วรรณกรรมของหมื่นลี้
Group Blog
 
All Blogs
 
บทที่ 2 จุดเปลี่ยนของชีวิต

หลายเดือนต่อมา ณ สนามกีฬาแห่งชาติ นักกีฬาส่วนใหญ่ของเขต 4 จังหวัดหนองคายคือนักกีฬาจากโรงเรียนของประชาสงเคราะห์หนองคาย ครูใหญ่จึงกลายเป็นผู้คุมทีมไปโดยปริยาย

แต่ทว่า....ในขณะที่การแข่งขันกำลังเริ่มขึ้นในสองสามวันแรก

“ครูใหญ่ครับ แย่แล้วครับ”

เสียงเด็กนักเรียนที่มาแข่งกีฬาในสนามกีฬาแห่งชาติได้ร้องตะโกนโหวกเหวกโวยวายขึ้น ทำให้ครูใหญ่ร่างอ้วนสวมแว่นหนาเตอะ รีบลุกขึ้นจากอัฒจรรย์ไปหาเด็ก ๆ ด้วยความตกใจ เพราะรู้ว่าเด็ก ๆ โรงเรียนของเขาเป็นคนมีมารยาท หากเรื่องราวไม่เลวร้ายจริง ๆ คงไม่วิ่งหน้าตาตื่นมาอย่างนี้แน่นอน

“เกิดอะไรขึ้น ทำไมพากันลุกรี้ลุกรนกันอย่างนี้” ครูใหญ่รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีจึงรีบเอ่ยขึ้นทันที

“ตี๋น้อยถูกรถชนครับ” เจ้าเหน่ง ซึ่งมีสีหน้าไม่สู้ดีรีบตอบ

“ห๊า.......ว่าอะไรนะ”

ครูใหญ่ร้องเสียงหลง ด้วยไม่คาดคิดว่าเรื่องราวจะร้ายแรงขนาดนี้ เพราะตี๋น้อยในขณะนี้เป็นขวัญใจของนักกีฬาเขต 4 ไปเสียแล้ว หากเกิดอะไรขึ้นการแข่งขันคงจะพ่ายแพ้อย่างแน่นอน

“ตี๋น้อยถูกรถชน” เหน่งกล่าวช้า ๆ อีกครั้ง ทำให้ครูใหญ่แข็งใจถามขึ้นว่า

“มันเกิดขึ้นได้อย่างไง”

“พวกเราข้ามไฟเขียวอยู่ดี ๆ แต่รถเก๋งคนหนึ่งมันวิ่งฝ่าไฟแดงมาจะชนพวกเรา ตี๋น้อยเลยผลักพวกเราออกมาได้ แต่ตี๋น้อยกลับถูกชนจนล้มกลิ้งไปตามถนนครับครู”เจ้ายักษ์ ซึ่งเห็นเหตุการณ์รีบพูดขึ้น พลางเช็ดน้ำตาที่ไหลรินออกมาตามแก้ม

“นั่นไงครับ ตำรวจอยู่ที่นั่น พวกเขาส่งตี๋น้อยไปโรงพยาบาล แล้วอยากจะพบกับครู พวกผมเลยอาสามาตามให้”

“แล้วใครไปโรงพยาบาลกับตี๋น้อยละ” ครูใหญ่ถามด้วยความเป็นห่วง

“ตอนแรกว่าจะไปกันหมด แต่รถพยาบาลมีที่นั่งให้ได้แค่ 2 คน เลยให้เอก ประธานนักเรียน ไปกับชัย เพราะทั้งสองคนสามารถช่วยเหลือ และกรอกข้อมูลของตี๋น้อยได้” เหน่งตอบ ทำให้ครูใหญ่พยักหน้าอย่างดีใจที่นักเรียนของเขาสามารถมีสติ และปฏิกิริยาฉับไวแม้ในยามคับขัน

“ดีแล้วที่ทุกคนรักษาสติไว้ได้ เดี๋ยวครูจะไปพบตำรวจก่อน ถ้าตี๋น้อยไม่เป็นอะไรมากครูจะพาพวกเธอทักคนไปเยี่ยมตี๋น้อย”

“จริงหรือครับครู”

“จริงสิ” ครูใหญ่กล่าวอย่างมั่นใจ ก่อนที่จะไปพบกับตำรวจเพราะรับทราบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น


ขณะเดียวกัน ในคฤหาสต์หรูย่านกลางเมือง.....

