วรรณกรรมของหมื่นลี้
Group Blog
 
All Blogs
 

บทที่ 3 เหตุผลของพ่อ

“ตี๋น้อย เราถามหน่อยว่า รถชนนายตั้งแรง ทำไมไม่เห็นนายเป็นอะไรมากเลย ดูสิ แค่ถลอกนิดหน่อย แถมสมองก็ไม่กระทบกระเทือนอีก แต่มือกลับซ่น”

เจ้าเหน่งเห็นทุกคนเงียบไป มันเลยเปลี่ยนเรื่องคุยทันที ซึ่งได้ผล เพราะทุกคนได้หันมามองดูตี๋น้อยที่มีผ้าพันรัดข้อมือไว้ด้วยความอยากรู้เช่นเดียวกับเจ้าเหน่ง

“พวกนายจำที่เราเคยบอกไม่ได้หรอว่า ถ้าแรงมา อย่าแรงตอบ แต่จงเบี่ยงเบนแรงนั้นให้เป็นผลดีต่อตัวเรา” ตี๋น้อยทบทวนสิ่งที่เขาเคยสอนเพื่อน ๆ จนสามารถได้แชมป์กีฬาแห่งชาติเกือบทุกคน

“เมื่อรถมันพุ่งเข้ามาหาเรา เราคิดว่าหลบไม่พ้นแน่ ๆ จึงตบลงไปที่หน้ารถ ทำให้แรงของรถ บวกกับแรงตบ ทำให้เราไถลออกด้านข้าง จนกลิ้งขึ้นไปบนทางเท้า และที่เรากลิ้งตัวไปก็เพราะ การกลิ้งทำให้แรงผ่อนคลายลง ทำให้เราไม่ได้รับบาดเจ็บมากนัก”

ตี๋น้อยอธิบาย ทำให้คนฟังต้องอ้าปากค้างด้วยความทึ่ง ทฤษฏีเหล่านี้ ใคร ๆ ก็เข้าใจได้ แต่ในเวลาที่ไม่ทันตั้งตัวนั้น ใครจะสามารถนำออกมาใช้ได้

“ยอดเยี่ยมมากลูกพ่อ ไม่นึกว่าลูกของพ่อจะเก่งขนาดนี้”

เสียงเจ้าสัวดังขึ้นที่หน้าประตู จากนั้น ทุกคนก็เห็นเจ้าสัวเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับครูใหญ่ ทำให้ตี๋น้อยทำหน้าเครียดอีกครั้งหนึ่ง ทำท่าจะหันหลังให้ จนเจ้าเอกหมั่นไส้ต้องแอบจับแขนไว้ ตี๋น้อยจึงจำใจต้องอยู่ในท่าเดิม

“ก็เพราะตี๋น้อยนี่ละครับ ที่ทำให้พวกผมได้รับเหรียญทองเกือบทุกคน ทั้ง ๆ ที่พวกผมมาจากโรงเรียนเล็ก ๆ มีคนเรียนอยู่แค่ 500 คนเท่านั้น แต่ทุกคนเป็นนักกีฬา เพราะตี๋น้อยเขาสอนพวกเรา”

เอก ประธานนักเรียนที่อยู่กับตี๋น้อยในช่วงที่มาโรงพยาบาลพูดขึ้น ยิ่งทำให้เจ้าสัวรณฤทธิ์รู้สึกรัก และภาคภูมิใจในลูกชายที่พึ่งพบหน้ากันของเขา

“ตอนนี้ลูกอยู่กับใคร”

“ตี๋น้อยครับ ผมชื่อตี๋น้อย ท่านเจ้าสัวกรุณาเรียกให้ถูกด้วย” ตี๋น้อยยังทำหน้าบึ้งตึงอยู่

“อืม....แล้วตอนนี้ตี๋น้อยอยู่กับใครครับ”

“ผมอยู่คนเดียวครับ ยายผมเสียไปเมื่อปีที่แล้ว ส่วนแม่ก็เสียตั้งแต่ผมคลอดออกมาแล้ว” ตี๋น้อยตอบอย่างเศร้า ๆ ทำให้เจ้าสัวน้ำตาซึม

“ถ้าอย่างนั้นก็ไปอยู่กับพ่อนะ พ่อจะได้ทำหน้าที่ของพ่อที่ไม่เคยทำมาตั้งแต่ลูกเกิดมา”

“คงไม่ได้หรอกครับ พวกเพื่อน ๆ ก็ต้องการผม และพวกเขาคงจะต้องลำบากมากถ้าผมไม่ได้อยู่ด้วย”

“แต่พ่อก็ต้องการลูกนะ”

“พ่อมีลูกของพ่ออยู่แล้ว และภรรยาของพ่อจะว่าอย่างไร ที่พ่อเอาเด็กบ้านนอกเข้าไปในบ้าน อีกอย่าง ลูกของพ่อจะคิดอย่างไรเกี่ยวกับตัวผม ซึ่งผมคิดว่า นี่คือการบ้านที่พ่อจะต้องทำก่อนที่จะพูดเรื่องการรับตัวผมไปอยู่ด้วย” ตี๋น้อยประเมินสถานการณ์ ก่อนที่จะพูดเปิดอกกับพ่อใหม่อีกครั้ง

“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงหรอก เพราะพ่อกับภรรยา และลูก ๆ ของพ่อมีการตกลงกันไว้แล้ว ซึ่งพ่อก็คิดว่า ในสามเงื่อนไขนั้น อย่างน้อยก็มีสองเงื่อนไขที่พร้อมแล้ว ส่วนอีกเงื่อนไขนั้น พ่อคิดว่า ตี๋น้อยทำได้อยู่แล้ว” ผู้เป็นพ่อยิ้มเล็กน้อย ทำให้ตี๋น้อยถามขึ้นว่า

“เงื่อนไขอะไรหรือครับ เจ้าสัว” ครูใหญ่ที่ได้พูดคุยทำความเข้าใจกับเจ้าสัว แต่เรื่องเงื่อนไขนี้ไม่เคยได้ยินจึงต้องถามขึ้น

“ความจริงแล้วมันเป็นเงื่อนไขที่ไม่มีทางเป็นไปได้ และผมก็ไม่คิดว่ามันจะเป็นไปได้ แต่เพื่อแลกกับชีวิตของตี๋น้อย กับแม่ของเขาแล้ว ผมจำเป็นต้องยอมรับ” เจ้าสัวเกริ่นให้ฟัง ก่อนที่จะบอกอีกว่า

“ครอบครัวภรรยาของผมเป็นตระกูลเจ้าพ่อ พูดจริงทำจริง ผมจึงต้องเลือกเอาว่า จะเสียทั้งแม่ทั้งลูกไปในคราวเดียวกัน หรือว่าจะแยกกันอยู่โดยมีโอกาสที่ลูกจะกลับมาหาผมได้ แม้ว่าจะมีเพียงไม่ถึง 1 เปอร์เซ็นผมก็ต้องยอมรับ” คำพูดของเจ้าสัวทำให้ทุกคนตกใจ โดยเฉพาะตี๋น้อยที่ไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อจึงไม่ตามไปรับเขากับยาย

“พ่อ เพื่อผมกับแม่ พ่อต้องยอมกล้ำกลืนน้ำตาลูกผู้ชายไว้ในอกขนาดนี้เชียวหรือ พ่อให้อภัยผมด้วยนะครับ”

ตี๋น้อยขยับจะลุกขึ้นจากเตียงเพื่อก้มกราบผู้เป็นพ่อ แต่ทว่า ผู้เป็นพ่อได้โถมเข้าโอบกอดลูกชายที่เขาคำนึงถึงเสมอทุกวินาทีเป็นเวลาถึง 17 ปีไว้แน่น

“ลูกยอมรับพ่อแล้ว พ่อดีใจมาก ไม่มีอะไรที่จะทำให้พ่อดีใจกว่านี้อีกแล้ว”

ทุกคนในห้องพากันหลั่งน้ำตากับสองพ่อลูกที่ได้พบเจอกัน จนไม่ได้สังเกตว่า มีชายหนุ่มผู้หนึ่งได้เดินเข้ามาพร้อมกับ ผ.อ.โรงพยาบาล ชายผู้นี้มีวัยประมาณ 25-26 ปี หน้าตาหล่อเหลาคมคาย แต่บุคลิกและดวงตากลับดูเจ้าเล่ห์ และคุกคามผู้คนอยู่ในที

“ดีใจด้วยนะเตี่ย ได้พบเจอลูกชายคนเล็กสมใจแล้ว แต่เตี่ยอย่าลืมสิ่งที่เคยรับปากกับแม่ไว้นะครับ”

ชายผู้เข้ามาใหม่เอ่ยขึ้น ทำให้ทุกคนในห้องต้องหันไปมองอย่างเคือง ๆ ที่มาทำลายบรรยากาศของพ่อลูก

“พ่อไม่ลืมหรอกตี๋ใหญ่ แต่ให้พ่อได้กอดตี๋น้อยสักหน่อยก่อนไม่ได้หรือ เพราะไม่รู้อีกนานเท่าไรที่พ่อจะได้กอดน้องอย่างนี้อีก” เจ้าสัวเอ่ยกับลูกชายคนโตราวกับขอความเห็นใจ ทำให้ตี๋ใหญ่ทำท่ายักไหล่ราวกับไม่สนใจ

