|
** เรื่องรถต้องรู้ ** 1
สำหรับคนที่ขับรถมานานแล้ว...ทุกอย่างก็คงจะเหมือนโปรแกรมออโต้ คือจะรู้เองโดยสัญชาติญาณ...ว่าต้องทำอะไรบ้าง แต่...ถ้าเป็นคนที่เพิ่งจะจับพวงมาลัยได้ไม่นาน ก็อาจจะมีอะไรติดๆขัดๆ ไม่คล่องตัวกันบ้างเป็นเรื่องปกติ...ลองมาอ่านวิธีต่อไปนี้ดูค่ะ อาจจะช่วยได้บ้างแหละเนอะ
-----*******+++++++++++..........
@...เตรียมตัว
" 4 อย่าง...ต้องเช็คก่อนขึ้นรถ "
1. เช็คระดับน้ำมันเครื่อง ดูว่าต่ำกว่าที่กำหนดหรือเปล่า 2. เช็คน้ำในหม้อน้ำ (หม้อพลาสติก) แห้งเกินไปหรือเปล่า 3. เช็คกระปุกน้ำมันทุกกระปุก มีน้ำมันเบรค น้ำมันคลัทช์ น้ำมันพวงมาลัยพาวเวอร์ 4. เติมน้ำล้างกระจก
@...ทำอย่างไร (ดูไปทีละข้อ...จากข้างบน)
1. ดึงคันวัดน้ำมันเครื่องขึ้นมา สังเกตได้จาก...จะมีที่ให้จับอยู่เหนือถังน้ำมันเครื่อง หาได้จากแถวๆเครื่องยนต์ ดึงออกมาครั้งแรกใช้ทิชชู่หรือกระดาษเช็ดออกให้หมด ก่อนที่จะใส่ลงไปในถังอีกครั้ง กดลงไปให้ลึก...แล้วดึงขึ้นมาอ่านระดับว่าอยู่ต่ำกว่าขีดที่ต่ำที่สุดหรือเปล่า ถ้าต่ำมากต้องเติมน้ำมันเครื่อง เติมได้โดยการ...เปิดฝาที่ถังเครื่องยนต์ แล้วเทน้ำมันเครื่องลงไป
2. เติมน้ำเปล่าทั่วไป ให้ระดับขึ้นมาถึงขีด MAX ไม่จำเป็นต้องเติมเต็มถังพลาสติก
3. ดูน้ำมันแต่ละกระปุก...ไม่ให้ต่ำกว่าขีด MAX ปกติจะเป็นกระปุกพลาสติกเล็กๆ ที่เราสามารถเห็นระดับน้ำมันจากข้างนอกได้
4. ถ้าใช้น้ำเปล่าธรรมดา เทแชมพูผสมลงไปได้
@...เตรียมตัวก่อนออกรถ
๐๐ ปรับเบาะที่นั่งให้ได้ระดับพอดี มองกระจกหลัง กระจกข้างได้ชัดเจน
๐๐ ปรับกระจกหลัง และกระจกข้างให้อยู่ในสายตา เห็นทุกอย่างได้ชัด
๐๐ คาดเข็มขัดนิรภัย
3..2..1..Go!!
ถ้าเช็คสภาพรถพร้อมแล้ว ก็ออกเดินทางได้เลยค่ะ...แต่อย่าลืมพกสติและความรู้เรื่องกฎจราจรด้วยนะคะ เรายังมีเรื่องดีๆ ที่คนขับรถต้องรู้มาฝากกันในตอนต่อไปค่ะ...
//saranair.com 
Create Date : 17 สิงหาคม 2548 | | |
Last Update : 15 กรกฎาคม 2549 19:42:36 น. |
Counter : 540 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
มือถือตกน้ำ !?!
โทรศัพท์ตกน้ำ...!!! นับเป็นเหตุสุดวิสัยที่คงจะไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นใช่มั้ยคะ แต่ถ้าจะต้องพบกับเหตุการณ์ที่ว่านี้ขึ้นมาจริงๆ เราจะมีวิธีแก้ไขหรือเยียวยาอาการมือถือคู่ชีพของเรายังไงกันดีนะ...เรื่องนี้ต้องติดตามค่ะ ^^
----++++****.........
