สิ่งสมมุติ...ความเชื่อ...และศรัทธา..
สิ่งสมมุติ...ความเชื่อ...และศรัทธา มีคนกล่าวไว้ว่า... ในการเดินทาง จุดหมายปลายอาจทางมิใช่เป้าหมายที่สำคัญ หากแต่เรื่องราวหรือประสบการณ์ตามรายทางต่างหากที่มีความหมายและสำคัญกว่า…และก็น่าจะสอดรับกันได้ดีกับคำกล่าวที่ว่า ...ภาพชีวิต บางภาพหรือคำพูดบางคำของใครคนหนึ่งอาจ เปลี่ยนแปลงชีวิตทั้งชีวิตของใครอีกคนได้ หลายคนเคยถามฉันว่าไปทำไมอิ นเดีย ? สำหรับเขาจะเป็นประเทศสุดท้ายที่นึกถึง วินาทีนี้...หากให้ตอบกันตรงๆ คงยาก แต่อยากบอกเพียงว่า... กลับมาแล้ว..ก็ยังอยากจะไปอีก เมื่อพูดถึงอินเดีย...เรื่องราวและเหตุการณ์บางอย่างที่ให้ความประทับใจ รู้สึกแปลกใหม่ และสนุกเมื่อได้ประสบหรือพานพบก็ผุดพรายขึ้นในมโนภาพ มันซ้อนกันขึ้นมาเป็นภาพเหตุการณ์เหมือนเพิ่งผ่านไปเมื่อวันวาน... บางอย่างที่เจอะเจอมันคนละขั้วกับที่เรา คุ้นเคยจริงๆ!!
ฉันได้มีโอกาสรู้จักกับท่านเวนลามะจิกเม (พระหรือนักบวชในพุทธศาสนาสายทิเบตหรือวัชรยาน) ก็ด้วยการแนะนำของดีเพน (Depen) หนุ่มกลางคนที่ฉันกำลังจะ ไปเที่ยวบ้านเขาตามคำชวน...เมืองมิริค(Mirik) ฉันยกมือไหว้ท่านลามะอย่างสำรวม อารมณ์เดียวกับการไหว้พระสงฆ์ด้วยความนับถือเช่นที่เมืองไทยเมื่อดีเพนแนะนำตามพิธีการ ก่อนหน้านั้นเขาได้บอกแล้วว่าจะต้องมาพบเพื่อนที่เป็นลามะเพื่อทำธุระเล็กน้อยก่อนแล้วจึงจะพาฉันเดินทางไปยังเมืองมิริค ท่านลามะยังดูหนุ่มมาก ผิดจากที่คาดไว้ ที่แปลกไปอีกก็คือดูจะอารมณ์ดีใบหน้าเปื้อนยิ้มตลอดเวลา ท่านทักทายฉันพอเป็นพิธี แต่ก็ไม่ลืมที่จะบอกว่าท่านเคยไปเมืองไทยมาแล้วเมื่อสามปีที่ผ่านมาและได้รับการดูแล จากคนไทยเป็นอย่างดี “คนไทยใจดีมาก ...” ท่านย้ำต่อ ฉันยิ้มรับคำชมด้วยความปลาบปลื้มและอยากขอบคุณคนไทยทุกคนที่มีส่วนทำให้ผู้คนที่ไปเยือนเมืองไทยรู้สึกดีได้เช่นนี้ ถึงตอนนี้ฉันเข้าใจได้ทันทีถึงท่าทีของดีเพนเมื่อฉันได้พบเขาครั้งแรกบนรถไฟเมื่อคืนนี้ ดูเขาดีใจมากเมื่อรู้ว่าฉันเป็นคนไทย ตลอดเวลาที่พูดคุยกันเขาแสดงความเป็นมิตรที่ดีและมีน้ำใจ รวมทั้งชื่นชมเมืองไทยมากมายถึงขั้นอยากมาทำงานที่เมืองไทย และส่วนหนึ่งที่เราคุยกันจนฉันต้องตามเขามาด้วยก็คือ “ถ้าคุณชอบภูเขาไปเที่ยวบ้านผมสิ...เมืองมิริค บ้านผมมีภูเขามากมายล้อมรอบ แถมมีทะเลสาปสวยงามอยู่กลางหุบเขาด้วย ที่นั่นมีที่พักสำหรับนักท่องเที่ยวหลายแห่ง…” คำเชิญชวนของดีเพนกอร์ปกับการขยายความจากเจ้าโลกเหงา (lonely planet) เพื่อนที่ให้ความอุ่นใจได้ดีระหว่างการเดินทางที่ว่า....มิริค เป็นเมืองท่องเที่ยวเล็กๆกลางหุบเขาที่เต็มไปด้วยธรรมชาติของป่าสนเมืองหนาวและ......................