นที่ควรจะมีกลับหายไปไหนหมดไม่รู้

ฉันเคยอ่านเรื่องราวของลามะหรือนักบวชในพุทธศาสนาสายวัชรยานในทิเบตมาพอสมควร ซึ่งก็ทำให้ฉันสนใจและอยากรู้จักวิถีชีวิตหรือวัตรปฏิบัติของท่านเหล่านั้นมานานแล้ว แต่ตอนนี้แม้จะรู้ว่าจะได้มีโอกาสพบและรู้จักกับนักบวชสายพันธุ์ที่น่าทึ่งดังกล่าว ฉันกลับเหลือแค่ความรู้สึกที่ว่า ‘เมื่อไหร่จะถึงบ้านเพื่อนดีเพนซะทีนะและแล้วความอดทนของฉันก็ขาดผึงลงตรงที่ข้าศึกมันบุกมาจ่อตรงประตูเมืองและไม่มีทีท่าว่าจะถอยกลับ ‘ ไม่ไหวแล้ว ….’จิตสำนึกเตือนเป็นครั้งสุดท้ายว่าไม่ไหวจริงๆ ตอนนี้ความอายไม่มีเชื้อเหลืออยู่แล้ว ฉันรีบบอกดีเพนว่า

“ ฉันขอเข้าห้องสุขาตามเกสต์เฮ้าส์ข้างถนนนี่ก่อนเถอะ เพราะไม่ไหวจริงๆ” ดีเพนดูจะเข้าใจทันที เขารีบบอกออโต้ริกชอว์จอดแล้วรีบเดินเข้าไปยังเกสต์เฮ้าส์ข้างถนน ฉันวิ่งตามไปติดๆด้วยความหวังเต็มเปี่ยม แต่แล้วหลังจากดีเพนได้เจรจาภาษาที่ฉันฟังไม่รู้เรื่องแล้วใบหน้าของเขาก็มีอาการหงอยบวกแววเห็นใจฉันพร้อมบอกว่า

“ ถ้าไม่พักเกสต์เฮ้าส์ของเขาๆก็ไม่ให้เข้าห้องสุขา” ฉันตลึงกับคำพูดของเขาความหวังสลายลงทันใด

‘ โอ...พระเจ้าช่างโหดร้ายกับฉันเหลือเกิน...’ ฉันโอดครวญในใจ ความโมโหเริ่มก่อตัวขึ้น ตอนนี้คิดถึงเมืองไทยสุดๆ ถ้าเป็นเมืองไทยเรื่องแบบนี้เป็นเรื่องที่เราจะเห็นใจกันมากที่สุด ดีเพนไม่ลดละดูเขาจะเข้าใจสถานการณ์ของฉันเป็นอย่างดี เขารีบเดินนำฉันข้ามถนนไปยังเกสต์เฮ้าส์ ฝั่งตรงข้าม ฉันเดินตามด้วยความหวังใหม่ แต่แล้วมันกลับดูโหดร้ายยิ่งกว่า ดีเพนหันกลับมาบอกว่า เขาคิดเงินค่าใช้ บริการ 150 รูปี คำตอบทำให้ฉันสะดุ้งตกใจพร้อมความโมโหพุ่งขึ้นสุดขีดโดยไม่รู้ตัว ‘อะไรจะมากมายและโหดร้ายขนาดนั้น ? ดูเหมือนว่าทุกคนกำลังจงใจจะแกล้งฉันกระนั้น!! ’

“เขาคิดเท่าค่าห้องหนึ่งคืน” ดีเพนบอกด่อ ฉันถึงบางอ้อทันที นัยว่าถ้าคุณจะใช้สุขาที่นี่ คุณจะต้องจ่ายเหมือนเป็นลูกค้าที่นี่เท่านั้น ความน้อยใจเกิดขึ้นพร้อมคำถามในใจที่ว่า ‘ คำว่าน้ำใจมีหรือไม่นะสำหรับคนที่นี่ ? ’ รู้สึกแค้นเคืองกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเอง... แต่ก็แปลกที่ความอดทนของฉันกลับมีมากขึ้นและพลันสมองก็ดูปราดเปรื่องขึ้นมาทันทีเช่นกัน.... ‘ ใช่แล้วร้านอาหาร ฉันรีบบอกดีเพนทันทีว่า