“อะไรนะ อาตี๋ใหญ่ ขับรถชนคนหรอ อั๊วเคยบอกมันแล้วว่า เวลาขับรถให้ระวังหน่อย”

เสียงดังลั่นบ้านดังจากปากของนักธุรกิจหมื่นล้าน เจ้าสัว รณฤทธิ์ ดำรงฤทธิกุล ส่งผลให้ภรรยา คุณหญิง อรวรรณ ดำรงฤทธิกุล ได้ส่งเสียงร้องขึ้นว่า

“เฮียจะไปต่อว่าลูกมันทำไม แค่ขับรถชนคนบาดเจ็บ ไม่ได้ตายซะหน่อย ใช้เงินฟาดหัวมันไปสิ สักล้านสองล้าน ขี้คร้าน พวกมันจะดีใจจนน้ำตาไหล”

“เธอพูดเอาแต่ได้ นี่ลูกเราผิดนะ ขับรถฝ่าไฟแดง แถมยังจะไปชนกลุ่มนักกีฬาอีก ดีว่า มีคนหนึ่งเขาผลักเพื่อนเขาออกไปได้ ไม่อย่างนั้นได้ตายกันทั้งกลุ่มแน่ๆ แต่ว่า คนที่ช่วยเพื่อน ๆ ก็ต้องรับเคราะห์ไปคนเดียวเต็ม ๆ นี่สิ ไม่รู้ว่าจะตายหรือเปล่า เด็กดี ๆ อย่างนี้ยิ่งหายาก ๆ อยู่”

เจ้าสัวทอดถอนใจด้วยความเสียดาย และทึ่งในน้ำใจของคนที่ถูกรถชน หลังจากที่ได้ฟังรายงานจากนายตำรวจที่สนิทกัน และโทรมาแจ้งให้ทราบทันทีที่เกิดเรื่อง

“ก็แค่เด็กมันหยอกล้อกันเฉย ๆ ไม่ได้ตั้งใจจะช่วยเพื่อนหรอก เดี๋ยวนี้มันมีคนที่ยอมตายแทนเพื่อนซะทีไหน คุณก็อย่าไปเชื่อคำบอกเล่าของพวกชาวบ้านให้มันมากนัก” ภรรยากล่าวเป็นเชิงเตือนสติ ทำให้เจ้าสัวส่ายหน้าอย่างเอือมระอา ก่อนที่จะกล่าวว่า

“เดี๋ยวอั๊วจะไปเยี่ยมเด็กมันหน่อยนะ” พูดจบเจ้าสัวรณฤทธิ์ก็สาวเท้าออกจากบ้านไปโดยไม่รอฟังคำตอบของภรรยา ทำให้ภรรยาบ่นตามหลังอย่างน้อยอกน้อยใจ


“นี่ ๆ พวกคุณทำอย่างนี้ไม่ได้นะ ที่นี่เขตโรงพยาบาล ไม่ใช่สนามกีฬา จะเอาพวกอุปกรณ์กีฬามีเล่นที่นี่ไม่ได้”

เสียงผู้อำนวยการโรงพยาบาลฤทธิ์เดชากร้าวขึ้น เมื่อเห็นเหล่านักกีฬาจำนวนนับร้อยกรูเข้ามาในโรงพยาบาลที่ทันสมัยที่สุดในประเทศ แถมยังพากันนำลูกบอล และอุปกรณ์กีฬาต่าง ๆ เข้ามาเล่นด้วย

“พวกเรามาเยี่ยม คุณ ฤทธิ์เดชา ไม่ทราบว่า พอจะอนุโลมได้ไหมครับ เพราะพวกเด็ก ๆ เหล่านี้ก็ไม่ได้ส่งเสียงดังแต่อย่างใด เพียงแต่พวกเขาติดนิสัยการนำอุปกรณ์กีฬาส่วนตัวของเขาติดตัวไปด้วย แม้แต่ยามกินยามนอนพวกเขาก็ยังทำอย่างนั้นเลยครับ” ชายร่างท้วมลงพุง สวมแว่นตาหนา ใส่ชุดกีฬารัดรูปได้เข้ามาพูดคุยกับผู้อำนวยการโรงพยาบาล

“ไม่ได้ พวกคุณเข้ามาแบบนี้ ทำให้โรงพยาบาลของผมลดระดับลงไปเยอะ ช่วยพากันออกไปทั้งกลุ่มเลย ที่นี่ไม่ใช่พวกบ้านนอกแบบพวกคุณจะเข้ามา” เสียงของผู้อำนวยการที่มีหน้านิ่วคิ้วขมวดพูดขึ้นแบบมะนาวไม่มีน้ำ ทำให้หน้าของครูใหญ่ชักหน้าขึ้นสี

