วรรณกรรมของหมื่นลี้
Group Blog
 
All Blogs
 

บทที่ 23 ขวากหนามในทางฝัน

“มียุทธวิธีต่าง ๆ ที่นักยุทธการทางทหารใช้เพื่อนำสู่ชัยชนะ ซึ่งไม่อาจที่จะสอนล่วงหน้าได้
ผู้ที่มองเห็นชัยชนะได้ล่วงหน้าก่อนการรบ จะได้ชัย ผู้ที่หยั่คาดถึงโอกาสแห่งชัยชนะได้ไม่มากนัก จะได้ชัยชนะน้อยครั้ง
ยิ่งวางแผนมาก ยิ่งได้ชัย ยิ่งไม่วางแผนมากเท่าไร ยิ่งมีชัยน้อยเท่านั้น แล้วผู้ที่ไม่วางแผนเลยเล่า ? นี่คือสิ่งที่ทำให้นักยุทธการทางทหารใช้เพื่อคำนวณดูผลแพ้ชนะล่วงหน้า”
ซุนวู


กุบ...............กุบ.................

เสียงม้าควบขึ้นเขามาอย่างรวดเร็ว ทำให้เหล่าทหารที่ประจำการในป้อมต่างเตรียมพร้อม แต่เมื่อมองเห็นเป็นหวังซื่อ จึงเปิดประตูป้อมออกให้เข้ามา

“ปิดประตูเร็ว มีศัตรูไล่ตามมา” หวังซื่อละล่ำละลักบอก

เฟี้ยว........................ฉึก.............................

ลูกธนูเฉียดหัวหวังซื่อไปนิดเดียว ทำให้เขาต้องพลิกตัวลงจากหลังม้า เพื่อหลบเลี่ยง ส่วนทหารที่ออกมารับเขา ถูกธนูที่ยิงมาอย่างเม่นยำเสียบร่างทะลุออกตรึงติดประตูที่ทำจากท่อนไม้ใหญ่ทันที

เฟี้ยว...................เฟี้ยว....................

เหล่าทหารที่รักษาการณ์บนป้อมหลักทั้ง 5 ป้อม ต่างยิงธนูออกตอบโต้ทันที ทำให้ทหารม้าทั้งห้านั้นได้ใช้ทวนควงออกปัดลูกธนูได้อย่างน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก

“ปล่อยก้อนหิน”

หวังซื่อสั่งการทันทีที่เห็นว่า เหล่าทหารกำลังเคลื่อนเข้ามาอย่างอาจหาญ ทั้ง ๆ ที่มีเพียง 5 คน จึงสั่งการให้ป้อมหน้าปล่อยก้อนหินใหญ่ทันที

ครืน.................ครืน....................

ก้อนหินขนาดใหญ่นับ 10 ก้อนพุ่งลงจากป้อมลงไปสู่ทางเข้าป้อมทันที ทำให้ทหารชาญศึกทั้ง 5 ชะงัก จนต้องถอยร่นออกไป พอพ้นระยะธนูแล้วก็หันกลับตะบึงถอยหนีไปในทันที

“ท่านเจ้าสัวอยู่ที่ไหน ข้ามีเรื่องด่วนจะรายงาน” หวังซื่อกล่าวขึ้นอย่างร้อนใจ ทำให้ยู่ฟ่าน อดีตนายพันเฝ้าคุกลับ ซึ่งเป็นหัวหน้ารักษาความปลอดภัย ได้กล่าวตอบว่า

“กำลังปรึกษาเรื่องแผนการศึกอยู่ในตึกบัญชาการ”

“ขอบคุณมาก”

หวังซื่อกล่าวพร้อมกับสาวเท้าไปตึกบัญชาการอย่างรวดเร็ว ทำให้ยู่ฟ่านหันกลับไปกำชับการรักษาการณ์ให้เข้มงวดขึ้น พร้อมทำรายงานสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
แม้จะชื่อว่าตึกบัญชาการ แต่ที่จริงเป็นบ้านที่สร้างจากไม้ซุงง่าย ๆ แต่แข็งแรง เช่นเดียวกับสิ่งก่อสร้างทุกอย่างภายในป้อมนี้ ที่ใช้ต้นซุงภายในหุบเขา และชักลากมาจากป่าด้านล่าง

ภายในตึกบัญชาการมีห้องยุทธศาสตร์ ห้องบัญชาการ และห้องพักของเหล่าหัวหน้ากลุ่มทั้งหลาย ซึ่งแบ่งเป็นห้อง ๆ อย่างเป็นสัดส่วน

ในห้องยุทธศาสตร์ที่มีแผนที่ที่วาดติดอยู่ที่ผนังห้อง และมีโต๊ะใหญ่ มีเก้าอี้รอบโต๊ะ และเหล่าผู้นำกลุ่มทั้ง 6 หัวหน้าโจรทั้ง 9 พร้อมทั้งเอี้ยฮุ้น อุ้ยต่งจิน เสี่ยวหมวย นั่งล้อมรอบโต๊ะ โดยมีตี๋น้อยนั่งเป็นประธาน บัดนี้ทุกคนในห้องดูเคร่งเครียด เพราะหวังซื่อกำลังรายงานที่เกิดขึ้นให้กับทุกคนฟัง

“ขุนพลปีศาจ จูสือว่าน นั่นเป็นจอมยุทธอันดับหนึ่ง นักยุทธศาสตร์อันดับหนึ่ง และเป็นผู้นำทัพกองพันปีศาจที่ร้ายกาจที่สุดในแผ่นดินด้วย” เสี่ยวหมวยรายงานข้อมูลให้ทุกคนฟัง ทำให้ทุกคนทำหน้าตึงเครียด

“ป่านนี้ไม่รู้ว่า หม่าชิง กับ หมิงสงเป็นอย่างไรบ้าง”

เอี้ยฮุ้นครางออกมา เพราะ 5 ทหารคือ เอี้ยฮุ้น อุ้ยต่งจิ้น หวังซื่อ หม่าชิง และหมิงสง สนิทสนมกันจนเหมือนกับพี่น้องที่คลานกันมาทีเดียว เมื่อทั้งสองมีภัยตัวเขาจึงเจ็บปวดไปด้วย ทำให้ตี๋น้อยเดินเข้ามาโอบไหล่นักรบผู้นี้

“ข้าเข้าใจความรู้สึกของท่าน เพราะข้าก็รู้สึกเช่นนั้น แต่ตอนนี้ยังสบายใจได้ระดับหนึ่ง เพราะว่าดูจากกลยุทธ์ของขุนพลปีศาจแล้ว คงไม่ฆ่าตัวประกันที่มีประโยชน์อย่างทั้งสองหรอก” ตี๋น้อยพูดขึ้น ทำให้อุ้ยต่งจิ้นกล่าวเสริมว่า

“ข้าเห็นด้วยกับท่านเจ้าสัว เพราะจูสือว่านมีชื่อเสียงในด้านการใช้เชลยมาบั่นทอนกำลังใจในการสู้รบของข้าศึก และในบางครั้ง อาจใช้เชลยเหล่านั้นมาบังการรุกของตัวเอง เราจะต้องหาวิธีช่วยสองคนนั่น และป้องกันตัวจากการโจมตีของจูสือว่านด้วย”

“ค่ายบนเขาไท่ซานที่มีกำลังประมาณหนึ่งแสนถูกตีแตกก็เพราะจูสือว่านเป็นแม่ทัพ มันจะสร้างความหวาดกลัวในใจของศัตรู สร้างความหวาดระแวงในกันและกัน ซึ่งเป็นการโจมตีที่จิตใจของพวกเรา จนทำให้เกิดความแตกแยกกันในหมู่คนของข้า ทำให้ถูกตีแตกไปในที่สุด”

เอี้ยวจิ้งเจิง หัวหน้าโจรเขาไท่ซานกล่าวอย่างโกรธแค้น เพราะหลังจากนั้นเขาก็ต้องหนีหัวซุกหัวซุนเพราะแผนการของขุนพลปีศาจผู้นี้ ที่สามารถใช้กองกำลังแค่สามหมื่น มาทำลายกองกำลังนับแสนของเขาได้ ทำให้โจโฉได้เหล่าลูกน้องบางส่วนของเขาไปเพิ่มกำลังจนแข็งแกร่งกว่าก๊กอื่น ๆ

“ไม่ต้องห่วงหรอก ครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายของมันแล้ว ศึกครั้งนี้เราต้องชนะให้ได้ เพราะมันจะตัดสินโชคชะตาของพวกเราว่า เราจะประสานแผ่นดินนี้ให้เป็นหนึ่งเดียวกันได้ไหม เพราะถ้ามันไม่สิ้น เราก็จะมอดดับ” ตี๋น้อยสร้างความมั่นใจให้กับทุกคน ทำให้เฉินหนาน ผู้นำกลุ่มมังกรกล่าวด้วยความฮึกเหิมว่า

“ถูกต้อง นี่อาจจะเป็นบททดสอบของพวกเรา แต่พวกเราจะสู้ และจะชนะผู้ที่เก่งที่สุดในแผ่นดินให้ได้ เพราะถ้าเราชนะกองพันที่แข็งแกร่งที่สุดในแผ่นดินได้ กลุ่มคนที่เหลืออยู่ในแผ่นดินนี้ก็จะเป็นแค่ขนมหวานของพวกเรา”

“ใช่แล้ว พวกเราจะทำให้มันได้รู้ฤทธิ์ของทหารท่านเจ้าสัวว่า ไม่มีใครสามารถเอาชนะพวกเราได้อย่างแน่นอน” เอี้ยวจิ้งเจิงกล่าวอย่างมั่นใจ ทำให้ทุกคนมีกำลังใจ

เมื่อเปลี่ยนสถานะภาพทางจิตใจของทุกคนได้แล้ว ตี๋น้อยจึงได้เริ่มการวางแผนป้องกัน และจู่โจมกองพันปีศาจผู้นี้


ด้านของจูสือว่าน กองพันปีศาจได้จัดกองกำลังอย่างเต็มรูปแบบ ทำให้เห็นกลุ่มทหารม้ากลุ่มละ 50 คน จำนวนถึง 20 กองกระจายกำลังมุ่งหน้าไปยังภูเขาลี่ซาน จุดมุ่งหมายคือ ค่ายกองกำลังเจ้าสัวของตี๋น้อย

“หวังว่าคนอื่น ๆ ในกองทัพนี้คงไม่มีใครที่มีฝีมือขนาดสามคนนี่นะ”

จูสือว่านกล่าวกับสองขุนพลซ้ายขวา ทำให้ขุนพลทั้งสองหันไปมองร่างคนสองคนที่ถูกเชือกรัดพันจนรอบตัว และยึดไว้บนม้าด้านหลังของทหาร ราวกับเป็นกองสัมภาระอันหนึ่งเท่านั้น คงเหลือแต่ตาของทั้งสองคนที่ส่องประกายของความแกร้วกล้า ไม่กลัวตาย และความเชื่อมั่นที่มีให้กับผู้นำทัพอย่างตี๋น้อย

“ทั้งสองนี่มีฝีมือมากหรือท่านขุนพล” วังกงลู่ ขุนพลขวากล่าวอย่างไม่ค่อยจะเชื่อถือเท่าไร เมื่อมองเห็นทั้งสองที่กองอยู่หลังม้าราวกับเป็นกองสัมภาระอันหนึ่งเท่านั้น

“ก็ไม่เท่าไร แค่สังหารทหารของพวกเรา 3 คนในเวลาแค่พริบตาเดียวเท่านั้น ถ้าข้าไม่เข้ามาขวาง คิดว่าพวกมันคงวางราบทุกคนที่ติดตามข้าไปได้อย่างแน่นอน” จูสือว่านมองทั้งสองอย่างชื่นชม

“ไม่เบาแฮะ...ทหารของพวกเรานี่เป็นทหารที่ดีที่สุดในแผ่นดิน แม้แต่ยอดฝีมือถ้าต้องการจะฆ่าพวกเขายังต้องใช้เวลานาน และอาจพลาดพลั้งเองด้วย” กวัวจินเทียนกล่าวอย่างชื่นชม แต่ทว่า สายตาไม่ได้แสดงออกว่าชื่นชมแต่อย่างใด

“ถ้าสองคนนี่ไม่ใช่บุคคลระดับหัวหน้า งานของเราก็น่าจะยากขึ้นแล้ว” วังกงลู่กล่าวอย่างครุ่นคิด แต่กวัวจินเทียนกลับหัวเราะอย่างชอบใจ

“ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ดีนะสิ เพราะมันจะทำให้เร้าใจขึ้น ไม่ใช่น่าเบื่ออย่างทุกครั้ง”

“อืม...มันก็จริงนะ รู้สึกงานที่ผ่านมามันจะง่ายเกินไปจนน่าเบื่อ หวังว่างานนี้มันจะรู้สึกท้าทายมากกว่าทุกครั้งนะ” วังกงลู่พูดพลางหัวเราะเบา ๆ

“ครั้งนี้จะต้องเป็นครั้งที่ท้าทายที่สุดแน่ ๆ เพราะดูจากวิธีการของคนที่ชื่อเจ้าสัว ที่ใช้เวลาแค่ไม่นาน แถมเริ่มต้นด้วยตัวคนเดียว จนสามารถสร้างกองทัพได้มากขนาดนี้ อีกทั้งลูกน้องมีคนเก่ง ๆ อย่าง 3 คนที่ข้าพบ คราวนี้คงจะได้สู้กันมันหยดแน่ ๆ” จูสือว่านกล่าวขึ้น พร้อมกับรำพึงว่า

“หวังว่า พวกที่เป็นกลุ่มทหารใหม่เจ็ดร้อยกว่าคนคงไม่ถอดใจก่อนนะ ไม่อย่างนั้น คงมีเฮแน่ ๆ”