ที่นี่สามารถมองเห็นกังเชนจงกา ( Khangchendzonga ) 1 ใน 13 ของยอดเขาสูงสุดแห่งเทือกเขาหิมาลัยได้ชัดเจน.... เท่านี้ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ฉันตัดสินใจตามดีเพนไปเที่ยวเมืองมิริคตามคำชวนก่อนที่จะต่อไปยังดาร์จีริ่งจุดหมายแรกที่ตั้งใจไว้ เสร็จจากธุระ เราสามคนตรงไปยังคิวรถที่จะไปเมืองมิริค รถที่ใช้โดยสารแถบนี้ ส่วนใหญ่เป็นรถจี๊ปหรือไม่ก็แลนด์โรเวอร์ เพราะพื้นที่เป็นภูเขาทั้งสิ้น จำเป็นต้องใช้รถโฟร์วิลล์ที่มีสภาพแข็งแรงและทนทานเป็นพิเศษ แต่ขนาดของรถทำให้จุผู้โดยสารได้ไม่มาก โชคดีของเราเมื่อไปถึงคิวรถ รถคันที่จะออกมีที่นั่งเหลือให้เรา 3 ที่นั่งพอดี ด้านหน้าข้างคนขับยังว่างน่าจะนั่งได้สองคน สำหรับแถวหลังถัดไป ผู้โดยสารที่ดูเป็นคนท้องถิ่นทั้งหมดซึ่งนั่งกันเต็มพื้นที่อยู่ก่อน แต่พอเห็นเราก็ได้พยายามขยับเบียดกันเพื่อให้เกิดที่ว่างริมสุดขึ้นอีกหนึ่งที่ นับเป็นความมีน้ำใจอย่างน่าชื่นชมของผู้โดยสารด้วยกันโดยแท้ ดีเพนและท่านลามะมีท่าทีที่อยากจะให้ฉันได้นั่งข้างหน้าซึ่งดูจะสบายกว่านั่งด้านหลัง ดีเพนเดินไปด้านหลัง ส่วนท่านลามะเปิดประตูรถเพื่อที่จะให้ฉันขึ้นไปนั่งข้างคนขับก่อนแล้วจึงจะตามขึ้นไปนั่งข้างๆ... ช่างโชคดีที่ฉันพอจะรู้มาก่อนว่าลามะที่อินเดียสายหนึ่งสามารถที่จะมีภรรยาและใกล้ชิดผู้หญิงได้....แต่วินาทีนี้ ...ฉันจะทำอย่างไร..?เพราะไม่อาจยอมรับวิถีปฏิบัติเช่นนั้นได้จริงๆ รู้สึกว่าท่านลามะก็คือพระสงฆ์รูปหนึ่งนั่นเอง ฉันหนักใจชั่วขณะเพราะยังนึกไม่ออกว่าจะบอกท่านว่าอย่างไร ตัดสินใจแอบเลี่ยงไปยืนด้านหลังดีเพนไว้ก่อน และแล้วนาทีนั้นก็ช่างโชคดีที่นึกขึ้นได้ดั่งใจเรียกร้อง จึงรีบบอกท่านลามะไปว่า “ดิฉันขอปฏิบัติต่อท่านลามะเช่นเดียวกับการปฏิบัติต่อพระสงฆ์ที่เมืองไทยนะคะ” พอได้ฟังเช่นนั้นดูเหมือนท่านลามะจะนึกขึ้นได้ถึงอะไรบางอย่างและเข้าใจความหมายที่ฉันพูดได้ทันที ท่านรีบบอกให้ดีเพนขึ้นไปนั่งข้างคนขับก่อนที่ท่านจะตามขึ้นไป ส่วนฉันก็ ถือโอกาสขึ้นไปนั่งที่ว่างแถวหลังทันที จากนั้นท่านลามะจึงได้หันหลังกลับมาบอกฉันว่า ท่านเพิ่งนึกได้ว่าคนไทยเคารพและปฏิบัติต่อพระสงฆ์พิเศษมาก ... รถวิ่งออกจากคิวรถไม่นานก็มีหญิงสาวคนหนึ่งยืนโบกมืออยู่ข้างทางเพื่อขอขึ้นรถ รถชะลอแล้วจอดข้างเธอ ฉันออกจะงงว่าเธอจะขึ้นมานั่งตรงไหนได้อีก เพราะแถวที่ฉันนั่งก็เต็มที่แล้วไม่สามารถขยับให้ได้อีกแน่นอน แต่พอเห็นท่านลามะเตรียมขยับที่นั่งให้ก็เข้าใจได้ทันที แม้จะได้คาดเดาไว้บ้างแล้วว่าอะไรจะเกิดขึ้นแต่ก็อดตระหนกไม่ได้กับภาพที่เห็นจะจะ.... ก็ภาพหญิงสาวที่นั่งเบียดชิดกับพระสงฆ์อยู่ตรงหน้าแถมพูดคุยหัวเราะกันอย่างสนิทสนมคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี มันเป็นภาพที่ทำให้ฉันอดตกใจไปชั่วขณะไม่ได้ และก็รู้สึกแปลกๆอย่างบอกไม่ถูก เมื่อเหลือบดูผู้โดยสารคนอื่นๆ เขาทั้งหลายกลับดูเหมือนไม่ได้รู้สึกรู้สมอะไรกับภาพที่อยู่ข้างหน้า.....