วรรณกรรมของหมื่นลี้
Group Blog
 
All Blogs
 

บทที่ 8 ดิ้นรนสู่จุดอับ

“แฮ่ก ๆ ๆ หมูย่าง 5 ไม้ครับ”

เสียงร้องสั่งอาหารของตี๋น้อยที่วิ่งหลบซอกแซกไปตามตัวเมืองดังขึ้นอย่างเหนื่อยหอบ เพราะแผนที่เมืองนี้อยู่ในหัวของเขาทำให้ซอกแซกมาซื้อของได้ทั้ง ๆ ที่ถูกตามล่า

จากนั้นเขาก็แอบหลบตามตรอกซอกซอยเพื่อกลับห้องสมุดในทางลัดที่เหล่านักเรียนจากโรงเรียนจอมฟ้าที่ตามหาเขาอย่างพลิกแผ่นดินไม่มีวันนึกถึงอย่างเด็ดขาด แต่ทางลับนี้ก็ทำให้เขาเหน็ดเหนื่อยอย่างที่สุด

“เพราะเอ็งนั่นแหละ ยังมาทำหน้าเป็นอยู่อีก ไอ้พวกนั้นเลยนึกว่าข้าเป็น จา พนม ดีนะมันไม่มาวิ่งไล่เหมือนในหนังองค์บาก ไม่งั้น ข้ากับเอ็งสงสัยได้นอนจมบาทามันแน่ ๆ”

ตี๋น้อยพูดหยอกเจ้าพุดเดิ้ลน้อย พลางมุดลอดช่องหมาลอด ซึ่งอยู่ในซอย และทะลุออกมาห้องสมุดได้ราวกับมายากล

“มาแล้ว นึกแล้วว่าต้องมาทางนี้” เสียงหนึ่งดังขึ้นดักทางตี๋น้อย ทำให้เขาสะดุ้ง แต่พอมองเห็นพูดก็หัวเราะ

“คุณลุง กับเสี่ยวหมวยมาได้ไงครับ แล้วรู้ได้ไงว่าผมจะมาโผล่ตรงนี้”

“ก็เห็นไปกับคุณหนู คิดว่าคุณหนูคงนำทางให้มาโผล่ตรงนี้ ใช่ไหมคะ คุณหนู”

เสี่ยวหมวยหัวเราะเบา ๆ ก่อนที่จะพูดหยอกตี๋น้อย ทำให้อีกฝ่ายสะดุ้ง เพราะทางนี้มันเป็นทางหมาลอด

“แม้แต่หาญซิ่นยังยอมมุดหว่างขาอันธพาล ก่อนที่จะได้เป็นขุนพลผู้พิชิต ทำไมเจ้าสัวอย่างผมจะยอมมุดช่องหมาลอด ก่อนที่จะกอบกู้แผ่นดินไม่ได้”

ตี๋น้อยตอบอย่างฉะฉาน หน้าไม่แดง ลมหายใจไม่ถี่ ทำให้คนที่จะแซวต้องอึ่งกิมกี่ ส่วนตี๋น้อยก็ล้วงหมูย่างมาเลี้ยงเจ้าคุณหนู หน้าตาเฉย ก่อนที่จะเอ่ยกับคุณลุงบรรณารักษ์ว่า

“คุณลุงรับเจ้าคุณหนูคืนเถอะครับ คำที่ผมแนะนำมันใช้การได้ เพียงแต่มันต้องมีวิธีการใช้นิดหน่อย คุณลุงไม่ถามวิธีใช้เอง ผมก็นึกว่าเข้าใจ เลยไม่บอก”

“แล้วใช้อย่างไงละคร๊าบบบ ท่านเจ้าสัว”

บรรณารักษ์รุ่นเก๋าส่ายหน้ากับท่าทางของตี๋น้อยที่ทำเป็นอมภูมิไว้ ปล่อยให้เขาต้องรับกรรมจากสาว ๆ หนุ่ม ๆ และแต๋ว ๆ ทั้งหลายจนเหลือจะทน แต่ต้องยอมทนเอ่ยปากถามวิธีการใช้งานคุณหนู เพราะคิดไม่ออกจริง ๆ ว่าจะทำอย่างไรให้ได้ประโยชน์จากเจ้าพุดเดิ้ลน้อยตัวนี้

“วางไว้ใต้โต๊ะสิครับ ไม่มีใครเห็น และพอมีคนมา คุณหนูก็จะรู้เอง เพราะหูของสุนัขไวกว่าหูของสัตว์เกือบทุกชนิดในโลก” ตี๋น้อยเฉลยง่าย ๆ ทำให้คนฟังต้องทุบมือดังปัง

“แค่นี้เองหรอ โด่...แล้วไม่บอก ปล่อยให้งงตั้งนาน” ตี๋น้อยได้ฟังก็อมยิ้ม พลางหันไปถามเสี่ยวหมวยที่ยืนอยู่ข้าง ๆ

“แล้วเสี่ยวหมวยมาได้อย่างไรครับ ไม่ทำงานแล้วหรอ”

“เลิกงานแล้วคะ พอดีได้ข่าวว่ามีกลุ่มคนจากโรงเรียนจอมฟ้ากำลังตามหาเจ้าสัวอยู่ เลยมาเตือนไว้”

“หา...พวกนี้มันกัดไม่ปล่อยเลยหรอ นึกว่าจะแล้ว ๆ กันไปซะอีก”

“กลุ่มโรงเรียนจอมฟ้าเป็นกลุ่มที่สร้างสมอิทธิพลอยู่ในเกาะแห่งนี้ พวกมันหลายคนมีก๊กใหญ่หนุนหลังอยู่ ทำให้ไม่เกรงกลัวใคร และมีคติอยู่เพียงว่า ถ้าไม่ใช่ลูกน้องก็ต้องเป็นศัตรู”

“หมายความว่า พวกมันจะสกัดผู้เล่นใหม่ ๆ ไม่ให้สร้างก๊กแข่งกับพวกมัน นอกจากนั้นแล้ว ยังสามารถได้คนที่โดดเด่นเข้ามาร่วมกลุ่มมากขึ้นด้วย ใช่ไหมครับ”

“นี่แหละคือจุดประสงค์หลักของพวกมัน พอมีก๊กหนึ่งทำ ก็มีก๊กอื่น ๆ ทำตามด้วย แม้จะดูเหมือนว่าเกาะฝึกฝนปราศจากการแทรกแซงของก๊กใหญ่ ๆ แต่ที่จริงแล้ว ผู้ที่สามารถเข้าไปเรียนที่โรงเรียนจอมฟ้าได้นั้น ล้วนแล้วแต่มาจากก๊กใหญ่ ๆ หรือรู้จักกับก๊กใหญ่ ๆ ทั้งสิ้น” คุณลุงบรรณารักษ์กล่าวขึ้น ทำให้ตี๋น้อยนิ่งคิด

“ถ้าอย่างนั้น พวกมันก็ต้องรู้ว่า ผมอยู่ในห้องสมุดนี่นะสิ”

“พวกมันไม่รู้หรอกว่าเจ้าสัวอยู่ที่นี่ แต่คนที่ไม่เข้าโรงเรียนจะมีจุดให้ไปไม่มาก และหนึ่งในนั้นก็คือ ห้องสมุด พวกมันจึงส่งคนมาคุมที่นี่” เสี่ยวหมวยพูดขึ้น

“แย่จัง พึ่งอ่านหนังสือได้ไม่ถึงพันเล่มเลย แล้วจะทำไงดี” เขาเริ่มใช้ความคิดอีกครั้ง ซึ่งทั้งสองคนก็ปล่อยให้เขาได้ใช้ความคิดเพื่อเอาตัวรอด และพัฒนาตัวเองให้ได้

“ถ้าอย่างนั้น ผมคงต้องใช้เวลานี้ไปกับการฝึกฝนตัวเองให้มากขึ้น และคงจะอยู่ในเมืองนี้ไม่ได้เช่นกัน เพราะจะสร้างความเดือดร้อนให้กับคนอื่น ๆ”

“แล้วเจ้าสัวจะไปที่ไหนคะ” เสี่ยวหมวยพูดขึ้นด้วยความห่วงใยคนที่พึ่งเข้ามาในเกมนี้ แต่ถูกกลุ่มอิทธิพลในเกมตามล่าอย่างหมายเอาชีวิต

ตี๋น้อยนึกถึงการปะทะกันที่ผ่านมา ทำให้เขารู้ว่า จุดอ่อนของเขาคือ การที่เขาไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย ทำให้ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงเท่ากับบรรดานักสู้ที่แท้จริง ซึ่งถ้าหากเขาไม่อาจโค่นคู่ต่อสู้ลงได้ในเวลาไม่นาน ก็จะส่งผลเสียต่อเขาอย่างร้ายแรง โดยเฉพาะเมื่อเขาต้องสร้างกองทัพขึ้นมา จะทำให้เขาไม่สามารถต่อสู้ได้ในทุก ๆ สมรภูมิ ทำให้เขาคิดแผนการขึ้นมาทันทีว่า

“ผมจะไปอยู่ในป่า แม้ว่าจะเป็นที่ ๆ อันตราย แต่มีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ สามารถฝึกฝนตัวเองได้ดี และเป็นที่ ๆ ไม่มีใครนึกถึงด้วย”

“อืม.....ยอมเข้าสู่จุดอับเหมือนดักแด้ เพื่อพลิกฟื้นคืนสู่ชีวิตใหม่ที่แข็งแกร่งมากยิ่งกว่าเดิมสินะ” คุณลุงบรรณารักษ์เอ่ยขึ้น ทำให้ตี๋น้อยพยักหน้ายอมรับ

“ถ้าอย่างนั้นจะต้องมีเครื่องมือในการดำรงชีวิตในป่าด้วยสินะ เอาอย่างนี้ เดี่ยวลุงให้ยืม” กล่าวจบก็ล้วงเข็มขัดออกมาจากกระเป๋ามิติ ก่อนที่จะยื่นให้กับตี๋น้อย

“หา....คุณลุงให้เข็มขัดจอมปราชญ์เลยหรอคะ” เสี่ยวหมวยตกใจในสิ่งที่ลุงพันมอบให้

“ของเก่าที่ลุงเคยใช้ลุยมาตอนที่เข้ามาเล่นใหม่ ๆ นะ แต่ตอนนี้มันหมดไฟแล้ว สู้หนุ่ม ๆ เขาไม่ได้ แล้วอีกอย่าง ลุงชอบอ่านหนังสือมากกว่า ตี๋น้อยเอาของลุงไปใช้เถอะ คงไม่รังเกียจว่าเป็นของเก่านะ”

“ใครจะไปกล้าคิดอย่างนั้นละครับ ของที่คุณลุงให้นี่ต้องเป็นของดีแน่ ๆ ไม่อย่างนั้น คุณลุงคงไม่รอดชีวิตมาได้หรอก จริงไหมครับ” ตี๋น้อยแซว ทำให้คุณลุง และเสี่ยวหมวยหัวเราะ

“แล้วรู้คุณสมบัติของเข็มขัดจอมปราชญ์ กับวิธีใช้หรือยังละ” นัยน์ตากลมโตหวานซึ้งนั้นมองดูตี๋น้อยยิ้ม ๆ ทำให้คุณถูกมองต้องหลบตาวูบ ก่อนจะพูดขึ้นว่า

“กำลังรอรับฟังอยู่ครับ” เขาโค้งคำนับราวกับกำลังรอคอยฟังเสียงจากเจ้าหญิง ทำให้ลุงพันต้องกระแอมดังลั่น

“อะไรติดคอคะ คุณลุง ให้เสี่ยวหมวยหาอะไรมาล้วงออกให้ไหมคะ”

“ไม่ต้องก็ได้ ไปล้วงให้เจ้าสัวเถอะ หุ หุ หุ” ลุงพันหัวเราะอย่างอารมณ์ดี แต่เสี่ยวหมวยหน้าแดงจัด เพราะคำพูดของลุงพัน ลุงพันจึงหันไปอธิบายกับตี๋น้อยว่า

“หนังสือที่อยู่ในห้องสมุดทั้งหมด รวมทั้งในห้องลับทั้ง 5 ห้องนั้น อยู่ในเข็มขัดทั้งหมดแล้ว นอกจากนั้น ยังมีช่องใส่อาวุธได้อีก 10 ช่อง ที่ช่องเล็ก ๆ ข้างเข็มขัดทั้งสองข้าง”

ตี๋น้อยตะลึงกับคุณสมบัติของเข็มขัดจอมปราชญ์ เพราะนอกจากจะทำให้เขาสะดวกในการพกพาอาวุธแล้ว ยังทำให้เขาสามารถมีเวลาศึกษาหาความรู้ได้ราวกับมีห้องสมุดติดตัวไปตลอดเวลา

“จริงหรอคะ ของเสี่ยวหมวยไม่เห็นมีหนังสือในห้องลับเลย มีแต่หนังสือในห้องสมุดธรรมดาเอง”

เสี่ยวหมวยรีบเอ่ยถามขึ้น เพราะว่า เข็มขัดจอมปราชญ์เป็นสิ่งที่หาซื้อได้ทั่วไป แต่ต้องจ่ายเป็นราคาเงินจริง ซึ่งจะแพงกว่าค่าเล่าเรียนในโรงเรียนจอมฟ้าถึง 10 เท่าทีเดียว ทำให้เป็นของหายาก และมีใช้เฉพาะก๊กใหญ่ ๆ และคนที่มีเงินหนา ๆ เท่านั้น

“เจ้าสัวเขาผ่านเควสลับของห้องสมุด ทำให้เข็มขัดสามารถปลดผนึกความสามารถออกมาได้” ลุงพันเอ่ยขึ้น ทำให้เสี่ยวหมวยพยักหน้าเข้าใจ

“อ๋อ....อย่างนี้นี่เอง ถึงว่าสิ มันมีความลับซ่อนอยู่นี่เอง”

“คราวนี้มาดูอาวุธบ้าง สีสันต์ของอาวุธอาจจะไม่จ๊าบสะใจวัยรุ่นเท่าไร แต่ประสิทธิภาพมันนับว่าเยี่ยมติดอันดับของเกมนี้ทีเดียว” บรรณารักษ์ที่ต้องตาตี๋น้อยพูดขึ้น ก่อนที่จะให้ตี๋น้อยหยิบขึ้นมาดูทีละอย่าง ซึ่งก็มี.....