พอพูดจบ ขุนพลปีศาจจูสือว่านก็หัวเราะเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ทำให้ขุนพลทั้งสองหัวเราะตามด้วยความรู้สึกที่น่าตื่นเต้น และกระหายเลือด


ภายในป้อมฮกหลง (มังกรหลับ) ซึ่งเป็นชื่อที่เสียวเหมยตั้งให้ หมายถึง ป้อมที่กำลังก่อร่างสร้างนักรบมังกรที่จะพุ่งทะยานขึ้นเหนือฟ้าเหนือแผ่นดิน และยึดครองแผ่นดินนี้ด้วยความชอบธรรม

ในวันนี้ เหล่าทหารหาญทั้ง 900 คนได้มาชุมนุมกันอย่างครบถ้วน โดยมีกำลัง 50 นายยืนเฝ้าป้อมทั้ง 5 ที่ตีวงโค้งออกด้านนอก ซึ่งทำให้สามารถประสานการโจมตีผู้บุกรุกได้อย่างง่ายดาย และเด็ดขาดอย่างที่ไม่เคยมีป้อมใดในโลกเคยทำได้มาก่อน

“พี่น้องทหารหาญที่รักยิ่ง” ตี๋น้อยที่กล่าวโอวาทเพื่อปลุกใจทหารหาญทุกคน ก่อนที่จะเข้าสู่สงครามกับคู่ต่อสู้ที่เก่งที่สุดในแผ่นดิน

“พวกท่านทุกคนมีศักยภาพ มีความสามารถ และมีคุณธรรมแห่งทหารอาชีพ ดังนั้น เรื่องนี้ข้าไม่รู้สึกเป็นกังวลแต่อย่างใด แม้ว่า จะมีทหารนับหมื่นนับแสนมาโจมตีที่ป้อมของเรา พวกเราก็จะสามารถต้านทานได้” เสียงกระหึ่มขานรับดังกึกก้องทั่วค่ายเมื่อตี๋น้อยพูดจบประโยค

“ศัตรูผู้ที่เราจะเผชิญหน้าวันนี้คือ บุคคลที่ขึ้นชื่อเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่ง นักยุทธศาสตร์อันดับหนึ่ง และผู้นำทางทหารอันดับหนึ่ง นั่นคือ ขุนพลปีศาจ จูสือว่าน พร้อมกับกองพันปีศาจของเขา แต่นี่จะเป็นโอกาสที่จะทดสอบพวกเราว่า พวกเราจะทำงานใหญ่สำเร็จหรือไม่” เสียงฮือฮาของทหารดังขึ้น เมื่อได้ยินชื่อของขุนพลผู้เป็นตำนานแห่งแผ่นดิน

“สิ่งที่ข้าจะให้พวกท่านทำก็คือ ป้องกันค่ายนี้ไว้ด้วยชีวิต จนกว่าจะถึงเวลา และโอกาสของเรา ข้าสัญญาว่า จะนำพาท่านออกไปตะลุยเข่นฆ่าพวกนั้นจนแตกพ่ายไปอย่างแน่นอน” เสียงเท้ากระทืบลงบนพื้นอย่างฮึกเหิมดังมาจากเหล่าทหารหาญทุกคน

“เพราะการรุกใช้พลังมากกว่าการรับ และผู้ที่ทำการรุกโดยไม่มีผลลัพธ์แห่งชัยชนะ ไม่นานพวกเขาก็จะหมดพลัง ซึ่งนั่นจะเป็นเวลาที่ผู้ที่ต้านรับได้ฮึกเหิมอย่างที่สุด และพวกเราจะพุ่งทะยานลงจากเขาไปเข่นฆ่าพวกมัน ให้เลือดไหลท่วมหน้าหุบเขาเจ็ดขุมทรัพย์แห่งนี้ และเพื่อประกาศนามกองทัพมังกรให้กึกก้องทั่วปฐพี”

สิ้นเสียงของตี๋น้อย เสียงกระทืบเท้า และเสียงโห่ร้องอย่างกึกก้องดังก้องทั่วหุบเขา จนดังไปถึงบรรดาผู้ที่จะบุกเข้าโจมตีค่ายฮกหลงแห่งนี้


ฉั๊วะ ๆ โครมคราม...............................

เสียงโค่นต้นไม้ ชักลาก และการตอกไม้ทำป้อมค่ายดังลั่นบริเวณป่า ที่เนินดินถัดจากที่ลุ่มออกมานิดหน่อย เป็นที่ที่จูสือว่านใช้ทำค่ายเพื่อปิดหนทางเข้าออกหุบเขาเจ็ดขุมทรัพย์ของตี๋น้อย เพราะสำหรับผู้ที่รุกราน การทำป้อมค่ายให้เสร็จเร็วก็คือโอกาสแห่งชัยชนะ ส่วนผู้ที่บุกเข้าไปโดยปราศจากป้อมค่ายให้ล่าถอย ย่อมมีโอกาสที่จะพ่ายแพ้เพราะถูกรุกคืน

“หม่าชิง เป็นอะไรบ้างไหม”

หมิงสงที่บัดนี้ถูกมัดติดกับเสายืนเด่นอยู่ตรงหน้าของป้อมค่ายที่กำลังสร้าง ซึ่งเป็นการป้องกันการโจมตีในขณะที่สร้าง และเป็นการตัดไม้ข่มนามของเหล่ากองพันปีศาจ

“เป็น” หม่าชิงตอบเบา ๆ

“เป็นอะไรหรือ”

หมิงสงถามด้วยความเป็นห่วง แม้ว่าในการต่อสู้กับขุนพลปีศาจจูสือว่านนั้น พวกเขาพ่ายแพ้โดยไม่ได้รับบาดเจ็บ เนื่องจากระดับฝีมือที่ห่างชั้นของจูสือว่าน แต่ความเป็นห่วงในตัวเพื่อนก็ยังคงมีอยู่

“เป็นดักแด้นะสิ ถามได้ ถูกมัดพันไปทั่วตัวแบบนี้จะเป็นอะไรได้” หม่าชิงพูดพลางหัวเราะขบขัน

“เย้ยยย......ในเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้ยังสามารถหัวเราะได้ นับถือท่านจริง ๆ”

“ถ้าพวกเราร้องไห้ หรือทำหน้านิ่วคิ้วขมวด ท่านว่ามันจะทำให้พวกเราดีขึ้นได้ไหม มันจะทำให้กลุ่มของเราดีขึ้นไหม นี่คือสาเหตุที่ข้าทำตัวร่าเริงไว้” หม่าชิงอธิบาย พลางให้เหตุผลต่อว่า

“เราต้องทำตัวร่าเริงไว้เพื่อไม่ให้พวกมันได้ใจ แม้พวกมันจะจับเรามัด จะหยามเหยียดเรา จะทารุณ หรือโบยตีพวกเรา พวกเราก็ต้องร่าเริงไว้ ซึ่งจะทำให้จิตใจที่ฮึกเหิมของพวกมันเกิดความฉงน ทำให้พลังการโจมตีของพวกมันอ่อนโทรมลง และที่สำคัญที่สุดคือ มันจะทำให้ผู้ที่เป็นห่วงเรามีกำลังใจขึ้นว่า ขนาดพวกเราที่ถูกจับยังไม่หวั่นไหว พวกเขายิ่งไม่มีเวลาที่จะมาหวั่นไหว”

“โอโห......ตั้งแต่ที่คบกันมา นี่คือคำพูดที่น่าจดจำที่สุด” หมิงสงร้องออกมาด้วยความทึ่งในคำพูดของเพื่อน

“หมายความว่าที่ผ่านมาไม่มีคำพูดใดน่าจดจำหรือ แหม....มันน่าน้อยใจจริง ๆ”

“ไม่ใช่อย่างนั้น แต่หมายถึงคำพูดนี้เป็นคำพูดที่สุดยอดจริง ๆ ข้าเห็นด้วย ดังนั้น เราจะต้องร่าเริงยินดีไว้ ไม่ว่าพวกมันจะทำอะไรพวกเราก็ตาม ตกลงไหมเพื่อนรัก”

“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว”

สิ้นเสียงของเพื่อนรักทั้งสอง พวกเขาก็หัวเราะอย่างร่าเริงแจ่มใส ซึ่งก็ได้สร้างความรู้สึกที่แปลกใจให้เกิดขึ้นกับเหล่าทหารกองพันปีศาจยิ่งนัก




 

Create Date : 18 ตุลาคม 2554    
Last Update : 18 ตุลาคม 2554 20:59:58 น.
Counter : 264 Pageviews.  

บทที่ 22 ขุนพลปีศาจ จูสือว่าน

“เมื่อข้าต้องการรบ แม้ว่าศัตรูจะหลบอยู่หลังค่ายคูประตูกลที่เข้มแข็ง ก็จะถูกบังคับให้ออกมาต่อตีกับข้า  เพราะข้าโจมตีในตำแหน่งที่สำคัญที่สุดของศัตรู  แต่เมื่อข้าไม่ต้องการรบ ข้าก็เพียงแต่ขีดเส้นขวาง และเบี่ยงเบนความสนใจของศัตรู โดยการโยนสิ่งที่ทำให้ศัตรูแปลกใจ และคาดคิดไม่ถึงไปให้” ซุนวู

กลางป่าดงดิบ ดินแดนที่ไร้ผู้คนอยู่อาศัย มีแต่ฝูงสัตว์ร้าย และอันตรายชุกชุมทุกฝีก้าว แต่ในดินแดนแห่งนี้ได้ปรากฏมนุษย์ขึ้นสามคน เพราะมนุษย์ก็ยังเป็นมนุษย์อยู่วันยังค่ำ แม้ป่าที่อันตรายที่สุดยังไม่อาจที่จะขวางกั้นจากการบุกรุกของมนุษย์ได้ ดังคำกล่าวของคัมภีร์ไบเบิลที่กล่าวว่า พระเจ้าได้มอบหมายให้มนุษย์เป็นผู้ปกครองดูแลโลกใบนี้ และมนุษย์ด้วยกันเท่านั้นที่จะช่วงชิงอำนาจการปกครองมาจากพวกเขาได้

คนทั้งสามใส่ชุดดำทะมัดทะแมง และสะพายอาวุธคู่มือมาด้วย โดยคนแรกใช้กระบี่สองเล่ม คนที่สองใช้ดาบใหญ่ คนที่สามใช้ง้าวใหญ่เป็นอาวุธ

“เรารีบเดินทางไปกันเถอะ จะได้กลับมาทันดูป้อมค่ายใหม่ของเรา” ชายร่างสูงสะพายง้าวเล่มใหญ่กล่าวขึ้น

“นักรบชาญศึกของโจโฉน่าจะมาถึงตั้งแต่เมื่อวานนี้แล้ว วันนี้พวกมันอาจจะยกทัพมาโจมตีเราแล้ว แต่ทำไมไม่เห็นมีกองทัพมาเลย” ชายที่ใช้กระบี่สองเล่มพูดขึ้นมาอย่างสงสัย

“กำลังสร่างเมาอยู่หรือเปล่า เพราะเจ้าเมืองซือหลงน่าจะจัดการเลี้ยงดูปูเสื่อให้อย่างถึงใจ เลยไม่อาจจะตัดใจจากสาวงามที่อยู่เคียงข้างได้ละมั๊ง” ชายที่สะพายดาบใหญ่หัวเราะอย่างลามก ทำให้คนที่สะพายง้าวใหญ่ตำหนิขึ้นว่า

“หม่าชิง อย่าคิดเหลวไหล มันจะทำให้เราประมาทคู่ต่อสู้ และความประมาทนั้นจะนำหายนะมาถึงพวกเราได้”

คนใช้กระบี่กล่าวเตือนขึ้น ที่แท้ทั้งสามคนนี้คือ สามทหารผู้เชี่ยวชาญการสืบราชการลับ คือ หวังซื่อ หม่าชิง และหมิงสง นั่นเอง

“อืม....ไม่เสียทีที่สามารถพิชิตข้าศึกที่มีกำลังมากกว่าตนเองได้ น่าสน ๆ” เสียงดังกังวานอย่างคนมีอำนาจได้สอดแทรกขึ้น ทำให้ทั้งสามคนรีบชักอาวุธออกมาถือไว้ทันที

“ไม่ต้องตกใจ ข้าแค่อยากถามพวกเจ้าเกี่ยวกับบางสิ่งบางอย่างเท่านั้น”

ขาดคำ ชายกลางคนบังคับม้ามาขวางทางไว้ รูปร่างหน้าตาของชายคนนี้เหมือนคนทั่ว ๆ ไป ไม่ได้มีความพิเศษแต่อย่างใด แต่เสียงที่กล่าว ท่าทาง ความคล่องแคล่วว่องไว และความเชี่ยวชาญในการขี่ม้า ทำให้คนทั้งสามระวังตัวมากขึ้น

“ระวังนะ นี่เป็นยอดฝีมือในยอดฝีมือ”

หวังซื่อกล่าวเตือนเพื่อนทั้งสองคน หลังจากจับสัญญาณแห่งยอดฝีมือจากร่างของคนผู้นี้ได้ ซึ่งทั้งสองก็ส่งเสียงรับ โดยที่สายตาไม่ยอมห่างจากร่างของชายคนนั้น

“กล่าวเกินไปหรือเปล่า ข้าก็แค่เป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง ไม่ได้วิเศษวิโสมาจากไหน ยิ่งไม่ได้เก่งกาจอย่างที่พวกเจ้าคิดด้วย” ชายกลางคนพยายามทำให้คนทั้งสามผ่อนคลาย แต่คนทั้งสามยังคงระวังตัวแจ

“ข้าเชื่อเฉพาะสัญชาตญาณของข้า ไม่ต้องมาพูดมากหรอก มีอะไรก็ว่ามา” หวังซื่อกล่าวขึ้นอย่างหมดความอดทน ทำให้ชายคนนั้นหัวเราะ

“ยอดเยี่ยมจริง ๆ เจ้าเป็นคนน่าสนใจมาก ไม่น่าจะต้องไปทำงานกับคนที่ไม่มีหลักแหล่งอย่างคนผู้นั้นหรอก”

“ท่านเป็นหน่วยสืบข่าวของทหารชาญศึกโจโฉหรือ” หวังซื่อถามไถ่ชายแปลกหน้าผู้นั้น

ในสถานการณ์อันตราย เพื่อนทั้งสองจะมอบความไว้วางใจให้หวังซื่อ เพราะมีไหวพริบปัญญาที่สามารถแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าได้เป็นอย่างดี

“ใช่ และท่านทั้งสามก็น่าจะเป็นคนสืบข่าวของกองกำลังของท่านเจ้าสัวสินะ”

คำพูดของชายคนนั้นทำให้ทั้งสามคนตกใจ เพราะไม่เคยมีใครในพรรคพวกของโจโฉรู้ถึงชื่อตี๋น้อยในเกม แต่คนผู้นี้กลับสามารถสืบทราบมาได้ นับว่าไม่ธรรมดา

“ท่านนับว่าอันตรายเกินไปแล้ว พวกข้าคงจะต้องขอล่วงเกิน” หวังซื่อกล่าวพลางส่งสัญญาณให้เพื่อนทั้งสองคนโจมตี

ควับ.................แก๊ง.................แก๊ง...........................

