วรรณกรรมของหมื่นลี้
Group Blog
 
All Blogs
 
บทที่ 23 ขวากหนามในทางฝัน

“มียุทธวิธีต่าง ๆ ที่นักยุทธการทางทหารใช้เพื่อนำสู่ชัยชนะ ซึ่งไม่อาจที่จะสอนล่วงหน้าได้
ผู้ที่มองเห็นชัยชนะได้ล่วงหน้าก่อนการรบ จะได้ชัย ผู้ที่หยั่คาดถึงโอกาสแห่งชัยชนะได้ไม่มากนัก จะได้ชัยชนะน้อยครั้ง
ยิ่งวางแผนมาก ยิ่งได้ชัย ยิ่งไม่วางแผนมากเท่าไร ยิ่งมีชัยน้อยเท่านั้น แล้วผู้ที่ไม่วางแผนเลยเล่า ? นี่คือสิ่งที่ทำให้นักยุทธการทางทหารใช้เพื่อคำนวณดูผลแพ้ชนะล่วงหน้า”
ซุนวู


กุบ...............กุบ.................

เสียงม้าควบขึ้นเขามาอย่างรวดเร็ว ทำให้เหล่าทหารที่ประจำการในป้อมต่างเตรียมพร้อม แต่เมื่อมองเห็นเป็นหวังซื่อ จึงเปิดประตูป้อมออกให้เข้ามา

“ปิดประตูเร็ว มีศัตรูไล่ตามมา” หวังซื่อละล่ำละลักบอก

เฟี้ยว........................ฉึก.............................

ลูกธนูเฉียดหัวหวังซื่อไปนิดเดียว ทำให้เขาต้องพลิกตัวลงจากหลังม้า เพื่อหลบเลี่ยง ส่วนทหารที่ออกมารับเขา ถูกธนูที่ยิงมาอย่างเม่นยำเสียบร่างทะลุออกตรึงติดประตูที่ทำจากท่อนไม้ใหญ่ทันที

เฟี้ยว...................เฟี้ยว....................

เหล่าทหารที่รักษาการณ์บนป้อมหลักทั้ง 5 ป้อม ต่างยิงธนูออกตอบโต้ทันที ทำให้ทหารม้าทั้งห้านั้นได้ใช้ทวนควงออกปัดลูกธนูได้อย่างน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก

“ปล่อยก้อนหิน”

หวังซื่อสั่งการทันทีที่เห็นว่า เหล่าทหารกำลังเคลื่อนเข้ามาอย่างอาจหาญ ทั้ง ๆ ที่มีเพียง 5 คน จึงสั่งการให้ป้อมหน้าปล่อยก้อนหินใหญ่ทันที

ครืน.................ครืน....................

ก้อนหินขนาดใหญ่นับ 10 ก้อนพุ่งลงจากป้อมลงไปสู่ทางเข้าป้อมทันที ทำให้ทหารชาญศึกทั้ง 5 ชะงัก จนต้องถอยร่นออกไป พอพ้นระยะธนูแล้วก็หันกลับตะบึงถอยหนีไปในทันที

“ท่านเจ้าสัวอยู่ที่ไหน ข้ามีเรื่องด่วนจะรายงาน” หวังซื่อกล่าวขึ้นอย่างร้อนใจ ทำให้ยู่ฟ่าน อดีตนายพันเฝ้าคุกลับ ซึ่งเป็นหัวหน้ารักษาความปลอดภัย ได้กล่าวตอบว่า

“กำลังปรึกษาเรื่องแผนการศึกอยู่ในตึกบัญชาการ”

“ขอบคุณมาก”

หวังซื่อกล่าวพร้อมกับสาวเท้าไปตึกบัญชาการอย่างรวดเร็ว ทำให้ยู่ฟ่านหันกลับไปกำชับการรักษาการณ์ให้เข้มงวดขึ้น พร้อมทำรายงานสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
แม้จะชื่อว่าตึกบัญชาการ แต่ที่จริงเป็นบ้านที่สร้างจากไม้ซุงง่าย ๆ แต่แข็งแรง เช่นเดียวกับสิ่งก่อสร้างทุกอย่างภายในป้อมนี้ ที่ใช้ต้นซุงภายในหุบเขา และชักลากมาจากป่าด้านล่าง

ภายในตึกบัญชาการมีห้องยุทธศาสตร์ ห้องบัญชาการ และห้องพักของเหล่าหัวหน้ากลุ่มทั้งหลาย ซึ่งแบ่งเป็นห้อง ๆ อย่างเป็นสัดส่วน

