วรรณกรรมของหมื่นลี้
Group Blog
 
All Blogs
 
บทที่ 13 คนป่าแดนเถื่อน กับคนเมืองจอมเก๊ก

ด้านนอกของเมืองฝึกฝน เป็นชายป่า ประกอบไปด้วยป่ารอบนอก ซึ่งจะเป็นป่าเบญจพรรณ และมีคุณค่าทางเศรษฐกิจของชาวเมืองฝึกฝน เนื่องจากมีสมุนไพร ของป่า สัตว์ป่า และพืชเศรษฐกิจอีกเป็นจำนวนมาก แต่ลึกเข้าไปในจากป่าเบญจพรรณจะเป็นบริเวณป่าดงดิบ ซึ่งจะเต็มไปด้วยสัตว์ร้าย ความลึกลับที่ซ่อนเร้นอยู่ และอันตรายทุกฝีเท้า

ยามนี้ในป่าเบญจพรรณนั้น เต็มไปด้วยเหล่านักรบในชุดเกราะสีขาวเป็นประกายงดงาม กองทัพนักรบนั้นมีถึง 900 คน ทุกคนถืออาวุธเต็มอัตราศึก มีทั้งหอก ดาบ โล่ และธนู นอกจากนั้นแล้ว ยังแบ่งกองกำลังออกเป็น 5 ทัพหลัก ๆ ดังนี้คือ

1. ทัพหน้าขวา กองกระเรียน ซึ่งนำโดย นายกองโหวอี่ มีคนในกองทัพ 70 คน
2. ทัพหน้าซ้าย กองพยัคฆ์ นำโดย นายกอง ลิ่วหยวน มีทหาร 80 คน
3. กองกลาง นำทัพโดยอี่เทียน มีกองจอมฟ้า 400 คน
4. ปีกขวา เป็นกองสิงโต กับกองจิ้งจอก นำโดย นายกอง สือจิ๋น มีทหาร 200 คน
5. ปีกซ้าย กองมังกร นำโดย เฉินหนาน มีคนในกองทัพ 150 คน

ภารกิจของกองพันชุดนี้ก็คือ ตามหา และเข่นฆ่าตี๋น้อยให้ได้ในทุกวิถีทาง ทำให้เหล่านักรบทั้งหมดซึ่งได้ดูภาพของตี๋น้อยแล้ว แม้ไม่เห็นว่าตี๋น้อยจะเป็นพิษเป็นภัยมากขนาดนั้นต้องทำคิ้วขมวดแน่นด้วยความสงสัย แต่แล้ว ความดีใจของพวกเขากลับกลบจิตสำนึกด้านดีนั้นไปหมดสิ้น เพราะพวกเขาได้รับรางวัลตั้งแต่ภารกิจยังไม่เสร็จสิ้น นั่นคือ การได้บรรจุเข้าเป็นกองทัพประจำก๊กโจโฉ ที่เป็นก๊กที่ใหญ่ที่สุด และทรงอิทธิพลมากที่สุดในเกมนี้

“เรากำลังจะผ่านพ้นจากป่าเบญจพรรณ และกำลังมุ่งสู่ป่าดงดิบ ในพวกเรามีใครรู้จักทางบ้าง”

ลิ่วหยวน นายกองแห่งทัพพยัคฆ์กล่าวขึ้น ทัพพยัคฆ์เป็นทัพหน้าที่จะต้องลาดตระเวณเข้าไปในป่าดงดิบก่อนทัพอื่น ดังนั้น ลิ่วหยวนที่เป็นคนรอบคอบจึงสั่งถามคนในกองของตน

“ไม่มีครับ ไม่มีใครเคยออกมาที่ป่าเลยด้วยซ้ำไป เพราะเท่าที่ผมได้ยินมา มีแต่ชาวบ้านที่เป็นพวก AI จึงจะเข้ามาหาของป่าในป่าดงดิบนี่ แต่ก็แทบจะนับคนได้ เพราะอันตรายในป่าแห่งนี้มีมากกว่าป่าดงดิบในโลกแห่งความเป็นจริงซะอีก”

ชายหนุ่มร่างใหญ่ หนา ราวกับนักกีฬายกน้ำหนัก ชื่อลิ่วปา ซึ่งเป็นทั้งมือขวา เป็นเพื่อนสนิท และเป็นผู้ร่วมก่อตั้งกลุ่มพยัคฆ์กล่าวขึ้น