อาวุธของชายคนนี้เป็นหอกที่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนหอกทั่ว ๆ ไป ไม่ได้มีอะไรพิเศษแม้แต่น้อย แต่ทว่า ความพิเศษอยู่ตรงคนที่ใช้มัน ซึ่งสามารถรับมือยอดฝีมือทั้งสามได้อย่างสบาย โดยที่ไม่ได้ลงจากม้า และไม่ได้ควบขับม้าเข้าโจมตีแต่อย่างใด

“ฝีมือดีนี่ แต่แค่นี้ยังเอาชนะข้าไม่ได้หรอก แค่พอจะสูสีกับเหล่าทหารของข้าเท่านั้น”

ชายประหลาดบนหลังม้ายังคงสามารถพูดคุยสนทนาได้อย่างปลอดโปร่ง โดยไม่ได้ถูกกดดันจาการกลุ้มรุมโจมตีของคนทั้งสามแม้แต่น้อย

“ฝีมือของท่านน่าจะอยู่ในระดับขุนพล ไม่น่าจะเป็นแค่คนหาข่าว ข้าพูดถูกไหม”

หวังซื่อหยุดมือเป็นคนแรก ทำให้เพื่อนทั้งสองหยุดมือด้วย เพราะเขาแค่ต้องการหยั่งเชิงคนผู้นี้ แม้ว่าจะลงมือเต็มที่ แต่ก็ไม่ได้ลงมือหวังที่จะเข่นฆ่า

ดังนั้น เมื่อเห็นฝีมือชายผู้นี้แล้ว ไม่เห็นทางที่จะเอาชนะได้ และไม่รู้ว่าจะมีพลซุ่มไว้หรือไม่จึงสอบถามขึ้นมา เพื่อที่จะหาทางล่อหลอก และดึงให้พลซุ่มออกมา

“เห็นแก่สายตาของเจ้า ข้าจะให้ทางเลือก 2 ทางแก่เจ้า หนึ่งคือยอมจำนน สองคือตายยย !!!”

ชายปริศนาคนนี้เหมือนจะรู้ว่าหวังซื่อคิดอะไรอยู่ จึงกล่าวดักคอพลางปรบมือดังก้อง ทำให้เหล่าทหารม้าอีก 12 คนเดินออกมาจากจุดซุ่มเข้ามาล้อมคนทั้งสามไว้กึ่งกลาง

“เรื่องการยอมจำนนไม่อยู่ในหัวของข้า ส่วนเรื่องตายคงต้องเอาไว้คุยกันทีหลังก็แล้วกัน” หวังซื่อกล่าวทีเล่นทีจริง ทำให้ชายคนนั้นหัวเราะอย่างชอบใจ

“นานแล้วที่ข้าไม่เห็นคนหนุ่มที่รอบคอบเช่นเจ้า ส่วนใหญ่มักจะยอมหักไม่ยอมงอ ใช้แต่กำลังโดยปราศจากปัญญา แต่เจ้าต่างจากคนทั่วไป ใช้ปัญญาแม้ในสถานการณ์ที่ฉุกเฉิน แต่ข้าหวังให้เจ้าทบทวนข้อเสนอข้าแรกของข้าด้วย”

“เพราะอะไร”

หวังซื่อถามขึ้น แต่สายตาคอยสอดส่องหาทางหนีออกจากวงล้อมของทหารม้าทั้ง 13 คนนี้

“ข้าอยากให้เจ้ามาเป็นที่ปรึกษาให้ข้า แล้วข้าจะให้รางวัลเจ้าอย่างงาม พร้อมด้วยยศถาบรรดาศักดิ์ และทรัพย์สมบัติอีกนับไม่ถ้วน”

“ท่านต้องการชักชวนข้า แต่ข้ายังไม่รู้นามที่ยิ่งใหญ่ของท่านเลย”

หวังซื่อกล่าวเหมือนจะอ่อนน้อม แม้ว่าเพื่อน ๆ ทั้งสองก็วางใจในหวังซื่อ และพวกเขาก็ไม่ได้กล่าวอะไรแทรกขึ้นมา เพราะเขารู้ว่า ตนเองนั้นเหมือนกับคนที่ชายกลางคนนี้พูดถึง คือไม่ใช้ปัญญาในการเผชิญหน้ากับสถานการณ์ต่าง ๆ

“ข้าคือ จูสือว่าน ผู้นำกองพันจู่โจมเร็ว ทหารประจำตัวของมหาอุปราชโจโฉ” เสียงอุทานของทั้งสามดังขึ้นทันทีที่จูสือว่านประกาศตัว

“มิน่าละ พวกข้ารวมตัวกันยังไม่อาจจะชนะท่านได้ และพวกข้านึกว่าเคลื่อนไหวลึกลับแล้ว ยังไม่อาจที่จะพ้นสายตาของท่านได้”

หวังซื่อส่งเสียงแผ่ว ๆ ออกมาอย่างหมดหวัง แต่ใช้ขาสะกิดเพื่อน ๆ ทั้งสองโดยไม่ให้กลุ่มทหารม้าของจูสือว่านรู้

“ฮ่า ๆ ๆ ข้าจะบอกให้ว่า แม้ป้อมค่ายของพวกท่านจะดูหนาแน่น และยากต่อการบุกรุก แต่การจับงูนั้นไม่ต้องเข้าไปในถ้ำงู แค่รอหน้าปากถ้ำก็พอ”

จูสือว่านหัวเราะชอบใจ แต่ทำให้หวังซื่อ และเพื่อนทั้งสองตึงเครียดจนต้องกระชับอาวุธไว้แน่น เพราะศัตรูซุ่มอยู่หน้าทางเข้าออก แต่พวกเขาไม่อาจที่จะรู้ นี่จึงเป็นอันตรายอย่างแท้จริงต่อกองกำลังที่ไม่ได้รู้จักศัตรู ดังนั้น แม้จะต้องตายก็ต้องหาทางไปส่งข่าวให้ได้

“ซ้าย”

เห็นศัตรูหึกเฮิม หวังซื่อจึงกล่าวเบา ๆ ซึ่งเป็นสัญญาณที่รู้กันว่า ให้บุกไปทางขวา จึงเห็นหม่าชิงกลิ้งตัวใช้ดาบใหญ่ออกไปด้วยดาบเลียดพสุธา คือฟันกวาดเลียดไปตามพื้นดินเพื่อฟันขาม้า

ฮี้ ๆ ๆ

ม้าศึกที่ถูกจู่โจมยกขาขึ้นอย่างกะทันหันด้วยความตกใจ ทำให้คนบนหลังม้าถูกม้าของตัวเองปิดบังสายตา ทำให้มองไม่เห็นหมิงสงที่ทะยานร่างขึ้น แล้วใช้ง้าวใหญ่ของเขาฟันสะพายแล่งขาดกลางทั้งคนทั้งม้า

วูบ....................ฉึก..........................

ท่ามกลางความตกตะลึงของหน่วยกองพันปีศาจที่เหลือ หวังซื่อคุมกระบี่ทะยานร่างขึ้นเหยียบบ่าของหมิงสง และดีดร่างออก ทำให้ทั้งคนทั้งกระบี่พุ่งเข้าเสียบร่างของทหารที่อยู่ข้าง ๆ โดยกระบี่เล่มซ้ายกดทวนคู่ต่อสู้เอาไว้ และกระบี่มือขวาเสียบคอของคู่ต่สู้

ผั๊วะ......................พรึบ...................

หวังซื่อที่ร้ายกาจยังคงไม่หยุดยั้ง ใช้เท้าเตะกวาดคนตายลงจากหลังม้า และตัวเองเข้านั่งแทนทันที

“ไป”

หวังซื่อตะโกนบอกเพื่อน เพราะช่วงเวลาที่เกิดขึ้นนั้นเร็วมาก การลงมือสอดประสานของทั้งสามนั้นไร้ซึ่งจุดอ่อน ดังนั้น พอทหารตั้งตัวได้ หวังซื่อก็นั่งบนหลังม้าและ โดยมีหม่าชิง และหมิงสงคอยคุ้มครองอยู่ด้านล่าง

“หวังซื่อ รีบไปส่งข่าวให้ท่านเจ้าสัว ไม่ต้องห่วงพวกข้า ไม่อย่างนั้น เราทั้งสามต้องไม่รอดแน่ ๆ”

หม่าชิงร้องตะโกนบอกหวังซื่อ พร้อมทั้งใช้ดาบเลียดพสุธาฟันขาม้าที่พยายามจะพุ่งขึ้นมาโจมตีหวังซื่อ ในขณะที่หมิงสงใช้ง้าวฟันซ้ำทหารที่ถูกม้าสลัดตกจากหลังจนขาดกลางตัว

“รุมล้อมเอาไว้ อย่าให้หนีรอด”

เสียงสั่งของของจูสือว่าน ทำให้เหล่าทหารพากันตีวงล้อมโอบ

ป้าบ............................

หมิงสงพลันตัดสินใจเด็ดขาด พลันใช้ง้าวด้านแบนฟาดเข้าที่ก้นของม้าหวังซื่อ ทำให้ม้าตกใจจนวิ่งเตลิดออกไปอย่างรวดเร็วทันที

“เหลือขุนเขา และแมกไม้...ไยวิตก ไร้ฟืนไฟ”

หมิงสงตะโกนลั่นตามหลัง ทำให้หวังซื่อน้ำตาคลอด้วยความรักในน้ำใจเพื่อนร่วมเป็นร่วมตายทั้งสอง กัดฟันควบม้าวิ่งวกวนตามทางในป่าดงดิบ เพราะไม่ให้ทหารที่วิ่งไล่ตามมา 5 คนนั้นไล่ทัน และป้องกันการถูกโจมตีด้วยธนูทางด้านหลังของตนเอง

ส่วนในด้านของหม่าชิง และหมิงสงนั้น ได้ถูกล้อมโดยทหาร 4 คน โดยมีจูสือว่านคอยกำกับอยู่ โดยทหารเหล่านั้นคอยควบขับม้าหลบหลีกดาบเลียดพสุธา และง้าวผ่าฟ้า ของทั้งสอง แต่คอยใช้หอกแหย่ และทิ่มแทงให้ทั้งสองไม่อาจที่จะหลบหนีจากวงล้อม และไม่ให้สามารถทำอันตรายใครได้

“ยังไม่ทิ้งอาวุธยอมแพ้อีก”

จูสือว่านควบม้ามาเผชิญกับคนทั้งสองด้วยความเดือดดาล เพราะด้วยระดับฝีมือของเขา ยังถูกคนทั้งสามที่อยู่ด้านหน้าหลอกลวงให้คิดว่ามีฝีมือไม่เท่าไร ทำให้ทหารที่สุดยอดของเขาถูกวางราบถึง 3 คน

ส่วนคนทั้งสองนั้น ได้คอยดูเชิงอยู่กลางวงล้อม เพราะรู้ตัวว่าหนีไม่รอดแน่ ๆ เพียงแต่รอโอกาสที่จะดึงเหล่าทหารให้ตายตามตัวเองไปให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ยิ่งถ้าเป็นขุนพลเฒ่าคนนี้ยิ่งดี

“อาวุธอยู่ในมือของพวกข้า มีความสามารถก็มาเอาไปเถิด อย่ามัวยืนม้าอยู่เฉยเลย” หมิงสงกล่าวอย่างท้าทาย ทำให้จูสือว่านกระชับทวนขึ้น และก้าวลงจากหลังม้า

“รับมือกับพวกเจ้าไม่ต้องใช้ม้า ข้าก็สามารถจะจับพวกเจ้าได้”

คำพูดของขุนพลปีศาจจูสือว่าน ทำให้ทั้งสองคนหัวเราะออกมา แต่ในใจเริ่มก่นด่าเจ้าปีศาจที่ไม่ยอมตายคนนี้แล้ว เพราะถ้าใช้ม้า พวกเขาจะได้เปรียบ เนื่องจากแม้ว่าจะเก่งแค่ไหน ม้ามันก็ไม่สามารถป้องกันตัวเองได้ แต่ถ้าลงจากหลังม้า ดาบเลียดพสุธา และง้าวผ่าฟ้าของเขาก็ยากที่จะได้เปรียบยอดฝีมือในยอดฝีมือผู้นี้ได้

“เข้ามา”

ขุนพลปีศาจที่มีความสูง และรูปร่างเหมือนคนทั่ว ๆ ไป ในสมัยนั้น แต่พอตั้งท่าต่อสู้ พลังความเกรี้ยวกราดของเขาก็พุ่งทะลักออกมาคุกคามสองสหายทันที ทำให้ทั้งสองต้องสะบัดอาวุธออกควงขับไล่พลังคุกคามนั้น เพื่อไม่ให้จิตใจหวาดหวั่นต่อขุนพลปีศาจผู้นี้




 

Create Date : 18 ตุลาคม 2554    
Last Update : 18 ตุลาคม 2554 20:55:01 น.
Counter : 436 Pageviews.  

