วรรณกรรมของหมื่นลี้
Group Blog
 
All Blogs
 
บทที่ 21 ปฐมบทแห่งสงครามช่วงชิงเกาะฝึกฝน


“ผู้ที่ไม่เข้าใจหายนะที่ร้ายแรงของสงคราม ย่อมไม่เข้าใจคุณประโยชน์ที่มากมายของสงครามด้วย”  ซุนวู

ภายในเมืองฝึกฝน บัดนี้ ขงหยง ผู้ตรวจการแผ่นดินได้กลายเป็นผู้มีอำนาจในเมือง ทำให้ระบบของเมืองฝึกฝนได้เกิดความแปรปรวนทันที เนื่องจากมีข้อตกลงกับทางก๊กต่าง ๆ ที่จะไม่เข้ามาก้าวก่ายการปกครองในเมืองฝึกฝน

ในครั้งนี้ ก๊กโจโฉกลับไม่ดำเนินการตามข้อตกลงที่เคยทำไว้ระหว่างกัน ทำให้เหล่าคณะกรรมการบริหารเกมได้เข้าประชุมกันอย่างหน้าดำคร่ำเคร่ง จนในที่สุดก็มีข้อสรุปออกมาคือ ให้สร้างเกาะฝึกฝนแห่งใหม่ขึ้นมา และยกเลิกการเป็นเกาะฝึกฝนของเกาะเดิม

เกาะฝึกฝนตั้งอยู่บนปากแม่น้ำฮวงโห เป็นเกาะใหญ่แห่งหนึ่งมีอาณาเขตพอ ๆ กับเมืองใหญ่เมืองหนึ่งทีเดียว มีอาณาเขตบริเวณถึง 1,041.38 ตารางกิโลเมตร มีพื้นที่อุดมสมบูรณ์ ปัจจุบันอยู่ในเขตเซี่ยงไฮ้ของจีนแผ่นดินใหญ่

และเกาะที่คณะกรรมการให้เป็นเกาะฝึกฝนแห่งใหม่คือ เกาะขนาดกลางอีกแห่งหนึ่ง ด้านใต้ของเกาะแห่งนี้ จะเปิดระบบใหม่ด้วยคือ ระบบเมืองปิด ด้วยเป็นเหมือนเมืองลับแลคือ คนด้านนอกมองไม่เห็น และคนที่ผ่านการฝึกฝนจนสามารถออกจากเกาะไปแล้วนั้น จะไม่สามารถเข้ามาอยู่ในเกาะได้อีก รวมถึงจะไม่สามารถติดต่อใครในเกาะแห่งนี้ได้อีกด้วย

การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น อาจจะทำให้ชาวเมืองฝึกฝนเกิดความระส่ำระสาย เพราะนับจากนี้ไป ระบบของเกาะฝึกฝนเดิมจะถูกปิดไป ทำให้กลายเป็นเกาะธรรมดาเกาะหนึ่งในแผ่นดินทันที

ด้วยเหตุนี้ ระบบการดำรงชีวิตในเมืองจึงเปลี่ยนไป เนื่องจากร้านค้าต่าง ๆ ต้องเสาะแสวงหาวัตถุดิบต่าง ๆ เอง โดยไม่สามารถใช้วัตถุดิบจากระบบอัตโนมัติได้อีกต่อไป ทำให้ในเมืองต้องเกิดความวุ่นวายขึ้นอย่างมากมาย เพราะไม่เคยมีการทำนา การเพาะปลูก และการเลี้ยงสัตว์ในเกาะแห่งนี้

และที่สำคัญที่สุดก็คือว่า พื้นที่การทำนา และล่าสัตว์อยู่ในเขตนอกกำแพงเมือง ซึ่งยังไม่มีคนไปจับจองเพื่อเพาะปลูก มีแต่เหล่าชาวบ้านบางคนที่เป็นพรานป่า ได้ออกล่าสัตว์ แต่ก็ไม่กล้าจะออกไปไกลจากตัวเมือง จึงทำให้อาหารเกิดความขาดแคลน และราคาสูงมากกว่าเดิมนับสิบเท่า

แต่ผลกระทบที่เกิดขึ้นอย่างใหญ่หลวงที่สุดในเกมนี้ก็คือ อาจจะเกิดการช่วงชิงที่ตามมาแน่นอน เพราะเป็นเกาะที่อุดมสมบูรณ์ทั้งแร่ธาตุ และผืนดิน ถ้าใครได้ครอบครองก็เท่ากับได้ครอบครองขุมทรัพย์ที่ล้ำค่าอย่างดี ทำให้การแย่งชิงที่จะเกิดในอนาคตนั้นย่อมจะเข้มข้นเป็นอย่างยิ่ง