“นี่ตี๋ใหญ่ พี่ชายของเจ้า” เจ้าสัวหันมาแนะนำลูกชายให้รู้จักกัน

“ตี๋น้อยน่าจะเคยเห็นผมแล้วละครับ ใช่ไหมตี๋น้อย” ตี๋น้อยใช้สายตาเคือง ๆ มองพี่ชายต่างมารดา เพราะเขาจำได้ว่า ชายคนนี้เป็นคนที่ขับรถชนเขา แถมยังลงมาด่าซ้ำ ก่อนที่จะขับรถจากไป

“ผมจำได้ การที่ผมได้เจอพ่อก็มาจากการส่งเสริมของพี่ชายด้วยนี่ ทำไมผมจะจำไม่ได้” ตี๋น้อยยิ้มน้อย ๆ ราวกับจะสื่อความหมายว่า เพราะความผิดพลาดของพี่ ทำให้ผมได้พบเจอพ่อแท้ ๆ ของผม

“นั่นยังไม่ใช่การส่งเสริมที่ถาวรหรอกนะ ตี๋น้อย แต่การส่งเสริมที่ถาวรเดี๋ยวเตี่ยจะบอกแทนเฮียเอง” ตี๋ใหญ่พูดด้วยเสียงแบบกวน ๆ ทำให้เจ้าสัวต้องรีบพูดว่า

“พ่อจะขอร้องให้ลูกเล่นเกมออนไลน์ ชื่อเกมว่า สามก๊กออนไลน์ ภาคสามก๊ก ซึ่งนี่เป็นข้อเสนอที่เป็น 1 ใน 3 เงื่อนไขที่พ่อจะรับเจ้าเป็นบุตร” เจ้าสัวพูดขึ้น


“เกมสามก๊กออนไลน์”

ตี๋น้อยร้องขึ้นด้วยความแปลกใจ เมื่อได้ยินข้อเสนอของเจ้าสัวรณฤทธิ์ ดำรงฤทธิกุล ผู้ซึ่งพึ่งจะแสดงตัวว่าเป็นพ่อของเขา หลังจากที่เขามีอายุ 17 ปี

“ทำไมหรอ อาตี๋น้อย ถ้ากลัวแพ้ก็บอกได้นะ ตี๋ใหญ่คนนี้ใจสปอร์ต จะได้ต่อให้” เสียงยียวนกวนประสาทของชายผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นพี่ชายของเขา แม้ว่าจะเป็นพี่ชายต่างมารดาก็ตาม

“ทำไมต้องเป็นการแข่งขันในเกมละครับ ผมพร้อมนะที่จะแข่งขันในการทำธุรกิจจริง ๆ หรือจะเป็นในเกมกีฬาอะไรก็ตาม แต่ผมไม่อยากเล่นเกม”
ตี๋น้อยไม่สนใจเสียงยียวนจากพี่ชายที่ขับรถชนเขาจนต้องเข้าโรงพยาบาล แต่ได้หันไปต่อรองกับพ่อซึ่งเคยพบกันของเขา


เกมสามก๊กออนไลน์ เป็นเกมออนไลน์เสมือนจริง ที่จะดึงเอาคลื่นความคิดของผู้เล่นเข้าไปจำลองในเซิร์ฟเวอร์ของเกม และจำลองเป็นแผ่นดินจีนในสมัยสามก๊ก มีความสมจริงจนเหมือนกับว่า ผู้เล่นได้ย้อนเวลากลับไปยังอดีตในยุคสามก๊ก ทำให้นักธุรกิจชาวจีนยึดถือเป็นมหาวิทยาลัยที่บรรดาลูกหลานของนักธุรกิจชาวจีนทุกคนต้องเล่น ทำให้เกมนี้แพร่หลายออกไปในเหล่าบรรดาลูกหลานนักธุรกิจทั่วโลก รวมทั้งบรรดาผู้ที่หวังความก้าวหน้าในวงการธุรกิจด้วย

“มันเป็นข้อตกลงในการที่พ่อจะรับลูกเข้ามาสู่ตระกูลดำรงฤทธิกุลได้อย่างเต็ม
ภาคภูมิ ซึ่งอรวรรณ์ แม่ของตี๋ใหญ่ได้ทำข้อตกลงกับพ่อไว้ 3 ข้อด้วยกันคือ

1. พ่อต้องไม่ไปสืบหาลูก และลูกต้องไม่มาสืบหาพ่อ ต้องให้พบกันโดยบังเอิญ หรือเป็นพรหมลิขิตเท่านั้น

2. ตี๋น้อยต้องไม่มีผู้อุปการะส่งเสีย หมายถึงการไร้ญาติขาดมิตร และพึ่งพิงตัวเอง

3. ต้องสามารถชนะการแข่งขัน หรือเสมอในการแข่งขันกับตี๋ใหญ่ ซึ่งวิธีการแข่งขัน และข้อกำหนดการแข่งขัน ต้องให้ตี๋ใหญ่เป็นคนกำหนดเท่านั้น

ตอนนี้ ข้อตกลงได้ตรงตามเงื่อนไขมา 2 ข้อแล้ว เหลือแต่ข้อ 3 เท่านั้น ซึ่งพี่ตี๋ใหญ่ได้กำหนดให้ลูกเข้าไปแข่งขันกับเขาในเกมสามก๊กออนไลน์ โดยไม่ได้กำหนดเวลา แต่ลูกคงจะต้องครอบครองดินแดน 1 ใน 3 ของแผ่นดินให้ได้ จึงจะเสมอ เพราะในตอนนี้ตี๋ใหญ่ได้ตั้งก๊กใหญ่เป็นอันดับต้น ๆ ของเกมในเมืองลกเอี๋ยง ซึ่งเป็นดินแดนวุยก๊ก(ก๊กของโจโฉซึ่งเป็นภาคกลางของประเทศ) ดังนั้นถ้าตี๋น้อยอยากจะชนะก็ต้องไปสร้างตัวในอีกสองดินแดนที่เหลือให้ได้”

เจ้าสัวผู้เป็นพ่อได้อธิบายให้กับผู้เป็นลูกที่ไม่เคยพบหน้ามาเป็นเวลาถึง 17 ปีอย่างสุดความสามารถ และใช้ข้อมูลที่เขาให้เหล่าผู้เชี่ยวชาญวิเคราะห์มาบอกลูกชายคนเล็กเป็นนัย ๆ ถึงวิธีที่จะแข่งขันให้เสมอกับลูกชายคนโต ด้วยหวังว่าลูกชายคนเล็กจะสามารถหลีกเลี่ยงพี่ชาย และสร้างกองกำลังให้ได้บนดินแดนที่เหลืออยู่

“เตี่ยลืมบอกอะไรตี๋น้อยไปหรือเปล่าครับ” เสียงกวนโอ๊ยของตี๋ใหญ่ดังขึ้น ทำให้เจ้าสัวมองหน้าเป็นเชิงถาม ทำให้ตี๋ใหญ่บอกออกมาเองว่า

“ในการแข่งขันครั้งนี้ อุปกรณ์การเล่นเกม ค่าใช้จ่ายในการเล่นเกม และค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในระหว่างนี้ ตี๋น้อยจะไม่ได้รับการสนับสนุนจากเตี่ย หรือจากธุรกิจของเตี่ยแม้แต่การใช้เครดิตของตระกูลเราเพื่อให้ได้ส่วนลดก็ไม่ได้ ทุกอย่างต้องมาจากน้ำพักน้ำแรงของตี๋น้อยเองเท่านั้น”

ตี๋ใหญ่ยื่นข้อเสนอนี้ให้เพราะรู้ดีว่า แม่ และยายของตี๋น้อยเสียหมดแล้ว ตอนนี้ก็อยู่คนเดียว และพึ่งเรียนจบ ม.6 มาโดยไม่มีงานทำ แถมยังอยู่ในฐานะยากจนด้วย ดังนั้น ในสายตาของตี๋ใหญ่ และแม่ของตี๋ใหญ่คิดว่า งานนี้ตี๋น้อยต้องหมดปัญญาหาเงินมาเล่นเกมนี้แน่ ๆ แต่ถึงแม้ว่าจะสามารถหยิบยืมเงินมาเล่นได้ ก็ไม่สามารถเอาชนะผู้ที่เล่นมาก่อนแล้วถึง 4 ปีเต็ม(16 ปีในเกม) และเป็นผู้เล่นที่โดดเด่นติดอันดับต้น ๆ ของเกมนี้อย่างตี๋ใหญ่ได้อย่างแน่นอน การแข่งขันครั้งนี้จึงถูกกำหนดไว้เพื่อสร้างความฝันลม ๆ แล้ง ๆ ให้กับพ่อลูกคู่นี้เท่านั้นเอง

แต่ว่า....ความแน่นอน คือความไม่แน่นอน ตี๋น้อย เด็กหนุ่มอัจฉริยะจากหนองคาย ไม่ใช่คนที่จะหมดหนทางแพ้ได้ง่าย ๆ เพราะเขาคือ
นาย ฤทธิ์เดชา ดำรงฤทธิกุล ผู้สืบสายเลือดนักธุรกิจ และนักสู้มาจาก เจ้าสัวรณฤทธิ์ ดำรงฤทธิกุล นักธุรกิจหมื่นล้านผู้สร้างตัวเองขึ้นมาจากศูนย์




 

Create Date : 15 ตุลาคม 2554    
Last Update : 15 ตุลาคม 2554 15:50:06 น.
Counter : 268 Pageviews.  