บทที่ 21 ปฐมบทแห่งสงครามช่วงชิงเกาะฝึกฝน


“ผู้ที่ไม่เข้าใจหายนะที่ร้ายแรงของสงคราม ย่อมไม่เข้าใจคุณประโยชน์ที่มากมายของสงครามด้วย”  ซุนวู

ภายในเมืองฝึกฝน บัดนี้ ขงหยง ผู้ตรวจการแผ่นดินได้กลายเป็นผู้มีอำนาจในเมือง ทำให้ระบบของเมืองฝึกฝนได้เกิดความแปรปรวนทันที เนื่องจากมีข้อตกลงกับทางก๊กต่าง ๆ ที่จะไม่เข้ามาก้าวก่ายการปกครองในเมืองฝึกฝน

ในครั้งนี้ ก๊กโจโฉกลับไม่ดำเนินการตามข้อตกลงที่เคยทำไว้ระหว่างกัน ทำให้เหล่าคณะกรรมการบริหารเกมได้เข้าประชุมกันอย่างหน้าดำคร่ำเคร่ง จนในที่สุดก็มีข้อสรุปออกมาคือ ให้สร้างเกาะฝึกฝนแห่งใหม่ขึ้นมา และยกเลิกการเป็นเกาะฝึกฝนของเกาะเดิม

เกาะฝึกฝนตั้งอยู่บนปากแม่น้ำฮวงโห เป็นเกาะใหญ่แห่งหนึ่งมีอาณาเขตพอ ๆ กับเมืองใหญ่เมืองหนึ่งทีเดียว มีอาณาเขตบริเวณถึง 1,041.38 ตารางกิโลเมตร มีพื้นที่อุดมสมบูรณ์ ปัจจุบันอยู่ในเขตเซี่ยงไฮ้ของจีนแผ่นดินใหญ่

และเกาะที่คณะกรรมการให้เป็นเกาะฝึกฝนแห่งใหม่คือ เกาะขนาดกลางอีกแห่งหนึ่ง ด้านใต้ของเกาะแห่งนี้ จะเปิดระบบใหม่ด้วยคือ ระบบเมืองปิด ด้วยเป็นเหมือนเมืองลับแลคือ คนด้านนอกมองไม่เห็น และคนที่ผ่านการฝึกฝนจนสามารถออกจากเกาะไปแล้วนั้น จะไม่สามารถเข้ามาอยู่ในเกาะได้อีก รวมถึงจะไม่สามารถติดต่อใครในเกาะแห่งนี้ได้อีกด้วย

การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น อาจจะทำให้ชาวเมืองฝึกฝนเกิดความระส่ำระสาย เพราะนับจากนี้ไป ระบบของเกาะฝึกฝนเดิมจะถูกปิดไป ทำให้กลายเป็นเกาะธรรมดาเกาะหนึ่งในแผ่นดินทันที

ด้วยเหตุนี้ ระบบการดำรงชีวิตในเมืองจึงเปลี่ยนไป เนื่องจากร้านค้าต่าง ๆ ต้องเสาะแสวงหาวัตถุดิบต่าง ๆ เอง โดยไม่สามารถใช้วัตถุดิบจากระบบอัตโนมัติได้อีกต่อไป ทำให้ในเมืองต้องเกิดความวุ่นวายขึ้นอย่างมากมาย เพราะไม่เคยมีการทำนา การเพาะปลูก และการเลี้ยงสัตว์ในเกาะแห่งนี้

และที่สำคัญที่สุดก็คือว่า พื้นที่การทำนา และล่าสัตว์อยู่ในเขตนอกกำแพงเมือง ซึ่งยังไม่มีคนไปจับจองเพื่อเพาะปลูก มีแต่เหล่าชาวบ้านบางคนที่เป็นพรานป่า ได้ออกล่าสัตว์ แต่ก็ไม่กล้าจะออกไปไกลจากตัวเมือง จึงทำให้อาหารเกิดความขาดแคลน และราคาสูงมากกว่าเดิมนับสิบเท่า

แต่ผลกระทบที่เกิดขึ้นอย่างใหญ่หลวงที่สุดในเกมนี้ก็คือ อาจจะเกิดการช่วงชิงที่ตามมาแน่นอน เพราะเป็นเกาะที่อุดมสมบูรณ์ทั้งแร่ธาตุ และผืนดิน ถ้าใครได้ครอบครองก็เท่ากับได้ครอบครองขุมทรัพย์ที่ล้ำค่าอย่างดี ทำให้การแย่งชิงที่จะเกิดในอนาคตนั้นย่อมจะเข้มข้นเป็นอย่างยิ่ง


ที่ท่าเรือของเกาะ ซึ่งเป็นท่าเรือใหญ่ ในเวลานี้ได้ปรากฏเรือใหญ่จำนวนถึง 10 ลำ ได้จอดเทียบท่าของเกาะทำให้ขงหยง และซือหลง เจ้าเมืองเกาะฝึกฝนได้รีบจัดขบวนออกมาต้อนรับเป็นอย่างดี เพราะว่าเรือที่จอดเทียบท่าอยู่นั้น ได้มาพร้อมด้วยกองทหารชาญศึกพันนาย พร้อมม้าศึกจำนวนพันตัว

“ยินดีต้องรับขุนพลจูสือว่าน ขุนพลขวาวังกงลู่ ขุนพลซ้ายกวัวจินเทียน และเหล่าทหารหาญทุกท่าน”

ขงหยงที่ได้จัดพิธีการต้อนรับเหล่าทหารชาญศึกทั้งพันคนอย่างสมเกียรติ และได้กล่าวต้อนรับอย่างเป็นทางการ โดยมีสาว ๆ เข้ามามอบดอกไม้ให้กับเหล่าทหารทุกคนด้วย ทำให้ใบหน้าที่เหนื่อยล้าของเหล่าทหารที่ต้องเดินเรือมายาวไกลต้องยิ้มแย้มออกมา

“ขอบคุณท่านขงหยงที่มาต้อนรับพวกเราด้วยตนเอง นับเป็นเกียรติแก่พวกเราเป็นอย่างยิ่ง”

ขุนพลจูสือว่านได้กล่าวขึ้นอย่างให้เกียรติขงหยง แม้ว่าเขาจะมีอำนาจสิทธิ์ขาดในการปฏิบัติงานการไล่ล่าในครั้งนี้ก็ตาม แต่เขาก็ต้องให้เกียรติกับที่ปรึกษาของท่านโจโฉคนนี้ต่อหน้าประชากรของเมือง เพื่อผลประโยชน์ของกองทัพในวันข้างหน้า


ในห้องวางแผนของเมือง ขุนพลทั้งสาม และขงหยง ได้ประชุมกันอยู่อย่างเคร่งเครียด บนผนังห้องมีแผนที่ขนาดใหญ่ และละเอียดติดไว้ โดยมีจุดต่าง ๆ ติดตรึงไว้ในพื้นที่เรียกว่า ป่าดงดิบ

“ตอนนี้มีข่าวจากเหล่าทหารที่ท่านส่งไปหยั่งเชิงพวกมันหรือไม่” จูสือว่านได้ถามขงหยงในห้องวางแผน

“เมื่อวันก่อนได้ข่าวว่า พวกมันตั้งทัพอยู่ที่หน้าเนินเขาเจ็ดขุมทรัพย์ ในเชิงเขาลี่ซาน” ขงหยงกล่าวขึ้น พร้อมกับปักหมุดไปที่แผนที่

“อืม.....นับว่ายังฉลาดที่ตั้งค่ายปิดกั้นทางเดินสู่เนินเขาเจ็ดขุมทรัพย์เอาไว้ แต่ก็เท่ากับบอกศัตรูด้วยว่า ข้างหลังค่ายเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญ ถ้าข้าเป็นศัตรู หลักจากที่ข้ารบชนะพวกมันแล้ว ข้าก็จะยึดเนินเขานั้นเพื่อสร้างเป็นป้อมค่ายที่แน่นหนา และแข็งแกร่ง” ขุนพลจูสือว่านกล่าวขึ้น ทำให้ขงหยงที่เคยคิดว่าตนเองฉลาด ต้องสะอึกกับปัญญาและความคิดของขุนพลผู้นี้

“ปกติข่าวจะถูกส่งมาภายในกี่วัน” ขุนพลจูสือว่านยังถามขงหยงต่อ ทำให้เขาต้องตอบออกมาว่า

“สองวันต่อครั้ง แต่นี่ก็เลยไปวันที่สามแล้ว ข่าวยังไม่ถูกส่งออกมา”

“ถ้าอย่างนั้น เราคงต้องตระเตรียมที่จะสู้รบกันอย่างหนักแล้ว เพราะจะต้องสู้กับป้อมที่แข็งแกร่ง และเหมาะแก่การตั้งรับเป็นอย่างยิ่ง ข้าเพียงหวังว่า พวกมันคงไม่ฉลาดพอที่จะยึดกองกำลังที่ออกไปทั้งหมดไปเสริมกำลังของตนเองหรอกนะ ไม่อย่างนั้น เราเสียเปรียบอย่างที่สุดแน่ ๆ”

“ท่านขุนพลจู จะให้หน่วยสอดแนมของเราไปหยั่งดูกำลังของข้าศึกก่อนดีกว่าไหมครับท่าน” ขุนพลซ้ายกวัวจินเทียนออกความเห็นทันที

“อืม...น่าจะดี เพราะจากรายงานเรื่องนักโทษ และทหารที่ทรยศ น่าจะมีกำลังที่ประมาณ 120 คน แต่คนที่สามารถเอาชนะนักรบทั้ง 900 คนได้นั้น จะต้องไม่ธรรมดาแน่ ๆ แม้ว่าพวกนั้นจะอ่อนหัดไปหน่อยก็ตาม”

จูสือว่านพูดพลางหันไปมองดูขงหยงด้วยสายตาที่ตำหนิ เพราะการส่งคนที่ไม่ชำนาญในการศึกออกไปสู้กับข้าศึกที่แข็งแกร่ง แม้จะมีกำลังน้อยกว่านั้น ย่อมเป็นการนำกำลังของตนเองไปมอบให้กับข้าศึกนั่นเอง

“ส่งคนของเราไปสืบดู ถ้าพวกมันได้กองกำลังที่ถูกส่งไปละก็ ท่านขงหยงต้องเตรียมรายงานเรื่องนี้ต่อหน้าท่านโจโฉเองนะขอรับ”

จูสือว่านกล่าวขึ้น พลางหันไปสั่งการต่าง ๆ กับผู้ช่วยทั้งสองคน โดยที่ไม่ได้ขอคำแนะนำอะไรจากขงหยงแม้แต่น้อย แต่ทว่า หลังจากที่สั่งการเรื่องการศึกแล้ว ยอดขุนพลก็หันกลับมายังขงหยงว่า

“ท่านขงหยงได้ช่วยจัดการป้องกันเมืองให้รัดกุมด้วยนะครับ เพราะตอนนี้เกาะแห่งนี้ได้กลายเป็นเกาะขุมทรัพย์ไปแล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะเกิดการช่วงชิงระหว่างก๊กต่าง ๆ เกิดขึ้นที่นี่ ในตอนนี้เท่ากับว่า ท่านโจโฉได้ครอบครองเกาะแห่งนี้แล้ว แต่ถ้าท่านขงหยงทำเมืองเสียทีแก่ข้าศึก ข้าก็ไม่อยากคิดต่อว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับท่าน”

“ขอบคุณท่านที่เป็นห่วง แต่ข้าจัดการป้องกันเมืองอย่างดีแล้ว ห่วงแต่การจับกุมตี๋น้อยของท่านเถอะ เพราะข้าได้ข่าวว่า คนผู้นี้ฉลาดจนหาคนเทียบได้ยาก กลัวว่าท่านขุนพลจะมาตายน้ำตื้น”

ขงหยงเมื่อเห็นปฏิกิริยาของยอดขุนพลจึงกล่าววาจาตอบโต้กลับไปอย่างนิ่ม ๆ เช่นกัน ทำให้ทั้งสองมองหน้ากันแบบต่างคนต่างไม่ยอมกัน


เนินเขาเจ็ดขุมทรัพย์ เป็นนามที่ตั้งขึ้นตามภูมิประเทศของเนินเขาแห่งนี้ เนื่องจากเมื่อมองดูด้านล่างจะไม่เห็นความผิดปกติแม้แต่น้อย แต่ถ้าเดินขึ้นเนินที่เป็นทางที่สูงชันพอ ๆ กับภูเขาย่อม ๆ ลูกหนึ่ง ก็จะพบกับที่ราบบนเนินเขาที่อุดมสมบูรณ์ ทำให้เหมือนกับว่า ขุมทรัพย์ที่ซ่อนอยู่ ซึ่งไม่อาจพบเห็นได้จากภายนอก

ที่ราบอันอุดมสมบูรณ์ในเนินเขานั้น บัดนี้ได้กลายเป็นป้อมค่ายที่แข็งแกร่งขึ้นแล้ว ด้วยฝีมือของทุกคนภายในกลุ่ม ซึ่งได้ช่วยกันตามความถนัดของตนเอง เช่น กลุ่มผู้กล้าเขาไท่ซาน ซึ่งเชี่ยวชาญการสร้างอาวุธ และกลไกกับดักป้องกันค่าย ส่วนทหารประจำคุกนั้นถนัดเรื่องสร้างกำแพง และป้อม