ที่ท่าเรือของเกาะ ซึ่งเป็นท่าเรือใหญ่ ในเวลานี้ได้ปรากฏเรือใหญ่จำนวนถึง 10 ลำ ได้จอดเทียบท่าของเกาะทำให้ขงหยง และซือหลง เจ้าเมืองเกาะฝึกฝนได้รีบจัดขบวนออกมาต้อนรับเป็นอย่างดี เพราะว่าเรือที่จอดเทียบท่าอยู่นั้น ได้มาพร้อมด้วยกองทหารชาญศึกพันนาย พร้อมม้าศึกจำนวนพันตัว

“ยินดีต้องรับขุนพลจูสือว่าน ขุนพลขวาวังกงลู่ ขุนพลซ้ายกวัวจินเทียน และเหล่าทหารหาญทุกท่าน”

ขงหยงที่ได้จัดพิธีการต้อนรับเหล่าทหารชาญศึกทั้งพันคนอย่างสมเกียรติ และได้กล่าวต้อนรับอย่างเป็นทางการ โดยมีสาว ๆ เข้ามามอบดอกไม้ให้กับเหล่าทหารทุกคนด้วย ทำให้ใบหน้าที่เหนื่อยล้าของเหล่าทหารที่ต้องเดินเรือมายาวไกลต้องยิ้มแย้มออกมา

“ขอบคุณท่านขงหยงที่มาต้อนรับพวกเราด้วยตนเอง นับเป็นเกียรติแก่พวกเราเป็นอย่างยิ่ง”

ขุนพลจูสือว่านได้กล่าวขึ้นอย่างให้เกียรติขงหยง แม้ว่าเขาจะมีอำนาจสิทธิ์ขาดในการปฏิบัติงานการไล่ล่าในครั้งนี้ก็ตาม แต่เขาก็ต้องให้เกียรติกับที่ปรึกษาของท่านโจโฉคนนี้ต่อหน้าประชากรของเมือง เพื่อผลประโยชน์ของกองทัพในวันข้างหน้า


ในห้องวางแผนของเมือง ขุนพลทั้งสาม และขงหยง ได้ประชุมกันอยู่อย่างเคร่งเครียด บนผนังห้องมีแผนที่ขนาดใหญ่ และละเอียดติดไว้ โดยมีจุดต่าง ๆ ติดตรึงไว้ในพื้นที่เรียกว่า ป่าดงดิบ

“ตอนนี้มีข่าวจากเหล่าทหารที่ท่านส่งไปหยั่งเชิงพวกมันหรือไม่” จูสือว่านได้ถามขงหยงในห้องวางแผน

“เมื่อวันก่อนได้ข่าวว่า พวกมันตั้งทัพอยู่ที่หน้าเนินเขาเจ็ดขุมทรัพย์ ในเชิงเขาลี่ซาน” ขงหยงกล่าวขึ้น พร้อมกับปักหมุดไปที่แผนที่

“อืม.....นับว่ายังฉลาดที่ตั้งค่ายปิดกั้นทางเดินสู่เนินเขาเจ็ดขุมทรัพย์เอาไว้ แต่ก็เท่ากับบอกศัตรูด้วยว่า ข้างหลังค่ายเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญ ถ้าข้าเป็นศัตรู หลักจากที่ข้ารบชนะพวกมันแล้ว ข้าก็จะยึดเนินเขานั้นเพื่อสร้างเป็นป้อมค่ายที่แน่นหนา และแข็งแกร่ง” ขุนพลจูสือว่านกล่าวขึ้น ทำให้ขงหยงที่เคยคิดว่าตนเองฉลาด ต้องสะอึกกับปัญญาและความคิดของขุนพลผู้นี้

“ปกติข่าวจะถูกส่งมาภายในกี่วัน” ขุนพลจูสือว่านยังถามขงหยงต่อ ทำให้เขาต้องตอบออกมาว่า

“สองวันต่อครั้ง แต่นี่ก็เลยไปวันที่สามแล้ว ข่าวยังไม่ถูกส่งออกมา”