บทที่ 2 จุดเปลี่ยนของชีวิต

หลายเดือนต่อมา ณ สนามกีฬาแห่งชาติ นักกีฬาส่วนใหญ่ของเขต 4 จังหวัดหนองคายคือนักกีฬาจากโรงเรียนของประชาสงเคราะห์หนองคาย ครูใหญ่จึงกลายเป็นผู้คุมทีมไปโดยปริยาย

แต่ทว่า....ในขณะที่การแข่งขันกำลังเริ่มขึ้นในสองสามวันแรก

“ครูใหญ่ครับ แย่แล้วครับ”

เสียงเด็กนักเรียนที่มาแข่งกีฬาในสนามกีฬาแห่งชาติได้ร้องตะโกนโหวกเหวกโวยวายขึ้น ทำให้ครูใหญ่ร่างอ้วนสวมแว่นหนาเตอะ รีบลุกขึ้นจากอัฒจรรย์ไปหาเด็ก ๆ ด้วยความตกใจ เพราะรู้ว่าเด็ก ๆ โรงเรียนของเขาเป็นคนมีมารยาท หากเรื่องราวไม่เลวร้ายจริง ๆ คงไม่วิ่งหน้าตาตื่นมาอย่างนี้แน่นอน

“เกิดอะไรขึ้น ทำไมพากันลุกรี้ลุกรนกันอย่างนี้” ครูใหญ่รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีจึงรีบเอ่ยขึ้นทันที

“ตี๋น้อยถูกรถชนครับ” เจ้าเหน่ง ซึ่งมีสีหน้าไม่สู้ดีรีบตอบ

“ห๊า.......ว่าอะไรนะ”

ครูใหญ่ร้องเสียงหลง ด้วยไม่คาดคิดว่าเรื่องราวจะร้ายแรงขนาดนี้ เพราะตี๋น้อยในขณะนี้เป็นขวัญใจของนักกีฬาเขต 4 ไปเสียแล้ว หากเกิดอะไรขึ้นการแข่งขันคงจะพ่ายแพ้อย่างแน่นอน

“ตี๋น้อยถูกรถชน” เหน่งกล่าวช้า ๆ อีกครั้ง ทำให้ครูใหญ่แข็งใจถามขึ้นว่า

“มันเกิดขึ้นได้อย่างไง”

“พวกเราข้ามไฟเขียวอยู่ดี ๆ แต่รถเก๋งคนหนึ่งมันวิ่งฝ่าไฟแดงมาจะชนพวกเรา ตี๋น้อยเลยผลักพวกเราออกมาได้ แต่ตี๋น้อยกลับถูกชนจนล้มกลิ้งไปตามถนนครับครู”เจ้ายักษ์ ซึ่งเห็นเหตุการณ์รีบพูดขึ้น พลางเช็ดน้ำตาที่ไหลรินออกมาตามแก้ม

“นั่นไงครับ ตำรวจอยู่ที่นั่น พวกเขาส่งตี๋น้อยไปโรงพยาบาล แล้วอยากจะพบกับครู พวกผมเลยอาสามาตามให้”

“แล้วใครไปโรงพยาบาลกับตี๋น้อยละ” ครูใหญ่ถามด้วยความเป็นห่วง

“ตอนแรกว่าจะไปกันหมด แต่รถพยาบาลมีที่นั่งให้ได้แค่ 2 คน เลยให้เอก ประธานนักเรียน ไปกับชัย เพราะทั้งสองคนสามารถช่วยเหลือ และกรอกข้อมูลของตี๋น้อยได้” เหน่งตอบ ทำให้ครูใหญ่พยักหน้าอย่างดีใจที่นักเรียนของเขาสามารถมีสติ และปฏิกิริยาฉับไวแม้ในยามคับขัน

“ดีแล้วที่ทุกคนรักษาสติไว้ได้ เดี๋ยวครูจะไปพบตำรวจก่อน ถ้าตี๋น้อยไม่เป็นอะไรมากครูจะพาพวกเธอทักคนไปเยี่ยมตี๋น้อย”

“จริงหรือครับครู”

“จริงสิ” ครูใหญ่กล่าวอย่างมั่นใจ ก่อนที่จะไปพบกับตำรวจเพราะรับทราบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น


ขณะเดียวกัน ในคฤหาสต์หรูย่านกลางเมือง.....

“อะไรนะ อาตี๋ใหญ่ ขับรถชนคนหรอ อั๊วเคยบอกมันแล้วว่า เวลาขับรถให้ระวังหน่อย”

เสียงดังลั่นบ้านดังจากปากของนักธุรกิจหมื่นล้าน เจ้าสัว รณฤทธิ์ ดำรงฤทธิกุล ส่งผลให้ภรรยา คุณหญิง อรวรรณ ดำรงฤทธิกุล ได้ส่งเสียงร้องขึ้นว่า

“เฮียจะไปต่อว่าลูกมันทำไม แค่ขับรถชนคนบาดเจ็บ ไม่ได้ตายซะหน่อย ใช้เงินฟาดหัวมันไปสิ สักล้านสองล้าน ขี้คร้าน พวกมันจะดีใจจนน้ำตาไหล”

“เธอพูดเอาแต่ได้ นี่ลูกเราผิดนะ ขับรถฝ่าไฟแดง แถมยังจะไปชนกลุ่มนักกีฬาอีก ดีว่า มีคนหนึ่งเขาผลักเพื่อนเขาออกไปได้ ไม่อย่างนั้นได้ตายกันทั้งกลุ่มแน่ๆ แต่ว่า คนที่ช่วยเพื่อน ๆ ก็ต้องรับเคราะห์ไปคนเดียวเต็ม ๆ นี่สิ ไม่รู้ว่าจะตายหรือเปล่า เด็กดี ๆ อย่างนี้ยิ่งหายาก ๆ อยู่”

เจ้าสัวทอดถอนใจด้วยความเสียดาย และทึ่งในน้ำใจของคนที่ถูกรถชน หลังจากที่ได้ฟังรายงานจากนายตำรวจที่สนิทกัน และโทรมาแจ้งให้ทราบทันทีที่เกิดเรื่อง

“ก็แค่เด็กมันหยอกล้อกันเฉย ๆ ไม่ได้ตั้งใจจะช่วยเพื่อนหรอก เดี๋ยวนี้มันมีคนที่ยอมตายแทนเพื่อนซะทีไหน คุณก็อย่าไปเชื่อคำบอกเล่าของพวกชาวบ้านให้มันมากนัก” ภรรยากล่าวเป็นเชิงเตือนสติ ทำให้เจ้าสัวส่ายหน้าอย่างเอือมระอา ก่อนที่จะกล่าวว่า

“เดี๋ยวอั๊วจะไปเยี่ยมเด็กมันหน่อยนะ” พูดจบเจ้าสัวรณฤทธิ์ก็สาวเท้าออกจากบ้านไปโดยไม่รอฟังคำตอบของภรรยา ทำให้ภรรยาบ่นตามหลังอย่างน้อยอกน้อยใจ


“นี่ ๆ พวกคุณทำอย่างนี้ไม่ได้นะ ที่นี่เขตโรงพยาบาล ไม่ใช่สนามกีฬา จะเอาพวกอุปกรณ์กีฬามีเล่นที่นี่ไม่ได้”

เสียงผู้อำนวยการโรงพยาบาลฤทธิ์เดชากร้าวขึ้น เมื่อเห็นเหล่านักกีฬาจำนวนนับร้อยกรูเข้ามาในโรงพยาบาลที่ทันสมัยที่สุดในประเทศ แถมยังพากันนำลูกบอล และอุปกรณ์กีฬาต่าง ๆ เข้ามาเล่นด้วย

“พวกเรามาเยี่ยม คุณ ฤทธิ์เดชา ไม่ทราบว่า พอจะอนุโลมได้ไหมครับ เพราะพวกเด็ก ๆ เหล่านี้ก็ไม่ได้ส่งเสียงดังแต่อย่างใด เพียงแต่พวกเขาติดนิสัยการนำอุปกรณ์กีฬาส่วนตัวของเขาติดตัวไปด้วย แม้แต่ยามกินยามนอนพวกเขาก็ยังทำอย่างนั้นเลยครับ” ชายร่างท้วมลงพุง สวมแว่นตาหนา ใส่ชุดกีฬารัดรูปได้เข้ามาพูดคุยกับผู้อำนวยการโรงพยาบาล

“ไม่ได้ พวกคุณเข้ามาแบบนี้ ทำให้โรงพยาบาลของผมลดระดับลงไปเยอะ ช่วยพากันออกไปทั้งกลุ่มเลย ที่นี่ไม่ใช่พวกบ้านนอกแบบพวกคุณจะเข้ามา” เสียงของผู้อำนวยการที่มีหน้านิ่วคิ้วขมวดพูดขึ้นแบบมะนาวไม่มีน้ำ ทำให้หน้าของครูใหญ่ชักหน้าขึ้นสี

“บ้านนอกแล้วเป็นไงครับ บ้านนอกไม่มีหัวใจหรือไง รู้เอาไว้ซะว่า เขต 4 ที่มีเด็กบ้านนอกเหล่านี้เป็นตัวแทน กวาดเหรียญทองมามากกว่าเขต 10 กรุงเทพอย่างพวกคุณเสียอีก”

ครูใหญ่กระแทกเสียงใส่ ทำให้เหล่า พนักงานรักษาความปลอดภัยวิ่งมาตามเสียง ผู้อำนวยการโรงพยาบาลได้ทีจึงร้องสั่งไปว่า

“ร.ป.ภ. มาลากพวกนี้ออกไปเร็ว”

“ครับ ท่าน ผ.อ.”