ส่วนกลุ่มต่าง ๆ ทั้ง 6 กลุ่มนั้น ได้ช่วยสร้างค่ายพัก 9 ที่ ซึ่งจะแบ่งออกเป็นกลุ่มต่าง ๆ 6 แห่ง กลุ่มทหาร และนักโทษ 1 แห่ง กลุ่มชาวบ้าน 1 แห่ง และกองบัญชาการอีก 1 แห่ง

นอกจากนั้น เหล่าชาวบ้านนับร้อยคน ซึ่งเป็นครอบครัวของทหารที่เฝ้าคุก ได้ช่วยกันสร้างสวนผัก สวนผลไม้ นา และฟาร์มเลี้ยงสัตว์

และคนที่พิเศษที่สุดคือ เสี่ยวหมวย ผู้ซึ่งมีกลุ่มเอี้ยฮุ้น 5 คนเป็นผู้ช่วย ได้สร้างกลไกกับดักในที่ราบลุ่มซึ่งได้ย้ายค่ายไปไว้บนเนินเขาแล้ว จากนั้นก็สร้างกับดักในทางที่จะขึ้นไปยังเนินเขา โดยมีจุดศูนย์รวมกลไกอยู่ในป้อมกลาง ที่สร้างคร่อมประตูทางเข้า และเป็นทางเดียวที่สามารถเข้าออกป้อม

ป้อมกลางนั้น จะมีป้อมประกบอีกข้างละสองป้อม ซึ่งจะทำให้สามารถรับการรุกรานได้ทุกรูปแบบ เนื่องจากจะสามารถใช้ทหารในการป้องกันได้เป็นจำนวนมากขึ้น และการโจมตีต่อผู้บุกรุกจะเป็นวงโค้ง ทำให้การโจมตีแบบรุมขนาบ ซึ่งเมื่ออยู่ในทางแคบ ๆ ที่คนเดินได้เพียง 3-4 คนเท่านั้น กลายเป็นอานุภาพที่ยากจะต้านทาน

ดังนั้น แม้ว่าจะยกทัพมาสักหมื่นคน ก็สามารถใช้คนแค่ไม่กี่คนในการสามารถรักษาป้อม เพราะเท่ากับว่า คนในป้อมต่อสู้กับคนเพียงไม่กี่สิบคนเท่านั้น


ที่เมืองฝึกฝน กองกำลังทหารทั้งหนึ่งพันนายพลันแยกออกเป็นกองกองละ 50 คน รวมเป็น 20 กอง โดยแต่ละกองสามารถประสานกันได้ไร้ร่องรอย สามารถรุกรับแทนกันได้ และเมื่อกองไหนถูกโจมตี อีก 19 กองต้องรู้ทันที และสามารถเข้าล้อมรอบกลุ่มที่โจมตี และตลบหลังได้แม้ข้าศึกจะมีมากกว่าก็ตาม

นี่คือหน่วยชาญศึกที่เก่งกาจที่สุดในแผ่นดิน เป็นทุนรอนของโจโฉที่สามารถยึดครององค์ฮ่องเต้ตัดหน้าอ้วนเสี้ยว และก๊กอื่น ๆ ได้

กองกำลังกลุ่มนี้ จึงได้ชื่อว่า กองพันปีศาจ กองพันที่สามารถพิชิตศึกได้ทุกสมรภูมิการรบ และไม่เคยพ่ายแพ้ตั้งแต่ออกรบมาจนกระทั่งบัดนี้

วูบ.............................

ชายกลางคนในชุดดำปิดหน้าปิดตาได้ปรากฏขึ้นตรงหน้าของขุนพลจูสือว่าน ชายผู้นี้มีรูปร่างสันทัด หน้าตาบ่งบอกถึงสติปัญญาและประสบการณ์ที่ผ่านร้อนผ่านหนาว และผ่านประสบการณ์มาจนแทบจะนับไม่ถ้วน

“เรียนท่านนายพล เป็นอย่างที่ท่านคาดเอาไว้ไม่มีผิดครับ กลุ่มของตี๋น้อย ซึ่งใช้ชื่อว่า เจ้าสัว ได้ชนะกลุ่มจอมฟ้า จึงทำให้กลุ่มอื่น ๆ ที่เหลือได้เข้าร่วมกับเขาหมด รวมทั้งกลุ่มจอมฟ้าที่เหลือด้วย” ชายชุดดำผู้นั้นได้รายงานขึ้น

“กำลังตอนนี้ของเจ้าสัวมีประมาณ 900 คนแล้วครับท่าน และได้ตั้งค่ายขึ้นบนเนินเขาเจ็ดขุมทรัพย์ ซึ่งมีการวางมาตรการป้องกันที่รัดกุม และถี่ยิบ ทำให้ข้าไม่อาจที่จะเข้าไปหาข่าวได้ลึกกว่านี้ได้”

“ขอบใจเจ้ามาก ไปพักผ่อน และเบิกเบี้ยหวัดได้จากกองคลังเมืองเพื่อจะได้พักผ่อนในเมืองได้อย่างสบายมากขึ้น”

“ขอรับท่าน”

สิ้นเสียง ชายในชุดดำก็หายวับไป ทิ้งให้ขุนพลแห่งกองพันปีศาจครุ่นคิดอยู่เพียงลำพัง เพราะศึกครั้งนี้หนักหนาสาหัสกว่าทุกครั้ง เพราะผู้เป็นแม่ทัพของฝ่ายโน้นไม่ได้ด้อยปัญญาแต่อย่างใด อีกทั้งยังอยู่ในป้อมค่ายที่แน่นหนาแข็งแรงจนคล้ายกับกระดองเต่า ทำให้ยากต่อการเข้าโจมตียิ่งนัก

“อืม....หวังว่าคงจะไม่เอาชื่อเสียงมาทิ้งไว้ในเกาะแห่งนี้นะ ไม่อย่างนั้น คงจะไม่สามารถกู้ชื่อเสียงคืนมาได้อย่างง่ายดายแน่ ๆ” จูสือว่านพึมพำอย่างหนักใจ

“วังกงลู่ กวัวจินเทียน” เหมือนว่าขุนพลแห่งกองพันปีศาจจะตัดสินใจอะไรออกมาได้ จึงร้องเรียกขุนพลซ้ายขวาทันที

“ครับ ท่านขุนพล” ร่างที่สูงใหญ่ของขุนพลทั้งสองปรากฏกายขึ้นทันที ทำให้ขุนพลจูสือว่านพยักหน้าอย่างพอใจกับขุนพลคู่ใจของเขา ซึ่งไว้ในได้ในทุกสมรภูมิ

“สงสัยว่า ข้าจะต้องไปสำรวจป้อมค่ายของพวกมันเองสักครั้ง ไม่อย่างนั้นคงไม่อาจจะคิดแผนการอะไรออกมาได้แน่ ๆ”

คำพูดของขุนพลเอกอย่างจูสือว่านนั้น ทำให้สองขุนพลรีบคัดค้าน เพราะเป็นห่วงในความปลอดภัยของท่านขุนพล

“ถ้าข้าไม่ออกไป พวกเราก็มีโอกาสแพ้มากกว่าชนะ เพราะฝ่ายตรงกันข้ามได้ยึดชัยภูมิที่ดีเยี่ยมที่สุดไว้แล้ว อยู่ก็แพ้ แต่ถ้าไป อาจจะมีโอกาสชนะได้ พวกเจ้าคิดว่าอย่างไร”

“ถ้าอย่างนั้น พวกข้าทั้งสองจะจัดกองทหารสัก 3 หน่วยไปกับท่านขุนพล”

“ไม่ต้อง หาทหารให้ข้าสัก 12 คนก็พอ ส่วนพวกเจ้าทั้งสอง เตรียมออกลาดตระเวนในป่าเบญจพรรณ แต่ห้ามเข้าไปในป่าดงดิบ จนกว่าข้าจะกลับมา หรือถ้า 3 วันแล้วข้าไม่กลับมา พวกเจ้าจึงคิดทำการตามสมควร และตามจังหวะโอกาส” จูสือว่านยอดขุนพลกล่าวอย่างมั่นใจ




 

Create Date : 17 ตุลาคม 2554    
Last Update : 17 ตุลาคม 2554 12:25:02 น.
Counter : 244 Pageviews.  

บทที่ 20 ข่าวสารของเสี่ยวหมวย และแผนการของตี๋น้อย


“เมื่อตั้งทัพเพื่อสังเกตศัตรู จงยึดชัยภูมิบนภูเขา และอยู่ใกล้หุบเขา จงตั้งทัพบนที่สูง ซึ่งเห็นทัศนวิสัยได้กว้างไกล ต้องไม่รุกขึ้นเขาเด็ดขาด จงโจมตีโดยถลาโถมลงมาจากเขาเท่านั้น นี่คือการตั้งทัพบนภู”  ซุนวู


เทือกเขาลี่ซาน อยู่ถัดจากค่ายเดิมของอี่เทียน ซึ่งตอนนี้เป็นที่พักของทหาร และครอบครัวทหารที่มาเข้าในสังกัดของตี๋น้อย มีร่างของของกลุ่มคนประมาณ 11-12 คนกำลังเดินทางขึ้นเขาอยู่อย่างขะมักเขม้น

“ด้านบนเขาเป็นอะไรครับ ท่านเจ้าสัว ทำไมจึงอยากให้พวกเราขึ้นไปสำรวจกัน” หยางฟง ซึ่งบัดนี้ได้เป็นองครักษ์ประจำของตี๋น้อย และผู้นำกลุ่มจอมฟ้าได้กล่าวขึ้น

“อี่เทียนไม่ได้บอกอะไรท่านไว้หรือ เพราะการที่เขาปลงทัพ พร้อมกับสร้างค่ายไว้ตรงที่ลุ่มนั้นก็มีจุดประสงค์เพื่อไม่ให้ข้าสามารถยึดที่นี่ได้ต่างหาก ไม่ใช่ความเลินเล่อ หรือไม่รู้จักพิชัยสงครามของเขาเลยแม้แต่น้อย” ตี๋น้อยบอก ทำให้เอี้ยฮุ้นเอ่ยขึ้น

“ถึงว่าสิ ทำไมท่านเจ้าสัวจึงบอกว่า คนผู้นี้ประมาทไม่ได้ แต่ทำไมเขาพ่ายแพ้ แถมยังแพ้อย่างง่ายดายอีกด้วย”

“นี่แหละคือสิ่งที่พวกท่านจะต้องจำไว้ว่า แค่รู้จัก และเชี่ยวชาญในพิชัยสงครามนั้นไม่เพียงพอ ต้องรู้จักนิสัยใจคอของคน ความรู้สึกนึกคิดของผู้คนในแต่ละสถานการณ์ และศักยภาพของคนทั้งปวงด้วย จึงจะสามารถพิชิตได้ทั้งแผ่นดิน”

ตี๋น้อยตอบออกมา ทำให้เหล่าหัวหน้ากลุ่มทั้งห้า เอี่ยวจิ้งเจิง เลี่ยงเซิน อุ้ยต่งจิน เอี้ยฮุ้น และ หยางฟงต่างพากันพยักหน้าด้วยความเห็นด้วยอย่างที่สุด เพราะจุดเด่นของตี๋น้อยก็คือ การรู้จักพิชัยสงคราม และรู้จักคน ซึ่งทำให้สามารถพิชิตอี่เทียนที่รู้จักแต่พิชัยสงครามอย่างเดียว


“นี่คือสิ่งที่ข้าอยากให้พวกท่านได้เห็น” ตี๋น้อยพูดขึ้นเมื่อขึ้นมาบนภูเขา
ภาพที่ทุกคนเห็นก็คือ พื้นที่อุดมสมบูรณ์ เนื่องจากพื้นที่บนภูเขานั้นเป็นที่ราบ พร้อม ๆ กับมีลำธารไหลผ่าน จุดกำเนิดของลำธารสายนั้นก็คือน้ำตกขนาดย่อม ๆ นั่นเอง

“นี่มันที่ตั้งฐานทัพในอุดมคติเลยนี่ ขนาดบนภูเขาไท่ซานที่ข้าเคยตั้งค่าย ยังไม่ดีเท่านี้เลย” เอี้ยวจิ้งเจิง ผู้เคยมีผู้คนนับหมื่นนับแสนอยู่ในมือได้กล่าวขึ้นอย่างดีอกดีใจ

“พวกท่านลองสำรวจชัยภูมิดู แล้วจงปรึกษากันว่า จะสร้างค่ายอย่างไรให้แข็งแกร่ง และต้องมีที่ทำนาทำสวน และเพาะเลี้ยงสัตว์ต่าง ๆ ให้พอกินพอใช้ตลอดปีอีกด้วย”

ตี๋น้อยสั่งการเสร็จก็มานั่งข้างลำธาร เพื่อเปิดดูข้อมูลของพื้นที่นี้ จากนั้นได้หาดูพืชผัก และผลไม้ที่จะปลูก ซึ่งจะต้องหาได้ในป่าดงดิบแห่งนี้

จากนั้น ตี๋น้อยได้จำลองการก่อสร้างป้อมค่ายในจุดต่างๆ และจำลองการสู้รบเวลาถูกศัตรูบุกอย่างละเอียด และทุกซอกทุกมุม แม้กระทั่งจำลองการโจมตีจากเครื่องร่อน การปีนหน้าผา และยอดเขาเพื่อเข้าโจมตีป้อมค่ายแบบไม่ให้ตั้งตัว ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นได้ถ้ากองทัพนั้นเป็นกองทัพที่ชาญศึก และมีแม่ทัพที่มีความสามารถจริง ๆ

“ขี้โกงจริง ๆ เลย มีข้อมูลทุกอย่างอยู่ในมือ แล้วแบบนี้ใครจะชนะนายได้ละ”

เสียงหวานดังขึ้นข้างหลัง ทำให้ตี๋น้อยรีบพุ่งตัวมาข้างหน้าอย่างรวดเร็ว พร้อมกับม้วนกลิ้งไปด้านข้างเพื่อพลิกหลบและหันมาเผชิญหน้ากับผู้บุกรุกได้ โดยในมือนั้นได้กุมด้ามกระบี่ไว้ แต่ไม่ได้ชักออกมา ด้วยมองเห็นหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใสของผู้บุกรุก

เคว้ง..................เคว้ง.......................