ในห้องยุทธศาสตร์ที่มีแผนที่ที่วาดติดอยู่ที่ผนังห้อง และมีโต๊ะใหญ่ มีเก้าอี้รอบโต๊ะ และเหล่าผู้นำกลุ่มทั้ง 6 หัวหน้าโจรทั้ง 9 พร้อมทั้งเอี้ยฮุ้น อุ้ยต่งจิน เสี่ยวหมวย นั่งล้อมรอบโต๊ะ โดยมีตี๋น้อยนั่งเป็นประธาน บัดนี้ทุกคนในห้องดูเคร่งเครียด เพราะหวังซื่อกำลังรายงานที่เกิดขึ้นให้กับทุกคนฟัง

“ขุนพลปีศาจ จูสือว่าน นั่นเป็นจอมยุทธอันดับหนึ่ง นักยุทธศาสตร์อันดับหนึ่ง และเป็นผู้นำทัพกองพันปีศาจที่ร้ายกาจที่สุดในแผ่นดินด้วย” เสี่ยวหมวยรายงานข้อมูลให้ทุกคนฟัง ทำให้ทุกคนทำหน้าตึงเครียด

“ป่านนี้ไม่รู้ว่า หม่าชิง กับ หมิงสงเป็นอย่างไรบ้าง”

เอี้ยฮุ้นครางออกมา เพราะ 5 ทหารคือ เอี้ยฮุ้น อุ้ยต่งจิ้น หวังซื่อ หม่าชิง และหมิงสง สนิทสนมกันจนเหมือนกับพี่น้องที่คลานกันมาทีเดียว เมื่อทั้งสองมีภัยตัวเขาจึงเจ็บปวดไปด้วย ทำให้ตี๋น้อยเดินเข้ามาโอบไหล่นักรบผู้นี้

“ข้าเข้าใจความรู้สึกของท่าน เพราะข้าก็รู้สึกเช่นนั้น แต่ตอนนี้ยังสบายใจได้ระดับหนึ่ง เพราะว่าดูจากกลยุทธ์ของขุนพลปีศาจแล้ว คงไม่ฆ่าตัวประกันที่มีประโยชน์อย่างทั้งสองหรอก” ตี๋น้อยพูดขึ้น ทำให้อุ้ยต่งจิ้นกล่าวเสริมว่า

“ข้าเห็นด้วยกับท่านเจ้าสัว เพราะจูสือว่านมีชื่อเสียงในด้านการใช้เชลยมาบั่นทอนกำลังใจในการสู้รบของข้าศึก และในบางครั้ง อาจใช้เชลยเหล่านั้นมาบังการรุกของตัวเอง เราจะต้องหาวิธีช่วยสองคนนั่น และป้องกันตัวจากการโจมตีของจูสือว่านด้วย”

“ค่ายบนเขาไท่ซานที่มีกำลังประมาณหนึ่งแสนถูกตีแตกก็เพราะจูสือว่านเป็นแม่ทัพ มันจะสร้างความหวาดกลัวในใจของศัตรู สร้างความหวาดระแวงในกันและกัน ซึ่งเป็นการโจมตีที่จิตใจของพวกเรา จนทำให้เกิดความแตกแยกกันในหมู่คนของข้า ทำให้ถูกตีแตกไปในที่สุด”

เอี้ยวจิ้งเจิง หัวหน้าโจรเขาไท่ซานกล่าวอย่างโกรธแค้น เพราะหลังจากนั้นเขาก็ต้องหนีหัวซุกหัวซุนเพราะแผนการของขุนพลปีศาจผู้นี้ ที่สามารถใช้กองกำลังแค่สามหมื่น มาทำลายกองกำลังนับแสนของเขาได้ ทำให้โจโฉได้เหล่าลูกน้องบางส่วนของเขาไปเพิ่มกำลังจนแข็งแกร่งกว่าก๊กอื่น ๆ

“ไม่ต้องห่วงหรอก ครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายของมันแล้ว ศึกครั้งนี้เราต้องชนะให้ได้ เพราะมันจะตัดสินโชคชะตาของพวกเราว่า เราจะประสานแผ่นดินนี้ให้เป็นหนึ่งเดียวกันได้ไหม เพราะถ้ามันไม่สิ้น เราก็จะมอดดับ” ตี๋น้อยสร้างความมั่นใจให้กับทุกคน ทำให้เฉินหนาน ผู้นำกลุ่มมังกรกล่าวด้วยความฮึกเหิมว่า

