วรรณกรรมของหมื่นลี้
Group Blog
 
All Blogs
 
บทที่ 27 ตอนต่อบุปผา เชื่อมโยงหยก

“ขุนพลผู้เชี่ยวชาญทำการอย่างแฝงเร้นและงำไว้เป็นความลับไม่ให้ปรากฏ และสามารถควบคุมชะตากรรมของศัตรูไว้ในกำมืออย่างไร้ร่องรอย” ซุนวู


กุบ.........กุบ...................

หน้าเมืองฝึกฝนในเช้าวันนี้ ทหารชาญศึกได้เดินทางกลับจากการศึก แต่ทว่า จำนวนที่กลับมามีเพียง 80 คนเท่านั้น ทำให้เหล่าทหารที่พึ่งจะเปิดประตูเมืองแปลกใจยิ่งนัก โดยเฉพาะเมื่อเห็นชุดเกราะที่ขมุกขมัว และบางคนได้รับบาดเจ็บมาด้วย

“พวกเราเสียที และดูท่าขุนพลจูสือว่านก็น่าจะถูกล้อมจนหมดทางหนี” วังกงลู่ ซึ่งเป็นขุนพลขวา ได้เอ่ยกับขงหยงที่รีบมาทันทีที่ทหารรายงานข่าว

“แล้วท่านจูสือว่านละ เป็นอย่างไงบ้าง ทำไมพวกท่านไม่เข้าไปช่วย” ขงหยงถามทันที

“ขออภัยด้วย....ตอนพวกข้าหนีมา มองเห็นท่านตกอยู่ในวงล้อม ถ้ามัวช่วยเหลือก็จะถูกจับกันหมด เพราะพวกมันมีทหารโล่หนามแหลมคมที่สามารถสกัดม้าได้ ทำให้พวกเราเสียเปรียบ” ขุนพลซ้าย กวัวจินเทียนกล่าวอย่างรู้สึกผิด

“ไม่เป็นไรหรอก การศึกก็ต้องมีวันที่พลาดกันบ้าง แต่เมื่อพลาดแล้ว เราจะแก้ไขสถานการณ์อย่างไร นี่สิที่เราจะต้องคิด” ขงหยงให้กำลังใจ

“เพราะเหตุนี่แหละที่พวกเราจึงรีบขึ้นม้า เพื่อหนีมา” กวัวจินเทียนกล่าวขึ้น พลางอธิบายว่า

“เมื่อพวกมันได้ชัยชนะ ก็คงจะประสบกับความสูญเสียอยู่มากโขเหมือนกัน ดังนั้น ตอนนี้มันคงจะเกลี่ยกล่อมเหล่าทหารชาญศึกอยู่ คงไม่ออกมาโจมตีพวกเราง่าย ๆ อย่างแน่นอน”

“ใช่ข้าเห็นด้วย ดังนั้น เราจะต้องรีบรวบรวมกำลังพลเพื่อกลับไปโจมตีพวกมันไม่ให้รู้ตัว” วังกงลู่กล่าวขึ้นอย่างมาดมั่น

“ทหารที่นี่มีประมาณ 600 คน กลุ่มโรงเรียนจอมฟ้าอีก 600 คน ซึ่งถ้าทิ้งคนไว้รักษาเมืองนิดหน่อย เมื่อรวมกับทหารชาญศึกที่หนีรอดก็จะมีประมาณ 1,200 คน โดยให้เหล่าทหารชาญศึกของพวกท่านเป็นหัวหน้าหมู่บังคับบัญชาคนเหล่านี้ น่าจะสามารถที่จะกลับไปทวงคืนชัยชนะได้” ขงหยงคำนวณกำลัง ก่อนที่จะบอกอีกว่า

“และสำหรับศึกครั้งนี้ ข้าจะขออาสาทำหน้าที่เป็นกุนซือให้ โดยให้พวกท่านทั้งสองเป็นแม่ทัพคู่ ท่านว่าเป็นอย่างไร”