หอกไม้กางเขนสีดำทั้งใบหอก และด้าม น้ำหนักจะมากอยู่สักหน่อยหนึ่ง ทำให้ตี๋น้อยต้องเกร็งกำลังแขนพอสมควรจึงรั้งมันมาตั้งตรงได้

“นี่คือหอกกางเขนดำ ใบหอกทั้งสามด้านนั้นคมกริบ จนสามารถตัดเหล็กได้ดุจตัดหยวก ด้ามหอกเป็นแก่นไม้อย่างดี น้ำหนักนั้นสมดุลกับใบหอก ทำให้ใช้งานคล่องแคล่ว และหลากหลายกว่าหอกธรรมดา” ลุงพันบรรยายสรรพคุณของมัน ทำให้ตี๋น้อยมองอย่างชื่นชม ก่อนที่จะเก็บเข้าเข็มขัด

จากนั้นก็เป็นดาบสองเล่ม ตัวดาบค่อนข้างหนา และหนักกว่าปกติ สันหนาคมเรียวบาง ส่วนปลายโค้งอย่างสมส่วน ซึ่งจะช่วยเพิ่มความเร็ว และความแรงให้กับการโจมตีได้เป็นอย่างดี แม้ว่าสีของดาบจะเป็นสีดำทั้งเล่ม แต่ประกายความคมของดาบส่องประกายสีเขียวเรืองรอง

“ดาบคู่นิลกาฬ ตัดเหล็กดุจตัดหยวก และยังเสริมอำนาจวาสนาให้กับผู้ครอบครองด้วย”

ลุงพันเอ่ยคุณสมบัติของดาบอย่างละเอียด เพราะคุณสมบัติของอาวุธ และสิ่งของต่าง ๆ ในเกมนี้ไม่มีบ่งบอกไว้ ต้องสอบถามจากผู้รู้ หรือดูข้อมูลจากในห้องสมุดเท่านั้น

จากนั้นก็จะเป็นมีดสั้นสีดำ และธนูสีดำ รวมทั้งลูกธนูแถมให้อีกห้าพันดอก ทำให้ตี๋น้อยก้มลงกราบขอบคุณคุณลุงพันที่พึ่งรู้จักกันไม่นานเท่าไร แต่สิ่งที่มอบให้นับได้ว่า สามารถตัดสินโชคชะตาในเกมนี้ได้ทีเดียว

“ไม่ต้องมากมารยาทหรอก ของเหล่านี้อยู่กับข้าก็แค่ของสะสม แต่อยู่กับเจ้ามันจะสามารถเปลี่ยนแปลงแผ่นดินนี้ได้ทีเดียว”

“ขอบคุณมากครับ ถ้าอย่างนั้นผมก็จะขอตัวก่อนนะครับ ไปแล้วนะเสี่ยวหมวย เออ...คุณหนูด้วย ไปละ” ตี๋น้อยลุกขึ้นทำท่าจะมุดช่องหมาลอดจากไป แต่เสี่ยวหมวยเรียกไว้ก่อน

“อย่าพึ่งไปสิ เสี่ยวหมวยก็มีของจะให้” พูดพลางปลดกระเป๋าแบบสะพายเฉียงที่พกอยู่ออกมาให้กับตี๋น้อย

“เป็นกระเป๋ามิติ บรรจุได้ 500 ช่อง แต่ละช่องสามารถใส่ของประเภทเดียวกันได้ 100 ชิ้น ทั้งสิ่งของและอาวุธ ยกเว้นกระเป๋ามิติด้วยกันเองที่จะนับว่าเป็น 1 ช่อง”

“อืม...สะดวกดีนี่ แต่ทำไมไม่เห็นคนในเมืองนี้พกกันเลยละ” ตี๋น้อยสอบถามขึ้นอย่างสงสัย

“กระเป๋านี้ไม่มีขายหรอก เพื่อไม่ให้ระบบเสียไป แต่จะให้สำหรับคนที่ผ่านการทดสอบจากเกาะฝึกฝนแห่งนี้ เพื่อไปยังแผ่นดินใหญ่ และรับได้คนละครั้งเท่านั้น ถ้าตายแล้วสมัครเข้ามาใหม่ก็ไม่ได้รับกระเป๋า ดังนั้น หลายครั้งจึงมักจะเกิดการแย่งชิงกระเป๋ามิติกันขึ้น คนที่มีจึงมักจะปกปิดไว้ เพราะกลัวถูกแย่งชิง” เสี่ยวหมวยอธิบาย

“ตอนแรกในเกมนี้จะไม่ทำกระเป๋ามิติ และเข็มขัดจอมปราชญ์ แต่กลุ่มผู้เล่นก็ยื่นเรื่องไปว่า ถ้าจะต้องการให้ฝึกฝนการทำธุรกิจ ก็จะต้องทำให้มันสามารถใช้ได้สะดวก เพราะถ้าให้ทุกอย่างเหมือนเมื่อเกือบสองพันปีก่อน แม้ต้องใช้เวลากันทั้งชีวิตก็ไม่เสร็จสิ้น ทางผู้สร้างเกมจึงต้องใช้กฎนี้ และสร้างกระเป๋ามิติให้” ลุงพันผู้รอบรู้เรื่องในเกมจึงอธิบายย่อ ๆ ให้ฟัง ทำให้ตี๋น้อยเข้าใจถึงความสำคัญของกระเป๋าใบนี้ จึงเก็บไว้อย่างดี

“แล้วจะเอามาคืนนะ”

“ไม่เป็นไรหรอก ของเรามีหลายใบ นายเอาไปใช้เถอะ”

เสี่ยวหมวยบอก ทำให้ตี๋น้อยสงสัยว่า แล้วเสี่ยวหมวยไปได้มาจากไหน และสงสัยว่า เสี่ยวหมวยจะไม่ได้เป็นเจ้าหน้าที่ธรรมดาอย่างที่เห็นแน่นอน

“ลืมบอกไปอย่าง ของในกระเป๋ามีแต่ของที่จำเป็นในการเดินป่า อย่าลืมศึกษาดูให้ดีนะ” เสี่ยวหมวยกระซิบบอก ก่อนที่จะโบกมือลาตี๋น้อยที่มุดช่องหมาลอดลับหายไปจากสายตา




 

Create Date : 15 ตุลาคม 2554    
Last Update : 15 ตุลาคม 2554 15:54:45 น.
Counter : 401 Pageviews.  

บทที่ 7 เผชิญหน้าโรงเรียนจอมฟ้า

“คิดไว้อย่างเดียว อย่าให้มันจับเราได้”

ตี๋น้อยที่เหมือนเป็นนกน้อย โดนบรรดาแต๋วแตกร่างยักษ์วิ่งไล่ตะครุบไปมา โดยที่ไม่สามารถทำอะไรได้ นอกจากวิ่งหลบไปหลบมา เพราะถ้าโดนจับได้ พวกมันต้องใช้วิชาที่มีไม่ว่าจะเป็นกด ทับ จับ ล๊อก และอื่น ๆ อีกมากมายจนเกินจะบรรยาย ความเป็นหนุ่มที่สู้รักษามา 17 ปีจะต้องจบสิ้นแน่ ๆ

“สู้เขาบ้างสิไอ้น้อง อย่ายอมมัน พวกพี่เอาใจช่วย”

พอเภทภัยเริ่มจะหมดไปจากตลาด เพราะตัวก่อเหตุกำลังมีเรื่องวิ่งไล่จับหนุ่มหล่อคนใหม่อยู่ เหล่ากองเชียร์จึงกล้าโผล่หน้ามา แต่ตี๋น้อยคิดในใจว่า ทำไมมันไม่มาช่วยตูบ้างวะ ???

“เอาวิชานี้ดีกว่า คงจะพอช่วยได้” หัวสมองตี๋น้อยหมุนไปอย่างรวดเร็วพอ ๆ กับมือและเท้าที่วิ่งหลบ และปัดป่ายร่างยักษ์ใหญ่ทั้ง 16 ตัวอยู่ในมา

ผั๊วะ......................พลั๊ก.................................

คราวนี้เมื่อได้โอกาส ตี๋น้อยมักจะหมุนตัวหลบและคอยเล่นงานไปที่ข้อเท้าของเหล่าอนงค์ยักษ์เหล่านั้นทันที ทั้งสไลน์ ทั้งเตะ ทั้งจิก ทั้งส้น ทั้งกระทืบเท้า แล้วแต่ว่าจะสบโอกาส จึงมองเห็นร่างของตี๋น้อยหมุนวนไปมาคล้าย ๆ ลูกฟุตบอลยักษ์

“เดี๋ยว ๆ พักยกก่อนได้ไหม”

ตี๋น้อยเริ่มเหนื่อยล้าแล้ว เพราะค่าสถานะของเกมนี้ใช้ค่าจริง ๆ ของร่างกายบนโลก ดังนั้น แม้จะมีสมองที่ฉลาดปราดเปรื่อง มีวิชาที่มากมายอยู่ในตัว แต่ในโลกแห่งความเป็นจริงนั้น ตี๋น้อยไม่ค่อยได้ออกกำลังกายเท่าไรนัก เพราะถ้าไม่หมกตัวอยู่กับหนังสือ ก็ทำตัวเป็นกุนซือให้เพื่อน ๆ เวลาออกกำลังกายจึงมีแค่ไปเก็บผักมาขาย หรือหาปลาในบ่อ และฝึกซ้อมไทเก๊กครั้งละ 20 นาทีทุกเช้าเย็น ซึ่งไม่เพียงพอต่อการต่อสู้ที่เนิ่นนานนับชั่วโมงเช่นที่เป็นอยู่

“แหม....น้องตัวเล็ก ๆ แค่เนี้ยทำเป็นเหนื่อย พวกพี่ตัวอย่างกะช้างยังไม่เหนื่อยเลย เล่นกันต่อนะ”

เสียงสะดีดสะดิ้งออดอ้อนดังมาจากร่างยักษ์ใหญ่ ทำให้เขาต้องกลั้นหายใจวิ่งต่อเหมือนไม่เหนื่อย แต่ที่จริงเหนื่อยแทบขาดใจ

พลั่ก.................หมับ.......................

และแล้ว อวสานของตี๋น้อยก็มาถึง เมื่อคู่ต่อสู้จงใจเปิดช่องว่างที่ขาให้ ทำให้ตี๋น้อยกวาดขาฟาดใส่ทันที แต่เพราะความเหนื่อย ทำให้เวลาชักขากลับนั้นไม่รวดเร็ว ทำให้โดนแต๋วถึง 3 คนพุ่งเข้าชาร์ททันที

“เฮ้ย..นังเจิน ข้าได้ก่อนนะโว๊ย” เจ้าคนร่างยักษ์ถักผมเปียราวกับคิดว่าสวยเสียเต็มประดารีบชิงพูดขึ้นก่อนทันที

“แกนั่นแหละนังจินที่ต้องปล่อย ไม่เคยได้ยินหรือไงที่ว่า ทีหลังดังกว่า” คนร่างใหญ่ถักผมบ๊อบก็ไม่ยอมเหมือนกัน

“อย่าเถียงกันเลย ปล่อยมือทั้งสองคนนั่นแหละ แล้วข้าจะตัดสินให้” ร้อนถึงคนตัดผมม้าต้องเข้ามาตัดสินแบบข้าจะเอาคนเดียว

“ชะช้า นังหมีน้อยนี่ คิดจะทำตัวเป็นตาอยู่หรือไงย่ะ” คราวนี้ทั้งผมเปีย และผมบ๊อบรีบหันไปตวาดใส่คนผมม้าทันที

แง่ง...................ว๊าย...................

ก่อนที่จะเปิดศึกสามเส้าเพื่อแย่งชิงหนุ่มตี๋ เจ้าคุณหนูก็โผล่มาจากอกเสื้อของตี๋น้อย และกัดหมีน้อยทื่ยื่นมือจะลูบคลำร่างกายของตี๋น้อยทันที
คนที่เหลืออีกสองคนรีบปล่อยมืออย่างตกใจ ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้โดนกัดด้วย ทำให้สองมือของตี๋น้อยเป็นอิสระ จึงเกร็งสองนิ้วพุ่งออกด้วยท่ามังกรชิงแก้ว โดยใช้ทั้งสองมือจิกไปที่ลูกตาของนังเจิน และนังจินทันที

“กรี๊ด !!! ตาฉัน”

ทั้งสองคนร้องลั่น ทำให้อีก 14 คนต้องถลึงตามองตี๋น้อยที่อยู่กลางวงล้อมอย่างอาฆาตแค้น

“ฉันจะฆ่ามัน จับมันมาให้ฉันหน่อยเร็ว” ทั้งสองคนร้องโวยวายดังลั่น ทำให้คนในกลุ่มที่เหลือสืบเท้าเข้ามาเพื่อกระชับวงล้อมให้เล็กลงทันที
ตี๋น้อยหมดหนทาง ต้องเริ่มมวยไทเก๊กเพื่อให้ลมปราณเดินเข้าหากันตลอดทั่วร่างกาย แม้ไม่รู้ว่าจะใช้ได้ไหม

นังหมีน้อยที่ยืนอยู่ข้างหลังเห็นตี๋น้อยรำมวยแปลก ๆ รีบพุ่งชาร์ททันที แต่เหมือนตี๋น้อยมีตาหลัง เขาหมุนตัวเป็นรูปครึ่งวงกลม พร้อมทั้งปล่อยหมัดที่บิดหมุนจนมีพลังจิ้งอยู่อย่างเต็มเปี่ยมตรงเข้าสู่ท้องของนังหมีน้อยทันที

อุ๊ก...............อั่ก................