“ถ้าอย่างนั้น เราคงต้องตระเตรียมที่จะสู้รบกันอย่างหนักแล้ว เพราะจะต้องสู้กับป้อมที่แข็งแกร่ง และเหมาะแก่การตั้งรับเป็นอย่างยิ่ง ข้าเพียงหวังว่า พวกมันคงไม่ฉลาดพอที่จะยึดกองกำลังที่ออกไปทั้งหมดไปเสริมกำลังของตนเองหรอกนะ ไม่อย่างนั้น เราเสียเปรียบอย่างที่สุดแน่ ๆ”

“ท่านขุนพลจู จะให้หน่วยสอดแนมของเราไปหยั่งดูกำลังของข้าศึกก่อนดีกว่าไหมครับท่าน” ขุนพลซ้ายกวัวจินเทียนออกความเห็นทันที

“อืม...น่าจะดี เพราะจากรายงานเรื่องนักโทษ และทหารที่ทรยศ น่าจะมีกำลังที่ประมาณ 120 คน แต่คนที่สามารถเอาชนะนักรบทั้ง 900 คนได้นั้น จะต้องไม่ธรรมดาแน่ ๆ แม้ว่าพวกนั้นจะอ่อนหัดไปหน่อยก็ตาม”

จูสือว่านพูดพลางหันไปมองดูขงหยงด้วยสายตาที่ตำหนิ เพราะการส่งคนที่ไม่ชำนาญในการศึกออกไปสู้กับข้าศึกที่แข็งแกร่ง แม้จะมีกำลังน้อยกว่านั้น ย่อมเป็นการนำกำลังของตนเองไปมอบให้กับข้าศึกนั่นเอง

“ส่งคนของเราไปสืบดู ถ้าพวกมันได้กองกำลังที่ถูกส่งไปละก็ ท่านขงหยงต้องเตรียมรายงานเรื่องนี้ต่อหน้าท่านโจโฉเองนะขอรับ”

จูสือว่านกล่าวขึ้น พลางหันไปสั่งการต่าง ๆ กับผู้ช่วยทั้งสองคน โดยที่ไม่ได้ขอคำแนะนำอะไรจากขงหยงแม้แต่น้อย แต่ทว่า หลังจากที่สั่งการเรื่องการศึกแล้ว ยอดขุนพลก็หันกลับมายังขงหยงว่า

“ท่านขงหยงได้ช่วยจัดการป้องกันเมืองให้รัดกุมด้วยนะครับ เพราะตอนนี้เกาะแห่งนี้ได้กลายเป็นเกาะขุมทรัพย์ไปแล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะเกิดการช่วงชิงระหว่างก๊กต่าง ๆ เกิดขึ้นที่นี่ ในตอนนี้เท่ากับว่า ท่านโจโฉได้ครอบครองเกาะแห่งนี้แล้ว แต่ถ้าท่านขงหยงทำเมืองเสียทีแก่ข้าศึก ข้าก็ไม่อยากคิดต่อว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับท่าน”

“ขอบคุณท่านที่เป็นห่วง แต่ข้าจัดการป้องกันเมืองอย่างดีแล้ว ห่วงแต่การจับกุมตี๋น้อยของท่านเถอะ เพราะข้าได้ข่าวว่า คนผู้นี้ฉลาดจนหาคนเทียบได้ยาก กลัวว่าท่านขุนพลจะมาตายน้ำตื้น”

ขงหยงเมื่อเห็นปฏิกิริยาของยอดขุนพลจึงกล่าววาจาตอบโต้กลับไปอย่างนิ่ม ๆ เช่นกัน ทำให้ทั้งสองมองหน้ากันแบบต่างคนต่างไม่ยอมกัน


เนินเขาเจ็ดขุมทรัพย์ เป็นนามที่ตั้งขึ้นตามภูมิประเทศของเนินเขาแห่งนี้ เนื่องจากเมื่อมองดูด้านล่างจะไม่เห็นความผิดปกติแม้แต่น้อย แต่ถ้าเดินขึ้นเนินที่เป็นทางที่สูงชันพอ ๆ กับภูเขาย่อม ๆ ลูกหนึ่ง ก็จะพบกับที่ราบบนเนินเขาที่อุดมสมบูรณ์ ทำให้เหมือนกับว่า ขุมทรัพย์ที่ซ่อนอยู่ ซึ่งไม่อาจพบเห็นได้จากภายนอก