“ชิ...หายแล้วสิ เอาไงวะเนี่ย ท่าทางก็เห็นฉลาด แต่เวลาสั่งการมันดันไม่ให้พวกเราเตรียมตัว นี่ก็เท่ากับส่งพวกเรามาตายชัด ๆ” ลิ่วหยวนบ่นพึมพำ ทำให้ลิ่วปาต้องจุ๊ปากบอก

“เบา ๆ ไอ้พวกนี้มันยิ่งบ้าอำนาจอยู่ด้วย”

“อือ....บอกคนของเราให้ระวังตัวด้วย ดูสิขนาดตอนกลางวันยังไม่เห็นดวงอาทิตย์ส่องต้องพื้นป่าเลย ดูดิบ ๆ ชื้น ๆ สมกับชื่อจริง ๆ” ลิ่วหยวนบ่นพึมพำเบา ๆ กับสภาพของกองทัพที่แต่งชุดใหม่เอี่ยม แต่ให้มาเดินป่าเพื่อจับคน ๆ เดียว


ในป่าดงดิบ ตี๋น้อยที่นั่งพักเหนื่อยใกล้ ๆ ลำธาร พลางรับประทานผลไม้นานาชนิดอย่างมีความสุข

“เอาทหารใหม่มาไล่ล่าเราในป่าดงดิบ ต่อให้เข้ามาเป็นหมื่นก็หาเราไม่เจอหรอก นอกจากจะมีพวกหน่วยเชี่ยวชาญป่าโดยเฉพาะ แต่พวกผู้เล่นใหม่ ๆ นี่จะรู้อะไร วัน ๆ อยู่แต่ในห้องเรียน กับเดินเที่ยวตามตลาด” ตี๋น้อยกินสาลี่กร้วมจนน้ำหวานฉ่ำกระเซ็นออกมา

“เอาละ ได้เวลาฝึกแล้ว ขอเปลี่ยนจากการสำรวจพื้นป่า เป็นการใช้พื้นที่ป่าให้เป็นประโยชน์ก่อนก็แล้วกัน” พูดพลางตรวจดูเครื่องมือที่จะใช้สำหรับการลอบสังหาร

“หน้าไม้ ลูกดอกชุบยางน่อง มีดสั้น ยารมควัน ยาเรียกยุง ยาเรียกงู ยาพิษ ทุกอย่างพร้อม เอาละ....ไปหาข่าวจากข้าศึกก่อนดีกว่า”

ร่างสูงโปร่งกล่าวพลางถลันวูบเข้าไปในป่ารอบข้าง โดยไม่อาจคาดเดาจุดประสงค์ของเขาได้ ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างในป่าเงียบสงบ และดำมืดราวกับเป็นลำนำของปีศาจ ก่อนการเข่นฆ่าสังหารครั้งใหญ่


“อืม..ซุนวูบอกว่า เมื่อเหล่าทหารกระซิบกระซาบแก่กันเป็นกลุ่มเล็ก ๆ แสดงว่าเหล่าทหารสูญเสียความเชื่อมั่นต่อขุนพลตนเอง แต่เราว่า ไอ้ขุนพลตัวนี้มันไม่สามารถทำให้ทหารของตนเองเชื่อมั่นได้แต่แรกแล้วมากกว่ามั๊ง” ตี๋น้อยสรุปทันทีที่เห็นหน้าประธานรูปหล่อเป็นผู้คุมกองทหาร

กองทัพที่เคลื่อนไหวเป็นกองทัพใหญ่ ทำให้ตี๋น้อยที่มีตัวคนเดียวแอบซุ่ม และหลบมุมสังเกตได้เป็นอย่างดี แต่เขายังไม่ได้ทำอะไรกองทัพนี้ เพราะฝ่ายตรงกันข้ามมีกำลังและอาวุธที่มากกว่านั่นเอง

“มาเป็นกองทัพใหญ่ พร้อมทั้งเสบียงและศาสตราวุธ ทั้งเต้นท์พักแรม กว่าจะไปถึงป่าลึก พรุ่งนี้แน่ ๆ” ตี๋น้อยส่ายหน้าพลางหลบออกมา ก่อนที่จะมุ่งหน้าเข้าสู่ป่าลึกเพื่อเตรียมการต้อนรับศัตรูในทันที