ราวกับภาพสโลโมชั่นที่เคลื่อนไหวช้า ๆ มองเห็นหมัดของตี๋น้อยที่ต่อยเข้าใส่หน้าท้องของหมีน้อย แต่หมีน้อยกลับยิ้มออกมาราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น สักครู่ หน้าที่ยิ้มของหมีน้อยเริ่มเขียวคล้ำ และค่อย ๆ ทรุดลงไปในที่สุด

“นังหมีน้อย”

คนที่เหลือพากันตะโกนลั่น และคนที่อยู่ข้าง ๆ 2-3 คนพากันรีบวิ่งไปดูร่างของหมีน้อยทันที พลางพลิกดูที่ท้อง เพราะคิดว่าตี๋น้อยจะใช้อาวุธพวกมีดแทงที่ท้อง แต่เมื่อจับพลิกดูแล้วกลับไม่เห็นอะไรเลย นอกจากหมีน้อยที่นอนหมดสติอยู่กับที่ราวกับโดนกระแทกด้วยวัตถุขนาดยักษ์เข้าที่ท้อง

“ใครจะเป็นรายต่อไปก็เข้ามาครับ”

ตี๋น้อยที่มั่นใจกับพลังจิ้งของตนเอง ทำให้กล้าเอ่ยปากเรียกร้องให้เหล่าแต๋วยักษ์ทั้งหลายเข้ามา เพราะเขามีแผนแห่งชัยชนะอยู่ในใจแล้ว
คราวนี้พวกแต๋วแตกที่เหลือพากันขยาด เพราะไม่คิดว่าจะเจอดี ทำให้แต่ละคนต่างดันหลังกันไป จนกระทั่งคนที่ดูท่าทางเป็นหัวหน้าทนไม่ไหว

“ไปกลัวอะไรมันนักหนาวะ เสียชื่อ 16 นงคราญหมด เข้าไปให้หมดทุกคนนี่แหละ
ดูสิว่า แค่สองมือสองเท้าของมันจะทำอะไรเราได้” มันถลึงตาใส่ทุกคน ทำให้แต่ละคนก้มหน้านิ่ง ก่อนที่จะตั้งท่าเตรียมเข้าต่อสู้อีกครั้ง

“หยุดเดี่ยวนี้ ในนามแห่งประธานโรงเรียนจอมฟ้า ข้าขอสั่งให้หยุดเดี่ยวนี้”

เสียงตวาดดังมาจากตลาดทำให้ทั้งหมดหยุดชะงัก และหันไปมองดูผู้ออกคำสั่งทันทีทำให้ตี๋น้อยแอบพ่นลมออกจากปากด้วยความโล่งใจ เพราะหากพวกมันเข้ามาพร้อม ๆ กัน วิชาไทเก๊กที่เขายังไม่สามารถฝึกฝนให้ชำนาญในเกมนี้ย่อมจะต้านไม่อยู่อย่างแน่นอน

ผู้ที่ออกคำสั่งในนามประธานนักเรียนจอมฟ้าเป็นคนที่มีรูปร่างสูงโปร่ง หน้าตาหล่อเหลาคมคาย และผิวขาวเนียนจนหญิงสาวบางคนได้อาย หน้าตาออกไปทางลูกครึ่งญี่ปุ่น ซึ่งการที่สามารถเป็นประธานโรงเรียนได้นั้นถือเป็นอำนาจอย่างหนึ่งในเกาะฝึกฝนแห่งนี้ด้วย จึงทำให้คน ๆ นี้ดูโดดเด่นมากกว่าใครในเกาะแห่งนี้

เพราะโรงเรียนจอมฟ้าแห่งนี้ เป็นโรงเรียนที่ตี๋น้อย และคนที่ไม่มีเงินไม่มีโอกาสได้เรียน เพราะต้องจ่ายค่าเล่าเรียนเป็นเงินจริงถึงหนึ่งแสนบาท แต่เหล่า 16 นงคราญเป็นนักเรียนที่ใกล้จะจบคอร์สของโรงเรียน เมื่อเห็นประธานมาเองจึงมองเห็นเหล่าแต๋วแตกทั้งหลายออกมายืนเป็นกลุ่มต่างหาก ปล่อยให้ตี๋น้อยอยู่ตามลำพัง ราวกับจะแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างทางชนชั้น

“นายเป็นใคร ทำไมมาก่อเรื่องกับนักเรียนของจอมฟ้าได้”

โรงเรียนจอมฟ้าคือโรงเรียนที่สอนคนให้เป็นเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินในเกมนี้ ทำให้พวกที่ได้เรียนในโรงเรียนแห่งนี้ทำตัวแบบอภิสิทธิ์ชน

“ขอโทษนะครับ คุณควรที่จะพูดใหม่ให้ถูกต้อง เพราะนายปล่อยให้คนของโรงเรียนมาเพ่นพ่านก่อกวนชาวบ้านย่านตลาดได้อย่างไร”

ตี้น้อยไม่ได้สนใจว่าพวกนี้มันจะมีอภิสิทธิ์อะไรมากกว่าคนอื่น ๆ ดังนั้น เขาจึงรู้สึกขัดเคืองใจที่โดนต่อว่าราวกับว่า เขาเป็นคนเข้าไปรังแกเหล่า 16 ช้างน้ำเหล่านี้ก็ปาน

“หาเรื่องรังแกคนอื่นแล้วยังจะพาลมาหาเรื่องถึงฉันเลยหรือไง อย่าลืมว่า นายทำให้นักเรียนโรงเรียนฉันได้รับบาดเจ็บถึง 3 คน ถ้าฉันจะเอาเรื่องนาย มันก็ไม่ใช่สิ่งที่ผิดแต่อย่างใด”

ประธานนักเรียนรูปหล่อเสียงนุ่มกล่าวอย่างใจเย็น แต่เนื้อความหาเรื่องใส่ตี๋น้อย ทำให้ตี๋น้อยต้องถามหยั่งท่าทีขึ้นว่า

“แล้วนายจะเอาอย่างไงละ”

“ขอโทษคนของฉันเดี๋ยวนี้ และต่อไปห้ามมาหาเรื่องกับนักเรียนของฉันอีก”

ประธานหนุ่มรูปหล่อออกคำสั่งอย่างเด็ดขาด แต่ทว่า ตี๋น้อยกลับยิ้มแย้มแจ่มใสพูดกลับไปว่า

“ขอโทษนะ นายเข้าใจอะไรผิดไปหรือเปล่าครับ ที่นี่เป็นตลาด ไม่ใช่โรงเรียนจอมฟ้าของพวกนาย ทำอะไรต้องรู้จักขอบเขตอำนาจของตัวเอง มิฉะนั้นมันจะกลายเป็นว่า พวกนายเป็นอันธพาลกันทั้งโรงเรียน”

คำพูดของตี๋น้อยจุดประกายความโกรธขึ้นในตาของประธานหนุ่ม และทำให้บรรดาเหล่าองครักษ์ประจำโรงเรียนต่างพากันแยกย้ายกันตีวงโค้งเพื่อจะขนาบตี๋น้อยไว้ตรงกลาง

“ฉันขอถามอีกคำเดียวว่า จะขอโทษคนของโรงเรียนที่นายรังแกหรือไม่” ประธานจ้องหน้าตี๋น้อย ทำให้ตี๋น้อยจ้องหน้าคืน ก่อนที่จะตอบว่า

“บอกคนของนายให้ขอโทษผมก่อน และผมจะขอโทษพวกมัน” คำพูดของตี๋น้อยทำให้ประธานหันหลังกลับ พลางพูดกับเหล่าองครักษ์ของโรงเรียนว่า

“ฝังมันไว้ที่ตลาด อย่าให้หลุดรอดไปได้”

จากนั้นประธานรูปหล่อก็เดินไปปลอบใจเหล่ากระเทียมทั้งหลาย ก่อนที่จะพากันนั่งชมการเชือดหนุ่มหน้าตี๋ผู้ที่บังอาจมาต่อกรกับคนของโรงเรียนจอมฟ้า

เหล่าองครักษ์พิทักษ์โรงเรียนพากันตั้งการ์ดมวยขึ้น ทำให้ตี๋น้อยรู้ว่า ในพวกมันทั้ง 6 คนนั้น มีเทคอนโด 2 คน มวยไทย 2 คน คาราเต้ 1 คน และยูนิตสูอีก 1 คน ซึ่งเป็นวิชาที่สามารถทำให้คนตายได้อย่างง่าย ๆ ทำให้ตี๋น้อยยิ้มขึ้น ก่อนที่จะพูดว่า

“นึกว่าแค่ 6 คนจะเอาฉันอยู่หรอ ต่อให้ 100 คน ก็เอาข้าไม่อยู่โว๊ยยยย”

พูดจบเขาก็รอให้พวกมันขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความโกรธอยู่ 2 นาที ตั้งท่ามวยเพื่อจะเข้ามารุมเขาอีก 1 นาที จากนั้นก็เป็นเวลาของตี๋น้อยที่จะได้ใช้วิชาที่เคยใช้บ่อยตอนไปโรงเรียน เพราะเวลาที่เขาไปโรงเรียนมันเฉียดฉิวซะทุกคน ทำให้วิชานี้ของเขาได้พัฒนามาอย่างต่อเนื่อง นั่นก็คือวิชา.......

เฟี้ยวววววว...................

เวลาวิ่งตี๋น้อยไม่ชอบพูด เพราะมันจะทำให้วิ่งได้ไม่เร็ว แต่เขาจะวิ่งแบบใช้มือทั้งสองข้างฟันสับลงสลับกันเหมือนสับลาบ เพราะมันจะทำให้เขาวิ่งได้เร็ว และขาที่ยาว ๆ ของเขาก็จะทำให้สามารถวิ่งได้เร็วกว่าคนอื่น เพราะกวว่าคนเหล่านั้นจะหายจากอาการตกตะลึง เขาก็วิ่งตีโค้งลับหายไปจากสายตาของทุกคนแล้ว




 

Create Date : 15 ตุลาคม 2554    
Last Update : 15 ตุลาคม 2554 15:53:58 น.
Counter : 287 Pageviews.  

บทที่ 6 เหตุเกิด เพราะคุณหนู

“คุณลุงครับ”

ตี๋น้อยซึ่งกำลังจะออฟไลน์ จึงเข้ามาเพื่อจะลาคุณลุงบรรณารักษ์ ที่กำลังนั่งบนเก้าอี้สองขาเอนไปข้างหลัง สายตาทอดมองนิยาย “8 เทพอสูรมังกรฟ้า” วรรณกรรมชิ้นเยี่ยมของกิมย้ง อย่างไม่ได้สนใจกับรอบ ๆ ตัว ทำให้คนที่ต้องการที่จะมาลาต้องเก้อ

“คุณลุงคร๊าบบบ”

เงียบ....................

“คุณลุงคร๊าบบบ !!!”

โครม !!! โอ๊ย !!!