1. หลังจากเอาเครื่องขึ้นจากน้ำแล้ว ห้าม! กด power เปิดเครื่องเด็ดขาด...ถ้าเปิดจะเกิดการลัดวงจรขนานใหญ่ ให้ถอดแบตเตอรี่ออกโดยด่วนที่สุด
2. หาผ้าเช็ดให้แห้ง...ทั้งด้านนอกตัวเครื่องและแบตเตอรี่ พร้อมทั้งสำรวจว่า น้ำเข้าส่วนไหนบ้าง
3. หาถุงพลาสติกใส่เครื่องไว้...แล้วรัดยางปิดถุง ไม่ต้องสลัดเครื่อง
4. ห้าม! ใช้ไดร์เป่าผม...เป่าให้แห้งเด็ดขาด เพราะอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทั้งหลาย เกลียดและกลัวความร้อนที่สุด
5. ถึงบ้านแล้ว...หาถุงผ้าหรือผ้าบางๆ ห่อเครื่องไว้ อย่าลืมเปิดฝาหลังที่ครอบแบตเตอรี่ด้วย (ถ้ามี) หลังจาก...ห่อดีแล้ว ให้รัดด้วยยางแล้วเอาไปฝังไว้ในถังข้าวสาร 24 ชม.
6. หลังจากนั้น 1-2 วัน ก็เอาออกจากถังข้าวสาร...แล้วนำไปใส่แบตเตอรี่
เพียงแค่นี้...คุณก็จะได้โทรศัพท์กลับมาใช้เหมือนเดิมแล้วค่ะ
* ขอบคุณข้อมูลจาก * //saranair.com

Create Date : 17 สิงหาคม 2548 | | |
Last Update : 15 กรกฎาคม 2549 19:41:38 น. |
Counter : 657 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
ทำไงดี (. _ .") เท้าเหม็นจัง
ถ้าคุณเป็นอีกคนนึง...ที่กำลังหนักใจกับปรากฏการณ์กลิ่นอับซึ่งเกิดขึ้นกับเท้าของคุณ...ลองมาทำความเข้าใจถึงที่มาของกลิ่นอันไม่พึงประสงค์นี้ดูก่อนดีมั้ยคะ...แล้วเราค่อยหาวิธีกำจัดมันด้วยวิธีง่ายๆ ที่สามารถทำได้ด้วยตัวเองกันค่ะ...
+@+ กลิ่นเท้า...เกิดจากการหมักหมมของแบคทีเรียที่มีการสะสมในรองเท้า และทำให้เกิดกลิ่น มักจะเกิดกับคนที่มีเหงื่อออกเท้ามาก...แต่ถ้าคุณไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์อย่างนี้กับตัวเอง ก็เพียงแต่รักษาความสะอาดเท้าค่ะ เพราะนอกจากเท้าของคุณจะปราศจากกลิ่นแล้ว...เท้าของคุณก็จะไม่หยาบกร้าน ส้นเท้าแตก หรือเหี่ยวก่อนวัยอีกด้วย
วิธีที่ว่ามีดังนี้ค่ะ...
1.ทำความสะอาดเท้า...ด้วยการล้างน้ำอุณหภูมิปกติ
2.ผสมน้ำอุ่นกับสบู่...แช่เท้าลงไปประมาณ 5 นาที เพื่อให้รูขุมขนเปิด และทำให้สิ่งสกปรกหลุดลอกไปได้ง่าย
3.จากนั้นขัดส้นเท้าและซอกนิ้วทุกนิ้ว...ด้วยที่ขัดเท้าร่วมกับฟุตสครับ ขัดเป็นวงกลมนวดไปให้ทั่วเท้า โดยเน้นเฉพาะส่วนที่หยาบหนากว่าส่วนอื่น
4.ล้างออกด้วยน้ำอุณหภูมิปกติ...เพื่อปิดรูขุมขน แล้วเช็ดด้วยผ้านุ่มๆ
5.ทาครีมบำรุงให้ทั่วเท้า...โดยเฉพาะส้นเท้าและซอกนิ้ว ทำสัปดาห์ละครั้ง
ค่ะ...นอกจากจะได้เท้าสะอาดไร้กลิ่นแล้ว ยังเป็นการผ่อนคลายความเครียดให้กับเท้าได้อีกทางนึงด้วย
ขอบคุณข้อมูลจาก...