“ดีมาก ถ้าอย่างนั้นคงต้องรีบแล้วละ เพื่อที่จะได้ออกไปก่อนเที่ยงวันได้”
วังกงลู่ร้องขึ้นด้วยความดีใจกับกองกำลังที่มี และถ้าได้ขงหยงเป็นกุนซือ ก็จะสามารถรับมือกับศัตรูได้อย่างลึกล้ำ และเท่าทันเล่ห์เหลี่ยมของศัตรู


ภายในตัวเมือง แม้ว่าเกาะฝึกฝนจะถูกลบสถานะกลายเป็นเกาะธรรมดา ที่ชื่อเกาะขุมทรัพย์ ทำให้ระบบสนับสนุนของเมืองฝึกฝนถูกยกเลิก เนื่องจากถูกแทรกแซงจากกองกำลังของผู้เล่น ทำให้ผู้เล่นใหม่ไม่ปลอดภัย เกาะฝึกฝนแห่งใหม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาทดแทนที่แห่งนี้

แต่เหล่า NPC ส่วนมากที่อยู่บนเกาะแห่งนี้ไม่สมัครใจที่จะย้ายตาม โดยเฉพาะเหล่า NPC ร้านค้า ทำให้ทางระบบต้องทำการลบล้างสถานะพนักงาน และเปลี่ยนสถานะให้เป็นชาวเมืองทั่ว ๆ ไป ซึ่งทำให้เมืองนี้ยังคงมีร้านค้าดังเช่นปรกติ แต่สินค้า และเงินทุนหมุนเวียนต่าง ๆ นั้นจะต้องหามาทดแทนเมื่อหมดไป

“ป้าอี่หลางคนสวย ยังไม่ไปเกาะใหม่หรอคะ”

สาวน้อยวัยสดใสน่ารัก ได้เดินมาทักทายเจ้าของร้านยาสมุนไพรอย่างร่าเริง ทำให้เจ้าของร้านที่กำลังดูแลพนักงานของร้านจัดเรียงสมุนไพรอยู่ต้องร้องขึ้นอย่างดีใจ

“เสี่ยวหมวย ไปไงมาไงละ ไม่เห็นหน้าหลายวัน” หญิงร้านท้วมวัยกลางคนท่าทางใจดี ได้เขามาดึงแขนเสี่ยวหมวยทันที

“มา ๆ ๆ เล่าเรื่องของเราให้ป้าฟังหน่อย”

“ก็อยากจะเล่าให้ฟังหรอกคะ แต่ว่า ไปร้านของลุงเฉียนก่อนดีกว่านะ เพราะนัดกับคนอื่นไว้ จะได้เล่าทีเดียว ดีไหมคะป้า”

เสี่ยวหมวยทำท่าทางอ้อนเจ้าของร้านสมุนไพร ทำให้นางหัวเราะชอบใจ ก่อนที่จะเดินทางไปรวมกลุ่มที่ร้านแลกเงินของเฉียนไท่เส้า ซึ่งจะมีบรรดาอดีต NPC ทั้งหลายที่เต็มใจที่จะอยู่ที่นี่ได้ประชุมกันอยู่ที่นั่น รวมทั้งลุงพัน ซึ่งเป็นอดีตบรรณารักษ์ที่ผันตัวเองมาเปิดร้านหนังสือด้วย


ที่ด้านหน้าของเมืองขุมทรัพย์ กองกำลังรักษาเมืองจำนวน 1,200 คน ได้แบ่งออกเป็น 3 ทัพ โดยทัพหลักจำนวน 500 คน มีขงหยงคอยกำกับดูแลทัพ ปีกซ้ายจำนวน 300 คน มีกวัวจินเทียนเป็นแม่ทัพซ้าย และปีกขวาจำนวน300 คน มีวังกงลู่ เป็นแม่ทัพขวา