“ไปร้านอาหารดีกว่า และทานมื้อเช้าด้วยเลย พอจะมีไหมแถวๆนี้” ดีเพนตาเป็นประกายขึ้นมาแว่บนึง รีบตอบ “ โอเค โอเค....”

เหมือนสวรรค์บัญชามาชั่วแว่บเราก็มาถึงร้านอาหาร จากนั้นทุกอย่างก็ผ่านไปอย่างราบรื่น...เฮ้อ!.... ฉันได้ความสุขกลับมาสู่อ้อมใจอีกครั้ง ไม่อยากจะบรรยายอะไรทั้งสิ้น ซึ้งแล้ว ทุกข์ สุขเป็นเรื่องธรรมดาคละเคล้ากันไป…….

ดีเพนดูคุ้นเคยกับเจ้าของร้านและเด็กในร้านเป็นอย่างดี เขาบอกร้านนี้เจ้าของเป็นคนเนปาลี บ้านอยู่เนปาลแต่เข้ามาเปิดร้านอาหารที่อินเดีย ดีเพนทานข้าวอย่างเร่งรีบ เสร็จแล้วบอกขอตัวออกไปทำธุระสักเดี๋ยวจะกลับมา ฉันเข้าใจทันทีเพราะฉันเป็นต้นเหตุให้เราจำต้องแวะที่นี่กลางคันก่อนถึงจุดหมายที่ตั้งใจไว้แต่แรก เขาทิ้งของส่วนตัวทั้งหมดไว้ที่ร้าน เหมือนเป็นนัยว่าเขาไม่ทิ้งฉันหรือหนีหายไปไหนแน่

ฉันถือเป็นโอกาสดีที่จะได้ทำตัวสบายๆผ่อนคลายอารมณ์บ้าง เจ้าของร้านและลูกจ้างอัธยาศัยดีมาก ชวนคุยอย่างเป็นกันเอง ฉันรู้สึกว่ามันคนละโลกกับที่ผ่านมาไม่ถึงชั่วโมงนี้จริงๆ เด็กหนุ่มในร้านมาจากเนปาลเขาดูอารมณ์ดี และก็พูดภาษาอังกฤษได้ดีไม่แพ้อารมณ์ของเขาทีเดียว ที่น่าขอบคุณก็คือเช้านี้เขาได้ช่วยฟื้นฟูอารมณ์ของฉันให้ดีขึ้นจนเป็นปกติด้วยการชวนคุยเรื่องประเทศเนปาลซึ่งเป็นประเทศบ้านเกิดของเขา ประเทศนี้ฉันเคยไปเที่ยวมาแล้วประทับใจทั้งผู้คน ทิวทัศน์ที่สวยงามและความเป็นประเทศที่ยังคงเหลือร่องรอยแห่งความมีอารยะธรรมที่สูงส่งในแบบฉบับของตัวเองไว้ให้เห็น ต้องยอมรับว่าได้คุยถึงประเทศนี้ทีไรมันมีความสุขทุกที !

....................................




 

Create Date : 30 มีนาคม 2555    
Last Update : 9 พฤศจิกายน 2560 20:33:18 น.
Counter : 633 Pageviews.  

อินเดีย...เดินเดี่ยวสู่สิกขิม/มิริค ตอน 8.เพื่อนใหม่

เพื่อนใหม่

 ........