เหล่าหัวหน้านักรบทั้ง 10 เมื่อเห็นตี๋น้อยถูกคุกคาม ต่างก็พากับชักอาวุธ และรีบวิ่งมาทางตี๋น้อยทันที พร้อมกับพากันล้อมเจ้าของเสียงพูดนั้นไว้อย่างแน่นหนา

“เฮ้....ต้อนรับสาวสวยกันอย่างนี้หรอ” เสียงนั้นยังคงส่งเสียงแจ้วแจ้วอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับยอดนักรบที่ล้อมรอบ

“เอ้า...เสี่ยวหมวยหรอ ทุกคน นี่เป็นเพื่อนข้าเอง ไม่มีอะไรหรอก” ตี๋น้อยเมื่อเห็นคนที่อุตริโผล่มาข้างหลังเขาได้โดยที่เขาไม่รู้ตัว ก็บอกกับทุกคนที่รายล้อมอยู่ทันที

“ขออภัยด้วยที่เสียมารยาท ไม่รู้ว่าเป็นเพื่อนท่านเจ้าสัว” เอี้ยวจิ้งเจิงกล่าวขออภัย

“ขอโทษ ข้าคิดว่า ข้าเคยเห็นท่านมาก่อนนะ ไม่ทราบว่า ท่านชื่อเสี่ยวหมวยใช่ไหม”

เลี่ยงเซิน อดีตยอดมือปราบแห่งวังหลวง ได้จับต้องมองเสี่ยวหมวยอย่างไม่วางตา เพราะเขาจำเธอได้จากแฟ้มบุคคลที่น่าจับตามองในวังหลวง

“ท่านมือปราบเลี่ยงเซินนั่นเอง ข้าไม่มีอะไรปิดบังพวกท่านหรอก ข้าก็คือคนที่พวกท่านเคยได้ยินชื่อนั่นเอง”

คำตอบของเสี่ยวหมวยทำให้เอี้ยฮุ้น อุ้ยต่งจิ้น เอี้ยวจิ้งเจิง และเลี่ยงเซินต่างตกใจ เพราะคิดไม่ถึงว่า บุคคลระดับเสี่ยวหมวยได้เข้ามาอยู่ในเมืองฝึกฝนแห่งนี้

“เมื่อพวกท่านต่างก็รู้แล้วว่าข้าเป็นใคร จะปล่อยให้ข้าได้ทักทายหัวหน้าของพวกท่านได้หรือยัง” เสี่ยวหมวยถามอย่างยิ้ม ๆ ทำให้คนทั้งหมดต้องขออภัย และพากันเดินจากไป เหลือเพียงเสี่ยวหมวย ตี๋น้อย และหยางฟง

“หยางฟง เจ้าจะอยู่นี่ทำไมละ มานี่ด้วยกันดีกว่า แล้วข้าจะบอกเองว่านางเป็นใคร”

อุ้ยต่งจิ้นที่รู้ว่า หยางฟงห่วงใยความปลอดภัยของตี๋น้อย จึงเดินมาดึงมือไปด้วยกัน ปล่อยให้ทั้งสองคนได้อยู่ด้วยกันตามลำพัง

“ปล่อยข้าก่อนได้ไหม ข้ายังไม่ไว้ใจคนผู้นั้น แม้ว่าจะเป็นผู้หญิงก็ตามเถอะ เพราะข้าสัมผัสถึงความน่ากลัวของนางได้” ร่างสูงใหญ่ของหยางฟงได้สะบัดมือออกจากมือของอุ้ยต่งจิ้น

“ถ้านางจะลอบฆ่าท่านเจ้าสัวของเรา ต่อให้มีพวกเรามากกว่านี้ ก็ไม่สามารถที่จะขัดขวางนางได้” อุ้ยต่งจิ้นกล่าวขึ้น ทำให้หยางฟงชะงักที่จะกลับไปคุ้มครองตี๋น้อย

“นางร้ายกาจอย่างนั้นเชียวหรือ ทำไมข้าไม่เคยได้ยินชื่อของนางในทำเนียบยอดฝีมือ”

“เพราะนางไม่ใช่ยอดฝีมือนะสิ” ชายผู้มีปัญญา และเชี่ยวชาญในการศึกได้กล่าวขึ้น

“แล้วนางเป็นใคร”

“หัวหน้ากลุ่มนักฆ่าที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดในยุคนี้”

สิ้นเสียงของอุ้ยต่งจิ้น ทำให้หยางฟงตกตะลึง เพราะวิชาที่เขาเรียนมาจากโรงเรียนจอมฟ้านั้น ได้กล่าวถึงคนที่โดดเด่นในยุคนี้ และหนึ่งในนั้นก็คือ เสี่ยวหมวยนั่นเอง

จากนั้นเขาได้เหลียวมองเหล่าหัวหน้ากลุ่มทั้งห้าที่กำลังคุยกับเอี้ยฮุ้นอยู่นั้นก็มีท่าทางเช่นเดียวกับเขา เพราะใครจะไปเชื่อว่า ผู้ที่มีรูปโฉมงดงามราวกับจะสยบแผ่นดินไว้ได้ด้วยเพียงรอยยิ้ม จะมีความน่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ได้

“นี่คือ เสี่ยวหมวย หัวหน้ากลุ่มหงส์ไฟ ที่เชี่ยวชาญการลอบฆ่า สืบข่าว การก่อวินาศกรรม และการเจรจาต่อรองอย่างนั้นหรือ”

หยางฟงแทบจะไม่เชื่อ เมื่อเห็นสีหน้าท่าทางที่ยิ้มแย้มแจ่มใส ร่าเริง และแฝงไว้ด้วยความเอียงอายราวกับสาวน้อยที่แอบมาพบแฟนหนุ่มของเสี่ยวหมวย


“พี่พึ่งจะรู้จักสำนวนนิยายจีนที่ว่า คนในยุทธภพ ไม่อาจจะเป็นตัวของตัวเอง ก็ในวันนี้แหละ” ตี๋น้อยที่เอนกายไปพิงต้นไม้ข้างลำธารทอดถอนใจ ทำให้เสี่ยวหมวยที่นั่งอยู่ข้างๆ ต้องอมยิ้มเล็กน้อย

“ไม่ทันไรก็เริ่มพูดเหมือนคุณลุงพันแล้วนะ รายนั้นนะ ตั้งแต่ได้วิชาการอ่านหนังสือแบบใหม่ ก็เล่นอ่านจนนิยายจีนแทบจะหมดห้องสมุดอยู่แล้ว”

“คิดถึงลุงจังเลยนะ ถ้าไม่มีลุงพัน กับหมวย พี่ก็ไม่รู้ว่าจะรอดพ้นจากอุ้งมือพี่ชายต่างมารดาคนนี้ได้ไหม”

“หมวยกับลุงช่วยแค่นิด ๆ หน่อย ๆ แต่สิ่งที่พี่ตี๋ทำนี่สิ เหลือเชื่อจริง ๆ เพียงคนเดียว สามารถดึงดูดคนที่มีความสามารถอย่างเอี้ยวจิ้งเจิน หัวหน้ากลุ่มไท่ซาน ที่เคยมีกองกำลังนับแสน กับเอี้ยฮุ้น ซึ่งเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งของเมืองฝึกฝนได้ แถมยังสามารถสยบกองกำลังที่ออกตามล่าตัวเอง จนสามารถสร้างกองกำลังของตนเองขึ้นมาได้” เสี่ยวหมวยกล่าวอย่างชื่นชม พลางชวนคุยต่อว่า

“แต่หมวยยังสงสัยอย่างหนึ่ง คนที่มาเล่นเกมนี้จะมีฮีโร่ของตนเองอย่างน้อยหนึ่งคน เช่น ตี๋ใหญ่ พี่ชายของพี่ก็นิยมชมชอบโจโฉ ตั้งชื่อตัวเองเป็นโจโฉ เลียนแบบอุปนิสัยของโจโฉ แถมลอกเลียนแบบยุทธวิธีของโจโฉมาจนแทบเรียกว่า ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยก็ว่าได้” เสี่ยวหมวยเกริ่นนำ ก่อนจะเข้าสู่ประเด็นว่า

“แล้วพี่ตี๋มีใครเป็นฮีโร่ของตัวเองหรอ”

“แล้วหมวยคิดว่าพี่มีใครเป็นไอดอลละ” ตี๋น้อยย้อนถามอย่างยิ้ม ๆ

“ก็หมวยถามพี่นะ ไม่ได้ให้พี่มาถามหมวย”

“ก็หมวยบอกมาก่อนดิ แล้วพี่ค่อยเฉลยทีหลัง” ตี๋น้อยทำเป็นไม่สนใจอาการงอนตุบป่องของเสี่ยวหมวย ทำให้ฝ่ายนั้นกระฟัดกระเฟียด และสะบัดหน้าหนี

“เอาละ ๆ ยอมแพ้แล้วจ้า ไม่ต้องทำหน้าทำตาแบบนั้นก็ได้ เดี๋ยวบอกให้”

ตี๋น้อยต้องยอมแพ้เป็นครั้งแรกในชีวิต แต่เป็นความพ่ายแพ้ที่ทำให้หัวใจเป็นสุข เพราะเสี่ยวหมวยไม่ได้ทำให้เขายอมแพ้ด้วยเหตุผล และคารม แต่เป็นการใช้ความน่ารักมาพิชิตใจตี๋น้อยให้พ่ายแพ้

“ซุนกวนกล้าหาญชาญชัย แต่ยึดติดกับระเบียบแบบแผน ไม่เน้นพลิกแพลงแปรเปลี่ยนที่หลากหลายราวกับแม่น้ำแยงซีเกียงที่ไหลเป็นกำแพงของง่อก๊ก ทำให้แผนการที่ยิ่งใหญ่ไร้ความสำเร็จ” ตี๋น้อยกล่าววิเคราะห์ก๊กทั้งสามก่อนที่จะบอกว่าตนชอบก๊กไหน

“เล่าปี่ คนผู้นี้เป็นถึงเชื้อสายกษัตริย์ แถมก๊กของตนเองยังใช้ชื่อว่า สู่ฮั่น ซึ่งหมายถึงก๊กของราชวงศ์ฮั่น ได้รับความเคารพจากองค์จักรพรรดิ์เหี้ยนเต้ อีกทั้งบรรดาเจ้าเมือง และคนใหญ่คนโตในแผ่นดินล้วนแล้วแต่เครือญาติของตนเองทั้งสิ้น และเป็นผู้มีน้ำใจไมตรีทำให้มีมิตรสหายมากมาย แต่ไม่อาจที่จะใช้ประโยชน์จากข้อได้เปรียบเหล่านี้ ทำให้ภายหลังพ่ายแพ้จนถูกเปลี่ยนชื่อก๊กเป็นจกก๊ก กลายเป็นก๊กบ้านนอกไร้ซึ่งความชอบธรรม เพราะเหตุผลเดียวคือ ไร้ความเป็นผู้นำ ไร้ความพลิกแพลง และมุ่งหวังพึ่งพิงคนอื่นมากเกินไป จนทำให้ตนเองกลายเป็นผู้ที่ไร้ความสามารถไปในที่สุด”

“ส่วนโจโฉ ผู้นำวุยก๊ก เป็นคนที่มีความสามารถดี พลิกแพลงแปรเปลี่ยนล้ำลึกพิสดาร รู้จักใช้คน รู้จักใช้การเมืองให้นำมาซึ่งอำนาจเหนือแผ่นดิน ดูแล้วน่าจะเป็นคนที่เลิศเลอเปอร์เฟ็คที่สุดในบรรดาผู้นำทั้งสามก๊ก แต่จุดอ่อนที่สำคัญที่สุดของโจโฉก็คือ มีความเป็นผู้นำสูงเกินไป จนกลายเป็นว่า ไม่ยอมที่จะฟังความเห็นที่แตกต่าง ทำให้กลายเป็นมองมุมเดียว และช่วงใช้แต่ผู้ที่มีความคิดเห็นใกล้เคียงกับตนเอง จึงทำให้ผู้ที่มีความคิดเห็นเหมือนกับโจโฉนั้นก็ใช้ตัวของเขาเป็นบันไดก้าวสู่อำนาจเช่นกัน จนกลายเป็นคนที่ก่อร่างสร้างเมืองไว้ให้ลูกน้องของตนเองไปในที่สุด”

ตี๋น้อยบอกเล่ามาถึงตอนนี้ก็ทำท่าเหมือนกับจะหลับ ทำให้เสี่ยวหมวยเผลอเอามือตีแขนดังเพี๊ยะด้วยความหมั่นไส้

“โอ๊ย.....เจ็บนา” เสียงบอกเจ็บ ๆ แต่หน้าตายิ้ม ๆ จนเสี่ยวหมวยหน้าแดง

“วิเคราะห์อยู่นั่นแหละ ก็บอกมาสิ ว่าใครเป็นแม่แบบในดวงใจน้อย ๆ ดวงนี้”

“พี่ก็วิเคราะห์ให้ฟังแล้ว คราวนี้หมวยก็วิเคราะห์เองมั๊งสิ ไม่ใช่เอาแต่ถามพี่” ตี๋น้อยเอ่ยขึ้น ทำให้เสี่ยวหมวยทำท่าจะทุบอีกครั้ง จนต้องยอมแพ้