“ขอโทษคร๊าบบบ” ตี๋น้อยต้องรีบกุลีกุจอไปช่วยคุณลุงบรรณารักษ์ทั้งคนทั้งเก้าอี้หล่นลงไปกองอยู่กับพื้น

“กำลังทำอะไรอยู่ครับ” ตี๋น้อยยิ้มเล็กน้อยที่เห็นท่าทีทุลักทุเลของคุณลุง พลางก้มหัวขอโทษ

“แหม.....กำลังเพลินอยู่พอดี ตวนอื้อกำลังโดนบักอ้วงเช็งมัด แล้วใช้ม้าลากวิ่งผ่านลำธารพอดี พระเอกก็เจ็บ คนอ่านก็ระบมกันพอดี” คุณลุงบรรณารักษ์ แฟนพันธุ์แท้กิมย้งหัวเราะขำตัวเอง

“วิธีการอ่านของเจ้าสัวนี่ไม่ดีเลยนะครับ” หัวเราะเสร็จก็มาโทษคนสอนทักษะการอ่าน

“ทำไมละครับ” ตี๋น้อยพาซื่อ ทำหน้าซื่อ ๆ ถาม

“ก็เวลาใช้แล้วมันเหมือนกับถูกหนังสือดูดกลืนวิญญาณเข้าไป ใครทำอะไรรอบ ๆ ตัวก็มองไม่เห็นแล้ว แบบนี้โดนไล่ออกแน่ ๆ” คุณลุงพูดทีเล่นทีจริง

“ผมแนะนำวิธีแก้ให้ไหมครับ รับรองว่าได้ผล ไม่มีใครรู้ว่าคุณลุงมัวแต่อ่านหนังสือ”

“วิธีอะไรหรอ แนะนำหน่อย” บรรณารักษ์หนุ่มใหญ่กระดี๋กระด๋า ทำราวกับกำลังแอบทำเรื่องที่เป็นลับจนไม่อยากให้ใครรู้

“หาสุนัขพุดเดิ้ลตัวเล็ก ๆ น่ารัก ๆ มาเลี้ยงสักตัว แล้วหัดให้มันเฝ้าเคาเตอร์ให้ และถ้าฝึกเก่ง ๆ นะ คนไหนต้องการความช่วยเหลือ มันก็ยังสังเกตออกได้ เพราะพันธุ์พุดเดิ้ลได้รับการวิจัยมาแล้วว่า สมองดีเยี่ยมที่สุด และฉลาดที่สุด ถ้ารู้จักสอน”

คำแนะนำของตี๋น้อยทำให้บรรณารักษ์รู้สึกแปลก ๆ เล็กน้อย แต่ก็หาสาเหตุไม่ได้ว่า แปลกตรงไหน จนกระทั่งตี๋น้อยลากลับ และเขาได้ทำตามวิธีที่ตี๋น้อยแนะนำ


“ต๊ายตาย.....น่ารักจังเลยนะตัวเอง หวัดดีสิ น่าร๊ากกก”

เสียงอุทานดังมาจากกลุ่มผู้ที่ไม่ประสงค์จะใช้เพศตัวเอง ซึ่งกำลังจะเข้ามาใช้บริการในห้องสมุดก็ได้ส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดกันไปยกใหญ่กว่าจะเข้าไปในห้องสมุดได้

“ว๊าย.....น่ารักจัง ดูสิ ทำตาแป๋ว แถมเรียบร้อยม๊ากกก ดูสิ รู้จักทักทายคนเข้าคนออกด้วย”

คราวนี้กลุ่มวัยรุ่นสาว ๆ ก็เข้ามาเล่นกับ “คุณหนู” สุนัขพันธุ์พุดเดิ้ลของคุณลุงบรรณารักษ์จนเจ้าของไม่เป็นอันได้อ่านนิยายแม้แต่นิดเดียว

“น่ารักจังครับ คุณลุงซื้อที่ไหนหรอครับ แพงไหม เนี่ยผมก็กะว่าจะซื้อไปให้มันอ้อนสาว ๆ ให้อยู่ ต้องลงทุนหน่อย ไม่งั้นคงไม่มีแฟนกับเขาแน่ ๆ” คราวนี้เป็นกลุ่มหนุ่มน้อยที่สนอกสนใจกับเจ้าคุณหนูของคุณลุงด้วยเหตุผลที่ทำให้ผู้เป็นเจ้าของต้องสะอึก

“กรรมแล้วกู หลงเชื่อเจ้าตี๋จนได้ดี ตกลงว่าซื้อมันมาเฝ้าเคาเตอร์เพื่อให้เราได้หลบมุมอ่านหนังสือ หรือซื้อมันมาเฝ้าเรา เพื่อให้เป็นจุดเด่นไม่ให้เราแอบอ่านหนังสือวะเนี่ย” เสียงพึมพำเบา ๆ ดังมาจากเคาเตอร์บรรณารักษ์

“จะไปขายคืนร้าน เจ้าของก็ไม่ยอมรับคืน จะเอาไปปล่อยทิ้งก็สงสารมัน จะไปให้คนอื่น ๆ เขาก็ไม่มีใครเอา แค่มาชมเล่นไม่มีใครคิดจริงจังกับเอ็งเลยหรอวะ นังคุณหนู” หนุ่มใหญ่แฟนหนังสือกิมยังบ่นพึมพำก่อนที่จะตัดสินใจอะไรบางอย่าง ก่อนที่เขาจะถลำตัวลึกลงไปมากกว่านี้


“สวัสดีครับ คุณลุงพันไม่อยู่หรอครับ” เสียงเจ้าสัวเอ่ยทักทายบรรณารักษ์อย่างแปลกใจที่เข้าเกมมาอีกครั้งก็เห็นสาวใหญ่นางหนึ่งมาทำหน้าที่แทนคุณลุงพันที่เขาคุ้นเคย

“สวัสดีคะ ดิฉันโสธยา เรียกว่า พี่ยา เฉย ๆ ก็ได้คะ พี่มารับกะต่อจากคุณพัน ซึ่งเจ้าหน้าที่แต่ละคนจะรับหน้าที่กันคนละ 12 ชั่วโมงในเกม” เจ้าหน้าที่บรรณารักษ์คนใหม่บอกข้อมูลให้เขารู้

“ครับ.....ผมชื่อเจ้าสัว เล่นเกมนี้แบบ 16 ชั่วโมง พัก 8 นะครับ ทำให้มีเวลามาอ่านหนังสือทุกวันได้” ตี๋น้อยแนะนำตัวเองบ้าง

“คุณชื่อเจ้าสัวหรอคะ พอดีคุณพันฝากของไว้ให้ จะรับเดี๋ยวนี้เลยไหมคะ” บรรณารักษ์รีบบอกทันทีที่ตี๋น้อยแนะนำชื่อเสร็จ

“ครับ ว่าแต่คุณลุงฝากอะไรให้ผมครับ” เขายังงง ๆ ที่จู่ ๆ ก็ได้รับของฝากจากคุณลุงบรรณารักษ์

“นี่คะ ชื่อว่า คุณหนู น่ารักมากคะ แล้วแสนรู้ด้วย”
บรรณารักษ์สาวรีบยกเจ้าพุดเดิ้ลทอยสีขาวจากใต้โต๊ะมามอบให้ตี๋น้อย

“หา...มอบหมาให้ผมเนี่ยนะ”

เจ้าตัวแปลกใจ แต่แล้วก็นึกได้ว่า ไปแกล้งลุงพันเรื่องให้หาหมามาเลี้ยงเพื่อให้เฝ้าเคาเตอร์ แล้วไม่นึกว่า แกจะกลับมาแก้ลำเขาได้เจ็บแสบขนาดนี้

“ได้หมาน่ารักมาฟรี ๆ ถึงกลับอึ้งกิมกี่ซีเช๊กฉ่ายเลยหรอคะ พันธุ์พุดเดิ้ลนี่น่ารักที่สุดแล้วนะคะ แถมยังฉลาดที่สุดด้วย ผลการวิจัยว่าอย่างนี้นะคะ” บรรณารักษ์สาวเล่นหยิบยืมคำพูดของเขามาพูดทำให้เขาพูดอะไรไม่ออก นอกจากจะกล่าวขอบคุณ

“ลืมบอกไปเรื่องหนึ่งคะ คุณหนูยังไม่ได้กินข้าวเช้านะคะ ส่วนอาหารที่ชอบกินก็จะเป็นพวกไก่ย่าง หมูย่าง แล้วก็ต้องย่างแบบนุ่ม ๆ ไม่ไหม้ ไม่มีมันเยิ้ม แล้วแต่ละมื้อต้องอย่าซ้ำกันนะคะ ไม่งั้นคุณหนูเธอจะไม่ยอมทานคะ”

บรรณารักษ์บอกเรื่องราวที่น่ารู้ให้กับตี๋น้อยได้รับรู้ไว้ ราวกับจะบอกว่า ถึงแม้ว่าเจ้าตัวจะเขมือบแต่หมันโถแห้ง ๆ จืด ๆ แต่สำหรับพุดเดิ้ลตัวนี้ต้องกินอาหารอย่างดีนะเฟ้ยยย


แผลบ......................

คุณหนูเลียมือของตี๋น้อยอย่างประจบ เพราะมันรู้ว่า ตอนนี้ตี๋น้อยเป็นเจ้านายคนใหม่ของมันแล้ว ทำให้ตี๋น้อยที่เดินดุ่ม ๆ อยู่ถนนมุ่งหน้าสู่ตลาดต้องฝืนยิ้มออกมา

“ไม่ต้องประจบมากก็ได้ ข้าไม่เอาเอ็งไปปล่อยทิ้งหรอก แต่มันมีข้อติอยู่อย่างเดียวนี่สิ เอ็งมันเลือกกิน แถมยังจะกินของดีกว่าข้าซะอีก ตกลงใครเป็นนายใครเป็นบ่าวกันแน่วะ”

ตี๋น้อยบ่นพึมพำขณะที่เดินไปหาร้านขายอาหารจำพวกหมูปิ้งในตลาด ท่ามกลางสายตาของทั้งสาว ๆ และคนที่เลือกมาเป็นสาว ๆ แทนการเป็นหนุ่ม ๆ ซึ่งมองเขาราวกับจะกลืนกิน

“กรี๊ดดด น่ารักจัง ชื่ออะไรฮ๊า ตัวเอง”

และแล้ว สุภาพสตรีจำแลงที่ตัวสูงใหญ่จนเขาอดนึกเปรียบเทียบว่าเหมือนกับฝูงกระทิง กำลังเดินมาหาเขาฝูงหนึ่ง

“เออ....ชื่อคุณหนูครับ” เขาพูดพลางยกเจ้าคุณหนูให้คุณเธอทั้งหลายได้เชยชม

“ว๊ายยย....ซื่อจังเลยตัวเอง เค้าไม่ได้หมายถึงเจ้าพุดเดิ้ล แต่เค้าหมายถึงตัวเองต่างหากละ ว่าแต่ชื่อไรหรอฮ๊าตัวเอง” คราวนี้รู้สึกจะเป็นงานช้างสำหรับตี๋น้อย แถมยังเป็นช้างน้ำเป็นฝูงอีกด้วย

“ขอโทษครับ เราไม่รู้จักกัน กรุณารักษามารยาทด้วยนะครับ” เขาพูดขึ้นเมื่อรู้สึกได้ถึงมือไม้ที่ชักจะเกินขอบเขตของเหล่ากระทิงฝูงนี้

“ต๊ายยย.....ไม่เคยเห็นใครโกรธแล้วน่ารักขนาดนี้เลย คนนี้เค้าขอนะตัวเอง”

มีการตกลงกันในกลุ่มอีกต่างหาก ราวกับเห็นตี๋น้อยเป็นเพียงสินค้าในตลาดนัดจตุจักร ทำให้ตี๋น้อยยัดคุณหนูไว้ในอกเสื้อแบบชุดจีนของเขา พลางเอามือตบหัวของคุณหนูเบา ๆ

“อยู่นิ่ง ๆ นะลูกพ่อ เดี๋ยวพ่อจะออกกำลังสักหน่อย”

แผลบ.................

คุณหนูเลียมือของตี๋น้อยอย่างเข้าใจ ทำให้ตี๋น้อยอดยิ้มอย่างเอ็นดูไม่ได้

“ต๊ายยย......อดใจไม่ไหวแล้ว น่ารักเกินห้ามใจ” พร้อม ๆ กับคำพูด มือของสาวประเภทสองนางนั้นก็เฉยโอกาสจับเข้าที่เป้ากางเกงของเขาทันที

หมับ..........................ว๊าย........................

แม้เขาจะเป็นคนชอบอ่านหนังสือ เขาก็ได้รับการฝึกฝนไทเก๊กตั้งแต่เด็กจากชายชราชาวจีนซึ่งมักจะมานั่งอ่านหนังสือในห้องสมุดประจำ จนสนิทสนมกับเขา นอกจากนั้นแล้ว เขายังอ่านหนังสือด้านกังฟู กระบี่กระบอง รวมถึงศิลปะป้องกันตัวทั้งหลายที่มีแพร่หลายกันอยู่ในสมัยนี้ด้วย ทำให้สามารถพลิกแพลงกระบวนท่าต้านรับการถูกจู่โจมได้ ดังนั้น มือที่ยื่นออกมาของอนงค์เทียมนางนั้นจึงถูกเขาจับบิดข้อมือด้วยวิชาไอคิโดจนร้องโอดโอย

“เฮ้ย....ปล่อยนะโว๊ย เอ็งไม่รู้หรือว่าพวกข้าเป็นใคร”

เมื่อมันถูกบิดมือ สุ่มเสียงก็เปลี่ยนไปทันที เสียงห้าว ทุ้ม แฝงไว้ด้วยอำนาจที่ทุก ๆ คนต้องยอมสยบดังออกจากปากของคนที่เคยวี๊ดว๊ายมาก่อน ทำให้เขาตกใจ ปนประหลาดใจ จนมันสามารถสะบัดมือหลุดออกจากการคร่ากุมของเขาได้

วูบ..................