//saranair.com 
Create Date : 16 สิงหาคม 2548 | | |
Last Update : 15 กรกฎาคม 2549 19:43:43 น. |
Counter : 777 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
กฏ 7 ข้อ : ว่าด้วยการกิน
7 ข้อ...ต้องท่องจำ เพื่อส่งเสริมนิสัยการกินที่ดีและเพื่อรักษาน้ำหนักให้คุณเอง...ขอบคุณฟอร์เวิร์ดเมลล์ค่ะ
+++------****..............
ข้อที่ 1 +++ ฟังร่างกายไม่ใช่หัวใจ
ปล่อยให้การตัดสินใจในเรื่องอื่นๆ เป็นหน้าที่ของหัวใจไป แต่สำหรับการกินแล้ว...เชื่อร่างกายเอาไว้ให้มากๆ เพราะร่างกายรู้ว่า เมื่อไหร่ถึงจะได้เวลาแห่งการกิน...แล้วเมื่อไหร่ยังไม่ถึงเวลา เนื่องจากจะมีสัญญาณตามธรรมชาติเรียกร้องมา...และไม่เคยสักครั้งเลยที่จะหยุดส่งเสียงเรียกร้องที่ว่านี้ ซึ่งร่างกายของแต่ละคน...ต่างก็แตกต่างกันไปในเรื่องการกินค่ะ
ข้อที่ 2 +++ กินเมื่อรู้สึกหิว
++ อาการอย่างนี้ค่ะ ที่เรียกว่าหิว ++
@...รู้สึกท้องว่าง
@...รู้สึกไม่มีเรี่ยวแรง
@...กระสับกระส่าย ขาดสมาธิ
@...ปวดท้อง
@...รู้สึกว่าต้องหาอะไรมากินซะแล้ว
++ แต่อาการอย่างนี้ไม่เรียกว่าหิวนะคะ ++
@...ได้กลิ่น หรือเห็นอาหารแล้วอยากกินมาก
@...ลองเปิดๆ ตู้เย็นแล้วเจออะไรอร่อยๆ มาสนองความต้องการ
@...โกรธหรือกังวลมาก จนต้องหาอะไรมาคลายเหงาในปาก
@...กระหายน้ำ
@...หมดเรี่ยวหมดแรง อันเป็นผลมาจากการนอนดึกเมื่อคืน
@...เศร้า โกรธหรือผิดหวัง
ข้อที่ 3 +++ กินก็คือกิน
ร่างกายของคนเรามีความรู้สึก...และมันจะสื่อสารความรู้สึกแก่เราเสมอ ขอเพียงแต่ให้ทำตามความรู้สึกนั้นโดยที่ยังรู้สึกตัวเสมอก็เพียงพอ เมื่อหิวก็ต้องกิน...เมื่อกินก็ต้องกิน ดังนี้...
นั่งลงตลอดเวลา ที่กำลังอยู่ในมื้ออร่อย...อย่าพยายามทำกิจกรรมอื่นระหว่างที่กำลังอร่อยกับมื้ออาหารไม่ว่าจะเป็นอ่านหนังสือ ดูโทรทัศน์ไปจนถึงขับรถ...ตักอาหารแต่พอเพียงและวางช้อนลงเถอะ จนกว่าจะปากว่าง
ข้อที่ 4 +++ ไม่ต้องรอจนท้องตึง ถ้ารู้สึกพอก็เลิกกินได้
เพราะร่างกายของคุณ...ไม่ได้สร้างมาเพื่อการรองรับอาหารที่มากจนเกินพอดี มีแค่เพียงหัวใจของคุณเท่านั้นที่พร้อมจะรับความอิ่มเอิบเกินพอดี ร่างกายคุณน่ะ...มันเรียกร้องการหยุดนะถ้ารู้สึกว่าเกินพอ
++ สัญญาณต่อไปนี้ เป็นเวลาที่ร่างกายคุณกำลังพอเพียงกับอาหาร ++
@...หายท้องกิ่วเพราะความหิวแล้ว
@...กำลังสบายๆ ไม่ได้รู้สึกว่าท้องบรรจุอาหารเต็มไปหมด
@...รู้สึกสดชื่น มีกำลังวังชาดี
@...ที่จริงก็ยังกินได้อีกนะ แต่รอไว้มื้อหน้าค่อยกินก็ไม่รู้สึกเสียดายอะไร