“ก็ทั้งสามคนนั่นแหละที่เป็นแม่แบบของพี่ ความห้าวหาญชาญศึกของซุนกวน มิตรภาพ การได้ใจราษฎร และเหล่าทหารหาญของเล่าปี่ รวมทั้งเล่ห์เหลี่ยมความพลิกแพลงจนเหมือนกับเป็นความเจ้าเล่ห์ของโจโฉ” คำตอบของตี๋น้อยทำให้เสี่ยวหมวยรู้สึกแปลกใจ จนต้องถามขึ้น

“นึกว่าพี่จะชอบขงเบ้ง หรือไม่ก็บังทอง เพราะเห็นพี่ชอบใช้ปัญญาพิชิตคนนักนี่ ไม่นึกว่าจะชอบหัวหน้าก๊กทั้งสาม”

“ขงเบ้ง และบังทอง ก็เป็นแค่กุนซือ ต่อให้ฉลาดกว่านี้อีกสิบเท่าก็ไม่อาจที่จะเปลี่ยนแผ่นดินให้รุ่งเรือง และแย่ลงไปได้หรอก เพราะผู้ที่สามารถที่จะทำเช่นนั้นได้ก็คือ ผู้นำ เป็นเอกสิทธิ์เฉพาะผู้นำเท่านั้น ดังนั้น พี่จึงต้องเป็นผู้นำ ไม่ใช่ผู้ที่อยู่เคียงข้างผู้นำ”

“แต่เสี่ยวหมวยจะอยู่เคียงข้างผู้นำ ดีไหมจ๊ะ” เสี่ยวหมวยถามอย่างมีความหมายที่ลึกซึ้ง ทำให้ตี๋น้อยอดที่จะหน้าแดงไม่ได้ ทำให้เสี่ยวหมวยหัวเราะคิก ๆ ที่สามารถทำให้ตี๋น้อยอายหน้าแดงได้

“แล้วหลังจากนี้ พี่วางแผนไว้อย่างไรหรอ”

“สร้างที่มั่น ฝึกอบรมคน ยึดเกาะ และสร้างกองกำลังที่เกาะแห่งนี้ จากนั้นก็จะวางสายแทรกซึมทั่วทั้งแผ่นดิน ครอบครองจิตใจ และศรัทธาของประชาชนไว้ให้ได้ เมื่อนั้นก็จะไม่มีขุนศึกคนไหนต่อต้านพี่ได้อีกแล้ว” ตี้น้อยกล่าวถึงแผนการอย่างรวบรัดด้วยความมั่นใจ พลอยทำให้เสี่ยวหมวยมั่นใจไปด้วย

“ถ้าอย่างนั้น หมวยขอช่วยในแผนการนี้ด้วยนะ เริ่มต้นจากการสร้างป้อมค่ายนี้ก่อน เดี๋ยวหมวยขอช่วยในการวางกับดักกลไก และขุดคูคลองป้องกันป้อมค่าย ดีไหม”

“ดีสิ งั้นเดี๋ยวพี่เรียกทุกคนมาประชุมพร้อมกัน เพื่อวางแปลนป้อมค่ายก่อน จะได้เริ่มก่อสร้างกันในวันพรุ่งนี้เลย เออ...ลืมถาม แล้วหน่วยทหารชาญศึกที่โจโฉจะส่งมา ตอนนี้ถึงหรือยัง”

“พรุ่งนี้กองกำลังหน่วยชาญศึกจะมา ซึ่งอาจจะบุกมาทันที หรืออาจจะพักผ่อนก่อนที่จะบุกมาก็ได้ ตอนนี้ไม่มีข้อมูลว่าใครเป็นผู้คุมทัพ ทำให้ไม่สามารถคำนวณแผนการของพวกมันได้”

คำตอบของเสี่ยวหมวย ทำให้ตี๋น้อยนิ่งคิด เพราะเขาต้องสร้างป้อมค่ายอย่างเร่งด่วนแล้ว คงต้องใช้เวลาสร้างทั้งวันทั้งคืน โดยการเปลี่ยนเวรสลับกันในการสร้าง เพื่อให้สามารถมีกองกำลังที่มีกำลังส่วนหนึ่งพักผ่อนเป็นกำลังเสริม อีกส่วนหนึ่งทำการก่อสร้าง และอีกส่วนหนึ่งแบ่งออกเป็นสองส่วนคือ รักษาค่าย และออกลาดตระเวน เพื่อแสวงข่าว ซุ่มซ่อน และลอบเร้นโจมตีข้าศึกแบบกองโจร




 

Create Date : 17 ตุลาคม 2554    
Last Update : 17 ตุลาคม 2554 12:18:20 น.
Counter : 308 Pageviews.  

บทที่ 19 พลังที่ห้าวหาญ VS แผนการณ์ที่เฉียบคม

“การมีทหารมากกว่า ไม่ได้หมายถึงชัยชนะ ถ้าใช้กำลังทหารที่มากกว่าอย่างมืดบอดต่อสถานการณ์ของข้าศึก และปฏิบัติต่อข้าศึกด้วยความประมาท ในที่สุดก็จะลงเอยด้วยการถูกข้าศึกจับกุม ทั้ง ๆ ที่กำลังฝ่ายข้าศึกมีน้อยกว่า”    ซุนวู นักยุทธการทหารในยุคจ้านกั๋ว


อี่เทียน แม่ทัพผู้นำทัพจำนวน 900 คนออกตะลุยไล่ล่าตี๋น้อยที่มีกำลังเพียงคนเดียว แม้ว่าภายหลังจะได้กำลังจากทหารบางกลุ่ม กองโจร และนักโทษแหกคุกมาร่วม แต่ก็มีกำลังเพียงแค่ร้อยกว่าคน

แต่ในทางยุทธการทหารแล้ว จำนวน ฝีมือ และทรัพยากรไม่ใช่เรื่องสำคัญ สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับชัยชนะคือ การรู้จักศัตรูอย่างถ่องแท้ รู้จักใช้กำลังของตนเองให้เหมาะสม และยุทธวิธีที่พลิกแพลงแปรเปลี่ยนจนหยั่งคาดไม่ถึง

“รุดหน้าไป จับกุมตี๋น้อยไปส่งท่านมหาอุปราช เพื่อพวกเราจะได้ไต่เต้าขึ้นสู่ความเป็นใหญ่ในแผ่นดิน”

เสียงอี่เทียนปลุกระดมเหล่าทหารฝ่ายของตน ทำให้เหล่าทหารเร่งรุดไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วราวกับกระแสน้ำไหลหลั่งถั่งโถมลงจากหน้าผา

ในเกมสามก๊กออนไลน์ จะใช้ภูมิหลังทางภูมิศาสตร์ และประวัติศาสตร์จากสมัยสามก๊ก ในช่วงหลังจากพระเจ้าหองจูเปียนสิ้นพระชนม์ และพระเจ้าเหี้ยนเต้ครองราชย์ในเมืองลกเอี๋ยง ซึ่งเป็นช่วงที่มีการก่อร่างสร้างตัวของขุนศึกก๊กต่าง ๆ

โดยทางเกมได้ตัดตั่งโต๊ะออกไปเพื่อความสมดุลของเกม ทำให้ผู้เล่นโจโฉสามารถเข้าพิชิตราชสำนักได้เป็นคนแรก และกลายเป็นมหาอุปราชไปในที่สุด
แต่เหล่าก๊กต่าง ๆ ก็ยังคงอยู่ต่อไปในดินแดนต่าง ๆ ในแผ่นดิน หาได้อยู่ในบังคับของโจโฉทั้งสิ้นไม่ ส่วนดินแดนทางภาคใต้ และเสฉวนก็ยังคงมีที่ว่างอีกมากรอคอยผู้เล่นใหม่ ๆ ดังนั้น การต่อสู้ช่วงชิงแผ่นดินจึงบังเกิดเป็นรสชาติที่น่าลิ้มลองสำหรับผู้เล่นที่ เข้ามาใหม่เสมอ

“เรียนท่านอี่เทียน ไม่พบใครในที่นี้ครับท่าน”

เมื่อเหล่าทหารมาถึงจุดหมายปลายทาง ทุกอย่างว่างเปล่า จะมีก็เพียงร่องรอยการต่อสู้ มีลูกธนูปักตรึงตามต้นไม้ข้างทาง หยาดเลือดนองเต็มแผ่นดิน

“เป้าหมายไม่ใช่กระจอก ๆ อย่างที่คิดไว้ ขนาดหยางฟงมาเอง ยังไม่อาจที่จะจับกุมมันได้” อี่เทียนเอ่ยขึ้นเพื่อเตือนให้ทหารทำการให้รัดกุม เพราะคิดว่า หยางฟงกำลังไล่ล่าตี๋น้อย

“มันไม่เท่าไรหรอกท่าน เป้าหมายครั้งนี้ดูเหมือนจะถนัดแค่การวางกับดัก จะมาเทียบกับท่านที่เก่งในการวางแผนได้อย่างไร” ทหารคนสนิทที่ไปสำรวจรอบบริเวณรีบพูดประจบ พลางรายงานต่อว่า

“มันทำกับดักกลไกไว้ ทำให้ทหารของท่านหยางฟงที่ไม่ทันระวังได้บาดเจ็บล้มตายไปจำนวนหนึ่งครับท่าน และส่วนที่เหลือ น่าจะติดตามเป้าหมายไปทางด้านโน้นครับท่าน”

ด้วยการใช้ลิ้นเชลีย หลังจากที่ใช้สายตา และจมูกสูดดมกลิ่นรอบบริเวณจนคาดเดาเหตุการณ์ออกของทหารคนสนิท ทำให้อี่เทียนสั่งการให้ทหารตามร่องรอยไป โดยให้หน่วยแกะรอยนำหน้า และทหารหน่วยพิฆาตตามหลังไปอย่างรวดเร็วโดยไม่ได้รออยู่สั่งการทหารจากทั้ง 4 กองที่เหลือ เนื่องจาก ต้องการแย่งชิงความดีความชอบให้ปรากฏว่า ตนเองเป็นผู้จับกุมเป้าหมายได้


ในส่วนของกองหน้าทั้งสอง และปีกทั้งสองนั้น เมื่อมุ่งมายังพื้นที่ที่เป็นเป้าหมาย ยังไม่ถึง ก็ปรากฏคนกลุ่มหนึ่งเข้ามาขวางทางไว้ ทำให้ต้องเสียเวลา และไม่สามารถตามทันกองทัพของอี่เทียนไปได้ ซึ่งการตามผู้นำทัพไปไม่ทันตามที่ได้รับมอบหมายไว้ อาจจะมีโทษฐานกระทำการละเลย หละหลวมได้ และโทษทัณฑ์นั้นร้ายแรงถึงขั้นประหารชีวิตนายกอง ผู้เป็นหัวหน้าแต่ละทัพ

“เอาอย่างไรดีละพวกเรา ไม่รู้ว่าเจ้าอี่เทียนมันไปทางไหนแล้ว แล้วมันไม่ทิ้งคนไว้บอกเราด้วย หรือว่า มันอาจจะจับเป้าหมายได้แล้ว และนำตัวไปส่งยังท่านผู้ตรวจการณ์ไปแล้วก็ได้” เฉินหนาน ผู้นำกลุ่มมังกรกล่าวขึ้น

“ใช่ เพราะเจ้าทั้ง 16 ตัวนี่แหละ ทำให้พวกเราเสียเวลา” โหวอี่ กลุ่มกระเรียนได้ทีขี่แพะไล่ทันที เพราะกำลังหงุดหงิดหาที่ระบายไม่ได้

“ข้ารับรองว่า ข้าไม่ได้ทำให้พวกท่านเสียเวลาหรอก ตรงกันข้าม ถ้าข้าไม่ได้มาพบพวกท่านนี่สิ จะทำให้พวกท่านเสียเวลามากกว่า”

เจินเจิน หัวหน้ากลุ่ม 16 นงคราญซึ่งผ่านพ้นความเป็นความตาย และพานพบประสบการณ์แห่งการทรยศและน้ำใจไมตรี ทำให้เริ่มเป็นผู้เป็นคนมากยิ่งขึ้น ไม่ทำตัวเป็นกระทิงเถื่อนเหมือนเช่นเดิม

“เจ้าว่า ถ้าพวกเราไม่ได้พบกับพวกเจ้าเหล่ากระทิงทั้งหลาย จะทำให้พวกข้าเสียเวลาหรือ ข้าไม่เข้าใจ อธิบายให้ฟังหน่อยสิ” เฉินหนานกล่าวขึ้นด้วยความอยากรู้ในประเด็นที่เจินเจินเปิดทิ้งไว้

“ก่อนที่จะอธิบายให้พวกท่านเข้าใจ ข้าจะถามพวกท่านคำถามหนึ่งก่อนว่า พวกท่านไว้วางใจในตัวของอี่เทียนได้กี่เปอร์เซ็น” เจินเจินถามตรง ๆ พร้อมกับมองตาของเหล่าหัวหน้ากลุ่มทั้ง 5 อย่างต้องการคำตอบ

“นี่เจ้าเป็นกลุ่มของอี่เทียน แล้วมาหลอกถามแบบนี้ มีจุดประสงค์อะไรหรือเปล่า”

ลิ่วหยวน หัวหน้ากลุ่มพยัคฆ์ถามอย่างไม่ไว้วางใจ เจินเจินที่มองตาของทุกคนในกลุ่ม จึงรู้ว่า พวกเขาไม่ไว้วางใจ ด้วยสงสัยว่าจะเป็นสายของอี่เทียน จึงตอบออกมาว่า

“เอาละ พวกท่านไม่ต้องตอบหรอก เพราะท่าทางของพวกท่านบ่งบอกว่า พวกท่านไม่ไว้วางใจในอี่เทียนแม้แต่เปอร์เซ็นเดียว”