“พวกท่านทั้งสองต้องเดินทัพแบบไม่ให้กองทัพตัวเองปรากฏร่องรอยใด ๆ เพื่อไม่ให้พวกมันรู้ว่าเรายกไปสามทัพ ให้มันนึกว่า พวกเรายกไปแค่ทัพเดียว เมื่อยกทัพไปถึง ข้าจะยั่วพวกมันให้ออกมาสู้รบกับข้าเอง” ขงหยงกล่าวกับแม่ทัพทั้งสองก่อนที่จะออกเดินทาง

“จำไว้ว่า เมื่อทัพหลักเข้าปะทะกำลังของพวกมันแล้ว พวกท่านทั้งสองต้องคุมปีกซ้าย และปีกขวาต้องคอยก่อกวน และตีขนาบแบบไม่ให้พวกมันรู้ตัว ถ้าพวกมันคอยพะวงทางปีกซ้ายและปีกขวาเมื่อไร ทัพหลักก็จะเข้าจู่โจมอย่างหนักหน่วงรุนแรง ซึ่งจะทำให้พวกมันแตกกระจาย และรวมกันไม่ติด จนต้องแตกพ่ายไป เมื่อนั้น พวกท่านก็ต้องตามตีต่อไปจนทะลวงค่ายพวกมันให้แตกพ่ายไปด้วยแรงปะทะของพวกที่แตกหนีของพวกมันเอง”

กุนซือผู้เชี่ยวชาญการศึกกล่าวขึ้น ทำให้ขุนพลทั้งสองรู้สึกทึ่งในแผนศึกของขงหลง แม้ว่าไม่ค่อยมีใครกล่าวขานถึงฝีมือของเขามากเท่าไรก็ตาม

ขงหยงเป็นมือขวาของโจโฉ และโจโฉยกย่องอย่างมาก จนทำให้จูสือว่านรู้สึกริษยา เพราะผลงานของคนผู้นี้นับว่ามีไม่มากเท่ากับจูสือว่าน แต่เพราะความเป็นเพื่อนของโจโฉ ทำให้เขามาถึงจุดนี้ได้ง่ายกว่าคนอื่น ๆ

“เอาละ เตรียมตัวออกเดินทางได้”

ขงหยงพูดพลางบังคับม้าไปยังกองทัพตนเอง พร้อม ๆ กับที่ขุนพลทั้งสองได้เหยาะม้าไปยังกองทัพตนเองเพื่อเตรียมตัวออกเดินทางเช่นเดียวกัน

กุบ..............กุบ.........................

เสียงทัพม้าจำนวนหนึ่งกำลังมุ่งตัดผ่านป่าเบญจพรรณมาทางนี้ ทำให้กองทัพทั้งสามต่างเตรียมตัวรับศึกทันที เนื่องจากไม่คิดว่าศัตรูจะจู่โจมมาเร็วขนาดนี้

“เตรียมตัวรับศึก”

เสียงแม่ทัพทั้งสามกล่าวด้วยเสียงดังกังวาน ทำให้เหล่าทหารทั้งหมดได้ชักอาวุธออกมา และแปรขบวนทัพเพื่อเข้าสู่สงครามเต็มรูปแบบทันที

“เดี๋ยวก่อน ข้าขุนพลจูสือว่าน ทุกคนเก็บอาวุธเดี๋ยวนี้”

เสียงตะโกนดังพร้อมกับม้าตัวใหญ่สีดำทะมึนปรากฏตัวขึ้น และเมื่อมาใกล้ ทุกคนจึงเห็นชัดว่า เป็นขุนพลปีศาจตัวจริง

พรึบ................พรึบ.............................