                   หลังจากขึ้นมานั่งบนรถไฟเรียบร้อยแล้วฉันก็อดที่จะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ไม่ได้นับเป็นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ที่สามารถขึ้นมานั่งบนรถไฟได้อย่างราบรื่น เพราะที่อินเดียแม้จะมีตั๋วรถไฟแล้ว ใช่ว่าเมื่อรถไฟมาจอดจะขึ้นมานั่งได้เลยเหมือนในเมืองไทย ที่นี่ก่อนจะขึ้นรถไฟผู้โดยสารแต่ละคนจะต้องไปตรวจดูรายชื่อของตัวเองบนแผ่นกระดาษที่ติดอยู่ข้างตู้รถไฟเสียก่อน แผ่นกระดาษรายชื่อนี้เจ้าหน้าที่จะเอามาแปะไว้เมื่อรถไฟเข้ามาจอดที่ชานชาลาแล้วซึ่งบางครั้งรถไฟก็จะมาจอดก่อนเวลาออกไม่กี่นาที  ดังนั้น เพื่อความมั่นใจผู้โดยสารแต่ละคนจะต้องรีบมาดูว่ามีชื่อตัวเองอยู่ในแผ่นกระดาษนั้นหรือไม่และที่นั่งถูกต้องตามตั๋วที่เรามีหรือเปล่า หากมีและถูกต้องก็ไม่เป็นปัญหาสามารถขึ้นรถได้...‘ แล้วหากไม่มีล่ะ..  

 

                 ฉะนั้น ฉันจึงรู้สึกกังวลกับปัญหาที่อาจเกิดขึ้นแบบนี้เป็นอย่างมาก เกรงว่าจะฝ่าวงล้อมผู้คนที่แย่งยื้อกันเข้าไปรุมดูรายชื่อในกระดาษแผ่นเล็กข้างตู้รถไฟไม่ได้ หรืออาจจะช้าหรือมีปัญหาจนขึ้นรถไฟไม่ทัน  แต่เมื่อถึงเวลาทุกอย่างก็ผ่านไปได้ด้วยดี แต่เหนื่อยมากหน่อยก็ตอนที่รถไฟเข้าเทียบชานชะลาขณะที่บรรยากาศรอบๆตัวกำลังเข้าสู่ความมืด ฉันต้องรีบแบกเป้อันหนัก (เพราะไม่กล้าเอาไปวางไว้ที่ไหน) เข้าไปเบียดเสียดกับบรรดาเจ้าของประเทศทั้งหลายที่กรูกันไปที่ข้างตู้รถไฟเพื่อแก่งแย่งกันตรวจรายชื่อตัวเองจากแผ่นกระดาษ 3-4 แผ่น ด้วยคำถามในใจที่เหมือนกันว่า  ‘จะมีชื่อเราอยู่ด้วยหรือเปล่านะ

 

                 รถไฟยังไม่ออกจากสถานี แต่ผู้คนเริ่มสงบบนที่นั่งของตัวเองแล้ว อดแปลกใจไม่ได้ที่เพื่อนร่วมทางรอบๆตัวหาหน้าอินเตอร์ไม่ยักกะมี มีแต่เจ้าของประเทศทั้งนั้น หน้าตาส่วนใหญ่ดูแล้วหากอยู่เมืองไทยก็คงยากที่จะแยกออกว่าเป็นคนไทยหรือแขกอินเดีย แต่คนที่นี่ไม่ว่าจะไปที่ไหนส่วนใหญ่จะเห็นแต่ผู้ชายไม่ค่อยเห็นมีผู้หญิง รู้สึกว่าผู้หญิงที่นี่จะมีบทบาทในสังคมนอกบ้านน้อยกว่าผู้ชายมาก และตอนนี้ฉันก็กลายเป็นผู้หญิงที่อยู่ท่ามกลางผู้ชายในตู้รถไฟทั้งตู้ 