เสียงร้องรับดังลั่น จากนั้น เหล่า ร.ป.ภ. ประมาณ 10 คนก็เข้ามาเพื่อจะลากกลุ่มครูใหญ่ และเหล่านักเรียนหนองคายออกไปจากโรงพยาบาล แต่เหล่า ร.ป.ภ.ที่ปกติรักษาการอยู่แต่ในอาคาร ไม่ได้ออกแรงมากเหมือนอย่างนักกีฬาโรงเรียนประชาสงเคราะห์ ทำให้เหล่า ร.ป.ภ. พากันวิ่งไล่กวดไม่ทันเหล่าเด็ก ๆ บางคนยังหกล้มเพราะถูกปัดแข้งปัดขาจากเหล่านักกีฬาฟุตบอลที่ส่งเสียงร้องเฮดังลั่น


“หยุด................”

เสียงพูดไทยสำเนียงจีนตวาดดังลั่น ทำให้เหล่า ร.ป.ภ. ต่างยืนตัวแข็ง รวมทั้งผู้อำนวยการโรงพยาบาลด้วย ส่วนบรรดาเด็ก ๆ ต่างยืนมองด้วยความแปลกใจ และครูใหญ่ที่ค่อย ๆ โผล่หน้าออกมาจากข้างโต๊ะพยาบาล พร้อมกับรอยฝ่ามือสาว ๆ ที่ข้างแก้ม (ไม่รู้ไปทำอะไรตรงนั้น)

“ศักดา รายงานมาสิ ว่าเกิดอะไรขึ้น” เสียงนั้นพุ่งตรงไปที่ผู้อำนวยการซึ่งยืนตัวแข็งอยู่ตรงหน้า

“เอ่อ.....คนกลุ่มนี้เข้ามาก่อความวุ่นวายในโรงพยาบาลของเรา ผมเลยให้ ร.ป.ภ. มาช่วยผลักดันออกไปนะครับ”

“งั้นรออยู่นี่นะ เดี๋ยวอั๊วะจะไปสอบถามคู่กรณีของลื้อก่อน” ชายผู้นั้นบอกก่อนที่จะเรียกกลุ่มหนุ่ม ๆ สาว ๆ เข้ามา ทำให้ผู้อำนวยการหน้าซีดลง

“คุณลุงคนนี้ไม่ยอมให้พวกเราเข้าไปเยี่ยมเพื่อนนะครับ บอกว่าพวกเราเป็นเด็กบ้านนอก อาจจะทำให้โรงพยาบาลที่นี่ลดระดับลง เขาเลยเรียก ร.ป.ภ. มาไล่จับพวกผม แต่พวกผมไม่ยอมทิ้งเพื่อนไว้กับโรงพยาบาลที่ไร้น้ำใจอย่างนี้หรอกครับ” เหน่ง ตอบแบบฉะฉาน และไม่ไว้หน้าผู้อำนวยการที่หน้าซีดลง โดยเฉพาะเมื่อชายคนนั้นหันหน้ามาพูดกับเขาว่า

“เดี๋ยวเสร็จธุระแล้ว คุณไปพบผมที่ห้องทำงานนะ” จากนั้นชายคนนั้นก็หันมาถามเด็ก ๆ ว่า

“เพื่อนของพวกหนู ๆ ชื่ออะไร เดี๋ยวลุงจะพาไปเอง” เมื่อพวกเด็ก ๆ เห็นท่าทางที่น่าเชื่อถือ และยังเห็นผู้อำนวยการที่กร่างแต่แรกยังต้องหงอให้ จึงกล่าวอย่างเกรงใจว่า

“เพื่อนผมชื่อ ฤทธิ์เดชา ไม่รู้ว่าอยู่ห้องไหนครับ เขาถูกรถที่วิ่งฝ่าไฟแดงชน พึ่งนำมาโรงพยาบาลเอง” เจ้ายักษ์พูดขึ้น

“เขาอยู่ห้องตรวจสมองอยู่ครับ เพราะทางเราต้องการรู้ว่า สมองได้รับการกระทบกระเทือนหรือเปล่า” ผู้อำนวยการพูดขึ้น ก่อนที่ชายคนนั้นจะหันมาถาม ทำให้ชายคนนั้นพูดขึ้นว่า

“ถ้าเสร็จแล้ว พาไปอยู่ห้องพิเศษ เดี๋ยวผมจะพาเด็ก ๆ ไปทานอาหารรอก่อน” จากนั้น เขาก็ชวนเด็ก ๆ และครูใหญ่ที่ยังยืนเซ่ออยู่ใกล้โต๊ะนางพยาบาลให้ไปยังโรงอาหาร


นาย ฤทธิ์เดชา ดำรงฤทธิกุล

“นี่คือชื่อ และนามสกุลของเด็กคนนี้หรือ” เจ้าสัวพูดขึ้นด้วยความตกใจ เมื่อเห็นชื่อ และนามสกุล ที่หน้าห้องพิเศษ

“ใช่ครับ นามสกุลเหมือนนามสกุลของท่าน แต่บ้านเกิดกลับอยู่ที่หนองคาย” ผู้อำนวยการรายงาน แต่พอได้ยินคำว่าหนองคาย สีหน้าของเจ้าสัวยิ่งตื่นเต้น

“พ่อแม่เขาชื่ออะไรรู้ไหม” เจ้าสัวถามด้วยความคาดหวัง

“ไม่ทราบครับ” ผู้อำนวยการตอบ แต่เสียงครูใหญ่ดังแทรกมาว่า

“แม่เขาชื่อ เยาวลักษณ์ กระจ่างสกุล ส่วนชื่อพ่อจำไม่ได้ เพราะมีแต่ชื่อในใบเกิด ไม่เคยพบเห็นตัว แต่นามสกุลนี้แม่เขาบอกก่อนตายว่า เป็นนามสกุลของพ่อเขา และสั่งไว้ว่า อีกหน่อยพ่อของเขาก็จะมาสืบหาตัวของเขาเอง”

“พ่อของเขาใช่ชื่อ รณฤทธิ์ ดำรงฤทธิกุล ใช่ไหม” เจ้าสัวถามขึ้นอย่างตื่นเต้น

“ใช่ครับ ชื่อนี้จริง ๆ แต่ทำไมคุณรู้ละครับ”

ครูใหญ่พูดขึ้น ทำให้เจ้าสัวยิ้มทั้งน้ำตา ด้วยบัดนี้เขาได้ค้นพบสิ่งที่ขาดหายไปในชีวิตของเขาแล้ว ด้วยเหตุนี้ เจ้าสัวจึงกล่าวคำพูดที่ทำให้คนทั้งหมดตกตะลึงว่า

“เพราะผมเป็นพ่อของเขาเอง”


“เจ้าสัว รณฤทธิ์ ดำรงฤทธิกุล นักธุรกิจหนุ่มใหญ่ไฟแรงแห่งปี ผู้มีสินทรัพย์ติดอันดับหนึ่งในร้อยของโลก” เสียงข้อมูลดังออกจากปากของคนเจ็บที่ยังนอนอยู่บนเตียง

“คุณแน่ใจหรือว่า คุณต้องการเป็นพ่อของผมจริง ๆ ”

ตี๋น้อยที่พักฟื้นอยู่ในห้องพิเศษถามขึ้นอย่างด้วยสีหน้าเรียบเฉย เพราะเขารู้จักคนอยู่ต่อหน้าของเขาเป็นอย่างดี เพราะคนตรงหน้านี้เองที่ผลักดันให้เขาต้องเก่งเหนือคนอื่น เพื่อจะให้วันนั้นมาถึง วันที่พ่อจะยอมรับในตัวของเขา

“ที่แท้ลูกก็รู้อยู่เสมอว่าเป็นลูกของฉัน พ่อขอโทษด้วยที่ไม่ได้ไปสืบหาลูก ไม่มีคำแก้ตัวใด ๆ ทั้งสิ้นจากพ่อที่ไร้ความรับผิดชอบคนนี้ มีแต่คำว่า ให้โอกาสพ่อทำหน้าที่ของพ่อนับแต่นาทีนี้ไปได้ไหม”