ที่ราบอันอุดมสมบูรณ์ในเนินเขานั้น บัดนี้ได้กลายเป็นป้อมค่ายที่แข็งแกร่งขึ้นแล้ว ด้วยฝีมือของทุกคนภายในกลุ่ม ซึ่งได้ช่วยกันตามความถนัดของตนเอง เช่น กลุ่มผู้กล้าเขาไท่ซาน ซึ่งเชี่ยวชาญการสร้างอาวุธ และกลไกกับดักป้องกันค่าย ส่วนทหารประจำคุกนั้นถนัดเรื่องสร้างกำแพง และป้อม

ส่วนกลุ่มต่าง ๆ ทั้ง 6 กลุ่มนั้น ได้ช่วยสร้างค่ายพัก 9 ที่ ซึ่งจะแบ่งออกเป็นกลุ่มต่าง ๆ 6 แห่ง กลุ่มทหาร และนักโทษ 1 แห่ง กลุ่มชาวบ้าน 1 แห่ง และกองบัญชาการอีก 1 แห่ง

นอกจากนั้น เหล่าชาวบ้านนับร้อยคน ซึ่งเป็นครอบครัวของทหารที่เฝ้าคุก ได้ช่วยกันสร้างสวนผัก สวนผลไม้ นา และฟาร์มเลี้ยงสัตว์

และคนที่พิเศษที่สุดคือ เสี่ยวหมวย ผู้ซึ่งมีกลุ่มเอี้ยฮุ้น 5 คนเป็นผู้ช่วย ได้สร้างกลไกกับดักในที่ราบลุ่มซึ่งได้ย้ายค่ายไปไว้บนเนินเขาแล้ว จากนั้นก็สร้างกับดักในทางที่จะขึ้นไปยังเนินเขา โดยมีจุดศูนย์รวมกลไกอยู่ในป้อมกลาง ที่สร้างคร่อมประตูทางเข้า และเป็นทางเดียวที่สามารถเข้าออกป้อม

ป้อมกลางนั้น จะมีป้อมประกบอีกข้างละสองป้อม ซึ่งจะทำให้สามารถรับการรุกรานได้ทุกรูปแบบ เนื่องจากจะสามารถใช้ทหารในการป้องกันได้เป็นจำนวนมากขึ้น และการโจมตีต่อผู้บุกรุกจะเป็นวงโค้ง ทำให้การโจมตีแบบรุมขนาบ ซึ่งเมื่ออยู่ในทางแคบ ๆ ที่คนเดินได้เพียง 3-4 คนเท่านั้น กลายเป็นอานุภาพที่ยากจะต้านทาน

ดังนั้น แม้ว่าจะยกทัพมาสักหมื่นคน ก็สามารถใช้คนแค่ไม่กี่คนในการสามารถรักษาป้อม เพราะเท่ากับว่า คนในป้อมต่อสู้กับคนเพียงไม่กี่สิบคนเท่านั้น


ที่เมืองฝึกฝน กองกำลังทหารทั้งหนึ่งพันนายพลันแยกออกเป็นกองกองละ 50 คน รวมเป็น 20 กอง โดยแต่ละกองสามารถประสานกันได้ไร้ร่องรอย สามารถรุกรับแทนกันได้ และเมื่อกองไหนถูกโจมตี อีก 19 กองต้องรู้ทันที และสามารถเข้าล้อมรอบกลุ่มที่โจมตี และตลบหลังได้แม้ข้าศึกจะมีมากกว่าก็ตาม

นี่คือหน่วยชาญศึกที่เก่งกาจที่สุดในแผ่นดิน เป็นทุนรอนของโจโฉที่สามารถยึดครององค์ฮ่องเต้ตัดหน้าอ้วนเสี้ยว และก๊กอื่น ๆ ได้

กองกำลังกลุ่มนี้ จึงได้ชื่อว่า กองพันปีศาจ กองพันที่สามารถพิชิตศึกได้ทุกสมรภูมิการรบ และไม่เคยพ่ายแพ้ตั้งแต่ออกรบมาจนกระทั่งบัดนี้

วูบ.............................