           จึงไม่แปลกที่ฉันจะเป็นที่น่าสนใจกับคนรอบข้าง ทุกสายตาดูจะวนเวียนอยู่ที่ฉัน มีทั้งประเภทบังเอิญปะทะสายตากับฉันเข้าอย่างจังแล้วก็รีบหลบสายตาลงต่ำเหมือนทำผิดกับฉันอย่างมหันต์ และประเภทแอบๆลอบมองพอเจอสายตาฉันซึ่งมองอยู่ก่อนแล้วก็ทำเป็นเฉไฉสายตาไปที่อื่น ฉันเองเริ่มรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนแปลกหน้าสำหรับคนที่นี่จริงๆก็ตอนนี้แหละ 

 

                สักพักผู้ชายที่นั่งติดหน้าต่างข้างๆฉันก็หันมามองฉันตรงๆ(พอนั่งลงก็มัวแต่สนใจคนระยะไกลจนลืมมองคนที่อยู่ใกล้ๆ) แล้วถามว่า

 

                      “คุณมาจากไหน” เขาพูดภาษาอังกฤษอย่างไม่เคอะเขิน หน้าตาเขาฉันรู้สึกเหมือนคุ้นๆแต่ก็นึกไม่ออกว่าเคยเจอที่ไหน ถ้าบอกว่าเป็นคนไทยฉันคงเชื่อสนิท แม้เขาจะผิวดำเหมือนแขกแต่ผิวแบบนี้ก็มีอยู่ดาษดื่นในเมืองไทย ฉันยิ้มและตอบความจริงออกไป สีหน้าเขาแสดงอาการดีใจอย่างเห็นได้ชัดจนฉันอดแปลกใจไม่ได้ เขาบอกว่าเขาเห็นฉันตั้งแต่นั่งทานอาหารอยู่ที่ห้องอาหารของสถานีรถไฟแล้ว  ฉันถึงบางอ้อทันที... ใช่แล้วตอนนั่งกินข้าวเย็นอยู่ในห้องอาหารของสถานีรถไฟเขาเดินผ่านหน้าฉันไป ฉันยังรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้ช่างเหมือนคนไทยเหลือเกิน แต่ความที่ไม่ค่อยจะสบอารมณ์กับอาหารที่สั่งมาตรงหน้าเท่าใดนักทำให้ความสนใจในตัวเขาตอนนั้นผ่านไปอย่างรวดเร็ว

 

                 เขาแนะนำตัวเองโดยที่ฉันไม่ได้ถาม เขาชื่อดีเพน บ้านอยู่ที่เมืองมิริค(Mirik) เขามาโกลกาตาเพื่อต่อพาสปอร์ตก่อนเตรียมไปทำงานต่างประเทศอีกครั้ง แต่เนื่องจากหลักฐานที่เตรียมไปไม่ครบเลยยังไม่เรียบร้อยต้องกลับไปหาหลักฐานเพิ่มเติมแล้วกลับไปทำที่โกลกาตาใหม่  ฉันออกจะงงกับมิตรภาพและความเป็นกันเองที่เขายื่นให้อย่างรวดเร็วเหมือนอาหารจานด่วนที่ถูกส่งมาอยู่ตรงหน้าโดยที่ไม่ได้สั่ง

 

                 ฉันพยายามรับรู้และทำความเข้าใจกับเรื่องราวที่เขาตั้งใจบอกกล่าวแต่ชื่อเมืองที่เขาอาศัยอยู่ฉันไม่รู้จักหรอก เรื่องต่อพาสปอร์ตฟังดูหากถึงขั้นต้องนั่งรถไฟระยะยาวข้ามคืนมาทำ ฟังแล้วก็น่าเห็นใจที่จะต้องกลับมาทำเรื่องใหม่อีก นึกเปรียบเทียบกับเมืองไทยของเราตอนนี้เราสะดวกกว่ามาก เพราะมีจุดให้ทำพาสปอร์ตได้ทุกภาค ไม่ต้องเดินทางข้ามคืนแบบนี้   

 