เจ้าสัวน้ำตานองหน้า น้ำตาลูกผู้ชายที่ไม่เคยหลั่งออกมาก่อน แต่คราวนี้ เขายินยอมที่จะหลั่งมันออกมา เพื่อลูกชายคนที่เขาไม่เคยเห็นหน้ามาเป็นเวลาถึง 17 ปี เต็ม ๆ

“แม่สั่งให้ยายมาบอกผมไว้ก่อนที่จะเสียว่า พ่อของผมจะมารับผมไปอยู่ด้วย ดังนั้น ตั้งแต่ผมจำความได้ ผมรอคอยพ่อ ติดตามความก้าวหน้าของพ่อ ยินดีกับพ่อ และรอว่า เมื่อไรพ่อจะกลับมารับผมไป จนกระทั่งยายจากผมไป ผมก็ยังมั่นใจว่าพ่อจะกลับมารับผม แต่ตอนนี้ผมหมดหวังแล้ว พ่อมีภรรยาที่ต้องดูแล มีลูกชายที่กำลังก้าวหน้าอยู่ในวงการธุรกิจระดับโลก คงไม่มีเวลาให้กับลูกนอกสมรสจน ๆ คนนี้หรอก ปล่อยให้ผมอยู่อย่างเดิมดีกว่า” ตี๋น้อยพูดพลางหันหลังให้ ก่อนที่จะพูดว่า

“ผมเหนื่อย อยากพักผ่อน ขอโทษนะครับ”

เจ้าสัวรณฤทธิ์ พูดอะไรไม่ออก ทำให้ครูใหญ่ที่น้ำตานองหน้าต้องเดินมาแตะแขนของเจ้าสัว ก่อนที่จะบอกใบ้ให้ออกไปข้างนอกก่อน


“ตี๋น้อย นายทำไมพูดกับพ่อนายอย่างนั้นละ พ่อนายดีใจมากรู้ไหมที่รู้ว่าเป็นนาย” เจ้าเหน่งพูดขึ้นเมื่อเห็นว่า ทั้งครูใหญ่ และเจ้าสัวออกจากห้องไปแล้ว

“เขายังใจดีมากด้วยนะ พาพวกเราที่มาจากบ้านนอกไปเลี้ยงโดยไม่รังเกียจด้วย ทำให้พวกที่ดูถูกเราทำหน้าเอ๋อไปเลย” เจ้ายักษ์พูดขึ้นบ้าง

“เรารู้ว่าพ่อเป็นคนใจดี ไม่ถือตัว และมีความสามารถรอบตัว แต่เราจำเป็นต้องพูดอย่างนั้น เพราะถ้าพ่อจะยอมรับตัวเราก็เท่ากับว่า พ่อจะมีปัญหากับครอบครัวของเขาเอง ซึ่งเราไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น” ตี๋น้อยหันหน้ากลับมาพูดคุยกับเพื่อน ๆ ที่ยัง
อยู่ในห้อง

“นายนี่มันจริง ๆ เลย คิดมากไม่เข้าเรื่อง เรื่องนั้นมันเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ เมื่อเขาต้องการรับนายไว้ นายก็ไม่ต้องคิดมากได้ไหม” เจ้าเอก ซึ่งเป็นประธานนักเรียน และเป็นคนที่ใช้บริการความเป็นอัจฉริยะของตี๋น้อยมากที่สุด เอ่ยขึ้น

“ไม่ได้หรอกเอก การเป็นคนที่แท้จริงไม่ใช่ว่าจะกอบโกยเอาความสุขสบายมาใส่ตัวเอง โดยโยนปัญหาไปให้กับคนอื่น ทุกวันนี้เราก็มีความสุขเพียงพอแล้ว และเราคิดว่า เราสามารถที่จะสร้างเนื้อสร้างตัวให้ไม่น้อยหน้าลูกคนอื่นของพ่อได้ แม้ว่า เราจะไม่มีรากฐานทางการเงินก็ตาม”

ตี๋น้อยพูดขึ้นอย่างเด็ดเดี่ยว ทำให้พวกเพื่อน ๆ เงียบเสียง เพราะเขารู้ว่า การตัดสินใจของตี๋น้อยนั้นราวกับคำสั่งของผู้พิพากษาศาลฏีกา คือเด็ดขาด และเป็นที่สิ้นสุดของคดีต่าง ๆ ซึ่งจะอุทธรณ์อีกไม่ได้




 

Create Date : 15 ตุลาคม 2554    
Last Update : 15 ตุลาคม 2554 15:49:15 น.
Counter : 261 Pageviews.  

บทที่ 1 อัจฉริยะบ้านนอก

ในป่าแอฟริกาที่อุดมสมบูรณ์ มีกระทิงอยู่ฝูงหนึ่ง อาศัยอยู่กันประมาณร้อยกว่าตัว วันนั้น อากาศดี พวกมันพากันออกหากินบนผืนหญ้าที่กว้างใหญ่ไพศาล”

แว่วเสียงนุ่ม ๆ มีเสน่ห์ และเต็มไปด้วยพลังแห่งการสร้างสรรค์ดังขึ้นในห้องเรียนเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในจังหวัดหนองคาย

“ท่าม กลางสายลมอ่อน ๆ โชยพัดผ่าน บรรยากาศร่มรื่น เย็นสบาย  แต่แล้วประสาททุกส่วนของเหล่ากระทิงพลันตึงเครียด เพราะพวกมันได้กลิ่นสิงโต……ไม่ใช่สิงโตแค่ตัวเดียว.....จมูกที่ปราดเปรียว ของพวกมันได้กลิ่นฝูงสิงโต”

จังหวะจะโคน และลีลาการเล่านั้นทำให้คนฟังถึงกลับสะดุ้ง เพราะคิดถึงความดุร้ายของสิงโตขึ้นมา

“โฮกกกก.................”

คนเล่าทำเสียงคำรามดังลั่น จนคนทั้งห้องพากันตกใจ คนที่ขวัญอ่อนก็แทบตกเก้าอี้

“สิงโต ตัวหนึ่งกระโจนออกมายืนจังก้าอยู่หน้าฝูงกระทิง เหล่ากระทิงพากันถอยออกด้านข้าง ทำให้เหล่ากระทิงแม่ลูกอ่อน รีบวิ่งไปนำลูกของมันมารวมกลุ่มอยู่กลางฝูงกระทิง โดยมีเหล่ากระทิงหนุ่มพากันห้อมล้อมไว้  คอยป้องกันเหล่าสิงโต”

“โฮกกกก................”

คราว นี้คนเล่ากระโดดออกมาจากจุดที่ยืนอยู่ เข้ามาใกล้เหล่านักเรียนที่นั่งฟังอย่างใจจดใจจ่อ จนเหล่านักเรียนหญิงพากันร้องกรี๊ดกันราวกับเสียงกรี๊ดในงานคอนเสิร์ต

“สิงโต อีก 7-8 ตัว พากันวิ่งมาห้อมล้อมฝูงกระทิงไว้ไม่ให้หนี เหล่ากระทิงไม่มีทางหนี พวกมันจึงวิ่งวนไปรอบ ๆ ด้วยความหวังว่าจะมีทางรอด แต่พวกมันหมดหวังแล้ว เพราะการประสานงานของเหล่าสิงโตไร้ซึ่งช่องโหว่ ด้วยเหตุนี้ เหล่าฝูงกระทิงจึงทำได้เพียงรักษากลุ่มไว้ ทำให้เหล่าสิงโตไม่กล้าเข้าจู่โจม ทั้งสองฝ่ายจึงเฝ้ารักษาสภาพเช่นนั้นไว้” คราวนี้เสียงนุ่ม ๆ ก็ดังแผ่ว ๆ เป็นจังหวะ ราวกับว่า เหล่ากระทิงหมดทางหนี และอับจนปัญญาแล้ว

“จนกระทั่ง.....” เสียงคนเล่าดังขึ้นด้วยความตื่นเต้น จนทำให้คนฟังคอยลุ้นว่าจะมีปาฏิหาริย์อะไรที่จะช่วยเหล่ากระทิงได้

“ฟึดดดดดด................”

ชาย หนุ่มร่างร่างสูงโปร่ง ผิวขาว แต่ตาชั้นเดียวราวกับเป็นลูกคนจีน ได้ทำเสียงหายใจออกมาดังลั่น ทำให้คนรู้ว่าเป็นเสียงหายใจของกระทิง

“เสียงหายใจจากกระทิงหนุ่มที่แข็งแรงที่สุดในฝูง..............

มันเคยเอาชนะในการต่อสู้มานับครั้งไม่ถ้วน.............

มันไม่เคยเห็นด้วยกับความคิดของหัวหน้าฝูงที่ให้หนีภัยจากสิงโต..............

ดังนั้น มันจึงพุ่งทะยานเข้าใส่สิงโต มันก้มหัว พุ่งเป้าหมายไปที่ท้องของสิงโตตัวหนึ่ง...........”

“หวืดดดด.......................”