“ถูกต้อง นี่อาจจะเป็นบททดสอบของพวกเรา แต่พวกเราจะสู้ และจะชนะผู้ที่เก่งที่สุดในแผ่นดินให้ได้ เพราะถ้าเราชนะกองพันที่แข็งแกร่งที่สุดในแผ่นดินได้ กลุ่มคนที่เหลืออยู่ในแผ่นดินนี้ก็จะเป็นแค่ขนมหวานของพวกเรา”

“ใช่แล้ว พวกเราจะทำให้มันได้รู้ฤทธิ์ของทหารท่านเจ้าสัวว่า ไม่มีใครสามารถเอาชนะพวกเราได้อย่างแน่นอน” เอี้ยวจิ้งเจิงกล่าวอย่างมั่นใจ ทำให้ทุกคนมีกำลังใจ

เมื่อเปลี่ยนสถานะภาพทางจิตใจของทุกคนได้แล้ว ตี๋น้อยจึงได้เริ่มการวางแผนป้องกัน และจู่โจมกองพันปีศาจผู้นี้


ด้านของจูสือว่าน กองพันปีศาจได้จัดกองกำลังอย่างเต็มรูปแบบ ทำให้เห็นกลุ่มทหารม้ากลุ่มละ 50 คน จำนวนถึง 20 กองกระจายกำลังมุ่งหน้าไปยังภูเขาลี่ซาน จุดมุ่งหมายคือ ค่ายกองกำลังเจ้าสัวของตี๋น้อย

“หวังว่าคนอื่น ๆ ในกองทัพนี้คงไม่มีใครที่มีฝีมือขนาดสามคนนี่นะ”

จูสือว่านกล่าวกับสองขุนพลซ้ายขวา ทำให้ขุนพลทั้งสองหันไปมองร่างคนสองคนที่ถูกเชือกรัดพันจนรอบตัว และยึดไว้บนม้าด้านหลังของทหาร ราวกับเป็นกองสัมภาระอันหนึ่งเท่านั้น คงเหลือแต่ตาของทั้งสองคนที่ส่องประกายของความแกร้วกล้า ไม่กลัวตาย และความเชื่อมั่นที่มีให้กับผู้นำทัพอย่างตี๋น้อย

“ทั้งสองนี่มีฝีมือมากหรือท่านขุนพล” วังกงลู่ ขุนพลขวากล่าวอย่างไม่ค่อยจะเชื่อถือเท่าไร เมื่อมองเห็นทั้งสองที่กองอยู่หลังม้าราวกับเป็นกองสัมภาระอันหนึ่งเท่านั้น

“ก็ไม่เท่าไร แค่สังหารทหารของพวกเรา 3 คนในเวลาแค่พริบตาเดียวเท่านั้น ถ้าข้าไม่เข้ามาขวาง คิดว่าพวกมันคงวางราบทุกคนที่ติดตามข้าไปได้อย่างแน่นอน” จูสือว่านมองทั้งสองอย่างชื่นชม

“ไม่เบาแฮะ...ทหารของพวกเรานี่เป็นทหารที่ดีที่สุดในแผ่นดิน แม้แต่ยอดฝีมือถ้าต้องการจะฆ่าพวกเขายังต้องใช้เวลานาน และอาจพลาดพลั้งเองด้วย” กวัวจินเทียนกล่าวอย่างชื่นชม แต่ทว่า สายตาไม่ได้แสดงออกว่าชื่นชมแต่อย่างใด

“ถ้าสองคนนี่ไม่ใช่บุคคลระดับหัวหน้า งานของเราก็น่าจะยากขึ้นแล้ว” วังกงลู่กล่าวอย่างครุ่นคิด แต่กวัวจินเทียนกลับหัวเราะอย่างชอบใจ

“ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ดีนะสิ เพราะมันจะทำให้เร้าใจขึ้น ไม่ใช่น่าเบื่ออย่างทุกครั้ง”

“อืม...มันก็จริงนะ รู้สึกงานที่ผ่านมามันจะง่ายเกินไปจนน่าเบื่อ หวังว่างานนี้มันจะรู้สึกท้าทายมากกว่าทุกครั้งนะ” วังกงลู่พูดพลางหัวเราะเบา ๆ

“ครั้งนี้จะต้องเป็นครั้งที่ท้าทายที่สุดแน่ ๆ เพราะดูจากวิธีการของคนที่ชื่อเจ้าสัว ที่ใช้เวลาแค่ไม่นาน แถมเริ่มต้นด้วยตัวคนเดียว จนสามารถสร้างกองทัพได้มากขนาดนี้ อีกทั้งลูกน้องมีคนเก่ง ๆ อย่าง 3 คนที่ข้าพบ คราวนี้คงจะได้สู้กันมันหยดแน่ ๆ” จูสือว่านกล่าวขึ้น พร้อมกับรำพึงว่า