นามของคน เงาของไม้ นับว่าคำนี้เป็นจริง เพราะยังไม่ทันที่แม่ทัพทั้งสามจะทันได้สั่งการ เหล่าพลทหารทั้งหลายก็เก็บอาวุธ และทำความเคารพผู้ที่มาใหม่อย่างพร้อมเพรียงกันทันที

“ดีใจที่ได้พบเห็นท่านขุนพลอีกครั้ง และขออภัยด้วยที่พวกเราไม่ได้อยู่รอท่าน”

กวัวจินเทียนกล่าวขึ้นด้วยความเกรงกลัวในความผิดของตนเองที่ละทิ้งหน้าที่ ผสมกับความรู้สึกแปลกใจที่ขุนพลผู้นี้หนีรอดมาได้ แถมยังมีกองทัพที่ติดตามมาเกือบ 1,500 คน

“เรื่องนี้ค่อยว่ากันทีหลัง ตอนนี้ข้ามีเรื่องสำคัญที่จะต้องพูดกับท่านขงหยง”

ขุนพลปีศาจปล่อยรังสีกดดันเหล่าทหารทั้งหลาย จนทำให้ทหารที่อยู่รายล้อมขงหยงต้องถอยหนีออกห่างอย่างควบคุมตนเองไม่ได้

“มะ มะ มีอะไรก็ว่ามา”

แม้แต่ระดับขงหยงยังถูกรังสีกดดันของขุนพลในตำนานผู้นี้กดดันจนเสียกริยายอดกุนซือเพราะไม่อาจจะควบคุมการพูดของตนเองได้

“ข้ามีอะไรจะมอบให้เป็นของขวัญ”

ขาดคำ มือของจูสือว่านก็ยกขึ้น ทำให้ทหารสองคนในชุดผู้พันแห่งกองทัพปีศาจได้จูงม้าอีกตัวซึ่งมีคนนอนคว่ำหน้าบนหลังม้ามาด้วย

“หม่าชิง กับ หมิงสง”

เสียงอุทานเบา ๆ ดังจากปากของขุนพลซ้าย และขุนพลขวา เพราะนายพันที่ควบม้านำของขวัญมานั้นคือ อดีตเชลยของพวกเขานั่นเอง

“ลองดูผู้ที่นอนตายอยู่บนหลังม้าสิ ดูให้เต็มตาก่อนที่ร่างของมันจะสลายไป”

หม่าชิง กับหมิงสงได้นำม้าบรรทุกศพของชายผู้นั้นไปยังขงหยง ชายที่เสียชีวิตนั้นมีทรงผมสั้นเหมือนพวกที่พึ่งจะเรียนจบมัธยมมาหมาด ๆ และใบหน้าดูอ่อนวัย จนขงหยงต้องควักรูปภาพที่นำติดตัวมาเปรียบเทียบทันที

“ตี๋น้อย นี่เป็นตี๋น้อยจริง ๆ” ขงหยงเอ่ยขึ้นอย่างไม่เชื่อสายตา

“ไม่เพียงแค่ซากศพของตี๋น้อยเท่านั้น แต่กลุ่มพลที่เดินเท้ามานี่เป็นอดีตกองทัพของมันที่หันมาสวามิภักดิ์ต่อท่านโจโฉ”

คำกล่าวของจูสือว่านทำให้ขงหยงยิ่งแตกตื่น เพราะเรื่องราวที่ทำท่าจะบานปลายกลับสงบเรียบร้อยลงด้วยขุนพลปีศาจผู้นี้

แวบ.............................