@...เริ่มรู้สึกว่า ของที่กินลงไปก็ไม่ต่างจากทรายหรือกระดาษแข็ง
++ แต่ในกรณีเช่นนี้...คือสัญญาณบอกว่าอิ่มเกินพอ ++
@...รู้สึกว่าท้องเต็มไปด้วยอาหาร
@...รู้สึกว่าเสื้อผ้าเริ่มรัด เข็มขัดต้องเริ่มปลดออก
@...รู้สึกว่าท้องอืดๆ กดหน้าอก กดท้องแล้วเหมือนมีกรดอยู่ในนั้นเต็มไปหมด
@...รู้สึกเฉื่อยชา เกียจคร้าน ง่วงนอน ไม่สบายตัว
ข้อที่ 5 +++ กินในสิ่งที่ต้องการ
มีความลับบางอย่างมาบอกค่ะ...เพื่อเป็นกำลังใจให้กับคุณ ว่า ไม่มีอาหารวิเศษลดความอ้วนที่ได้ผลชะงัดหรอก มันอยู่ที่ว่า...กินเมื่อไหร่และกินอย่างไรมากกว่า ถ้าไม่หิวแล้วไปลืมตัวกิน หรือกินมากเกินความพอดี แทนที่อาหารจะได้นำไปใช้เป็นพลังงาน...กลับต้องกลายมาเป็นไขมันที่สะสมอยู่ใต้ผิวหนังแทน ปริมาณอาหารที่เพียงพอเพื่อการควบคุมน้ำหนักก็คือ...กึ่งกลางระหว่างความหิวและความพอใจที่จะกิน
ข้อที่ 6 +++ ใส่ใจในสิ่งที่เกิดหลังกินเสร็จ
บางครั้งสิ่งที่ดูน่าอร่อยทางปากและทางตา...แต่อาจจะไม่เหมาะกับร่างกายก็ได้ ถ้าเจออาหารพวกนี้ก็งดไว้จะดีกว่า วิธีพิสูจน์ก็ง่ายแสนง่ายค่ะ...
++ ตอนคุณหิว คุณอยากลิ้มรสอะไร? ++
@...ถ้าได้กินสักนิดคุณจะอร่อยไหม? แน่นอนถ้าร่างกายคุณปรารถนา มันอร่อยแน่
@...แต่หลังจากได้ลองลิ้มชิมรสไปแล้วสักครึ่งชั่วโมงหรือมากกว่านั้น ทีนี้แหละคุณรู้สึกอย่างไร?
@...ถ้ายังเพลินกับรสชาตินั้น แสดงว่าเป็นสิ่งที่ดีต่อร่างกาย วันหลังทานอีกก็เอาแค่พอเหมาะ
@...แต่ถ้าเกิดกรด เกิดแก๊ส เป็นสาเหตุแห่งความไม่สบายกายต่างๆ แสดงว่าเป็นอาหารที่แย่ซะแล้ว...น่าจะเป็นเพราะอาหารนั้นไม่ดีลบออกจากใจได้เลย หรือไม่ก็เพราะคุณกินเยอะไป วันหลังก็ลดปริมาณลงหน่อย...ไม่เช่นนั้นจะเกิดผลร้ายมากกว่านี้ก็คือน้ำหนักเพิ่ม
ข้อที่ 7 +++ กับความรู้สึกตัวเอง อย่าใช้ของกินบำบัด
เคยไหมที่รู้สึกเหงา...บ่อยครั้งก็เศร้า บางครั้งก็เบื่อ ๆ แต่รู้ไว้อย่างว่าถ้าเกิดความรู้สึกอย่างนั้น หาทางแก้ที่ต้นเหตุดีกว่า อย่ามาลงกับบรรดาของกินเล่นทั้งหลายเลย...เค้ก ช็อคโกแล็ต มันฝรั่ง พิซซ่า อะไรแบบนี้น่ะ เก็บไว้แชร์กับเพื่อนๆ กินกันตอนปรับทุกข์จะดีกว่า...อย่างน้อยบรรดามิตรสหายก็จะมาช่วยแบ่งเบาน้ำหนักให้คุณได้ค่ะ
" เรื่องรัก...ฟังเสียงหัวใจ-*-เรื่องกิน...ฟังร่างกาย " 
Create Date : 16 สิงหาคม 2548 | | |
Last Update : 15 กรกฎาคม 2549 19:44:37 น. |
Counter : 584 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
เทคนิคใหม่...ใช้ขโมยรถ !!!