ขาดคำของเจินเจิน เฉินหนานลอบส่งสัญญาณคนในกลุ่มของตนให้รายล้อมเหล่า 16 นงคราญไว้โดยไม่ให้ผิดสังเกต แต่เจินเจินก็มองออกในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

“บัดนี้ข้าไม่ได้เป็นคนในกลุ่มจอมฟ้าอีกแล้ว พวกท่านไม่ต้องกังวลใจไปหรอก ส่วนสาเหตุนั้น ข้าจะเล่าให้ฟังเอง และขอให้พวกท่านตัดสินด้วยว่า สิ่งที่พวกข้าทำนั้นถูกหรือไม่ ถ้าคิดว่าผิด พวกข้าก็พร้อมที่จะยอมตายเพราะคมดาบของพวกท่าน”

เจินเจินกล่าวอย่างหนักแน่น ไร้เสียงสะดีดสะดิ้งเหมือนเช่นปกติ จากนั้นจึงเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นเนื่องจากการทรยศของอี่เทียน ที่ไม่สนใจในความเป็นตายของเหล่า 16 นงคราญ ต้องการแค่สร้างผลงาน และความสำเร็จของตนเองเท่านั้น

ท่ามกลางความเห็นใจ และความหวาดกลัวต่อนิสัยของอี่เทียน ผู้กุมอำนาจการทหารในเมืองฝึกฝน เจินเจินได้กล่าวถึงเรื่องราวของตี๋น้อย ยุทธวิธีการพิชิตศึก และการช่วยเหลือเหยื่อล่อของศัตรูโดยไม่คิดที่จะเข่นฆ่าแม้แต่น้อย

“นี่คือเรื่องราวของพวกข้า รวมทั้งสาเหตุที่พวกข้าจำเป็นต้องเหนี่ยวรั้งพวกท่านไว้ จนพวกท่านมาไม่ทันทัพของอี่เทียน” เจินเจินกล่าวขึ้น พร้อมกับมองตาของทุกคน พลางกล่าวขึ้นว่า

“ทางเลือกของพวกท่านมีแค่ 2 ทางเท่านั้นคือ นำพวกข้าทั้ง 16 คน คุมไปส่งให้กับอี่เทียน เพื่อขออภัยโทษ และยอมอยู่ใต้อำนาจของมันต่อไป”

“ทางเลือกนี้ข้าไม่ทำเด็ดขาด” เฉินหนานกล่าวอย่างเด็ดเดี่ยว ซึ่งทำให้หัวหน้าอีก 4 กลุ่มเห็นด้วย

“ถ้าอย่างนั้น ข้ามีทางเลือกที่สองให้กับพวกท่าน”

ร่างสูงใหญ่ของเจินเจินมองดูเหมือนกับยิ่งสูงใหญ่ และมีอำนาจมากขึ้นไปอีก ไม่เหมือนปกติโดยทั่วไปที่เคยเป็น ทำให้หัวหน้ากลุ่มทั้งห้ามองอย่างแปลกใจ

“ตามพวกข้าไปหาท่านเจ้าสัว และยอมสวามิภักดิ์ต่อท่าน” คำพูดสั้น ๆ ของเจินเจินมีพลังทำให้เหล่าคนทั้งห้าสะดุ้ง เพราะเรื่องนี้ไม่เคยอยู่ในความคิดของพวกเขามาก่อน

“ถ้าข้าเลือกทางเลือกที่สามละ” ปาหยงหัวหน้ากลุ่มจิ้งจอกที่มีชื่อทางเจ้าเล่ห์แสนกลกล่าวขึ้น

“ข้ารู้ว่าท่านหมายถึงอะไร แต่ว่า แม้พวกท่านปล่อยข้าไป พวกท่านเองนั่นแหละจะไม่รอด ด้วยกฎอัยการศึก ดังนั้นทางเลือกที่สามไม่น่าเลือกแม้แต่น้อย บัดนี้ พวกท่านต้องเลือกทางที่หนึ่ง หรือทางที่สองเท่านั้น” เจินเจินมองปาหยงซึ่งเป็นหัวหน้ากลุ่มจิ้งจอกแน่วนิ่ง ทำให้ปาหยงกระสับกระส่ายเพื่อทางเลือกสองทางนี้

“ลูกผู้ชายกลัวอันใดกับความตาย อย่าว่าแต่นี่เป็นการตายในเกม ถ้ามีเงินก็ค่อยกลับมาเล่นอีกก็ได้” สือจิ๋น หัวหน้ากลุ่มสิงโตกล่าวด้วยความอาจหาญ เจินเจินจึงกล่าวขึ้นว่า

“ถ้าพวกท่านมีเงินเหลือนะ ค่าสมัครครั้งแรก หนึ่งแสนบาท ถ้าพวกท่านตาย ต้องสมัครใหม่ ในราคาสองแสนบาท พวกท่านมีเงินถุงเงินถังเหมือนพวกจอมฟ้าหรือ หรือว่า พวกท่านจะให้พ่อแม่ขายวัวส่งควายเล่นเกม”

เจินเจินกล่าวออกมาค่อนข้างจะรุนแรง เพราะเขารู้นิสัยคนเหล่านี้ดีว่า เป็นคนที่ตรง ๆ และต้องกล่าวรุนแรงจึงจะได้คิดกัน ไม่อย่างนั้น พวกเขาก็จะเลื่อนการตัดสินใจออกไปจนกระทั่งทุกอย่างสายเกินไป

“ตกลง ข้าเฉินหนาน และกลุ่มมังกรขอติดตามพวกเจ้าไป ข้าก็อยากรู้ว่า คนที่ข้าเคยพบเห็นก่อนออกจากเมืองฝึกฝนมา บัดนี้จะเติบโตไปถึงไหนแล้ว” เฉินหนานตัดสินใจทันที พลางร้องบอกเหล่าผู้ช่วยให้จัดเตรียมความพร้อมก่อนออกเดินทาง

“ลิ่วปา จัดเตรียมขบวนออกเดินทางไปกับกลุ่ม 16 นงคราญ” ลิ่วหยวนร้องสั่งน้องชายทันที ทำให้กลุ่มพยัคฆ์เตรียมพร้อมที่จะออกเดินทางทันที

ในขณะเดียวกัน สือจิ๋น แห่งกลุ่มสิงโต ปาหยง แห่งกลุ่มจิ้งจอก และ โหวอี่ แห่งกลุ่มกระเรียน ได้พากันร้องสั่งการเคลื่อนพลทันที

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้เจินเจิน และกลุ่ม 16 นงคราญยิ้มอย่างพึงพอใจ เพราะครั้งนี้ไม่ใช่แค่การยอทัพไว้เท่านั้น แต่เป็นการนำทัพของทั้ง 5 กลุ่มซึ่งมีถึง 500 คน ไปเข้าร่วมกับกลุ่มของตี๋น้อย ทำให้ตี๋น้อยที่เป็นหัวหน้ากลุ่มไม่อาจที่จะปฏิเสธพวกเขาได้อย่างแน่นอน


ด้านของกลุ่มจอมฟ้าจำนวน 270 คนที่เหลือนำโดยอี่เทียน ได้ออกสืบเสาะร่องรอยที่คิดว่าหยางฟงได้ทิ้งไว้ให้อย่างเอาเป็นเอาตาย จนกระทั่งมาถึงหุบเขาแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นหุบเขาอับ มีทางเข้าทางออกแค่ทางเดียวเท่านั้น และภายในหุบเขามีเพียงหญ้า และพุ่มไม้เตี้ยเล็กขึ้นประปรายเท่านั้น

“อี่เทียน และกลุ่มจอมฟ้าจงฟัง บัดนี้พวกเจ้าได้ถูกล้อมไว้หมดแล้ว ถ้าไม่อยากตาย จงยอมจำนนเดี๋ยวนี้”

เสียงดังก้องจะสะท้อนหุบเขาไปมาได้บังเกิดขึ้น ทำให้กลุ่มทหารจอมฟ้าหันกลับไปมองที่ทางเข้า และเป็นทางออกแห่งเดียวของหุบเขานี้ ปรากฏกลุ่มคนแต่งชุดดำปรากฏขึ้นนับร้อยคน และในมือของพวกเขาคือธนู และหน้าไม้ที่ขึ้นสายไว้แล้ว รอแค่คำสั่งสังหารเท่านั้น

ทหารของจอมฟ้า ส่วนใหญ่จะเป็นลูกหลานของคนมีเงิน ปกติก็จะสุขสบายกัน และที่เข้ามาเล่นเกมนี้ก็เพราะคำสั่งของพ่อแม่ และหลายคนหวังจะพิสูจน์ตัวเองให้พ่อแม่ และคนในกิจการของระบบกงสีของตระกูลตนยอมรับ หลังจากที่ได้ผ่านหลักสูตร 1 ปีในเกมนี้โดยไม่ตายก่อน ดังนั้น เสียงล้งเล้ง ๆ จึงเกิดขึ้นในกลุ่มอย่างหนัก จนทำให้อี่เทียนต้องตะโกนออกมาอย่างสุดแรงว่า

“อย่าไปกลัวพวกมัน เข่นฆ่าสังหารพวกมันออกไป”

แต่เสียงของอี่เทียนไร้อำนาจแล้ว เหล่าทหารเหล่านี้ที่ยอมอดทนกับการเดินป่าที่ทรหด อดทนกับการยากลำบากของการฝึกฝน จนบัดนี้ก็มาถึงเส้นทางที่จะต้องเลือกเอาว่า จะตาย หรือจะยอมแพ้ ทุกคนจึงขยับหนีอี่เทียน จากนั้นก็ทิ้งอาวุธในมือลง เอามือวางบนหัวยอมแพ้ทันที

“พวกเจ้าออกไปสู้เดี๋ยวนี้ ใครไม่ออกไป ข้าจะฆ่ามันด้วยตนเอง”

อี่เทียนตะโกนอย่างสิ้นหวัง แต่เหล่าทหารจอมฟ้ายิ่งหลบจากมันไป ทำให้มันคลั่งต้องใช้กระบี่ในมือไล่ฆ่าฟันเหล่าทหารของตนเอง จนทำให้ทหารเหล่านั้นวิ่งหนีจนสับสนอลหม่าน

เฟี้ยว......................ฉึก........................

ธนูดอกหนึ่งได้พุ่งเข้าใส่ร่างของอี่เทียนที่กำลังจะสังหารทหารคนหนึ่งที่สะดุดล้มลง

“ขอบคุณท่าน ขอบคุณท่านมาก” ทหารคนนั้นเมื่อเห็นธนูปักทะลุร่างของอี่เทียนก็รีบวิ่งออกไปพึ่งพิงเหล่าชายฉกรรจ์ชุดดำทันที

“เจ้า เจ้าคือตี๋น้อยหรือ” อี่เทียนแค่นเสียงออกมาอย่างยากลำบาก เพราะธนูได้พุ่งเข้าใส่กลางอกของเขา

“ใช่ ข้าคือตี๋น้อย แต่ในเกมนี้ชื่อของข้าคือ เจ้าสัว”

มองเห็นร่างที่สูงสง่า และยืนเคียงข้างซ้ายขวาด้วยชายอีก 4 คน เหมือนทำหน้าที่องครักษ์ ได้ก้าวออกมาจากกลุ่มคนชุดดำ

เมื่อทหารของจอมฟ้ามองเห็นก็รู้ทันทีว่าใครคือหัวหน้า จึงได้คารวะตี๋น้อยด้วยความนอบน้อม ท่ามกลางสายตาที่กำลังริบหรี่ของอี่เทียน

“ประเสริฐมาก เจ้าทำให้ข้าพ่ายแพ้ได้ด้วยตัวคนเดียว” อี่เทียนเอ่ยขึ้น และพลันร้องขึ้นอีกว่า

“แล้วหยางฟงละ เจ้าฆ่าเขาแล้วหรือ”

มิตรภาพระหว่างเขากับหยางฟงนั้นเกิดขึ้นภายนอกเกม เพราะหยางฟงเป็นลูกของบอดี้การ์ดของพ่อเขา ทำให้เขากับหยางฟงสนิทสนมกันเหมือนพี่น้อง

“ข้าอยู่นี่แล้วครับ ท่านอี่เทียน” หยางฟงที่ถูกมัดมือไว้ ได้ก้าวออกมา ตี๋น้อยจึงชักกระบี่ออกตัดเชือกที่มัดไว้จนขาด ทำให้หยางฟงเข้าไปประคองอี่เทียนได้

“ดีใจที่เจ้าไม่ได้ทิ้งข้าไป เอาไว้ข้าจะกลับมาเล่นใหม่ แล้วจะขอเข้าร่วมกับกลุ่มตี๋น้อย เจ้าอยู่ที่นี่คอยข้าได้ไหม” อี่เทียนที่รู้ตัวว่าจะตายได้กล่าวขึ้น

“ได้สิ ท่านตี๋น้อยเป็นคนที่เฉลียวฉลาด และมีน้ำใจ ข้าอยากให้พวกท่านได้เป็นเพื่อนกัน” หยางฟงกล่าวออกมา

“ข้าอยากจะเป็นลูกศิษย์เขามากกว่า ข้าอยากเก่งพิชัยสงครามมม”

เสียงของอี่เทียนค่อย ๆ จางหายไปพร้อมกับชีวิตของเขา คุณชายผู้คิดว่าตนเองเก่งที่สุด ผู้ซึ่งอยู่เหนือคนทั้งปวงมาตั้งแต่เล็กจนโต ผู้เคยคิดเสมอว่าตนเองเก่งเหมือนขงเบ้ง แต่สุดท้ายก็เป็นได้แค่....ผู้พ่ายแพ้ !!!




 

Create Date : 17 ตุลาคม 2554    
Last Update : 17 ตุลาคม 2554 11:40:40 น.
Counter : 332 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  

Muen Li
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add Muen Li's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.