“หวังว่า พวกที่เป็นกลุ่มทหารใหม่เจ็ดร้อยกว่าคนคงไม่ถอดใจก่อนนะ ไม่อย่างนั้น คงมีเฮแน่ ๆ”

พอพูดจบ ขุนพลปีศาจจูสือว่านก็หัวเราะเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ทำให้ขุนพลทั้งสองหัวเราะตามด้วยความรู้สึกที่น่าตื่นเต้น และกระหายเลือด


ภายในป้อมฮกหลง (มังกรหลับ) ซึ่งเป็นชื่อที่เสียวเหมยตั้งให้ หมายถึง ป้อมที่กำลังก่อร่างสร้างนักรบมังกรที่จะพุ่งทะยานขึ้นเหนือฟ้าเหนือแผ่นดิน และยึดครองแผ่นดินนี้ด้วยความชอบธรรม

ในวันนี้ เหล่าทหารหาญทั้ง 900 คนได้มาชุมนุมกันอย่างครบถ้วน โดยมีกำลัง 50 นายยืนเฝ้าป้อมทั้ง 5 ที่ตีวงโค้งออกด้านนอก ซึ่งทำให้สามารถประสานการโจมตีผู้บุกรุกได้อย่างง่ายดาย และเด็ดขาดอย่างที่ไม่เคยมีป้อมใดในโลกเคยทำได้มาก่อน

“พี่น้องทหารหาญที่รักยิ่ง” ตี๋น้อยที่กล่าวโอวาทเพื่อปลุกใจทหารหาญทุกคน ก่อนที่จะเข้าสู่สงครามกับคู่ต่อสู้ที่เก่งที่สุดในแผ่นดิน

“พวกท่านทุกคนมีศักยภาพ มีความสามารถ และมีคุณธรรมแห่งทหารอาชีพ ดังนั้น เรื่องนี้ข้าไม่รู้สึกเป็นกังวลแต่อย่างใด แม้ว่า จะมีทหารนับหมื่นนับแสนมาโจมตีที่ป้อมของเรา พวกเราก็จะสามารถต้านทานได้” เสียงกระหึ่มขานรับดังกึกก้องทั่วค่ายเมื่อตี๋น้อยพูดจบประโยค

“ศัตรูผู้ที่เราจะเผชิญหน้าวันนี้คือ บุคคลที่ขึ้นชื่อเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่ง นักยุทธศาสตร์อันดับหนึ่ง และผู้นำทางทหารอันดับหนึ่ง นั่นคือ ขุนพลปีศาจ จูสือว่าน พร้อมกับกองพันปีศาจของเขา แต่นี่จะเป็นโอกาสที่จะทดสอบพวกเราว่า พวกเราจะทำงานใหญ่สำเร็จหรือไม่” เสียงฮือฮาของทหารดังขึ้น เมื่อได้ยินชื่อของขุนพลผู้เป็นตำนานแห่งแผ่นดิน

“สิ่งที่ข้าจะให้พวกท่านทำก็คือ ป้องกันค่ายนี้ไว้ด้วยชีวิต จนกว่าจะถึงเวลา และโอกาสของเรา ข้าสัญญาว่า จะนำพาท่านออกไปตะลุยเข่นฆ่าพวกนั้นจนแตกพ่ายไปอย่างแน่นอน” เสียงเท้ากระทืบลงบนพื้นอย่างฮึกเหิมดังมาจากเหล่าทหารหาญทุกคน

“เพราะการรุกใช้พลังมากกว่าการรับ และผู้ที่ทำการรุกโดยไม่มีผลลัพธ์แห่งชัยชนะ ไม่นานพวกเขาก็จะหมดพลัง ซึ่งนั่นจะเป็นเวลาที่ผู้ที่ต้านรับได้ฮึกเหิมอย่างที่สุด และพวกเราจะพุ่งทะยานลงจากเขาไปเข่นฆ่าพวกมัน ให้เลือดไหลท่วมหน้าหุบเขาเจ็ดขุมทรัพย์แห่งนี้ และเพื่อประกาศนามกองทัพมังกรให้กึกก้องทั่วปฐพี”

สิ้นเสียงของตี๋น้อย เสียงกระทืบเท้า และเสียงโห่ร้องอย่างกึกก้องดังก้องทั่วหุบเขา จนดังไปถึงบรรดาผู้ที่จะบุกเข้าโจมตีค่ายฮกหลงแห่งนี้


ฉั๊วะ ๆ โครมคราม...............................