วินาทีนั้นฉันรู้ซึ้งได้ทันทีกับคำกล่าวที่ว่า....ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ล้วนถูกสมมุติขึ้นมาทั้งสิ้น ! สองวันต่อมาฉันได้มีโอกาสไปยังวัดของท่านลามะซึ่งตั้งอยู่บนเนินเขา ที่นั่นฉันได้พบกับครอบครัวของท่านครบถ้วนทั้งภรรยาและลูก ภรรยามีหน้าที่ทำอาหารและเป็นเช่นแม่บ้านให้กับวัด ส่วนลูกๆสองคนชาย -หญิงยังเล็กอายุประมาณ 2 และ3 ขวบ ฉันเห็นพวกเขาออกมาวิ่งเล่นอย่างซุกซน เย้าแหย่กันส่งเสียงดังแข่งกับเสียงสวดมนต์ในห้องโถงของวัดท่ามกลางผู้คนที่นั่งพับเพียบพนมมือสงบนิ่งเพื่อตั้งใจฟังคำสวดมนต์จากท่านลามะ...ฉันเองก็ได้แต่แปลกใจและงุนงงกับสิ่งที่เห็นเป็นยิ่งนัก.....!!!
และแล้วภาพของโยคีวัยชราผู้เฝ้าศาสนสถานฮินดู ในเมืองมะนาลีทางเหนือของอินเดียก็ลอยเด่นขึ้นมาอีก...ใบหน้าผอมเกร็งของเขาเต็มไปด้วยริ้วรอยของกาลเวลา มวยผมสีขาวแกมเทาบางส่วนลุ่ยลงมารกรุงรังอยู่แถวบ่าเหมือนไม่ได้จัดการกับมันมาเป็นอาทิตย์ ผ้าพันกายสีขาวแก่ดูขะมุกขะมอมชวนให้รู้สึกเหมือนเขาน่าจะเป็นขอทานมากกว่าผู้ทรงศีล ฉันถือโอกาสนั่งพักและเฝ้าสังเกตดูความเป็นไปของเขา..... เมื่อมีผู้คนเข้ามาในศาสนสถานเขาจะมานั่งทำหน้าขรึมดูน่าเชื่อถืออยู่ตรงประตูห้องที่ทุกคนจะต้องเดินผ่านเข้าไปกราบไหว้สักการะ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือเจ้าแม่ที่น่านับถือของชาวฮินดูและเมื่อผู้คนเดินกลับออกมาก็จะนั่งลงกราบขอพรจากเขาต่อ ผู้คนจะมีท่าทีนอบน้อมเต็มไปด้วยศรัทธาและความหวังในตัวเขาพร้อมหยิบยื่นเงินส่งให้เหมือนจะไหว้วานให้เป็นผู้ช่วยกำจัดความทุกข์หรือนำทางไปสู่ความสุขกระนั้น....ส่วนเขาก็ควักข้าวตอกขึ้นมาแจกพร้อมปากก็พึมพำให้ศีลและพรแก่ผู้คนเหล่านั้น... แต่...เมื่อผู้คนจากไปรายใหม่ยังไม่มาฉันก็เห็นเขากระโดดแผล็วไปยังด้านหลังของอาคารศาสนสถาน...เขาคว้าชามข้าวยกขึ้นเปิบอย่างเร่งรีบ ดูหิวโหยและลุกลน สักพักก็หันกลับมาดูเสียทีว่ามีผู้คนหน้าใหม่เข้ามาหรือยัง?...เขามองมาเห็นฉันแต่ก็เหมือนไม่มีความหมาย...ก็คงแค่ชาวต่างชาติที่เผลอส่งสายตาพาดผ่านไปเจอเท่านั้น.... มันเป็นอากัปกริยาที่น่าขบขันและตลกเอาการ ซึ่งขัดแย้งกับท่าทีเคร่งขรึมเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้คนที่มาทำบุญเมื่อครู่อย่างสิ้นเชิง ! ฉันละจากที่นั่น...