“ท่านขงหยงครับ สถานการณ์ตอนนี้มันผิดสังเกตมากนะครับ” ชางมิน ที่ทำหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อยภายในเมืองได้เข้ามารายงานกับขงหยงที่จวนท่านเจ้าเมือง

“มีอะไรก็ว่าไป” ขงหยงเงยหน้าจากแผนที่ป่าดงดิบ แล้วถามขึ้น

“มีทหารประมาณ 3 หน่วย หน่วยละประมาณ 40 คน ถือคำสั่งท่านเจ้าเมืองเพื่อออกไปเสริมกำลังเพื่อไล่ล่าเจ้าตี๋น้อย แต่พวกมันยกออกไปทางประตูเมืองทั้ง 3 ด้าน คือทางประตูทิศเหนือ ประตูทิศตะวันออก และประตูทิศใต้ หลังจากนั้นไม่นาน ก็มีชาวเมืองพากันออกไปหาของป่ามากเป็นพิเศษ และพากันออกไปทางประตูเมืองทั้ง 3 ทิศทางเช่นเดียวกับพวกทหารครับ”

ชางมินกล่าวรายงานเหตุการณ์ซึ่งตอนแรกเขาไม่คิดว่าจะผิดปกติ แต่พอเห็นชาวเมืองออกไปมากผิดปกติ เขาก็ไปสอบถามกับทางประตูเมืองทิศอื่น ๆ อีก 3 ทิศ ปรากฏว่า มีประตูเมือง 2 ทิศที่มีเหตุการณ์ผิดปกติเช่นเดียวกับทางตะวันออกที่เขาประจำการอยู่ จึงรีบมารายงาน และนำคำสั่งของเจ้าเมืองมาวางบนโต๊ะทำงานของขงหยง

“เป็นทหารหน่วยไหน” ร่างผอมบาง และดูเคร่งเครียดของขงหยงขมวดคิ้วครุ่นคิด ก่อนที่จะถามขึ้น

“เป็นหน่วยที่ควบคุมคุกลับ ซึ่งขึ้นอยู่กับท่านเจ้าเมืองโดยตรงครับ” ชางมิน ซึ่งมีรูปร่างหน้าตาดูเคร่งเครียดไม่แพ้กันเอ่ยตอบ ทำให้ขงหยงสั่งทหารรับใช้ให้ไปตามเจ้าเมืองมาพบเขา

“เจ้าออกไปก่อน แล้วมีอะไรข้าจะให้ทหารสั่งการตามไปอีกที”

“ครับท่าน” ชางมินทำความเคารพแบบทหารจีน ก่อนที่จะเดินออกไป ทำให้ขงหยงสั่นหัว

“ท่าจะบ้าหนังจีน ไอ้เราก็ผู้เล่นด้วยกัน ไม่ได้เป็น AI ซะหน่อย”


“ว่าไง ท่านใช้ทหารคุมคุกลับไปทำอะไรตั้ง 3 หน่วย”

ขงหยงถามขึ้นทันทีที่เจ้าเมืองมาถึง เนื่องจากตำแหน่งผู้ตรวจการมีอำนาจเหนือเจ้าเมืองชั้นตรีอย่างเกาะฝึกฝนแห่งนี้ ทำให้เจ้าเมืองต้องยืนตอบด้วยความนอบน้อม

“ข้าไม่รู้เรื่องเลย และไม่น่าจะมีเรื่องเช่นนี้ได้ เพราะทหารที่คุมคุกลับจะประจำการอยู่ที่คุกลับเพียงอย่างเดียว อีกทั้ง กองกำลังก็มีเพียงแค่ 2 หน่วย หน่วยละ 40 คน”

ร่างผอมเล็ก แต่ดูเคร่งเครียดของขงหยงจึงยื่นคำสั่งให้เจ้าเมืองดูทันทีที่ได้ยินคำตอบ

“นี่ไม่ใช่คำสั่งของข้านี่ แม้ว่าจะเป็นตราประทับของข้าก็ตาม น่าจะเป็นคำสั่งปลอม เพราะว่าที่เนื้อกระดาษไม่มีลายน้ำของเมืองฝึกฝน”