ไม่ทันขาดคำ ซากศพของตี๋น้อยก็สลายหายไป เหลือไว้แต่เสื้อผ้า และทรัพย์สินส่วนตัวเท่านั้น ทำให้สองนายพันใหม่รีบรวบรวมไว้ และนำมามอบให้กับขงหยงทันที

“ถึงว่าสิ ทำไมมันเก่ง นี่เป็นเข็มขัดจอมปราชญ์ที่ราคาแสนแพง อาวุธในเซตนิลกาฬ แค่สองอย่างนี่ก็ทำให้มันเก่งกว่าคนทั่ว ๆ ไปแล้ว” ขงหยงกล่าวอย่างยินดี เพราะได้ของไปให้กับโจโฉ ซึ่งจะต้องได้รับบำเหน็จรางวัลใหญ่ตอบแทนให้แน่ ๆ

“อ๊อก” เสียงกระอักเลือดดังขึ้น ทำให้หม่าชิง กับหมิงสงรีบไสม้าไปยังขุนพลปีศาจทันที

“ท่านพ่อรีบไปพักผ่อนเถอะครับ ท่านกรำศึกมามากแล้ว” หมิงสงกล่าวขึ้น ทำให้ทุกคนตกใจ และแปลกใจในคำพูดของหมิงสง

“ลืมแนะนำ ทั้งสองคนเป็นบุตรบุญธรรมของข้า ถ้าอย่างนั้นข้าคงต้องขอตัว เพราะว่า กว่าจะสังหารตี๋น้อยได้ ข้าก็เกือบจะตายตามไปด้วย ดีแต่ว่าติดเกราะ แต่แรงกระแทกก็เล่นเอากระอักเลือดไปเหมือนกัน หากไม่ได้ลูกบุญธรรมทั้งสองช่วยเอาไว้ ทำให้พรรคพวกของตี๋น้อยไม่ได้รุมเล่นงานข้า ปานนี้ข้าก็คงไม่รอดเหมือนกัน” จูสือว่านกล่าวขึ้นอย่างอ่อนแรง แต่ก็ยังเรียกผู้ช่วยอีกคนมาแนะนำให้ขงหยงได้รู้จัก

“นี่คือ จ้าวเซวียนหยวน กุนซือคนใหม่ของข้า เขาเป็นคนพูดให้เหล่าทหารของตี๋น้อยยอมจำนนต่อพวกเรา ดังนั้น ข้าจึงตั้งเขาให้เป็นกุนซือคอยจัดการเรื่องต่าง ๆ แทนข้า ในระหว่างที่ข้าพักรักษาตัวอยู่ ดังนั้น ขอท่านขงหยง และขุนพลทั้งสองให้เกียรติแก่ท่านจ้าวเซวียนหยวนด้วย”

กล่าวจบ ขุนพลปีศาจผู้มีชื่อเลี่ยงลือก็ชักม้าเข้าไปยังที่พักในตัวเมือง พร้อม ๆ กับลูกชายคนใหม่ทั้งสอง ที่คอยดูแลอารักขาอย่างใกล้ชิด

“ข้าชื่อ จ้าวเซวียนหยวน นับแต่นี้ ถือว่าข้าเป็นพ่อบ้านคนใหม่คอยจัดการดูแลกองทัพปีศาจ และเรื่องราวต่าง ๆ ในเมืองขุมทรัพย์แห่งนี้แทนท่านขุนพล ขอฝากตัวกับท่านขงหยง ท่านขุนพลขวาวังกงลู่ และท่านขุนพลซ้าน กวัวจินเทียน ด้วย”

ชายหนุ่มอายุราว ๆ 20 ปี ท่าทางคล่องแคล่วว่องไว ไว้ผมทรงมวยสูง ไว้หนวด และเคราพองาม ในมือถือพัดจีบ และแต่งชุดที่ปรึกษาทางการทหารเต็มยศ
ในช่วงแรก ๆ ทั้งขงหยง วังกงลู่ และ กวัวจินเทียนไม่ไว้วางใจในคน ๆ นี้ แต่หลังจากที่ดูกริยาท่าทาง และการพูดการจาแล้ว คงจะไม่เป็นวรยุทธ์ และน่าจะเป็นนักศึกษายุทธศาสตร์ทางทหาร จึงทำให้ทั้งสามผ่อนคลายความคลางใจลงได้