รู้สึกสนุกและขบขันกับภาพที่เพิ่งได้เจอะเจอ แวะร้านริมทางเพื่อนั่งดื่มน้ำผลไม้เสริมความรื่นรมย์ ขณะเดียวกันก็ได้ชื่นชมยอดเขาปกคลุมด้วยหิมะสวยๆเบื้องหน้าอีกด้วย นั่งคนเดียวได้ไม่ถึงนาทีเช่นทุกครั้ง หนุ่มเจ้าของร้านก็เข้ามานั่งคุยด้วย ไถ่ถามทุกเรื่องส่วนตัวที่อยากรู้เหมือนคุ้นเคยกันมาแต่ชาติก่อน... และเมื่อรู้ว่าเป็นคนไทยดูเหมือนเขาจะทำสนิทสนมมากขึ้น แถมบอกว่าดื่มน้ำผลไม้เสร็จแล้วเขาอยากจะพาฉันไปหาคนไทยคนหนึ่งที่อยู่ที่วัดแถวนี้เขาเป็นชีวา (น่าจะมาจากชีวก) มีผู้คนนับถือเขามาก ฉันไม่ปฏิเสธเพราะยังรู้สึกสนุกในอารมณ์อยู่ อีกทั้งอยากจะเจอคนไทยเหมือนกัน แอบคิดเล่นๆว่าอาจจะเป็นโยคีตนนั้น...ที่เจอเมื่อพักใหญ่ก็ได้นะ... และก็ใช่จริงๆ... คราวนี้ท่านชีวากำลัง ถูกแวดล้อมด้วยผู้คนที่ยกมือท่วมหัวเพื่อรับข้าวตอกศักดิ์สิทธิ์กลับบ้าน โดยต่างไม่ลืมที่จะส่งเงินให้เพื่อเป็นสิ่งตอบแทน... เมื่อหมดผู้คนแล้วฉันก็ยิ้มร่าเข้าไปหาด้วยความดีใจที่ได้เจอคนไทยในต่างแดนแถมมีรูปลักษณ์ที่คาดไม่ถึง เผลอลืมนบนอบเช่นเจ้าของร้านน้ำผลไม้ที่เข้าไปนั่งอยู่แทบเท้าท่านชีวาแต่แรกเมื่อไปถึง ท่านชีวาส่งสายตาเป็นกันเองอย่างเห็นได้ชัดเมื่อรู้ว่าฉันเป็นคนไทย และเมื่อเราได้วิสาสะกันด้วยความดีใจทั้งสองฝ่ายเพราะท่านชีวาก็จากเมืองไทยไปนานไม่ต่ำกว่า 35 ปีจนวีซ่าหมดอายุไปแล้ว... เราคุ้นเคยกันมากขึ้น….พอได้เห็นผู้คนที่เข้ามากราบไหว้และรับข้าวตอกไปพร้อมกับยื่นเงินใส่มือท่านชีวาไม่ขาดสาย ฉันก็อดสัพยอกแบบขำๆไปไม่ได้ว่า "แบบนี้ท่านคงรวย... มีเงินเก็บมากมายสิคะ...” ท่านยิ้มรับเล็กน้อยก่อนตอบว่า “ไม่รวยร้อก...เขาให้เราด้วยความนับถือ...ได้มาก็แจกคืนไป คนอินเดียจนๆมีเยอะ...” แน่ะ..ท่านตอบได้กลางๆดีแท้.... เมื่อถามถึงวีซ่าที่หมดอายุไปแล้วด้วยความกังวลแทน ท่านก็ตอบว่า“วีซ่าที่ขาดอายุไป...เมื่อเขาเห็นเรามาทำแบบนี้รัฐบาลเขาก็ไม่ว่า...เขาคิดว่าก็ดีเหมือนกันที่ชาวบ้านจะได้หันมาเชื่อถือและศรัทธาเรื่องแบบนี้มากๆจะได้ไม่ไปสนใจเรื่องการบ้านการเมืองหรือปากท้องให้รัฐบาลยุ่งยากวุ่นวาย....” คำตอบก็ช่างเป็นเหตุผลที่ลึกล้ำยิ่งนัก วันนี้ฉันบอกลาท่านชีวาและหนุ่มเจ้าของร้านน้ำผลไม้ด้วยความรู้สึกครึ้มอกครึ้มใจอย่างบอกไม่ถูก.... จะด้วยเพราะได้เจอคนไทยด้วยกัน ...หรือด้วยเห็นแสงสว่างรำไรกับอาชีพใหม่ของคนไทยในดินแดนแห่งนี้ก็ไม่อาจรู้ได้…................. 24 พฤษภาคม 2555
Create Date : 01 มิถุนายน 2555 | | |
Last Update : 10 มีนาคม 2568 5:08:19 น. |
Counter : 1049 Pageviews. |
| |
|
|
|