เขาถอยหลังมาตั้งหลัก พลางตั้งท่าเริ่มต้นในวิชาไทเก๊ก ซึ่งจะสามารถซ่อนเร้นการเตรียมพร้อมของเขาไม่ให้ใครสังเกตได้ว่าเขาถนัดวิชาอะไร เพื่อสร้างความได้เปรียบ และไม่ให้ศัตรูอ่านเขาได้โดยง่าย

“ไอ้น้อง เอ็งไม่รู้จักกลุ่ม 16 นงคราญแห่งเกาะฝึกฝนหรือไง”

บัดนี้เหมือนพวกมันจำแลงจากกระทิงกลายเป็นช้างป่าฝูงใหญ่ กำลังล้อมวงเข้ามาจะกินโต๊ะจีนลิง (เกี่ยวกันไหมเนี่ย)

ตี๋น้อยชำเลืองมองไปที่รอบ ๆ ตัวราวกับจะหาผู้ช่วย ก็พบเห็นความจริงว่า เหล่าผู้เล่นที่มีจำนวนมากมายในตลาดนั้น ต้องพากันมองดูเขาอยู่ห่าง ๆ ราวกับกลัวว่าจะโดนลูกหลงไปด้วย ทั้ง ๆ ที่พวกมันมีแค่ 16 คนเท่านั้น ยืนยันให้เห็นว่า พวกมันเป็นแก๊งค์ที่มีชื่อเสียยยยย ตามที่มันบอกจริง ๆ

“ไม่รู้จัก” เขาตอบเสียงห้วน ๆ

“ถ้าไม่รู้จักก็ดูไว้ซะ ถ้าไม่อยากตายจนต้องเสียเงินเสียทองมากมายเพื่อกลับมาเล่นใหม่ละก็ จงมาเป็นของเล่นให้พวกข้าซะ พอพวกข้าเล่นเบื่อแล้วก็จะปล่อยเอ็งไปทันที”

พอมันพูดจบ ตี๋น้อยก็โกรธขึ้นมาทันที เพราะข้างหลังพวกมันล้วนเป็นชายหนุ่มรูปหล่อจำนวน 16 คน แต่ละคนต่างพากันยืนซึมกระทือแบบหมดอาลัยตายอยาก ทำให้เขารู้ว่า ประสบการณ์ที่แต่ละคนได้รับมานั้น มันสุดจะทนจริง ๆ

“พวกเอ็งเคยตายไหม !!!”

นั่นคือคำถามสุดท้ายที่ตี๋น้อยถาม ก่อนที่จะตรงเข้าตะลุมบอนกับเหล่า 16 นงครวญแห่งเกาะฝึกฝนที่พากันร้องกรี๊ดกร๊าดกับคำถามประโยคนี้ของเขา

วูบ.................วูบ...................

ท่าเท้าเบญจธาตุ ผสมผสานกับการจับพลัง และการปัดป่ายย้ายพลังของไทเก๊ก ทำให้เขาสามารถต้านรับเหล่า 16 นงคราญได้ในระยะแรก ๆ แต่เขากลับหาโอกาสที่จะโจมตีไม่ได้ เพราะการลงมือของพวกมันทั้ง 16 คนสอดประสานกันเป็นอย่างดี และวิชาที่พวกมันใช้กันก็คือ มวยปล้ำ แถมเป็นมวยปล้ำแบบญี่ปุ่นที่ผสมผสานกับวิชายูนิตสูและซูโม่

ซึ่งท่วงท่าที่แทบจะทำให้เขาเสียหลักทุกครั้งก็คือการเข้าชาร์ตของวิชามวยปล้ำ เพราะพวกมันจะวิ่งเข้ามาเพื่อจะรวบตัวของเขาเพื่อจับปล้ำให้ลงไปนอนกับพื้น ซึ่งหากเขาถูกรวบตัวได้เมื่อไรก็จบเห่เมื่อนั้น เพราะวิชามวยปล้ำนั้นเป็นเอกเรื่องท่านอนปล้ำ โดยเฉพาะเมื่อถูกใช้ออกด้วยเหล่ากระทิงร่างใหญ่ยักษ์ทั้ง 16 คนที่อยู่เบื้องหน้าเขาตอนนี้




 

Create Date : 15 ตุลาคม 2554    
Last Update : 15 ตุลาคม 2554 15:52:59 น.
Counter : 310 Pageviews.  

บทที่ 5 ห้องสมุด กับการอ่านหนังสือขั้นเทพ

“ว้าว.....บรรยากาศเหมือนกับเป็นโลกสมัยโบราณจริง ๆ อย่างนี้สิที่อยากเจอมานานแล้ว วู้....อากาศบริสุทธ์นี้ทำให้สดชื่นขึ้นมากจริง ๆ”

ตี๋น้อยกล่าวออกมาดัง ๆ ด้วยความดีใจที่ได้เข้าไปอยู่ในทิวทัศน์เมืองโบราณ ในตอนนี้ร่างของเขาปรากฏขึ้นตรงริมชายป่าหน้าประตูเมืองฝึกฝน ซึ่งจากการวัดขนาดคร่าว ๆ กำแพงคงจะกว้างประมาณสักหนึ่งลี้ และยาวสองลี้ ความสูงของกำแพงเมืองประมาณ สิบวา ซึ่งถือว่าสูงใหญ่มากสำหรับสมัยโบราณที่ไม่ได้ใช้ปืนใหญ่ในการตีเมือง

เมืองฝึกฝน หรือที่หลายคนเรียกว่าเมืองเริ่มต้นนั้นตั้งอยู่บนเกาะที่เรียกว่า เกาะฝึกฝน โดยที่ตัวเมืองจะตั้งอยู่ติดกับชายฝั่งทะเลตะวันตก โดยทิ้งให้พื้นที่ส่วนเหนือ ตะวันออก และตะวันตกเป็นเขตป่าและทิวเขาที่สลับซับซ้อน ซึ่งจะเป็นส่วนที่ใช้ฝึกฝนและผจญภัยของผู้เริ่มต้นทั้งหลายด้วย

บัดนี้ ดวงตาของตี๋น้อยได้สอดส่องและสำรวจงสำรวจภูมิประเทศรอบ ๆ เมืองเริ่มต้น ซึ่งภูมิประเทศที่มองเห็นและบันทึกไว้ในสมองนั้นจะเป็นป่าเป็นป่าเบญจพรรณในช่วงที่ติดกับเมือง แต่ลึกเข้าไปจะเป็นป่าดงดิบที่มีความอุดมสมบูรณ์ และเต็มไปด้วยทรัพยากรที่ซุกซ่อนอยู่ในความสวยงาม และน่าสะพึงกลัวของป่าแห่งนี้
เมื่อสำรวจตรวจสอบคร่าว ๆ แล้วตี๋น้อยหรือชื่อที่ใช้ในเกมนี้ว่าเจ้าสัวก็หันกลับมายังเมืองที่เขาจะต้องอยู่ และศึกษาหาความรู้อยู่ถึงสี่เดือนในเกม เพื่อเตรียมการและเป็นข้อมูลในการวางแผนการ

เมืองหลักในเกาะฝึกฝนแห่งนี้มีลักษณะเหมือนเมืองใหญ่ทั่ว ๆ ไปในโลกสมัยโบราณของจีนเมื่อสองพันปีที่ผ่านมา คือมีกำแพงหนาล้อมรอบ มีบ้านเรือนที่สร้างจากอิฐแดงสวยงามในสไตน์จีนโบราณ

หน้าประตูเมืองตอนนี้มีทหารจีนถือหอก และสะพายดาบยืนรักษาการณ์อยู่ประมาณสิบกว่าคน ทำให้ตี๋น้อยที่เดินเข้าไปในเมืองเริ่มต้นรู้สึกแปลก ๆ เหมือนย้อนยุคเข้าไปในภาพยนตร์จีนกำลังภายใน เพียงแต่เหล่าทหารนั้นไม่มีการค้นตัวหรือสอบถาม เพียงแต่การตรวจตราด้วยสายตาเพื่อป้องกันเหตุร้ายเท่านั้น

“ขอโทษครับ อาคารข้อมูลสำหรับผู้เริ่มต้นอยู่ทางไหนครับ” ตี๋น้อยเดินเข้าไปถามนายทหาร ซึ่งการแต่งกายเหมือนเป็นหัวหน้าหน่วยเวรยามที่กำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ในเวลานี้

“เดินตรงไปเรื่อย ๆ นับสี่แยกไป 4 แห่ง แยกที่ 4 เลี้ยวขวาตรงไปก็จะเห็นอยู่ด้านซ้ายมือ มีป้ายบอกไว้อยู่ครับ”

นายทหารหน้าตาเคร่งขรึมบอกทางให้ ทำให้เขากล่าวขอบคุณ ก่อนที่จะเดินไปตามทางเท้า เพราะบนถนนมีรถม้า และม้าวิ่งขวักไขว่เต็มไปหมด

“อืม...มีทั้งร้านค้า ชมรมต่าง ๆ แล้วก็โรงแรมทั้งของระบบ และของผู้เล่น เอ...เมืองเริ่มต้นหรือว่า เมืองเยาวราชกันแน่”

ชายหนุ่มพึมพำเบา ๆ ก่อนที่จะเดินมาถึงแยกที่ 4 จากนั้นก็เลี้ยวขวาตรงไป ซึ่งก็เห็นอาคารข้อมูลสำหรับผู้เริ่มต้นตั้งอยู่อย่างโดดเด่น ใกล้ ๆ กันนั้นก็จะมีห้องสมุดที่เขาสนใจอยู่ด้วย

“สวัสดีคะ มารับสิ่งของเครื่องใช้ของผู้เริ่มต้นใช่ไหมคะ” พนักงานสาวเอ่ยทักทายทันทีที่เดินเข้ามาที่ประตู

“ครับ ไม่ทราบจะรับได้ที่ไหนครับ”

“ตอนนี้มีเจ้าหน้าที่ว่างพอดี เชิญที่โต๊ะหมายเลย 3 เลยคะ”

“ขอบคุณครับ” ชายหนุ่มผู้พึ่งจะเข้าสู่โลกออนไลน์เป็นวันแรกโค้งให้นิดหนึ่งก่อนที่จะเดินไปยังโต๊ะหมายเลย 3 ที่มีสาวเสวยอีกคนหนึ่งรอต้อนรับอยู่

“สวัสดีคะท่านเจ้าสัว” เสียงทักทายดังขึ้นคุ้น ๆ ทำให้ตี๋น้อยต้องมองหน้าเจ้าหน้าที่ที่คอยแนะนำผู้เล่นมือใหม่

“อ้าว....คุณเสี่ยวหมวย ทำไมมาอยู่ตรงนี้ละครับ” ตี๋น้อยถามขึ้นเพราะนึกไม่ถึงว่า
เสี่ยวหมวยจะมีอยู่ตรงนี้ เพราะพึ่งแยกจากกันตรงจุดต้อนรับของเชิร์ฟเวอร์ไทยเอง

“พอดีเพื่อนมีธุระ เลยมาประจำหน้าที่แทนให้คะ”

“คุณเสี่ยวหมวยนี่มีน้ำใจจังนะครับ หน้าตาก็สวย นิสัยก็ดี แบบนี้ใครเป็นเพื่อนกับคุณคงโชคดีแน่ ๆ”

“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกคะ ว่าแต่ท่านเจ้าสัวจะไปห้องสมุดหลังจากนี้เลยหรือเปล่าคะ” รอยยิ้ม และดวงตาที่เปล่งประกายสดใสนั้นบอกให้รู้ว่าเธอยังจำเรื่องแผนการของเขาได้

“ไม่ต้องเรียกขนาดนั้นก็ได้ครับ เรียกตี๋น้อยก็ได้ครับ”

“ไม่ได้หรอกคะ เสี่ยวหมวยขอแนะนำเจ้าสัวสักอย่างนะคะ ในเกมนี้อย่าบอกชื่อให้คนอื่นรู้ นอกจากชื่อในเกม เพราะมันจะเกิดความไม่ปลอดภัยได้คะ”

เสี่ยวหมวยพูดขึ้นพลางส่งนาฬิกาที่ทำเป็นแถบรัดมือแบบโบราณ ซึ่งนอกจากจะบันทึกข้อมูลของตัวละครไว้แล้วยังสามารถบอกเวลาทั้งในเกมและนอกเกมได้ด้วย แต่ดีไซด์นั้นทำให้มองดูกลมกลืนกับชาวบ้านทั่ว ๆ ไปที่เป็น AI* ดังนั้น เมื่อมองดูจะไม่รู้ว่าเป็นนาฬิกาของผู้เล่นหรือแถบรัดมือของเอไอ เพื่อความสมจริงของเกม นอกจากนั้น ชุดสำหรับผู้เล่นใหม่ยังมีมีดเดินป่า กล่องบรรจุหมันโถว และบัตรเดบิตที่ทำเหมือนเป็นตั๋วแลกเงินโบราณ

“ขอบคุณครับ”

“นาฬิกาจะบอกเวลาทั้งในโลกจริงและในเกม ซึ่งจะมีอัตรา 1 : 4 คือ 1 วันในโลกจริงจะเท่ากับ 4 วันในเกมนี้”

เสี่ยวหมวยอธิบายให้ฟัง ทั้ง ๆ ที่เธอก็รู้ว่า คนอย่างตี๋น้อยนั้นจะต้องศึกษาข้อมูลมาอย่างดีแล้ว แต่เพื่อหาโอกาสอยู่ด้วยกันนาน ๆ จึงเอ่ยขึ้นอีกว่า

“มีดเดินป่าเผื่อจะเข้าไปเที่ยวในป่านอกเมือง ส่วนกล่องหมันโถวนี่มีหมันโถวอยู่ 15 ลูก สำหรับตั๋วแลกเงินนี่คือการ์ดบัตรเดบิต เห็นรูปร่างโบราณ ๆ แบบนี้มันสามารถใช้เก็บเงินที่มีอยู่ได้ทั้งหมด และยังไม่สามารถสูญหายได้ ยกเว้นจะใช้เงินหมด ซึ่งในช่วงเริ่มต้นนี้ผู้เล่นใหม่จะได้รับเงินในบัตรจำนวนหนึ่งแสนเหรียญ เพื่อเป็นค่าใช้จ่าย 4 เดือนที่ยังศึกษาอยู่ในเกาะฝึกฝน แต่อย่าให้เงินติดลบนะคะ ไม่อย่างนั้นต้องพกเงินแบบโบราณจริง ๆ ด้วย”