“บ้านนอกแล้วเป็นไงครับ บ้านนอกไม่มีหัวใจหรือไง รู้เอาไว้ซะว่า เขต 4 ที่มีเด็กบ้านนอกเหล่านี้เป็นตัวแทน กวาดเหรียญทองมามากกว่าเขต 10 กรุงเทพอย่างพวกคุณเสียอีก”

ครูใหญ่กระแทกเสียงใส่ ทำให้เหล่า พนักงานรักษาความปลอดภัยวิ่งมาตามเสียง ผู้อำนวยการโรงพยาบาลได้ทีจึงร้องสั่งไปว่า

“ร.ป.ภ. มาลากพวกนี้ออกไปเร็ว”

“ครับ ท่าน ผ.อ.”

เสียงร้องรับดังลั่น จากนั้น เหล่า ร.ป.ภ. ประมาณ 10 คนก็เข้ามาเพื่อจะลากกลุ่มครูใหญ่ และเหล่านักเรียนหนองคายออกไปจากโรงพยาบาล แต่เหล่า ร.ป.ภ.ที่ปกติรักษาการอยู่แต่ในอาคาร ไม่ได้ออกแรงมากเหมือนอย่างนักกีฬาโรงเรียนประชาสงเคราะห์ ทำให้เหล่า ร.ป.ภ. พากันวิ่งไล่กวดไม่ทันเหล่าเด็ก ๆ บางคนยังหกล้มเพราะถูกปัดแข้งปัดขาจากเหล่านักกีฬาฟุตบอลที่ส่งเสียงร้องเฮดังลั่น


“หยุด................”

เสียงพูดไทยสำเนียงจีนตวาดดังลั่น ทำให้เหล่า ร.ป.ภ. ต่างยืนตัวแข็ง รวมทั้งผู้อำนวยการโรงพยาบาลด้วย ส่วนบรรดาเด็ก ๆ ต่างยืนมองด้วยความแปลกใจ และครูใหญ่ที่ค่อย ๆ โผล่หน้าออกมาจากข้างโต๊ะพยาบาล พร้อมกับรอยฝ่ามือสาว ๆ ที่ข้างแก้ม (ไม่รู้ไปทำอะไรตรงนั้น)

“ศักดา รายงานมาสิ ว่าเกิดอะไรขึ้น” เสียงนั้นพุ่งตรงไปที่ผู้อำนวยการซึ่งยืนตัวแข็งอยู่ตรงหน้า

“เอ่อ.....คนกลุ่มนี้เข้ามาก่อความวุ่นวายในโรงพยาบาลของเรา ผมเลยให้ ร.ป.ภ. มาช่วยผลักดันออกไปนะครับ”

“งั้นรออยู่นี่นะ เดี๋ยวอั๊วะจะไปสอบถามคู่กรณีของลื้อก่อน” ชายผู้นั้นบอกก่อนที่จะเรียกกลุ่มหนุ่ม ๆ สาว ๆ เข้ามา ทำให้ผู้อำนวยการหน้าซีดลง

“คุณลุงคนนี้ไม่ยอมให้พวกเราเข้าไปเยี่ยมเพื่อนนะครับ บอกว่าพวกเราเป็นเด็กบ้านนอก อาจจะทำให้โรงพยาบาลที่นี่ลดระดับลง เขาเลยเรียก ร.ป.ภ. มาไล่จับพวกผม แต่พวกผมไม่ยอมทิ้งเพื่อนไว้กับโรงพยาบาลที่ไร้น้ำใจอย่างนี้หรอกครับ” เหน่ง ตอบแบบฉะฉาน และไม่ไว้หน้าผู้อำนวยการที่หน้าซีดลง โดยเฉพาะเมื่อชายคนนั้นหันหน้ามาพูดกับเขาว่า

“เดี๋ยวเสร็จธุระแล้ว คุณไปพบผมที่ห้องทำงานนะ” จากนั้นชายคนนั้นก็หันมาถามเด็ก ๆ ว่า

“เพื่อนของพวกหนู ๆ ชื่ออะไร เดี๋ยวลุงจะพาไปเอง” เมื่อพวกเด็ก ๆ เห็นท่าทางที่น่าเชื่อถือ และยังเห็นผู้อำนวยการที่กร่างแต่แรกยังต้องหงอให้ จึงกล่าวอย่างเกรงใจว่า