เสียงโค่นต้นไม้ ชักลาก และการตอกไม้ทำป้อมค่ายดังลั่นบริเวณป่า ที่เนินดินถัดจากที่ลุ่มออกมานิดหน่อย เป็นที่ที่จูสือว่านใช้ทำค่ายเพื่อปิดหนทางเข้าออกหุบเขาเจ็ดขุมทรัพย์ของตี๋น้อย เพราะสำหรับผู้ที่รุกราน การทำป้อมค่ายให้เสร็จเร็วก็คือโอกาสแห่งชัยชนะ ส่วนผู้ที่บุกเข้าไปโดยปราศจากป้อมค่ายให้ล่าถอย ย่อมมีโอกาสที่จะพ่ายแพ้เพราะถูกรุกคืน

“หม่าชิง เป็นอะไรบ้างไหม”

หมิงสงที่บัดนี้ถูกมัดติดกับเสายืนเด่นอยู่ตรงหน้าของป้อมค่ายที่กำลังสร้าง ซึ่งเป็นการป้องกันการโจมตีในขณะที่สร้าง และเป็นการตัดไม้ข่มนามของเหล่ากองพันปีศาจ

“เป็น” หม่าชิงตอบเบา ๆ

“เป็นอะไรหรือ”

หมิงสงถามด้วยความเป็นห่วง แม้ว่าในการต่อสู้กับขุนพลปีศาจจูสือว่านนั้น พวกเขาพ่ายแพ้โดยไม่ได้รับบาดเจ็บ เนื่องจากระดับฝีมือที่ห่างชั้นของจูสือว่าน แต่ความเป็นห่วงในตัวเพื่อนก็ยังคงมีอยู่

“เป็นดักแด้นะสิ ถามได้ ถูกมัดพันไปทั่วตัวแบบนี้จะเป็นอะไรได้” หม่าชิงพูดพลางหัวเราะขบขัน

“เย้ยยย......ในเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้ยังสามารถหัวเราะได้ นับถือท่านจริง ๆ”

“ถ้าพวกเราร้องไห้ หรือทำหน้านิ่วคิ้วขมวด ท่านว่ามันจะทำให้พวกเราดีขึ้นได้ไหม มันจะทำให้กลุ่มของเราดีขึ้นไหม นี่คือสาเหตุที่ข้าทำตัวร่าเริงไว้” หม่าชิงอธิบาย พลางให้เหตุผลต่อว่า

“เราต้องทำตัวร่าเริงไว้เพื่อไม่ให้พวกมันได้ใจ แม้พวกมันจะจับเรามัด จะหยามเหยียดเรา จะทารุณ หรือโบยตีพวกเรา พวกเราก็ต้องร่าเริงไว้ ซึ่งจะทำให้จิตใจที่ฮึกเหิมของพวกมันเกิดความฉงน ทำให้พลังการโจมตีของพวกมันอ่อนโทรมลง และที่สำคัญที่สุดคือ มันจะทำให้ผู้ที่เป็นห่วงเรามีกำลังใจขึ้นว่า ขนาดพวกเราที่ถูกจับยังไม่หวั่นไหว พวกเขายิ่งไม่มีเวลาที่จะมาหวั่นไหว”

“โอโห......ตั้งแต่ที่คบกันมา นี่คือคำพูดที่น่าจดจำที่สุด” หมิงสงร้องออกมาด้วยความทึ่งในคำพูดของเพื่อน

“หมายความว่าที่ผ่านมาไม่มีคำพูดใดน่าจดจำหรือ แหม....มันน่าน้อยใจจริง ๆ”

“ไม่ใช่อย่างนั้น แต่หมายถึงคำพูดนี้เป็นคำพูดที่สุดยอดจริง ๆ ข้าเห็นด้วย ดังนั้น เราจะต้องร่าเริงยินดีไว้ ไม่ว่าพวกมันจะทำอะไรพวกเราก็ตาม ตกลงไหมเพื่อนรัก”

“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว”

สิ้นเสียงของเพื่อนรักทั้งสอง พวกเขาก็หัวเราะอย่างร่าเริงแจ่มใส ซึ่งก็ได้สร้างความรู้สึกที่แปลกใจให้เกิดขึ้นกับเหล่าทหารกองพันปีศาจยิ่งนัก



Create Date : 18 ตุลาคม 2554
Last Update : 18 ตุลาคม 2554 20:59:58 น. 0 comments
Counter : 264 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Muen Li
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add Muen Li's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.