ตี๋น้อยพยักหน้ารับพร้อมกับจดจำไว้ ด้วยว่าเรื่องทรัพย์สินเงินทองในเกมนี้นับว่ามีส่วนสำคัญในการเริ่มต้นและการก่อร่างสร้างตัวอย่างแท้จริง แต่ในระหว่างที่เสี่ยวหมวยบรรยายอยู่นั้น เขาก็แลเห็นโต๊ะถัดไปส่งมอบอุปกรณ์ให้กับผู้เล่นใหม่ แต่สิ่งที่เขาเห็นนอกจากนาฬิกาแล้วยังมีกระบี่อย่างดี บัตรรับทานอาหารฟรี 4 เดือนในเหลาชั้น 1 ของเกาะฝึกฝน นอกจากนั้นยังมีงินตำลึงทองซึ่งเป็นบัตรวีไอพี และสุดท้ายก็คือ ชุดจอมยุทธ์ผ้าต่วนเนื้อดีอีก 1 ชุด

“อ๋อ....พวกวีไอพีที่ต้องเข้าเรียนที่โรงเรียนนะ เงินในตำลึงทองนั้นก็จะมี 1 ล้านเหรียญแค่นั้นเอง ไม่ต้องสนใจมากนักหรอก” เสี่ยวหมวยมองตามสายตาของตี๋น้อยจึงเอ่ยขึ้น ทำให้ตี๋น้อยยิ้มน้อย ๆ

“แต่ผมต้องสนใจ เพื่อที่จะได้เตือนใจตัวเองให้มุ่งมั่นมากยิ่งขึ้น ไม่อย่างนั้น ด้วยการเริ่มต้นที่ต่างกัน จะทำให้เราก้าวไปตามพวกเขาไม่ทันด้วย” เขาพูดด้วยความจริงจัง ทำให้เสี่ยวหมวยถือโอกาสเอื้อมมือไปจับมือเขาให้กำลังใจ

“เสี่ยวหมวยเชื่อว่า เจ้าสัวทำได้อยู่แล้ว สู้ ๆ นะคะ”

“ขอบคุณครับ”

เจ้าสัวกล่าวด้วยใบหน้าแดง ก่อนที่จะขอตัวไปยังห้องสมุด ทิ้งให้เสี่ยวหมวยแอบหัวเราะอย่างดีใจที่แกล้งหนุ่มตี๋หน้าซื่อ ๆ คนนี้ได้


ที่ห้องสมุด........

“เล่มนี้ก็อ่านแล้ว เล่มนี้ก็อ่านแล้ว อะไรกันเนี่ย ห้องสมุดที่นี่มันก็มีหนังสือเหมือน
ๆ กับห้องสมุดในโลกจริงนี่นา”

เสียงบ่นพึมพำดังมาจากร่างของชายหนุ่มซึ่งอยู่ในชุดเริ่มต้น หน้าตาที่ดูคมคายราวกับพระเอกหนังฮ่องกงนั้นดูไม่ค่อยจะพึงพอใจเท่าไรนักกับห้องสมุดนี้เท่าไรนัก

“มีอะไรให้ผมช่วยไหมครับ”

เขาหันกลับไปดูคนที่เสนอความช่วยเหลือ พบว่าเป็นลุงที่ทำหน้าที่เป็นบรรณารักษ์ ซึ่งเห็นเขาค้นหนังสือทุกตู้เหมือนกับจะหาหนังสืออะไรสักอย่าง ทำให้เขาต้องเดินมาดู เผื่อจะช่วยหาให้ได้

“หนังสือที่ห้องสมุดนี้เหมือนกับห้องสมุดในโลกแห่งความเป็นจริงหรอครับ เพราะสิบกว่าตู้ที่ผมค้นมานะ ผมอ่านมาแล้วทุกเล่มเลย” ตี๋น้อยถามขึ้นอย่างสุภาพ เพราะเขาต้องการหนังสือที่จะเป็นประโยชน์ต่อเขาในเกมนี้ให้มากที่สุด

“คุณอ่านหมดแล้วจริง ๆ หรอครับ ผมทำงานในห้องสมุดมานับเกือบยี่สิบปี ยังอ่านไม่หมดเลย ดูเธอก็อายุไม่น่าจะถึงยี่สิบปี” บรรณารักษ์เอ่ยถามอย่างแปลกใจ

“ผมเริ่มอ่านหนังสือตั้งแต่อายุ 5 ขวบ และมันก็ทำให้ผมติดหนังสือจนงอมแงม วันไหนไมได้อ่านหนังสือเป็นต้องร้องไห้งอแงจนยายผมต้องไปรับไปส่งผมที่ห้องสมุดประชาชนแทนการไปโรงเรียนอนุบาล พอผมเข้าโรงเรียนก็อ่านที่ห้องสมุดโรงเรียน จากโรงเรียนนี้ก็วิ่งไปหาอ่านอีกโรงเรียน จนเมื่อสองสามปีมานี่แหละที่ผมเริ่มเข้าสังคมกับเพื่อน ๆ เพราะไม่มีหนังสือให้อ่านอีก” คำบอกเล่าของตี๋น้อยทำให้บรรณารักษ์มองหน้าราวกับไม่ค่อยจะเชื่อเท่าไรนัก

“ถ้าคุณลุงคิดว่าผมโกหกก็ขอให้หยิบหนังสือเล่มไหนก็ได้ในห้องสมุดเอามาทดสอบผมได้ แล้วผมจะบอกถึงเนื้อหาย่อ ๆ ของหนังสือเล่มนั้นให้ฟัง”

คำกล่าวของตี๋น้อยทำให้คุณลุงบรรณารักษ์ตอบรับฉับไวด้วยการหยิบหนังสือจากตู้ต่าง ๆ ออกมาวางไว้กองใหญ่ จากนั้นก็ทะยอยหยิบหนังสือเล่มต่าง ๆ ออกมาให้ตี๋น้อยดู ซึ่งอัจฉริยะหนุ่มแห่งหนองคายก็สามารถอธิบายเนื้อหาสำคัญ ๆ ของหนังสือออกมาได้หมด ทำให้คุณลุงบรรณารักษ์มองหน้าด้วยความทึ่งและชื่นชม จากนั้นจึงกล่าวขึ้นว่า

“ถ้าคุณยืนยันว่าได้อ่านหนังสือหมดห้องสมุดแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็มาทางนี้ครับ เดี๋ยวผมจะพาไปดูตู้หนังสือที่มีเฉพาะในเกมนี้เท่านั้น และเป็นข้อมูลที่สำคัญในเกมนี้ด้วย”

ลุงบรรณารักษ์เอ่ยขึ้น ทำให้ตี๋น้อยรีบเก็บหนังสือที่ใช้ทดสอบเขากองใหญ่นั้นเข้าในตู้ให้เรียบร้อยตามหมวดหมู่ของหนังสืออย่างถูกต้อง ก่อนที่จะเดินตามบรรณารักษ์ไป ซึ่งบรรณารักษ์ก็พยักหน้าอย่างชื่นชมในนิสัยที่แสดงถึงความเป็นระเบียบเรียบร้อยซึ่งเขาแสดงออกมา

“ภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ การเมืองการปกครอง เศรษฐกิจ และวรรณกรรม ทั้งห้าห้องนี่แหละที่เป็นเรื่องเฉพาะในเกม จึงเก็บไว้เป็นห้องพิเศษ ซึ่งผู้ที่จะเข้าอ่านได้ต้องเคยอ่านหนังสือที่มีอยู่ในห้องสมุดให้หมดก่อน ซึ่งการที่คุณเคยเห็นมาในโลกแห่งความเป็นจริงก็นับว่าใช้ได้ แต่คุณจะอ่านหนังสือทั้ง 5 ห้องนี่หมดหรือเปล่า ผมก็อยากจะรู้เหมือนกัน” ลุงบรรณารักษ์มองหน้าตี๋น้อยอย่างท้าทาย ทำให้ตี๋น้อยมองหน้าตอบแบบยิ้ม ๆ ทำนองว่า คอยดูก็แล้วกัน

ห้องแรกที่ตี๋น้อยเข้าไปก็คือ ห้องภูมิศาสตร์ ภายในห้องนอกจากจะมีตู้หนังสือเรียงรายราว ๆ ยี่สิบกว่าตู้ ซึ่งมีหนังสือประมาณ 4,000 เล่ม และที่พิเศษก็คือ ที่กึ่งกลางห้อง จะมีโต๊ะ และเก้าอี้ให้นั่งอ่านหนังสือ และที่กึ่งกลางโต๊ะขนาดใหญ่นั้นจะมีแผนที่จำลองภูมิประเทศทั้งสามก๊กไว้อย่างละเอียดถี่ยิบ ทำให้ตี๋น้อยยิ้มขึ้นเหมือนเด็กได้พบเจอของเล่นที่คุ้นเคย เขาจึงรีบไปหยิบหนังสือจากตู้แรก เล่มแรก ซึ่งเป็นเรื่องการแนะนำภูมิประเทศแบบคร่าว ๆ มานั่งอ่าน พร้อม ๆ กับมองแผนที่ประกอบ


“นี่มันคนหรือคอมพิวเตอร์วะ”

เสียงพึมพำดังมาจากห้องควบคุมดูแล ซึ่งจะมีโทรทัศน์วงจรปิดที่คนทั่วไปมองไม่เห็น ติดตั้งอยู่ทั่วไปในห้องสมุด และหน้าจอที่ควบคุมกล้องที่ติดตั้งอยู่ในห้องภูมิศาสตร์ ได้มีเหล่าผู้ควบคุมนับสิบคนมามุงดูโทรทัศน์เครื่องหนึ่ง ที่มีภาพชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังอ่านหนังสืออยู่อย่างเพลิดเพลิน

แต่ที่แตกต่างจากการอ่านทั่วไปก็คือ ชายหนุ่มคนนี้กำลังใช้มือสัมผัสหน้าหนังสือเป็นการนำสายตา ทำให้สามารถอ่านแบบกวาดสายตาเพียงไม่กี่ครั้งก็จะอ่านได้หมดทั้งหน้า และในแต่ละหน้านั้น ชายหนุ่มผู้นี้จะใช้มือเคลื่อนเพียง 3-4 จุดเท่านั้น ทำให้แต่ละหน้าเขาใช้เวลาเพียงไม่ถึงนาทีก็อ่านจบ

“คราวนี้พวกคุณจะคิดไหมครับว่า เด็กหนุ่มคนนี้มาหลอกผมว่า ได้อ่านหนังสือข้างนอกหมดแล้ว”

แม้บรรณารักษ์จะตกใจในความเร็วในการอ่านหนังสือของตี๋น้อยเช่นเดียวกัน แต่เขาก็เอ่ยขึ้นกับผู้ควบคุมเกาะฝึกฝนทั้งสิบ ที่เขาได้แจ้งไปถึงเรื่องที่เขาบอกห้องพิเศษทั้งสี่ให้กับผู้เล่นใหม่ ทำให้พวกผู้ควบคุมแจ้งให้เขาเข้ามาดูผลว่าผู้เล่นคนนี้จะหลอกลวงเขาหรือไม่

“น่าสนใจ ชื่ออะไรครับ” ชายร่างสูงใหญ่ ซึ่งใช้ชื่อว่า หลิวปัง และเป็นหัวหน้าผู้ควบคุมเกาะฝึกฝนเอ่ยขึ้น ทำให้เหล่าลูกน้องคีย์ข้อมูลเพื่อดูข้อมูลตี๋น้อยทันที

“ชื่อ เจ้าสัว เพิ่งเข้ามาเล่นวันนี้วันแรก” ชายร่างเล็ก และดูคล่องแคล่วว่องไวรายงานบอกกับหลิวปัง

“อืม...ด้านการเก็บข้อมูล ถ้าอ่านหมดทั้งห้าห้องนี้ได้ เจ้าสัวคนนี้ก็จะเป็นคนที่มีข้อมูลมากที่สุด แต่ด้านอื่น ๆ ต้องดูกันอีกที ช่วยติดตามผู้เล่นคนนี้ให้ผมด้วยนะ ผมอยากดูพัฒนาการของเขาด้านอื่น ๆ ด้วย”

หัวหน้าผู้ควบคุมพูดขึ้น ก่อนที่จะไปทำธุระต่อ ทำให้บรรณารักษ์เดินออกจากห้องไปด้วย เพื่อที่จะตัดสินใจกระทำเรื่องอย่างหนึ่งที่เขาอยากจะทำมานานแล้ว


“คุณเจ้าสัวครับ ขอรบกวนนิดหนึ่งนะ ช่วยสอนวิธีการอ่านให้หน่อยสิ ลุงก็อยากจะอ่านได้เร็ว ๆ เหมือนกัน แม้ว่าจะไม่เร็วเท่าคุณก็ตาม” เสียงขอร้องดังขึ้นหลังจากที่ตี๋น้อยวางหนังสือเล่มที่ 100 ลงพอดี

“ได้สิครับ เดี๋ยวผมจะแนะนำวิธีง่าย ๆ ให้ไปหัดนะครับ แล้วคุณลุงก็ลองไปหัดอ่านให้คล่องแล้วค่อยเร่งความเร็วขึ้นเรื่อย ๆ” เขาบอกกับคุณลุงบรรณารักษ์ ก่อนที่จะหยิบหนังสือให้เพื่อฝึกฝนการอ่านหนังสือ