ทุกคนในห้องทำหน้าเคร่งเครียด เพราะเสียงเช่นนี้ย่อมแสดงว่า เจ้ากระทิงหนุ่มพุ่งเข้าชนสิงโตพลาด

“เขาอันแหลมคมของเจ้ากระทิงพุ่งเฉียดท้องสิงโตไปนิดเดียว....นิดเดียวเท่านั้นเอง”

คนเล่าทำเสียงทอดถอนใจ ก่อนที่จะเล่าต่อว่า

“สิงโต ค่อย ๆ ถอยหลัง ทำให้เจ้ากระทิงหนุ่มยิ่งได้ใจ มันได้ไล่ขวิดเหล่าสิงโตจนหนีกระเจิดกระเจิง มันยิ่งไล่ขวิดสิงโต เหล่าสิงโตก็ยิ่งวิ่งหนีมัน”

“ครั้งแล้ว มันคิดว่า เหล่าสิงโตพวกนี้หวาดกลัวมันแน่ ๆ ทำให้มันภาคภูมิใจในกำลังอันเข้มแข็งของมัน ซึ่งจะทำให้มันสามารถช่วยฝูงของมันได้ และมันอาจจะได้รับตำแหน่งหัวหน้าฝูงแทนเจ้ากระทิงแก่ที่ขี้ขลาดตัวนั้น”

คนเล่าปล่อยให้ความเงียบเกิดขึ้นกับคนฟังในชั้น รวมทั้งครูผู้สอนที่นั่งนิ่งราวกับจะครุ่นคิดถึงความหมายของสถานการณ์นี้

“ครู่ ใหญ่ ๆ ต่อมา เมื่อเจ้ากระทิงหนุ่มเงยหน้าขึ้น สิ่งที่มันเห็นคือ สิงโต 7 - 8 ตัว ล้อมรอบตัวมัน  มันมองหาพรรคพวกของมัน แต่อนิจจา...มันเป็นวัวกระทิงเพียงตัวเดียวที่อยู่ในระแวกนี้”

คนฟังหลับตาปี่ด้วยความหวาดเสียว เพราะพอจะล่วงรู้ถึงจุดจบของเจ้ากระทิงหนุ่ม ฮีโร่ของเหล่ากระทิง ว่าจะจบลงที่ไหน

“มัน สู้อย่างไม่ย่อท้อ ด้วยหวังปาฏิหาริย์ แต่อนิจจา.....ปาฏิหาริย์ที่มันคาดหวังไว้ไม่เคยเกิดขึ้น เพราะคมเขี้ยวของเหล่าสิงโตพากันรุมกัดฉีกร่างของมันจนมันอ่อนแรง และก่อนที่ดวงตาของมันจะปิดไปตลอดกาล มันเห็นเหล่าสิงโตที่เคยรุมไล่ฝูงของมันบัดนี้พากันมาห้อมล้อมมันเพียงตัว เดียวเท่านั้น”

“มันจึงรู้สำนึกว่า......แม้มันจะมีกำลังที่แข็ง แกร่ง มีเขาทั้งคู่ที่แหลมคม กำลังขาที่ปราดเปรียว แต่สุดท้ายแล้ว...มันก็เป็นได้แค่ อาหารอันโอชะของฝูงสิงโตเท่านั้น !!!”

ความ เงียบปกคลุมทั่วทั้งห้องในชั่วพริบตานั้นเอง เสียงถอดถอนใจของเหล่าเพื่อนร่วมชั้นและครูประจำวิชาทำให้เด็กหนุ่มผู้ถ่าย ทอดเรื่องราวนี้กล่าวสรุปออกมาว่า

“ความจริงที่แฝงอยู่ในเหตุการณ์ นี้สอนให้เรารู้ว่า......ความเก่งกล้าสามารถที่ปราศจากการวางแผน ย่อมเป็นได้แค่เหยื่อของผู้ที่รู้จักการวางแผนการอย่างรอบคอบและรัดกุม”

“เพราะฉะนั้น หากคิดจะสำเร็จผลในสิ่งใด ต้องวางแผนก่อนทุกครั้ง....ขอบคุณครับ”

เมื่อ สรุปเรื่องราวเสร็จสิ้น เด็กหนุ่มผู้ยืนรายงานหน้าชั้นก็โค้งคำนับครู  และเพื่อนร่วมชั้น ทำให้ได้รับเสียงปรบมือดังสนั่นหวั่นไหว และเนิ่นนานจากเพื่อน ๆ และครูผู้สอน

“ว๊าว..............สุดยอดไปเลยตี๋น้อย สุดยอดอัจริยะประจำโรงเรียน “

กลุ่ม หัวโจกประจำห้องพากันออกปากเชียร์ จนครูผู้สอนต้องถลึงตามอง เสียงเชียร์จึงหยุดลง แต่ยังไม่วายที่จะมีการยกมือยกไม้ให้กับเด็กหนุ่มที่มีชื่อเล่นว่า ตี๋น้อย



เมื่อ พักเที่ยง เหล่าเพื่อน ๆ ก็พากันมารุมล้อมตี๋น้อย พลางนำข้าวที่ห่อจากบ้านมารวมกลุ่มกัน เพื่อที่จะมีอาหารหลากหลายชนิด และที่สำคัญที่สุดก็คือ เพื่อที่ตี๋น้อยจะได้กินอาหารกลางวันอย่างอิ่มหนำสำราญ

“ตี๋น้อย ช่วยพวกเราหน่อยสิ อีกไม่กี่เดือนก็จะถึงการแข่งขันกีฬาจังหวัดแล้ว พวกเราอยากเป็นตัวแทนจังหวัดไปแข่งขันกีฬาประจำภาค”

ตี๋ น้อย เป็นชื่อของ นาย ฤทธิ์เดชา ดำรงฤทธิกุล เด็กหนุ่มวัย 17 ปี ถึงแม้ว่าจะชื่อตี๋น้อย แต่รูปร่างที่สูงโปร่ง และดูเด่นเป็นสง่าดูขัดกับชื่อเล่น ถึงกระนั้นก็ดี เหล่าเพื่อน ๆ ก็ยังคงจะเรียกเขาในนาม ตี๋น้อย เช่นเดิมไม่เคยเปลี่ยน

ตี๋น้อยเป็นเด็กกำพร้า ผู้ซึ่งใช้นามสกุลของพ่อที่ไม่เคยเห็นหน้าเลยสักครั้งเดียว

แม่ ของตี๋น้อยเสียชีวิตตั้งแต่วันที่คลอดเขาออกมา แต่แม่ก็ได้ตั้งชื่อเล่น และชื่อจริง พร้อมทั้งเตรียมใบรับรองการเป็นบุตรจากผู้เป็นพ่อ ทำให้ตี๋น้อยสามารถใช้นามสกุล “ดำรงฤทธิกุล” ของเจ้าสัวรณฤทธิ์ ดำรงฤทธิกุล นักธุรกิจอันดับต้น ๆ ของประเทศไทย และของโลกได้ด้วยสถานะของการเป็น ”บุตรชาย”

แม้ว่าจะเป็นบุตรชายของมหาเศรษฐีระดับโลก แต่ในชีวิตจริงของตี๋น้อยยังคงอาศัยอยู่กับยายโดยไม่ได้เรียกร้องสิทธิของตน เองเลยแม้แต่น้อย แม้ว่ายายจะเสียไปเมื่อปีที่แล้ว  แต่เขาก็ยังรักที่จะใช้ชีวิตอยู่ตัวคนเดียวในบ้านเก่า ๆ ที่เป็นมรดกของยาย

เพราะเขาคือ ตี๋น้อย...อัจฉริยะผู้ไม่ยอมก้มหัวให้กับชะตาชีวิต.....



“พวกนายมีแผนการไหมละ”

ตี๋ น้อยถามเพื่อน ๆ ซึ่งมักจะมาปรึกษาเขาอยู่เสมอ ๆ และนี่คือคำพูดยอดฮิตของเขา ทำให้เป็นที่รู้กันโดยทั่วไปว่า ถ้าไม่มีคำตอบที่ดี อาจจะต้องครุ่นคิดหาทางตอบคำถามนี้ให้ได้ ก่อนที่จะมาปรึกษากับตี๋น้อย

“ไม่มีหรอก แต่พวกเรามีเป้าหมายที่จะไปให้ถึงทีมชาติ แต่ไม่รู้ว่าจะวางแผนการอย่างไงจึงจะไปให้ถึงจุดนั้นได้ พวกเราจึงต้องมาขอให้นายช่วยนี่ไงละ” เอก ประธานนักเรียนผู้ใช้งานตี๋น้อยบ่อยที่สุด เอ่ยขึ้น

“ถ้าอยากจะไปให้ถึงทีมชาติก็ไม่เห็นจะยากเลย เล่นให้เก่งทั้งส่วนตัว และเป็นทีม”

ตี๋น้อยพูดเสร็จก็ปั้นข้าวเหนียวจิ้มแจ่วบองขึ้นใส่ปากอย่างเอร็ดอร่อย ทำให้เพื่อน ๆ ที่โดนตี๋น้อยตอบแบบง่าย ๆ ต้องถามอีกครั้งว่า

“แล้วไอ้ความเก่งนี้มันเป็นอย่างไรละ”