                 หากจะคาดเดาอายุของชายคนนี้ก็คงจะประมาณ 40-45 ปี  เขาเล่าเรื่องราวตัวเองต่อด้วยความตั้งใจ เขาเคยไปทำงานที่บาร์เรนมาแล้ว ทั้งๆที่ไม่อยากจะไปอีกแต่ก็จำเป็นต้องไปเพราะที่อินเดียไม่มีงานให้ทำ ฟังแล้วก็น่าเห็นใจอีก  เขาถามฉันเกี่ยวกับเมืองไทยด้วยความสนใจมากมาย ฉันตอบเขาอย่างตรงไปตรงมาเพราะรู้สึกว่าเขาคุยด้วยความจริงใจไม่น่ามีอะไรเคลือบแฝง เขาบอกเขารู้สึกว่าเมืองไทยอุดมสมบูรณ์ คนไทยรวยและหางานง่ายเงินเดือนดี เขาอยากไปทำงานที่เมืองไทย พอจะมีงานให้เขาทำไหม ? ฉันเกือบตั้งตัวไม่ติดเมื่อเขาฟันธงเรื่องที่คุยมาลงที่ฉันเอาดื้อๆ แต่ก็รู้สึกเห็นใจ ได้แต่พยายามอธิบายความจริงให้เขาฟังว่า บางอย่างเกี่ยวกับเมืองไทยเขายังเข้าใจผิด เช่น เมืองไทยเองก็มีคนว่างงานเยอะ และคนใช้แรงงานก็เงินเดือนไม่ได้สูงแบบที่เขาคิด แต่ดูเขาจะไม่เชื่อ

 

                 รถไฟเคลื่อนตัวออกตรงเวลา ฉันถือโอกาสก้มลงมองนาฬิกาและเฉไปสนใจบรรยากาศรอบข้างมากกว่าที่จะสนใจคำพูดของเขาต่อ  แต่พลันก็ได้ยินเสียงดังแหบห้าวความถี่สูงด้วยภาษาที่ฟังไม่รู้เรื่องลอยมาไม่ไกล ฉันรู้สึกแปลกใจแกมตระหนกเล็กน้อย ชั่วครู่ต้นตอของเสียงก็ปรากฏ เล่นเอาฉันต้องสะดุ้ง  แต่พอตั้งสติได้ก็แทบจะเผลอหัวเราะก๊ากออกมาเพราะที่เห็นอยู่ข้างหน้าไม่ไกลก็คือกระเทยแขกหุ่นผอมเกร็งสองคนหน้าตาออกแนวอุบาทว์(ขอยืมสำนวนของพวกเธอมาใช้ก็แล้วกัน)มากกว่าสะสวย เพราะแต่งหน้าซะเข้มฉูดฉาดในชุดส่าหรีสีสันแสบทรวง สองเธอกำลังประกบคู่หนุ่มแขกทีละคน โดยส่งสายตาเข่นเขี้ยวแทนที่จะออดอ้อนเพื่อขอเงิน ด้วยสีหน้าจริงจังแกมข่มขู่ด้วยเสียงแหบดัง ฉันเห็นหนุ่มแขกเกือบทุกคนจำต้องส่งเงินให้ ทั้งด้วยอาการขำๆ และบ้างก็ค่อนไปทางกึ่งรำคาญ

 

                 เธอสองคนเดินมาเกือบถึงฉัน ตอนนี้ฉันรู้สึกกังวลกับตัวเองว่าจะต้องส่งเงินให้เธอด้วยหรือไม่ เพราะท่าทีเธอทั้งสองบางทีก็ดูจริงจังมาก แต่การข่มขู่อยู่ในทีแบบนี้มันไม่น่าสงสารและไม่อยากจะเสียเงินให้  เรื่องอะไรอยู่ดีๆ จะมาข่มขู่เอาเงินกันง่ายๆ แต่ใจหนึ่งก็ชักกลัวๆกับปฏิกิริยาที่อาจจะถูกโต้กลับ

 