“ก่อนอื่นผมอยากจะบอกทฤษฏีก่อนนะครับว่า การอ่านหนังสือนั้นคือการสื่อความหมายของสมองผ่านทางสายตา ทำให้สมองเข้าใจถึงสื่อที่หนังสือนั้นต้องการบอก ถ้าหากไม่ได้เก็บข้อมูลอะไรผมก็จะอ่านแบบสบาย ๆ เพื่อกลั่นกรอง และใคร่ครวญสิ่งที่หนังสือเหล่านั้นบอก บางทีก็โต้แย้งหนังสือด้วย ซึ่งมันก็จะเหมือนกับว่า หนังสือนั้นคือคน ๆ หนึ่งที่เราทั้งเห็นด้วย และไม่เห็นด้วยกับเขา” แม้จะไม่รู้ว่าเหตุใดลุงบรรณารักษ์จึงสนใจการอ่านของเขา แต่เขาก็ตั้งใจบอกกล่าวตามที่เคยบอกกับเพื่อน ๆ ของเขา

“วิธีง่าย ๆ ที่จะอ่านหนังสือเร็วได้ก็คือ อย่าอ่านออกเสียง จากนั้นก็จะต้องฝึกหัดการเพ่งจุดสายตาบนหนังสือ ให้ใช้จุดเพ่งน้อยที่สุด และมีประสิทธิภาพมากที่สุด ซึ่งจะทำให้ตาไม่เมื่อยล้า และข้อมูลไหลผ่านสมองได้อย่างรวดเร็วตามความเร็วของสมอง”

“วิธีเริ่มต้นก็คือ ใช้นิ้วชี้นำโดยในแต่ละบรรทัดให้ชี้นิ้วเพียง 2-3 จุดเท่านั้น และต้องบังคับให้สายตาจับตามองแค่จุดที่มือชี้โดยไม่กรอกตาไปมา ซึ่งจะเป็นการฝึกสมาธิในตัวด้วย เพราะคนที่มีตาที่เลื่อนลอยมักจะจำสิ่งที่อ่านไม่ค่อยได้”

หลังจากที่บอกแล้ว คุณลุงบรรณารักษ์ก็พยายามที่จะทำตาม โดยมีตี๋น้อยคอยชี้แนะและแก้ไขจุดต่าง ๆ ให้จนเกิดความสำเร็จในขั้นต้น คุณลุงบรรณารักษ์จึงขอตัวไปฝึกเอง ทำให้ชายหนุ่มลุกขึ้นยืดเส้นยืดสายก่อนที่จะล้วงหมั่นโถวมากิน 2 ลูก แล้วตบท้ายด้วยน้ำจากโอ่งน้ำดื่มในห้องสมุด




 

Create Date : 15 ตุลาคม 2554    
Last Update : 15 ตุลาคม 2554 15:52:03 น.
Counter : 322 Pageviews.  

บทที่ 4 เรียกผมว่า "เจ้าสัว"

ห้องพักพิเศษในโรงพยาบาลมีอินเตอร์เน็ตให้ใช้ได้ฟรี ทำให้ตี๋น้อยค้นหาข้อมูลของเกมเสมือนจริง สามก๊กออนไลน์ ภาคสามก๊ก ของสถาบันพัฒนาธุรกิจระหว่างประเทศ (Pilot Business Development and Training institute) ที่ได้จัดทำขึ้นมาเพื่อการฝึกอบรมนักธุรกิจรุ่นใหม่ ทำให้เขาต้องทอดถอนใจกับจำนวนเงินที่มากมายมหาศาลสำหรับเขาในตอนนี้

“เงินมันไม่ใช่น้อย ๆ นะ นายจะหามาจากที่ไหนละ” เอก ประธานนักเรียนซึ่งเป็นลูกของเถ้าแก่ใหญ่ในเมืองหนองคายพูดขึ้น หลังจากได้เห็นข้อมูล และค่าใช่จ่ายที่จะต้องลงไปกับการเล่นเกมนี้

“อีกอย่างนะ นายไม่ชอบเล่นเกมคอมพิวเตอร์อยู่แล้วนี่ แม้ว่าจะเป็นเกมมาริโอ้ที่ล้าสมัย นายยังเล่นไม่เป็นเลย แล้วอย่างนี้จะไปเล่นเกมไฮเทคแบบนี้ได้อย่างไร ว่าไหม” เจ้ายักษ์ ซึ่งนอกจากจะชอบเล่นบาสแล้ว มันยังชอบเล่นเกมคอมพิวเตอร์พูดขึ้น

“เกมนี้มันไม่เหมือนเกมคอมพิวเตอร์ หรือว่าเกมออนไลน์แบบที่พวกนายเคยเล่นหรอก แต่มันเป็นการจำลองสติปัญญา และร่างกายของเราเพื่อเข้าไปอยู่ในเกม โดยใช้คลื่นสมองของเราควบคุม เหมือนกับเรากำลังฝัน หรือพูดอีกอย่างก็คือ นั่นเป็นอีกโลกหนึ่งของเรา” ตี๋น้อยพยายามอธิบายให้เพื่อน ๆ เข้าใจ ก่อนที่จะขยายความให้ฟังว่า

“ดังนั้น คนที่ไม่เคยเล่นเกมแบบเราจึงไม่เสียเปรียบคนอื่น ๆ แน่นอน ยกเว้นอย่างเดียวว่า คนที่เราจะต้องแข่งขันด้วยนั้น เป็นคนที่เล่นก่อนเราตั้งหลายปี แถมยังมีอำนาจเป็นก๊กใหญ่อยู่ในเกมอีก เราจึงต้องหาแผนการที่เจ๋ง ๆ เพื่อที่จะเอาชนะยักษ์ใหญ่ตัวนี้ให้ได้” ตี๋น้อยพูดขึ้นอย่างมั่นใจ

“เหมือนกับเรื่องสิงโต กับฝูงวัวกระทิง ที่นายเล่าให้พวกเราฟังใช่ไหม” เหน่งพูดขึ้น เพราะเขาเข้าใจแล้วว่า ไม่ใช่การมีกองกำลังที่ยิ่งใหญ่ มีความเก่งกล้า หรือเล่นมานานกว่าแล้วจะชนะได้เสมอไป มันต้องขึ้นอยู่กับแผนการและไหวพริบปฏิภาณต่างหาก

“แน่นอนสิเพื่อน คอยดูนะ เราจะไม่ให้พ่อของเราต้องผิดหวังหรอก และจะทำให้ตระกูลเจ้าพ่อหน้าหงายไปด้วยแผนการของเราให้ได้” ตี๋น้อยพูดอย่างมาดมั่น แม้ว่าเขายังไม่ได้ร่างแผนการ แต่เขารู้ถึงขีดความสามารถของตนเองดีว่า เขาต้องทำได้

“แล้วนายจะหาเงินได้จากที่ไหนละ ไอ้พี่นายนะมันเล่นเกมก่อนนายตั้ง 4 ปีแล้ว ถ้ารอช้าจะไม่ทันการนะ” เอกบอก ทำให้ตี๋น้อยคิดหนัก

“วิธีหาเงินนะมันก็มีนะ แต่มันต้องใช้เวลาทั้งนั้น นอกจากจะขอกู้เงินจากคนที่รู้จักก่อน จากนั้นอีก 2-3 เดือนค่อยใช้คืน”

“หา......แค่ 2-3 เดือนนายจะหาเงิน 2-3 แสนได้แล้วหรอ นายนี่มันอัจฉริยะจริง ๆ” เหน่งซึ่งคำนวณราคาเครื่อง และค่าสมัครสมาชิก จึงร้องอุทานขึ้นมา

“ไม่หรอกเหน่ง ถ้าเราเป็นอัจฉริยะจริงก็ต้องมีวิธีหาเงินให้ได้เร็ว ๆ สิ นี่เราทำไม่ได้
แถมยังไม่รู้ว่าจะกู้เงินที่ไหนที่เขาจะไม่เอาดอกเบี้ยแพง ๆ”

ตี๋น้อยพูดอย่างกังวล ซึ่งอาจจะเป็นครั้งแรกที่เพื่อน ๆ เห็นถึงความกังวลของตี๋น้อย ทำให้เพื่อน ๆ มองหน้ากัน เหมือนจะตัดสินใจอะไรบางอย่าง


3 วันต่อมา รถบัสคันใหญ่หรู ได้แล่นตรงมายังบ้านของตี๋น้อย ท่ามกลางเหล่านักกีฬาที่ขนกระเป๋า และกล่องใส่เครื่องเล่นเกมมาให้กับตี๋น้อยด้วย

“นี่เป็นสิ่งที่พวกเราใช้เงินสดที่พวกเราได้รับมาจากการแข่งขันซื้อมาให้กับนาย ความจริงมันไม่พอหรอก แต่ครูใหญ่ถอนเงินออมมาสมทบด้วย ทำให้มีเงินพอซื้อ”

เอกทำหน้าที่ในการมอบเครื่องเล่นเกมราคาแสนบาท ซึ่งถูกที่สุดในเครื่องเล่นเกมสามก๊กออนไลน์ พร้อมกับบัตรสมาชิกรายปีของเกมราคาหนึ่งแสนบาทเช่นกัน ทำให้ตี๋น้อยดีใจจนน้ำตาคลอ เพราะเขารู้ว่า เงินรางวัลที่พวกเขาได้รับจากการชนะการแข่งขันกีฬานั้น อยู่ในเครื่องนี้ และอยู่ในบัตรสมาชิกใบนี้ทั้งหมด

“เฮ้ย...นายไม่ต้องซาบซึ้งใจพวกเราหรอก นี่มันเป็นส่วนของนายอยู่แล้ว ถ้าไม่มีนาย อย่าว่าแต่ชนะเลิศระดับประเทศเลย ต่อให้เป็นระดับจังหวัด พวกเรายังไปไม่ถึงเลย” เจ้ายักษ์พูดขึ้น

“ใช่ ๆ นายเอาเงินนี่ไป ส่วนพวกเราได้ทั้งเกียรติยศ และหลายคนได้รับการจองตัวเข้าไปเรียนในมหาวิทยาลัยดี ๆ ในกรุงเทพฯ อีก และอีกไม่นาน ในกลุ่มพวกเราก็จะมีคนติดทีมชาติแน่ ๆ ดังนั้น เงินของพวกเรา นายเอาไปเถอะ เพราะมันจะทำให้นายได้อยู่กับพ่อของนาย”

เหน่งพูดขึ้นอย่างดีใจ เพราะได้รับการทาบทามจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งจะให้โควตานักฟุตบอลกับเขา นอกจากนั้นแล้ว ยังได้รับทุนการศึกษาตลอดระยะเวลา 4 ปีที่จะเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยแห่งนี้ด้วย

“เดี๋ยวอีก 2-3 เดือน เราจะหาเงินมาใช้คืนพวกนายให้หมด ไม่ต้องห่วงนะ พวกนายจะได้มีค่าใช้จ่ายในการเข้าศึกษาต่อได้” ตี๋น้อยพูดขึ้น

“เอ....แต่ว่า บ้านนายมีโทรศัพท์ไหม” เอกพูดเบี่ยงเบนเรื่องขึ้นมา เพราะไม่อยากให้ตี๋น้อยคิดมากในเรื่องนี้

“ไม่มีหรอก เราไม่จำเป็นต้องใช้นี่ ก็เลยไม่มี”

“แล้วจะต่อเชื่อมเกมแบบไหนละ โทรศัพท์ไม่มี” เอกถามขึ้นอย่างสงสัย

“ไม่ต้องห่วงหรอก สมัยนี้เขาไม่ต้องมีโทรศัพท์ก็เล่นเกมได้ ในเครื่องนี้มันเชื่อมต่อได้โดยการไปสมัครเปิดค่าบริการกับบริษัทให้บริการอินเตอร์เน็ต เดี๋ยวเขาก็เชื่อมสัญญาณแบบไร้สายเองแหละ ไม่เห็นจะยาก”

เจ้ายักษ์ที่เคยมาพักบ้านตี๋น้อยเป็นประจำ ทำให้รู้ว่าบ้านตี๋น้อยไม่มีโทรศัพท์ใช้ จึงแอบถามพนักงานขาย จนรู้ว่าเขามีบริการเชื่อมสัญญาณแบบไร้สายได้

“จริงหรอ งั้นพรุ่งนี้เราไปขอเปิดใช้บริการอินเตอร์เน็ตกันเลยนะ” เอกพูดขึ้น ก่อนที่ตี๋น้อยจะเอ่ยกับทุกคนว่า

“ขอบคุณทุกคนมาก พรุ่งนี้ผมยังอยากที่จะให้ทุกคนมาที่บ้านเราแต่เช้า เดี๋ยวเราจะพูดคุยกันเรื่องสำคัญ และจะได้เลี้ยงฉลองให้กับทุกคนด้วย” ตี๋น้อยเอ่ยขึ้น ทำให้ทุกคนตอบตกลง ก่อนที่จะขึ้นรถบัสวิ่งหายไปตามถนนเพื่อมุ่งสู่ที่พักของแต่ละคน


บ้านของตี๋น้อยเป็นบ้านไม้ยกพื้นสูงแบบชนบททั่วไป มีเนื้อที่ทั้งหมด 1 ไร่กว่า ๆ ซึ่งนอกจากพื้นที่ปลูกบ้านแล้วยังมีสระน้ำเอาไว้เลี้ยงปลา ปลูกกล้วยข้างสระน้ำ ในสระก็ปลูกบัวแดงเอาไว้ นอกจากนั้นแล้ว ยังมีไม้ยืนต้นจำพวกผลไม้ต่าง ๆ ทั้งมะม่วง มะขาม มะกรูด มะนาว และมีพวกพืชผักสวนครัวอีกเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะชะอม ที่ปลูกไว้เป็นรั้วล้อมรอบบ้าน ทำให้สามารถตัดขายได้ทุกวัน บางวันก็จะมีพ่อค้าที่เคยคุยกันไว้มาเหมาในราคาที่ดี