“พวก นายมีโทรทัศน์ที่บ้านกันทุกคน ไม่เคยเห็นโฆษณาน้ำอัดลมที่มีนักฟุตบอลเลี้ยงบอลวิ่งผ่านบ้านคน โดยมีชาวบ้านจำนวนมาพยายามมาแย่งฟุตบอล พวกนายเห็นแล้วบอกได้ไหมว่า ความเก่งคืออะไร” ตี๋น้อยที่มักจะทำหน้าที่ในการแนะนำเพื่อน ๆ ในทุกเรื่อง ได้ถามคำถามที่จุดประกายความคิดของเพื่อน ๆ

“ความเก่งคือ การที่สามารถทำเรื่องที่ยากสุด ๆ ให้เหมือนกับเป็นของง่ายสุด ๆ” เจ้าเหน่ง ซึ่งเป็นนักฟุตบอลประจำโรงเรียนตอบขึ้น เมื่อเห็นว่า เพื่อน ๆ ไม่มีใครกล้าตอบ

“อย่างไง” ตี๋น้อยเงยหน้าขึ้นมองเหน่ง พร้อมกับถามขึ้น

“ก็อย่างการวิ่งเลี้ยงบอลหลบชาวบ้านกลุ่มใหญ่ไปได้ราวกับเป็นเรื่องง่าย ๆ นะสิ”

“แล้วไงอีก” ตี๋น้อยถามต่อ

“คงจะเป็นการทำเรื่องเครียด ๆ อย่างการเล่นบอลให้เป็นเรื่องสนุก ๆ เฮ ๆ ฮา ๆ ได้มั๊ง”

“แล้วไงต่อ”

“เอ...ยังมีอีกหรอ” เจ้าเหน่งจนมุม จึงถามกลับ

“เอ้า.... ไม่มีก็ได้ แล้วจะทำอย่างไงให้มีความเก่งละ” ตี๋น้อยเลยเปลี่ยนคำถาม เพราะเห็นหน้าเครียด ๆ ของเพื่อน ๆ แล้วพาลจะกินข้าวไม่อร่อย

“ฝึกซ้อมไง” เจ้าชัย หัวหน้านักวอลเล่ย์บอลตอบ

“อืม....ทุกโรงเรียนก็ฝึกซ้อม นักกีฬาทุกคนก็ต้องฝึกซ้อม ไม่เห็นจะทำให้เราเก่งกว่าคนอื่น ๆ ได้เลย” คราวนี้ตี๋น้อยขัดขึ้นแบบให้คิด

“เราก็ต้องฝึกให้หนักกว่าพวกเขา” ขิง เด็กเรียนซึ่งร่วมวงกินข้าวด้วย แต่ไม่ได้เป็นนักกีฬาตอบขึ้น

“ถูก ต้อง เราต้องฝึกให้หนักกว่าคนอื่น แต่จะฝึกให้หนักกว่าอย่างไรละ เพราะเราก็ต้องเรียน ต้องกลับบ้าน ต้องทำงานช่วยพ่อแม่ ต้องมีธุระส่วนตัวอีกเยอะแยะไปหมด” ตี๋น้อยกล่าวทวน และตบท้ายด้วยการถามเหมือนเดิม

“เราเคยดูหนังเรื่องของนักบาสเก็ตบอล ที่พกลูกบาสไปไหนมาไหนด้วย แล้วก็ทำให้มันเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของเรา แบบนี้จะทำให้เราเก่งขึ้นกว่าคนอื่น ๆ ได้ไหม”

เจ้าโย่งนักบาสเก็ตบอลของโรงเรียนพูดเสียงเบา ๆ แต่ทุกคนก็พยายามเงี่ยหูฟังด้วยความสนใจ

“น่า จะเข้าท่า นักฟุตบอลก็เลี้ยงฟุตบอลตลอด นักตะกร้อก็เล่นกับลูกตะกร้อตลอดเวลา เล่นกีฬาอะไรก็เล่นกับสิ่งนั้น ๆ ตลอดเวลา” ตี๋น้อยพูดขึ้น

“แล้วพวกเราที่เป็นนักกรีฑาละ จะต้องทำอย่างไร” หลังจากเสียงเฮของเหล่านักกีฬาแล้ว บรรดานักกรีฑาที่ได้ยืนฟังไอเดียการฝึกซ้อมก็ถามขึ้น

“ถ้าเป็นนัก วิ่ง ก็น่าจะวิ่งตลอดนะ ตอนนั่งเรียนก็สับขาทำท่าวิ่ง ส่วนนักกระโดดสูงก็นั่งยอง ๆ กระโดดขึ้นลง ไม่รู้สินะ ลองไปคิดและออกแบบการฝึกซ้อมของพวกนายมาเองก็แล้วกัน เรามันไม่ใช่นักกีฬา พวกนายเก่งกว่าเราอยู่แล้ว ในเรื่องนี้”

ตี๋น้อยเสนอแนวคิด และชมเชยพวกเขา ทำให้เหล่านักกรีฑาพากันดีใจ และวิ่งออกไปประชุมกันว่า แต่ละประเภทควรออกแบบการฝึกซ้อมตลอดเวลาอย่างไร



เช้าวันต่อ มา ที่ห้องเรียนของโรงเรียนประชาสงเคราะห์ จังหวัดหนองคาย ก็เกิดเหตุการณ์แปลกประหลาดเกิดขึ้น เมื่อเหล่านักเรียนต่างพากันนำอุปกรณ์กีฬาของตนมาโรงเรียน เช่น ฟุตบอล วอลเลย์บอล ตะกร้อ บาสเก็ตบอล และอุปกรณ์กีฬาอื่น ๆ อีก แล้วแต่ว่าใครจะเล่นอะไร

พวกที่มีอุปกรณ์กีฬาเหล่านี้ก็จะพากัน เลี้ยงลูก เล่นกับมัน และใช้เวลากับมันให้มากที่สุดเท่าที่พวกเขาจะคิดได้ โดยไม่สนใจว่าจะเป็นเวลาอะไร ไม่ว่าจะเข้าแถวเคารพธงชาติ นั่งเรียน กินข้าว ทำเวร ส่วนพวกที่ไม่มีอุปกรณ์ก็จะพากันวิ่ง กระโดด และทำท่าทำทางที่จะช่วยให้เขาคุ้นเคยกับกีฬาของพวกเขา

ในโรงเรียน แห่งนี้จึงมีผู้ที่เรียบร้อยแค่คนเดียวคือ....ตี๋น้อย เพราะตี๋น้อยไม่ได้เป็นนักกีฬาแต่มีความรอบรู้ในกีฬาทุกประเภท ครูใหญ่จึงมอบหมายให้เขาเป็นที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ให้กับกีฬาทุกประเภทใน โรงเรียน

“ตี๋น้อย บอกครูหน่อยได้ไหม ว่าเกิดอะไรขึ้นกับนักเรียนโรงเรียนเรา”

ครูใหญ่ร่างท้วม สวมแว่นตาหนาเตอะที่กำลังปวดหัวเพราะเสียงอึกทึกครึกโครมเหมือนกับว่า โรงเรียนมีกีฬาสีตลอดเวลา

“ก็ ไม่มีอะไรมากหรอกครับครู แค่พวกเพื่อน ๆ เขาอยากที่จะเอาชนะในการแข่งขันกีฬาประจำจังหวัด เพื่อมุ่งสู่การเป็นนักกีฬาทีมชาติ ก็เท่านั้นเองครับ” ตี๋น้อยตอบแบบเรียบ ๆ ทำเอาครูใหญ่มองลอดแว่นมายังเขา

“ไอเดียเธออีกละสิ ที่ทำให้เหล่าเพื่อน ๆ เป็นแบบนี้”

“ก็ไม่เชิงหรอกครับ ทุกคนช่วยกันออกความคิด ผลสรุปก็ออกมาอย่างที่เห็นนั่นแหละครับ” ตี๋น้อยตอบยิ้ม ๆ ก่อนที่จะพูดอีกว่า

“โรงเรียน เราเป็นโรงเรียนเล็ก ๆ นักเรียนไม่ถึง 500 คน และส่วนใหญ่ก็ยากจน ถ้าพวกเขาไม่เก่งในทางใดทางหนึ่ง โอกาสที่จะก้าวขึ้นไปสู่ชีวิตที่ดีกว่านี้คงจะยาก พวกผมคงต้องรบกวนให้ครูช่วยพวกเราหน่อยก็แล้วกันนะครับ” ตี๋น้อยพูดขึ้นก่อนที่ครูใหญ่จะทันได้ออกความคิดเห็น

“ครูเชื่อใน ความเป็นอัจฉริยะของเธอ แต่ขอครูมั่นใจหน่อยได้ไหมว่า ถ้าทำอย่างนี้แล้ว โอกาสของโรงเรียนเราจะก้าวไปสู่การเป็นตัวแทนจังหวัด จนสามารถไปแข่งขันระดับภาคได้”