เจ้าเมืองได้นำกระดาษเปล่าที่วางอยู่ในตู้เอกสารสำคัญออกมาให้ดู ซึ่งจะเป็นกระดาษที่ใช้สำหรับคำสั่งของเจ้าเมืองโดยเฉพาะ

“อืม....แสดงว่ามีคนปลอมตัวเป็นทหารชุดนี้ หรือไม่ก็ พวกทหารชุดนี้แปรพักตร์ งั้นท่านช่วยนำข้าไปยังคุกลับด้วย” ขงหยงลุกขึ้นพร้อมกับหยิบกระบี่ประจำตัวมาถือไว้ พร้อมกับสั่งให้ทหารไปตามหน่วยองครักษ์ประจำตัวมา จากนั้น จึงให้เจ้าเมืองนำทางไปคุกลับ


ทางเข้าของคุกลับสามารถเข้าได้สองทางคือ ช่องทางด้านนอก ซึ่งมองจากภายนอกเหมือนประตูทางเข้าตึกบัญชาการของทางราชการมากกว่าจะเป็นทางเข้าไปในคุก และทางเข้าอีกทางจะอยู่ที่ห้องทำงานของเจ้าเมือง ซึ่งเป็นทางลับ สำหรับท่านเจ้าเมืองจะเข้าไปตรวจตราความเรียบร้อย

“นี่หรือ คุกลับที่ลือกันว่าลึกลับที่สุดของเกาะฝึกฝน”

ขงหยงกล่าวขึ้นทันทีที่เห็นด้านใน ค่ายทหารสองข้าง และตัวคุกจะอยู่ตรงกลาง เป็นคุกที่สร้างจากหินเกรนิตที่แข็งแกร่ง ไม่มีหน้าต่าง แต่มีช่องให้แสงแดดส่องเข้าถึงได้ และมีช่องระบายอากาศที่ซับซ้อนจนมองไม่ออก แต่อากาศถ่ายเทอย่างปลอดโปร่ง

“แย่แล้ว ไม่เห็นมีทหารสักคน ทหารไปตรวจดูสิว่าเกิดอะไรขึ้น” ขงหยงสั่งองครักษ์ประจำตัว ทำให้มีอยู่ 5 คนที่พุ่งออกไปตรวจสอบตามเต้นท์ต่าง ๆ

“ท่านขงหยงครับ เหล่าทหารรักษาการณ์ตายหมดทุกคน” เสียงองครักษ์รีบกลับมารายงานทำให้สิ่งที่ขงหยงคิดไว้นั้นเริ่มมีเค้าลาง


“ดูจากสภาพ น่าจะตายไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้วครับท่าน” ทหารองครักษ์รายงานทันทีที่เข้าไปตรวจสอบสภาพศพ

“ดูท่าจะเป็นยอดฝีมือที่เชี่ยวชาญการฆ่า ลงมืออย่างไร้ร่องรอย และไร้เสียง แต่สามารถเก็บได้จนหมดทุกคน” ขงหยงสรุป ก่อนที่จะหันไปถามเจ้าเมืองที่ยังทำหน้าตาตื่นอยู่ด้านหลังว่า

“ห้องขังที่นี่ขังใครบ้าง รายงานให้ข้าทราบด้วย”

“ห้องขังที่เป็นนักโทษประหารจะเป็นกลุ่มโจรจากเขาไท่ซาน กับเอี้ยฮุ้น นายทหารที่ท่านโจโฉให้ประหารชีวิต ส่วนด้านนอกจะเป็นพวกชาวบ้านที่ถูกฟ้องร้อง และต้องนำไปขายเป็นทาส”

เจ้าเมืองตอบด้วยความนอบน้อม เพราะครั้งนี้มีความผิดอยู่อย่างเต็มประตู เพราะปล่อยให้นักโทษได้หนีรอดไปได้ ถ้ารู้ถึงหูของโจโฉ คราวนี้คงจะรักษาหัวไว้ไม่ได้แน่ ๆ

“กลุ่มโจรเขาไท่ซานมีใครบ้าง”

ขงหยงไม่รู้จักความสามารถของเอี้ยฮุ้น แต่รู้จักกับเหล่าโจรเขาไท่ซานที่ลือลั่นไปทั่วแผ่นดิน และพึ่งจะถูกตีแตกในเวลาไม่นานมานี้เอง ดังนั้น เขาจึงอยากที่จะรู้จักว่า พวกมันเป็นใครบ้าง เพราะคิดว่า พวกมันคงจะไปสมทบกับตี๋น้อยแน่ ๆ เพราะต่างก็มีศัตรูคนเดียวกัน