“ท่านขุนพลมีแผนการที่จะอยู่ที่นี่ เพื่อที่จะพัฒนาที่นี่ให้เป็นฐานกำลังของท่านโจโฉ ซึ่งจะจำเป็นเมื่อท่านจะใช้ที่นี่เป็นฐานเสบียง และเป็นฐานกำลังในการยึดครองกังตั๋ง”

ในห้องวางแผนของที่ทำการประจำเมือง จ้าวเซวียนหยวนได้กล่าวเริ่มจุดประสงค์ที่สำคัญทันที ทำให้ขงหยง วังกงลู่ และกวัวจินเทียน ที่นั่งประชุมอยู่ด้วย ต้องครุ่นคิดตามทันที

“ท่านโจโฉไม่น่าจะอนุญาตนะ เพราะช่วงนี้ท่านกำลังทำสงครามกับอ้วนเสี้ยว ทำให้อยู่ในช่วงที่ต้องการใช้คน” ขงหยงกล่าวอย่างครุ่นคิด

“ข้าทราบ แต่ว่า...ขอท่านขงหยงรายงานท่านโจโฉด้วยว่า ท่านขุนพลสุขภาพไม่ดี ไม่สามารถที่จะออกศึกได้แล้ว เพราะแรงกระแทกจากตี๋น้อยนั้นแรงมากจนสามารถกระแทกต้นไม้ใหญ่ ๆ หักโค่นได้ในครั้งเดียว ดีที่เป็นท่านขุนพล ถ้าเป็นคนอื่น ข้าว่า คงจะกระอักเลือดจนตายไปแล้ว” คำพูดของจ้าวเซวียนหยวนทำให้ทั้งสามตกใจมาก

“ตี๋น้อยเก่งขนาดนั้นเชียวหรือ” กวัวจินเทียนกล่าวขึ้น

“ในเกาะแห่งนี้ เจ้าสัวหรือที่พวกท่านรู้จักในนาม ตี๋น้อย เป็นคนที่เก่งที่สุด และสามารถสู้กับท่านขุนพลได้จนไม่อาจเอาชนะกันได้ ดีแต่ว่า...ท่านขุนพลเสี่ยงอันตรายแสร้งเปิดช่องว่างตรงหน้าอกให้ เมื่อมันหลวมตัวกระแทกด้ามหอกออกมา ท่านขุนพลจึงแทงสวนที่อกของมันเช่นกัน จึงสามารถชนะได้อย่างเฉียดฉิว”
กุนซือกองพันปีศาจคนใหม่กล่าวรายงานการต่อสู้ที่เกิดขึ้นในค่าย ทำให้ทุกคนต้องอึ้งอีกครั้ง และทำให้ขงหยงต้องขอจบการประชุมก่อน เพื่อที่จะไปเยี่ยมอาการของขุนพลจูสือว่าน ก่อนที่จะตกลงใจต่อไป

“อีก 3 วันข้าก็จะเดินทางกลับไปรายงานต่อท่านโจโฉ ระหว่างนี้ ท่านควรที่จะพูดคุยรายละเอียดกับท่านขุนพล ถึงแผนการต่าง ๆ ที่จะทำในเกาะแห่งนี้ รวมทั้งรายงานของหมอเกี่ยวกับสุขภาพของท่านขุนพลด้วย ข้าจะได้นำไปประกอบกับรายงานต่อท่านโจโฉ” ขงหยงกล่าวขึ้น และบอกต่อว่า

“อีก 2 วัน เราจะประชุมเรื่องนี้ใหม่ ตอนนี้ขอข้า และขุนพลทั้งสองไปเยี่ยมอาการของท่านขุนพลก่อนนะ” ทั้งสี่คนจึงแยกย้ายกันไป เพื่อที่จะเริ่มภารกิจของตนต่อไป




Create Date : 19 ตุลาคม 2554
Last Update : 19 ตุลาคม 2554 23:22:12 น. 0 comments
Counter : 313 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Muen Li
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add Muen Li's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.