ครูใหญ่ที่เห็นผลงานในหลาย ๆ เรื่องของตี๋น้อยพูดขึ้น พลางมองดูตาของเด็กนักเรียนที่สามารถทำให้โรงเรียนเล็ก ๆ ก้าวขึ้นมาเป็นโรงเรียนที่มีศักยภาพจนโรงเรียนประจำจังหวัดที่โด่งดังต้อง ยอมรับในหลายเรื่อง เช่นเรื่องการศึกษา การหารายได้พิเศษของนักเรียน ความสามัคคีของนักเรียน การประกวดมารยาท และอื่น ๆ อีกมากมาย แต่ครั้งนี้จะนำโรงเรียนแห่งนี้ซึ่งอ่อนด้อยที่สุดในจังหวัดในเรื่องกีฬา ไปสู่ความโดดเด่นเป็นหนึ่งในเรื่องกีฬา ซึ่งเขาก็ไม่รู้ว่าจะทำได้อย่างไร

“ผม มั่นใจ เพื่อน ๆ ทุกคนก็มั่นใจ แค่นี้ก็เพียงพอแล้วที่ครูก็จะต้องมั่นใจด้วย” ตี๋น้อยกล่าวเสียงหนักแน่น พร้อมดวงตาที่เป็นประกาย ทำให้ครูใหญ่ผงกหัวยอมรับ

“สำหรับครูท่าน อื่น ๆ ผมคิดว่า แรก ๆ พวกเขาคงจะรับไม่ค่อยได้ ดังนั้น ผมต้องรบกวนให้ครูช่วยชี้แจงให้บรรดาครูทั้งหลายฟังด้วย รวมทั้งให้ครูพละช่วยแนะนำแนวทางปฏิบัติ และเทคนิคกีฬาต่าง ๆ ด้วย” ตี๋น้อยกล่าว ก่อนที่จะเสริมว่า

“และถ้าเป็นไปได้ ผมอยากให้ครูใหญ่ช่วยไปยืมเทปการแข่งขันกีฬาประเภทต่าง ๆ ในระดับโลก มาให้พวกเราดูด้วยนะครับ ผมเชื่อว่า สิ่งนี้จะทำให้พวกเราพัฒนาศักยภาพไปได้อีกยาวไกล จนกระทั่งพวกเราทุกคนได้ไปสู่ชีวิตที่ดีกว่า ด้วยความช่วยเหลือจากครูใหญ่ และครูทุก ๆ คนในโรงเรียนแห่งนี้”

“ครับ ได้ครับคุณตี๋น้อย แล้วมีอะไรจะใช้กระผมอีกไหมครับท่าน” ครูใหญ่ตอบยิ้ม ๆ

“ไม่มีแล้วครับ ถ้ามีแล้วจะบอก เออ....ผมขอตัวก่อนละคร๊าบบบ”

พูด ยังไม่ทันจบ หนุ่มน้อยร่างสูงโปร่งนามตี๋น้อยก็วิ่งหายไปจากห้องอย่างรวดเร็ว จนครูใหญ่ที่กำลังควานหาชอล์กต้องชะงักมือไป เพราะเป้าหมายไม่อยู่ให้ขว้าง



หลัง จากพูดคุยกับครูใหญ่แล้ว ตี๋น้อยก็ให้คำแนะนำเพื่อน ๆ ทุกคนไม่ให้ส่งเสียงดัง รวมทั้งการให้กำลังใจกับคนที่ลูกบอลมักจะหลุดมือหลุดเท้าจนต้องคอยวิ่งเก็บ จนเหน็ดเหนื่อย ส่วนครูใหญ่ยังง่วนอยู่กับการจดบันทึกสิ่งต่าง ๆ ที่ตี๋น้อยแนะนำ เพื่อนำไปรายงานในที่ประชุม และนำมาเป็นแผนปฏิบัติงานของโรงเรียน






Free TextEditor




 

Create Date : 15 ตุลาคม 2554    
Last Update : 15 ตุลาคม 2554 15:47:04 น.
Counter : 270 Pageviews.  

บทนำ


บทนำ

กรุงเทพมหานคร เมืองหลวงที่หลอมรวมทุก ๆ สิ่งไม่ว่าดีหรือร้ายเข้าไว้ด้วยกัน !!!
ในตรอกเล็ก ๆ ที่ไร้ผู้คนย่างกราย บุรุษร่างกำยำล่ำสันห้าคนได้ผลักดันหญิงสาวหน้าตาสวยงามเข้ามุมอับ ที่บดบังสายตาจากผู้คนภายนอกด้วยถังขยะใบใหญ่

“อย่าทำฉันเลย เห็นแก่ลูกในท้องของฉันเถอะ”

หญิงสาวซึ่งสวมใส่ชุดยูนิฟอร์มของบริษัทที่ใหญ่โตและมีชื่อเสียงไปทั่วโลกยกมือไหว้ก่อนที่จะใช้มือกุมท้องไว้ราวกับจะคอยปกป้องลูกน้อยเอาไว้ แม้จะรู้ว่าไม่มีประโยชน์แต่อย่างใด เพราะแม้แต่ชีวิตของเธอเองยังไม่อาจที่จะปกป้องไว้ได้
น้ำตาไหลอาบหน้าหญิงสาวอย่างน่าสงสาร จนแม้แต่ผู้ร้ายที่ไร้คุณธรรมที่สุดหากได้พบยังอดที่จะสมเพชเวทนาไม่ได้

แต่บุรุษที่สวมชุดสูทสีดำทั้งห้าคนกลับนิ่งเฉย ในมือของคนที่อยู่ด้านหน้าหญิงสาวนั้นล้วงเข้าไปในเสื้อสูทด้วยดวงตาที่แฝงไว้ด้วยความอับจนปัญญาชนิดหนึ่ง เพราะพวกเขาคือนักฆ่ามืออาชีพที่มีแต่ทำตาม “คำสั่ง”

“หากจะฆ่าฉันจริง ๆ ก็ขอให้ฉันได้คุยกับเธอคนนั้นก่อนได้ไหม ฉันจะได้ขอให้เขาแห็นแก่ลูกที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของคนที่เขารัก หากเขาตกลงฉันจะไปคลอดลูกเสร็จแล้วก็จะรับความตายเอง”

หญิงสาวต่อรองอีกครั้งด้วยความหวังที่จะหาทางรอดให้กับลูกที่ไม่รู้ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสโผล่หน้ามาดูโลกนี้หรือไม่ และไม่รู้ว่าผู้เป็นพ่อจะมีโอกาสได้รู้หรือไม่ว่า เธอและลูกได้เผชิญชะตากรรมอย่างไรในวันนี้ หากแต่หนังตาของบุรุษเบื้องหน้าไม่กระพริบแม้แต่น้อย มือขวายังคงจะหยิบจับบางสิ่งบางอย่างที่จะนำมาใช้ปลิดชีวิตของเธอ

“บี๊บบบ !!!”

เสียงการติดต่อดังมาจากเครื่องรับส่งวิทยุของชายชุดดำ ทำให้มือที่เอื้อมไปจับบางสิ่งบางอย่างในชุดสูทนั้นชะงัก ก่อนที่จะเปลี่ยนเป้าหมายมาจับสายสมอลท๊อกแทน

เวลาเหมือนจะหยุดนิ่งจนลมหายใจหญิงสาวแทบจะขาดห้วงด้วยไม่รู้ว่าเธอและลูกจะมีชีวิตอยู่อีกกี่นาที จนกระทั่งเสียงตอบรับของบุรุษชุดดำกล่าวขึ้นว่า

“ครับท่าน”

บุรุษในชุดสูทสีดำกล่าวสั้น ๆ ตอบรับคำสั่งที่มาจากโทรศัพท์ ก่อนที่จะหันหน้าไปยังหญิงสาว และกล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า

“เจ้านายก็ไม่อยากจะทำกรรมมากกว่านี้ ท่านตกลงที่จะให้เธอได้กลับไปยังบ้านเดิมเพื่อคลอดลูก หลังจากนั้นเธอก็น่าจะรู้ดีควรจะทำอย่างไร”

สตรีสาวผู้นี้ยกมือไหว้เหล่าบุรุษที่เคยคิดจะเอาชีวิตเธอด้วยความยินดี แม้ชีวิตของเธอจะสูญสิ้นไปก็ขอให้เหลือลูกไว้ให้เขาก็พอแล้ว นี่เป็นสิ่งเดียวที่หญิงสาวคิดในตอนนี้


บุรุษชุดดำทั้งห้าจากไปแล้ว แต่หญิงสาวยังไม่อาจที่จะพยุงร่างออกไปได้ สายฝนพรำลงมาอย่างแผ่วเบาราวกับจะบรรเทาความวิตกกังวลของหญิงสาว และทำให้เธอฟื้นตื่นจากฝันร้าย

หญิงสาวก้าวเดินออกจากตรอก สองมือกุมท้องไว้อย่างทนุถนอม แม้เธอจะถูกแยกจากคนที่เธอรัก แม้ลูกจะถูกพรากไปจากพ่อ แต่เธอมั่นใจว่า พ่อลูกจะต้องได้พบกันในวันหนึ่งข้างหน้าอย่างแน่นอน


สังหรณ์ของผู้เป็นแม่นั้นมักจะแม่นยำเสมอ แต่นั่นเป็นเรื่องของอีก 17 ปีต่อมา !!!



หมื่นลี้

Free TextEditor




 

Create Date : 15 ตุลาคม 2554    
Last Update : 15 ตุลาคม 2554 15:41:37 น.
Counter : 295 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  

Muen Li
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add Muen Li's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.