ชายกลางคนในชุดดำปิดหน้าปิดตาได้ปรากฏขึ้นตรงหน้าของขุนพลจูสือว่าน ชายผู้นี้มีรูปร่างสันทัด หน้าตาบ่งบอกถึงสติปัญญาและประสบการณ์ที่ผ่านร้อนผ่านหนาว และผ่านประสบการณ์มาจนแทบจะนับไม่ถ้วน

“เรียนท่านนายพล เป็นอย่างที่ท่านคาดเอาไว้ไม่มีผิดครับ กลุ่มของตี๋น้อย ซึ่งใช้ชื่อว่า เจ้าสัว ได้ชนะกลุ่มจอมฟ้า จึงทำให้กลุ่มอื่น ๆ ที่เหลือได้เข้าร่วมกับเขาหมด รวมทั้งกลุ่มจอมฟ้าที่เหลือด้วย” ชายชุดดำผู้นั้นได้รายงานขึ้น

“กำลังตอนนี้ของเจ้าสัวมีประมาณ 900 คนแล้วครับท่าน และได้ตั้งค่ายขึ้นบนเนินเขาเจ็ดขุมทรัพย์ ซึ่งมีการวางมาตรการป้องกันที่รัดกุม และถี่ยิบ ทำให้ข้าไม่อาจที่จะเข้าไปหาข่าวได้ลึกกว่านี้ได้”

“ขอบใจเจ้ามาก ไปพักผ่อน และเบิกเบี้ยหวัดได้จากกองคลังเมืองเพื่อจะได้พักผ่อนในเมืองได้อย่างสบายมากขึ้น”

“ขอรับท่าน”

สิ้นเสียง ชายในชุดดำก็หายวับไป ทิ้งให้ขุนพลแห่งกองพันปีศาจครุ่นคิดอยู่เพียงลำพัง เพราะศึกครั้งนี้หนักหนาสาหัสกว่าทุกครั้ง เพราะผู้เป็นแม่ทัพของฝ่ายโน้นไม่ได้ด้อยปัญญาแต่อย่างใด อีกทั้งยังอยู่ในป้อมค่ายที่แน่นหนาแข็งแรงจนคล้ายกับกระดองเต่า ทำให้ยากต่อการเข้าโจมตียิ่งนัก

“อืม....หวังว่าคงจะไม่เอาชื่อเสียงมาทิ้งไว้ในเกาะแห่งนี้นะ ไม่อย่างนั้น คงจะไม่สามารถกู้ชื่อเสียงคืนมาได้อย่างง่ายดายแน่ ๆ” จูสือว่านพึมพำอย่างหนักใจ

“วังกงลู่ กวัวจินเทียน” เหมือนว่าขุนพลแห่งกองพันปีศาจจะตัดสินใจอะไรออกมาได้ จึงร้องเรียกขุนพลซ้ายขวาทันที

“ครับ ท่านขุนพล” ร่างที่สูงใหญ่ของขุนพลทั้งสองปรากฏกายขึ้นทันที ทำให้ขุนพลจูสือว่านพยักหน้าอย่างพอใจกับขุนพลคู่ใจของเขา ซึ่งไว้ในได้ในทุกสมรภูมิ

“สงสัยว่า ข้าจะต้องไปสำรวจป้อมค่ายของพวกมันเองสักครั้ง ไม่อย่างนั้นคงไม่อาจจะคิดแผนการอะไรออกมาได้แน่ ๆ”

คำพูดของขุนพลเอกอย่างจูสือว่านนั้น ทำให้สองขุนพลรีบคัดค้าน เพราะเป็นห่วงในความปลอดภัยของท่านขุนพล

“ถ้าข้าไม่ออกไป พวกเราก็มีโอกาสแพ้มากกว่าชนะ เพราะฝ่ายตรงกันข้ามได้ยึดชัยภูมิที่ดีเยี่ยมที่สุดไว้แล้ว อยู่ก็แพ้ แต่ถ้าไป อาจจะมีโอกาสชนะได้ พวกเจ้าคิดว่าอย่างไร”

“ถ้าอย่างนั้น พวกข้าทั้งสองจะจัดกองทหารสัก 3 หน่วยไปกับท่านขุนพล”

“ไม่ต้อง หาทหารให้ข้าสัก 12 คนก็พอ ส่วนพวกเจ้าทั้งสอง เตรียมออกลาดตระเวนในป่าเบญจพรรณ แต่ห้ามเข้าไปในป่าดงดิบ จนกว่าข้าจะกลับมา หรือถ้า 3 วันแล้วข้าไม่กลับมา พวกเจ้าจึงคิดทำการตามสมควร และตามจังหวะโอกาส” จูสือว่านยอดขุนพลกล่าวอย่างมั่นใจ



Create Date : 17 ตุลาคม 2554
Last Update : 17 ตุลาคม 2554 12:25:02 น. 0 comments
Counter : 244 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Muen Li
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add Muen Li's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.