มีคำเตือน...ถึงวิธีการขโมยรถแบบใหม่ มาฝากค่ะ *-* ขอบคณที่มาจาก...ฟอร์เวิร์ดเมลล์นะคะ ซึ่งเค้าระบุว่าเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในจังหวัดหนึ่งค่ะ...
+++---***.....
มีเหตุการณ์ที่เกิดกับตัวผมเอง...เมื่อวันที่ 29 JUL ตอนหกโมงครึ่ง ผมได้ขับรถยนต์เพื่อไปทำธุระ และได้แวะจอดรถซื้อของที่ห้าง โดยที่มีน้องที่ทำงานเดียวกันนั่งติดรถมาด้วย...ผมจึงให้เขานั่งรอในรถ หลังจากที่ซื้อของและกลับออกมาจากห้าง ก็พบน้องที่มาด้วยกันวิ่งหน้าตาตื่นมาหา...บอกว่ามีคนมาหักสายอากาศวิทยุรถ
สอบถามแล้วได้ความว่า...มีผู้ชายอายุราว 30กว่าๆ ขี่มอเตอร์ไซค์ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน เข้ามาจอดด้านข้างคนขับ แล้วโน้มตัวมาดึงสายอากาศขึ้นยาวประมาณคืบนึง แล้วพยายามหัก...น้องที่นั่งอยู่ในรถเห็นเข้า จึงได้เคาะกระจกแล้วชี้ถามว่าจะทำอะไร ชายคนนั้นมองหน้า...แล้วลงมือหักต่อ น้องที่นั่งอยู่จึงเปิดประตูแล้วเดินออกมาหา ชายคนนั้นค่อยๆ ขี่มอเตอร์ไซค์หนีไปอย่างไม่เร่งรีบ แต่ไม่ให้จับได้ทัน น้องที่มาด้วยกัน นึกได้เลยดึงกุญแจรถออก-ล๊อครถ...แล้ววิ่งไล่ตาม จนมาพบกับผมที่กำลังออกมาจากตัวห้าง
เหตุการณ์ลักษณะนี้...ได้โทรคุยกับเพื่อนที่กรุงเทพ เขาบอกว่ามีคนเคยโดนเหมือนกัน เจตนาคือ จะหารถคันที่มีคนอยู่ในรถและมีกุญแจเสียบค้างอยู่...โดยทำทีเข้าประทุษร้ายตัวรถให้เราเห็น แล้วจะค่อยๆหนีออกไปโดยให้เราวิ่งไล่ตาม...ซึ่งจะมีคนร้ายอีกคนซุ่มอยู่ขึ้นขับรถหนีออกไป โดยรูปแบบมีหลายวิธีกับเหยื่อ
ซึ่งวิธีนี้...เป็นรูปแบบนึงที่ใช้กับเหยื่อที่เป็นผู้ชาย ที่ไม่กลัวและหลงเชื่อวิ่งไล่ตามเอาเรื่องคนร้าย ผมอยากฝากเตือนเพื่อนๆ ทุกคนให้ระวังมิจฉาชีพ...โดยเฉพาะกับห้างที่มีระบบรักษาความปลอดภัยที่ไม่ได้มาตรฐาน เพราะสังเกตุจากตอนนำรถเข้าจอด...จะมีการแจกการ์ดพลาสติกให้คนขับเก็บเอาไว้และส่งคืนตอนออก โดยบนการ์ดไม่มีการบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับทะเบียนรถคันนั้นๆ เลย
ซึ่งต่างจากที่จอดรถที่เรียกเก็บเงินบางแห่ง...ที่มีบันทึกเวลาเข้า-ออกเลขทะเบียน โดยจะมีเสากั้นไม่ให้ผ่าน ถ้าไม่มีบัตรผ่านที่รับเอาไว้ตอนแรก...ซึ่งโอกาสที่รถจะหายมีน้อยมากครับ
-------+++++++++****.......
อืม...รู้สึกว่ามิจฉาชีพเค้าจะมีการพัฒนาและประยุกต์วิธีการทำงานของเค้าไปเรื่อยๆ เลยนะคะ

Create Date : 15 สิงหาคม 2548 | | |
Last Update : 15 กรกฎาคม 2549 19:48:33 น. |
Counter : 640 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
|