ด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้สามารถเลี้ยงชีวิตสองยายหลานได้อย่างสบาย จนเมื่อยายมาเสียไปเมื่อปีที่แล้ว ตี๋น้อยจึงอยู่ในบ้านหลังนี้คนเดียว แต่เขาก็ยังยึดถืออาชีพเก็บผัก และหาปลาไปขายจนส่งตัวเองให้เรียนจบได้ แต่บัดนี้ตี๋น้อ้ยกำลังจะเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อเข้าสู่อาชีพใหม่ จึงนัดให้เพื่อน ๆ มาที่บ้านเพื่อปรึกษาหารือกันถึงแผนการต่าง ๆ ที่เขาได้วางไว้ ก่อนที่จะเข้าเล่นเกม เพื่อเป็นอาชีพที่จะทำให้เขามีฐานะชื่อเสียงที่พอจะเชิดหน้าชูตาได้ในอนาคต


“เราจะทำธุรกิจ พวกนายจะทำกับเราไหม” ตี๋น้อยกล่าวกับเพื่อน ๆ ที่สนิทๆ ประมาณเกือบสามสิบคน ซึ่งทุกคนกำลังเผาปลากินกันอย่างสนุกสนานหน้าสนามบ้านของเขา

“พวกเราไม่รู้เรื่องธุรกิจหรอก แต่ถ้านายพาพวกเราทำ พวกเราก็จะทำ” เหน่งพูดขึ้น ทำให้กลุ่มเพื่อน ๆ ทั้งหมดตอบรับทันที

“โอเค ถ้าอย่างนั้น เราจะทำกลุ่มโอทอปก่อน เพราะการทำโอทอปไม่จำเป็นต้องจดทะเบียน แต่ถ้าเริ่มเข้าที่เข้าทาง เราจึงจะจดทะเบียนเป็นกลุ่มการค้าทีหลัง ตกลงนะ”

“ตกลงคร๊าบบบ”

เสียงตอบรับดังขึ้นอย่างน่าชื่นใจ ทำให้กลุ่มโอทอปบ้านสวน ซึ่งจะกลายเป็นกลุ่มผลิตสมุนไพรระดับ 5 ดาวได้เกิดขึ้นในวันนั้น

แม้ว่าในเวลาต่อมา กลุ่มเพื่อน ๆ หลายคนจะไปเรียนต่อ หรือติดทีมชาติ แต่เหล่านักเรียนโรงเรียนประชาสงเคราะห์ก็พากันสมัครเข้ามาในกลุ่มอย่างไม่ขาดสาย นอกจากนั้นแล้ว เหล่าผู้ปกครองที่ไม่มีงานทำก็เริ่มแห่กันมาของานทำ ทำให้ตี๋น้อยสามารถเปิดเป็นบริษัท และขยายเนื้อที่โรงงานออกไปเป็น 5 ไร่ โดยขอซื้อที่ข้างบ้าน และขยายกิจการออกไปจนทั่วทุกภาคของประเทศ ส่วนที่บ้านเดิมของเขาก็กลับมาทำเป็นบ้านสวนที่เงียบสงบเหมือนเดิม

นั่นนับเป็นเวลา 1 ปี ที่เกิดขึ้นในโลกธุรกิจ ซึ่งนับเป็นช่วงเวลา 4 ปีในเกมวอลอร์ดออนไลน์ภาคสามก๊ก ซึ่งก็เข้มข้นขึ้นอย่างมากด้วยเช่นกัน.....


ไม่กี่วันต่อมา อินเตอร์เน็ตไร้สายที่บ้านของตี๋น้อยก็ใช้การได้ หลังจากนั้น เขาก็ได้ทำเรื่องขอโทรศัพท์มาติดตั้งเอาไว้ใช้ในธุรกิจของเขาด้วย

เครื่องเล่นเกมออนไลน์เสมือนจริงนั้นมีหลายแบบ ตามสภาพห้องนอนของแต่ละคน แต่ที่เพื่อน ๆ เลือกมาให้ เป็นแบบประกอบเข้ากับหัวเตียงนอนของเขา ทำให้เขาไม่ต้องสวมเข้ากับหัว แค่นอนบนเตียง แล้วเปิดระบบเกม เครื่องสแกนสมอง กับแสกนร่างกายก็จะทำงาน โดยส่งผ่านคลื่นความถี่อ่อน ๆ ของสมองไปยังเครื่องที่คอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อกับระบบไว้เพื่อแปลงคลื่นความถี่ของสมองให้สัมพันธ์กับร่างกายที่ถูกแสกนไปไว้ในเกม จากนั้น ระบบก็พร้อมทำการ

กระแสพลังแห่งความอบอุ่นได้แผ่เข้าคลุมร่างของตี๋น้อยอย่างช้า ๆ จนเขารู้สึกเคลิบเคลิ้มจนหลับไปในที่สุด

ความรู้สึกที่ล่องลอยเหมือนความฝันทำให้ตี๋น้อยลืมตาขึ้นมา เบื้องหน้าของเขาในตอนนี้เป็นหญิงสาวที่งดงามราวกับราชนิกูลโบราณของจีนกำลังส่งยิ้มให้ ทำให้เขายิ้มตอบก่อนที่จะสำรวจสภาพแวดล้อมรอบ ๆ ตัว ซึ่งเป็นสวนดอกไม้นานาพันธุ์ กึ่งกลางของสวนเป็นเก๋งไม้ที่งดงามอยู่กึ่งกลางสระน้ำที่เงียบสงบ

“สวัสดีคะ ดิฉันชื่อเสี่ยวหมวย กรุณาตั้งชื่อในเกมของท่านด้วยคะ”

สาวสวยเอ่ยขึ้น ทำให้ตี๋น้อยรู้สึกแปลกใจกับความสมจริงของเกม และความรู้สึกที่เหมือนกับความฝันในโลกอีกโลกหนึ่ง

ในเกมนี้ ผู้เล่นจะต้องใส่ชื่อ และรหัสผ่าน ที่ตัวเครื่อง พร้อมกับรับการแสกนร่างกายก่อนที่จะล๊อกอินเข้าสู่เกมทุกครั้ง เพื่อความปลอดภัยของผู้เล่น เพราะชื่อและรหัสผ่านนั้นจะต้องสัมพันธ์กับร่างกายก่อนจึงจะเข้าได้ จึงไม่มีการถามไถ่ระหัสผ่านให้ยุ่งยากเหมือนเกมอื่น ๆ

“ตี๋น้อย” เสียงตี๋น้อยบอกชื่อซึ่งจะใช้ในเกมกับเสี่ยวหมวยด้วยสีหน้าท่าทางที่ผ่อนคลายลง จนรู้สึกเหมือนกับจะคุ้นเคยกับสาวน้อยผู้นี้

“ชื่อซ้ำ ใช่ไม่ได้คะ” เสี่ยวหมวยกล่าวยิ้ม ๆ

“ตี๋เล็ก”

“ชื่อซ้ำ ใช้ไม่ได้คะ”

“จูล่ง”
“จูกัดเหลียง”
“เล่าปี่”
“โจโฉ”

“ชื่อซ้ำ ใช้ไม่ได้คะ”
“...........”

“ไม่ลองชื่อจิวยี่ เบ้งเฮ็ก หรือชื่ออื่น ๆ หรอคะ” เสี่ยวหมวยถามยิ้ม ๆ

“ไม่อยากถ่มน้ำลายรดฟ้าครับ เดี๋ยวเปื้อนหน้าตัวเอง” ตี๋น้อยพูดทีเล่นทีจริง ก่อนที่จะเอ่ยอีกชื่อว่า

“เจ้าสัว”

“ชื่อนี้ใช้ได้คะ”

“ซะงั้น พูดเล่น ๆ ใช้ได้ พอเวลาเอาจริงไม่เคยได้”

เขาบ่นเบา ๆ ทำให้เสี่ยวหมวยยิ้มให้กับคำพูดนี้ ทำให้ความสวยของเสี่ยวหมวยเบ่งบานขึ้นมาราวกับดอกกุหลาบในวันวาเลนไทน์

“ยืนยันชื่อนี้ไหมคะ”

“ยืนยันครับ”

“ต้องการฟังระบบเกมไหมคะ”

“ไม่หรอกครับ แต่มีคำถาม ไม่ทราบว่าจะถามได้ไหมครับ” ตี๋น้อยหรือเจ้าสัวในเกมถามกลับ เพราะเขาได้ศึกษาระบบเกมมาจนชำนาญแล้ว หากแต่เรื่องบางเรื่องยังเป็นปริศนาสำหรับเขา

“ถ้าเป็นระบบพื้นฐาน เสี่ยวหมวยยินดีตอบให้คะ แต่ถ้าเรื่องลึก ๆ ลงไปแล้ว เสี่ยวหมวยต้องขออภัยที่ไม่สามารถตอบให้ได้”

“เรื่องที่ผมจะถามเป็นเรื่องพื้นฐานของเกมนั่นแหละครับ คือผมจะบอกว่า ผมไม่มีเงินเสียค่าเล่าเรียนในเกาะฝึกฝน แต่ผมกะว่าจะไปศึกษาในห้องสมุด และฝึกฝนในสวนสาธารณะแทน ดังนั้น คำถามจึงมีอยู่ว่า ความสำเร็จของผม สามารถที่จะเหนือกว่าผู้เล่นที่เข้าเรียนในโรงเรียนได้ไหมครับ” ตี๋น้อยถามคำถามที่เขาข้องใจ

“ก่อนอื่นต้องเข้าใจนะคะว่า ความเก่ง และความสามารถของผู้เล่นมาจากทักษะ และร่างกายในโลกแห่งความเป็นจริงส่วนหนึ่ง และอีกส่วนหนึ่งได้มาจากการฝึกฝนในเกม แต่เสี่ยวหมวยจะบอกให้คุณรู้เป็นกรณีพิเศษว่า ถ้าคุณต้องการเก่งกว่าใครในเกมนี้ แค่คุณอ่านหนังสือให้หมดห้องสมุด และเข้าใจได้ทั้งหมด จากนั้นก็ฝึกซ้อมให้ชำนาญ แค่นั้นคุณก็จะเก่งกว่าทุกคนแล้วคะ”

“แล้วหนังสือในห้องสมุดนี่มันมีกี่เล่มหรอครับ”

“ก็ไม่กี่หมื่นเล่มหรอกคะ แต่คุณจะมีเวลาอยู่ในเกาะฝึกฝนแค่ 4 เดือน พยายามอ่านให้หมดนะคะ”

“ขอบคุณครับ ถ้าอย่างนั้นส่งผมไปที่เกาะฝึกฝนได้แล้วครับ”

“คะ เจ้าสัว เสี่ยวหมวยจะบริการท่านไปยังเกาะฝึกฝนทันทีเลยคะ โชคดีนะคะ”

“โชคดีเช่นกันครับ”

จากนั้นร่างของตี๋น้อยก็แวบหายไป แต่ก็ยังได้เห็นรอยยิ้มแสนหวานของเสี่ยวหมวยที่ส่งยิ้มอำลาแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มอย่างเด็กที่แอบเล่นซุกซน

“อิ อิ ตอบมั่ว ๆ ก็เชื่อ ใครที่ไหนเขาจะไปบ้าอ่านหนังสือได้หมด ตั้งหลายหมื่น
เล่ม”

เสี่ยวหมวยพูดกับตัวเองเบา ๆ อย่างยิ้มแย้มแจ่มใส ไม่รู้เป็นไง แต่เธอรู้สึกอยากแกล้งผู้เล่นหน้าตี๋ ๆ แต่หล่อสุด ๆ คนนี้จริง ๆ

ความจริงเสี่ยวหมวยเป็นผู้เล่นในเกมนี้ แต่เพื่อนเธอทำงานเป็น NPC ติดธุระมาทำงานไม่ได้ และเพื่อน ๆ ที่ทำงานไม่มีใครว่าง จึงขอทางบริษัทให้เธอมาทำหน้าที่แทนในวันนี้ เสี่ยวหมวยจึงได้รู้จักกับตี๋น้อยด้วยเหตุนี้เอง

“สงสัยดวงเราจะสมพงษ์กันมั๊ง ตี๋น้อย กะ หมวยเล็ก อิ อิ เข้ากันจังเลย หวังว่า คงได้เจอกันในเกมนะ ท่านเจ้าสัว”

เสี่ยวหมวยพูดอยู่คนเดียวอย่างร่าเริงพลางนึกถึงหน้าหล่อ ๆ ดวงตาดูฉลาดล้ำแต่ก็แฝงไว้ด้วยความใสซื่อของตี๋น้อยอย่างมีความสุข


...............................................
หมายเหตุ : ในตัวเครื่องของเกมนี้จะมีเครื่องแสกนร่างกาย ทำให้ร่างในเกมมีลักษณะเหมือนตัวจริงทุกประการ และไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ นอกจากจะไปทำเสริมสวยในเกม หรือการฝึกฝนร่างกายในเกมเพื่อเพิ่มกล้ามเนื้อเท่านั้น




 

Create Date : 15 ตุลาคม 2554    
Last Update : 15 ตุลาคม 2554 15:51:09 น.
Counter : 271 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  

Muen Li
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add Muen Li's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.