“เพื่อนผมชื่อ ฤทธิ์เดชา ไม่รู้ว่าอยู่ห้องไหนครับ เขาถูกรถที่วิ่งฝ่าไฟแดงชน พึ่งนำมาโรงพยาบาลเอง” เจ้ายักษ์พูดขึ้น

“เขาอยู่ห้องตรวจสมองอยู่ครับ เพราะทางเราต้องการรู้ว่า สมองได้รับการกระทบกระเทือนหรือเปล่า” ผู้อำนวยการพูดขึ้น ก่อนที่ชายคนนั้นจะหันมาถาม ทำให้ชายคนนั้นพูดขึ้นว่า

“ถ้าเสร็จแล้ว พาไปอยู่ห้องพิเศษ เดี๋ยวผมจะพาเด็ก ๆ ไปทานอาหารรอก่อน” จากนั้น เขาก็ชวนเด็ก ๆ และครูใหญ่ที่ยังยืนเซ่ออยู่ใกล้โต๊ะนางพยาบาลให้ไปยังโรงอาหาร


นาย ฤทธิ์เดชา ดำรงฤทธิกุล

“นี่คือชื่อ และนามสกุลของเด็กคนนี้หรือ” เจ้าสัวพูดขึ้นด้วยความตกใจ เมื่อเห็นชื่อ และนามสกุล ที่หน้าห้องพิเศษ

“ใช่ครับ นามสกุลเหมือนนามสกุลของท่าน แต่บ้านเกิดกลับอยู่ที่หนองคาย” ผู้อำนวยการรายงาน แต่พอได้ยินคำว่าหนองคาย สีหน้าของเจ้าสัวยิ่งตื่นเต้น

“พ่อแม่เขาชื่ออะไรรู้ไหม” เจ้าสัวถามด้วยความคาดหวัง

“ไม่ทราบครับ” ผู้อำนวยการตอบ แต่เสียงครูใหญ่ดังแทรกมาว่า

“แม่เขาชื่อ เยาวลักษณ์ กระจ่างสกุล ส่วนชื่อพ่อจำไม่ได้ เพราะมีแต่ชื่อในใบเกิด ไม่เคยพบเห็นตัว แต่นามสกุลนี้แม่เขาบอกก่อนตายว่า เป็นนามสกุลของพ่อเขา และสั่งไว้ว่า อีกหน่อยพ่อของเขาก็จะมาสืบหาตัวของเขาเอง”

“พ่อของเขาใช่ชื่อ รณฤทธิ์ ดำรงฤทธิกุล ใช่ไหม” เจ้าสัวถามขึ้นอย่างตื่นเต้น

“ใช่ครับ ชื่อนี้จริง ๆ แต่ทำไมคุณรู้ละครับ”

ครูใหญ่พูดขึ้น ทำให้เจ้าสัวยิ้มทั้งน้ำตา ด้วยบัดนี้เขาได้ค้นพบสิ่งที่ขาดหายไปในชีวิตของเขาแล้ว ด้วยเหตุนี้ เจ้าสัวจึงกล่าวคำพูดที่ทำให้คนทั้งหมดตกตะลึงว่า

“เพราะผมเป็นพ่อของเขาเอง”


“เจ้าสัว รณฤทธิ์ ดำรงฤทธิกุล นักธุรกิจหนุ่มใหญ่ไฟแรงแห่งปี ผู้มีสินทรัพย์ติดอันดับหนึ่งในร้อยของโลก” เสียงข้อมูลดังออกจากปากของคนเจ็บที่ยังนอนอยู่บนเตียง

“คุณแน่ใจหรือว่า คุณต้องการเป็นพ่อของผมจริง ๆ ”

ตี๋น้อยที่พักฟื้นอยู่ในห้องพิเศษถามขึ้นอย่างด้วยสีหน้าเรียบเฉย เพราะเขารู้จักคนอยู่ต่อหน้าของเขาเป็นอย่างดี เพราะคนตรงหน้านี้เองที่ผลักดันให้เขาต้องเก่งเหนือคนอื่น เพื่อจะให้วันนั้นมาถึง วันที่พ่อจะยอมรับในตัวของเขา

“ที่แท้ลูกก็รู้อยู่เสมอว่าเป็นลูกของฉัน พ่อขอโทษด้วยที่ไม่ได้ไปสืบหาลูก ไม่มีคำแก้ตัวใด ๆ ทั้งสิ้นจากพ่อที่ไร้ความรับผิดชอบคนนี้ มีแต่คำว่า ให้โอกาสพ่อทำหน้าที่ของพ่อนับแต่นาทีนี้ไปได้ไหม”