                 สักครู่ทั้งคู่ก็มาถึงช่องที่ฉันนั่งเขาผ่านฉันไปยังดีเพนก่อนพร้อมกับยื่นมือไปตรงหน้าเหมือนจะบอกว่า ‘ ส่งเงินมาให้ฉันซะดีๆ ’  ดีเพนรีรอสักพักก็ยอมแพ้ล้วงเงินออกมาจากกระเป๋ากางเกงเป็นแบงค์ย่อยส่งให้ (ไม่แน่ใจว่าเท่าไหร่เพราะยังไม่คุ้นกับเงินรูปี) เธอรับด้วยความมั่นใจเหมือนจะย้ำว่า ‘มันเป็นสิ่งที่เธอจะต้องให้ฉัน

 

                 สุดท้ายก็มาถึงฉันแต่ตอนนี้สีหน้าเธอทั้งสองลดความจริงจังลง ฉันเริ่มรู้สึกได้ว่าความน่ากลัวของพวกเธอได้ลดลงด้วยเช่นกันและเดาว่าด้วยความเป็นผู้หญิงของฉันคงไม่น่าเป็นที่ใส่ใจในความรู้สึกของพวกเธอเท่าไรนัก  แต่ฉันจะปฏิเสธอย่างไรดีเพื่อไม่ให้เป็นที่ขุ่นเคืองในอารมณ์ของเธอ?.... แต่ก็ช่างโชคดีฉับพลันประกายความคิดก็เกิดขึ้น... ‘ฉันน่าจะแอบอ้างเป็นเพื่อนดีเพนซะเลยน่าจะดี’ ดังนั้นเมื่อเธอทั้งสองยื่นมือมาที่ฉันด้วยสีหน้าที่ไม่ได้จริงจังอะไรฉันเลยรีบชี้มือไปที่ดีเพน พร้อมบอกว่า

 

                       “เพื่อนฉันจ่ายไปแล้วไง...”  รอดตัวไปเธอทั้งสองผ่านไปโดยไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ ฉันถอนหายใจโล่งอก ดีเพนมองฉันด้วยสีหน้าชื่นชมและอมยิ้มพร้อมยกนิ้วหัวแม่มือให้  ฉันเองรู้สึกขำขำแต่ก็ไม่ลืมขอบคุณเขาไป.......ตอนนี้ชักเริ่มรับรู้ถึงความเป็นมิตรของเขามากขึ้น                       

 

                 ประมาณสองทุ่มกว่าพนักงานก็มาจัดเตียงนอนให้ ความจริงก็ไม่มีอะไรมากรถไฟชั้นนี้ไม่ได้หรูหราอะไร ผ้าปูที่นอนหรือหมอนก็ไม่มีก็แค่ดึงเอาเตียงลงมาให้ เตียงนอนบนรถไฟที่นี่ต่างจากเมืองไทย ของเรามีสองชั้น แต่ที่นี่รถไฟอินเดียมีถึงสามชั้น คือมีสามเตียงนั่นเอง ฉันเลือกเตียงบนสุดเพราะรู้สึกอิสระและจะได้ไม่รำคาญผู้คนที่เดินผ่านไปมา ที่กลัวสุดก็คือกลัวของหายเลยยกสัมภาระทั้งหมดขึ้นไปนอนด้วย ที่นอนเลยดูออกจะเกะกะและอึดอัดซักหน่อยแต่ก็สบายใจและก็หวังว่าพรุ่งนี้ทุกอย่างคงจะสดใสมากกว่าวันนี้

  …………………………

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 




 

Create Date : 30 มีนาคม 2555    
Last Update : 9 มิถุนายน 2555 22:54:56 น.
Counter : 696 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  

SmileIce
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




"คนฉลาดที่อยู่แต่ที่เก่า...ไม่เท่าคนโง่ที่เดินทาง.."
จากหลวงปู่หล้าตาทิพย์ วัดป่าตึง


"การเปลี่ยนแปลง...ต้องนำไปสู่สิ่งที่ดีกว่า..."

New Comments
Friends' blogs
[Add SmileIce's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.