“เป็นหัวหน้าโจร กับพวกลูกน้องอีก 24 คน”

ร่างเจ้าเนื้อของเจ้าเมืองเริ่มสั่นเทิ้ม เพราะรู้แล้วว่า ขงหยงให้ความสำคัญกับกลุ่มโจรเขาไท่ซานมากกว่าเอี้ยฮุ้นอีก และคราวนี้เขาได้ทำให้หัวหน้าโจรแหกคุกหนีไปได้

“เอี้ยวจิ้งเจิง มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร แล้วเจ้าเลี่ยงเซิน มาด้วยไหม”
ขงหยงกัดฟันกรอด เพราะเคยรู้จักฝีมือกันดีอยู่ โดยเฉพาะเลี่ยงเซินที่เคยเอาชนะมันได้เมื่อครั้งไปล้อมปราบที่เขาไท่ซาน ตอนหลังโจโฉยกทัพใหญ่ไปเอง จึงสามารถตีแตกได้ในที่สุด

“7 ผู้นำแห่งเขาไท่ซานมาอยู่ที่นี่ครบทั้ง เอี้ยวจิ้งเจิง เลี่ยงเซิน ปังอี้เซียง เจี่ยอวี้ หูเห่ยหนาน เคอซิน และซิวเสินจวี้ พวกมันเรือแตกมาติดเกาะที่นี่เมื่อไม่นานมานี้ ข้ากำลังจะทำเรื่องส่งไปแจ้งท่านโจโฉ แต่ท่านก็มาที่นี่พอดี ทำให้ไม่มีโอกาสได้บอก และไม่ได้ส่งเรื่องไป”

เจ้าเมืองก้มหน้าพูดด้วยความตกใจกลัว แม้ขงหยงจะโกรธเจ้าเมือง แต่สถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้ไม่มีผลดีต่อตัวมัน เพราะเหล่าทหาร และชาวเมืองเคารพเจ้าเมืองคนนี้มาก จึงยืนระงับอารมณ์ชั่วครู่ จากนั้นจึงสั่งการทันทีว่า

“ส่งทหารมาเก็บกวาดที่นี่ และสำรวจความเสียหาย จากนั้นส่งรายงานไปให้ข้ารู้ รวมทั้งรายชื่อของทหารกองที่ไปเข้ากับศัตรูด้วย พร้อมทั้งครอบครัวของทหารเหล่านั้น”

“ทะ...ท่านหมายถึงว่า มีทหารที่ไปเข้ากับพวกที่แหกคุกไปด้วยหรือครับ”

คำถามนี้ทำให้ขงหยงต้องหันไปมองหน้าเจ้าเมืองเขม็งอย่างตำหนิว่าไม่รู้เรื่อง จนเจ้าเมืองต้องรีบขออภัย จากนั้นจึงได้ไปสั่งการทหารให้เข้ามาจัดการเก็บกวาดที่นี่ทันที

“จางอี้เชียน จัดการส่งรายงานให้กับท่านโจโฉ พร้อมกับเร่งให้หน่วยเชี่ยวชาญศึกเดินทางมาโดยเร็ว”

ขงหยงสั่งการองครักษ์คนสนิท ก่อนที่จะออกไปสำรวจเมืองเพื่อตรวจตราดูการป้องกันเมืองจากการโจมตีที่อาจจะมีขึ้น

“แล้วกองกำลังที่ออกไปตามล่าเป้าหมายของเราละครับท่าน ไม่เรียกกลับมาหรือ” จางอี้เชียนสอบถามขึ้น เพราะถ้ามีคำสั่งให้กลับคืนเมือง จะได้ส่งคำสั่งไปได้ทันที

“ไม่ต้อง ถ้ากองกำลังแค่ร้อยกว่าคน กับคน ๆ เดียวพวกมันจัดการไม่ได้ ก็ไม่สมควรที่จะมีชีวิตอยู่” ขงหยงกล่าวอย่างเหี้ยมเกรียม


Create Date : 15 ตุลาคม 2554
Last Update : 15 ตุลาคม 2554 16:00:48 น. 0 comments
Counter : 381 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Muen Li
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add Muen Li's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.