เจ้าสัวน้ำตานองหน้า น้ำตาลูกผู้ชายที่ไม่เคยหลั่งออกมาก่อน แต่คราวนี้ เขายินยอมที่จะหลั่งมันออกมา เพื่อลูกชายคนที่เขาไม่เคยเห็นหน้ามาเป็นเวลาถึง 17 ปี เต็ม ๆ

“แม่สั่งให้ยายมาบอกผมไว้ก่อนที่จะเสียว่า พ่อของผมจะมารับผมไปอยู่ด้วย ดังนั้น ตั้งแต่ผมจำความได้ ผมรอคอยพ่อ ติดตามความก้าวหน้าของพ่อ ยินดีกับพ่อ และรอว่า เมื่อไรพ่อจะกลับมารับผมไป จนกระทั่งยายจากผมไป ผมก็ยังมั่นใจว่าพ่อจะกลับมารับผม แต่ตอนนี้ผมหมดหวังแล้ว พ่อมีภรรยาที่ต้องดูแล มีลูกชายที่กำลังก้าวหน้าอยู่ในวงการธุรกิจระดับโลก คงไม่มีเวลาให้กับลูกนอกสมรสจน ๆ คนนี้หรอก ปล่อยให้ผมอยู่อย่างเดิมดีกว่า” ตี๋น้อยพูดพลางหันหลังให้ ก่อนที่จะพูดว่า

“ผมเหนื่อย อยากพักผ่อน ขอโทษนะครับ”

เจ้าสัวรณฤทธิ์ พูดอะไรไม่ออก ทำให้ครูใหญ่ที่น้ำตานองหน้าต้องเดินมาแตะแขนของเจ้าสัว ก่อนที่จะบอกใบ้ให้ออกไปข้างนอกก่อน


“ตี๋น้อย นายทำไมพูดกับพ่อนายอย่างนั้นละ พ่อนายดีใจมากรู้ไหมที่รู้ว่าเป็นนาย” เจ้าเหน่งพูดขึ้นเมื่อเห็นว่า ทั้งครูใหญ่ และเจ้าสัวออกจากห้องไปแล้ว

“เขายังใจดีมากด้วยนะ พาพวกเราที่มาจากบ้านนอกไปเลี้ยงโดยไม่รังเกียจด้วย ทำให้พวกที่ดูถูกเราทำหน้าเอ๋อไปเลย” เจ้ายักษ์พูดขึ้นบ้าง

“เรารู้ว่าพ่อเป็นคนใจดี ไม่ถือตัว และมีความสามารถรอบตัว แต่เราจำเป็นต้องพูดอย่างนั้น เพราะถ้าพ่อจะยอมรับตัวเราก็เท่ากับว่า พ่อจะมีปัญหากับครอบครัวของเขาเอง ซึ่งเราไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น” ตี๋น้อยหันหน้ากลับมาพูดคุยกับเพื่อน ๆ ที่ยัง
อยู่ในห้อง

“นายนี่มันจริง ๆ เลย คิดมากไม่เข้าเรื่อง เรื่องนั้นมันเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ เมื่อเขาต้องการรับนายไว้ นายก็ไม่ต้องคิดมากได้ไหม” เจ้าเอก ซึ่งเป็นประธานนักเรียน และเป็นคนที่ใช้บริการความเป็นอัจฉริยะของตี๋น้อยมากที่สุด เอ่ยขึ้น

“ไม่ได้หรอกเอก การเป็นคนที่แท้จริงไม่ใช่ว่าจะกอบโกยเอาความสุขสบายมาใส่ตัวเอง โดยโยนปัญหาไปให้กับคนอื่น ทุกวันนี้เราก็มีความสุขเพียงพอแล้ว และเราคิดว่า เราสามารถที่จะสร้างเนื้อสร้างตัวให้ไม่น้อยหน้าลูกคนอื่นของพ่อได้ แม้ว่า เราจะไม่มีรากฐานทางการเงินก็ตาม”

ตี๋น้อยพูดขึ้นอย่างเด็ดเดี่ยว ทำให้พวกเพื่อน ๆ เงียบเสียง เพราะเขารู้ว่า การตัดสินใจของตี๋น้อยนั้นราวกับคำสั่งของผู้พิพากษาศาลฏีกา คือเด็ดขาด และเป็นที่สิ้นสุดของคดีต่าง ๆ ซึ่งจะอุทธรณ์อีกไม่ได้


Create Date : 15 ตุลาคม 2554
Last Update : 15 ตุลาคม 2554 15:49:15 น. 0 comments
Counter : 261 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Muen Li
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add Muen Li's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.