วรรณกรรมของหมื่นลี้
Group Blog
 
All Blogs
 
บทที่ 20 ข่าวสารของเสี่ยวหมวย และแผนการของตี๋น้อย


“เมื่อตั้งทัพเพื่อสังเกตศัตรู จงยึดชัยภูมิบนภูเขา และอยู่ใกล้หุบเขา จงตั้งทัพบนที่สูง ซึ่งเห็นทัศนวิสัยได้กว้างไกล ต้องไม่รุกขึ้นเขาเด็ดขาด จงโจมตีโดยถลาโถมลงมาจากเขาเท่านั้น นี่คือการตั้งทัพบนภู”  ซุนวู


เทือกเขาลี่ซาน อยู่ถัดจากค่ายเดิมของอี่เทียน ซึ่งตอนนี้เป็นที่พักของทหาร และครอบครัวทหารที่มาเข้าในสังกัดของตี๋น้อย มีร่างของของกลุ่มคนประมาณ 11-12 คนกำลังเดินทางขึ้นเขาอยู่อย่างขะมักเขม้น

“ด้านบนเขาเป็นอะไรครับ ท่านเจ้าสัว ทำไมจึงอยากให้พวกเราขึ้นไปสำรวจกัน” หยางฟง ซึ่งบัดนี้ได้เป็นองครักษ์ประจำของตี๋น้อย และผู้นำกลุ่มจอมฟ้าได้กล่าวขึ้น

“อี่เทียนไม่ได้บอกอะไรท่านไว้หรือ เพราะการที่เขาปลงทัพ พร้อมกับสร้างค่ายไว้ตรงที่ลุ่มนั้นก็มีจุดประสงค์เพื่อไม่ให้ข้าสามารถยึดที่นี่ได้ต่างหาก ไม่ใช่ความเลินเล่อ หรือไม่รู้จักพิชัยสงครามของเขาเลยแม้แต่น้อย” ตี๋น้อยบอก ทำให้เอี้ยฮุ้นเอ่ยขึ้น

“ถึงว่าสิ ทำไมท่านเจ้าสัวจึงบอกว่า คนผู้นี้ประมาทไม่ได้ แต่ทำไมเขาพ่ายแพ้ แถมยังแพ้อย่างง่ายดายอีกด้วย”

“นี่แหละคือสิ่งที่พวกท่านจะต้องจำไว้ว่า แค่รู้จัก และเชี่ยวชาญในพิชัยสงครามนั้นไม่เพียงพอ ต้องรู้จักนิสัยใจคอของคน ความรู้สึกนึกคิดของผู้คนในแต่ละสถานการณ์ และศักยภาพของคนทั้งปวงด้วย จึงจะสามารถพิชิตได้ทั้งแผ่นดิน”

ตี๋น้อยตอบออกมา ทำให้เหล่าหัวหน้ากลุ่มทั้งห้า เอี่ยวจิ้งเจิง เลี่ยงเซิน อุ้ยต่งจิน เอี้ยฮุ้น และ หยางฟงต่างพากันพยักหน้าด้วยความเห็นด้วยอย่างที่สุด เพราะจุดเด่นของตี๋น้อยก็คือ การรู้จักพิชัยสงคราม และรู้จักคน ซึ่งทำให้สามารถพิชิตอี่เทียนที่รู้จักแต่พิชัยสงครามอย่างเดียว


“นี่คือสิ่งที่ข้าอยากให้พวกท่านได้เห็น” ตี๋น้อยพูดขึ้นเมื่อขึ้นมาบนภูเขา
ภาพที่ทุกคนเห็นก็คือ พื้นที่อุดมสมบูรณ์ เนื่องจากพื้นที่บนภูเขานั้นเป็นที่ราบ พร้อม ๆ กับมีลำธารไหลผ่าน จุดกำเนิดของลำธารสายนั้นก็คือน้ำตกขนาดย่อม ๆ นั่นเอง

“นี่มันที่ตั้งฐานทัพในอุดมคติเลยนี่ ขนาดบนภูเขาไท่ซานที่ข้าเคยตั้งค่าย ยังไม่ดีเท่านี้เลย” เอี้ยวจิ้งเจิง ผู้เคยมีผู้คนนับหมื่นนับแสนอยู่ในมือได้กล่าวขึ้นอย่างดีอกดีใจ

“พวกท่านลองสำรวจชัยภูมิดู แล้วจงปรึกษากันว่า จะสร้างค่ายอย่างไรให้แข็งแกร่ง และต้องมีที่ทำนาทำสวน และเพาะเลี้ยงสัตว์ต่าง ๆ ให้พอกินพอใช้ตลอดปีอีกด้วย”

ตี๋น้อยสั่งการเสร็จก็มานั่งข้างลำธาร เพื่อเปิดดูข้อมูลของพื้นที่นี้ จากนั้นได้หาดูพืชผัก และผลไม้ที่จะปลูก ซึ่งจะต้องหาได้ในป่าดงดิบแห่งนี้

จากนั้น ตี๋น้อยได้จำลองการก่อสร้างป้อมค่ายในจุดต่างๆ และจำลองการสู้รบเวลาถูกศัตรูบุกอย่างละเอียด และทุกซอกทุกมุม แม้กระทั่งจำลองการโจมตีจากเครื่องร่อน การปีนหน้าผา และยอดเขาเพื่อเข้าโจมตีป้อมค่ายแบบไม่ให้ตั้งตัว ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นได้ถ้ากองทัพนั้นเป็นกองทัพที่ชาญศึก และมีแม่ทัพที่มีความสามารถจริง ๆ

“ขี้โกงจริง ๆ เลย มีข้อมูลทุกอย่างอยู่ในมือ แล้วแบบนี้ใครจะชนะนายได้ละ”

เสียงหวานดังขึ้นข้างหลัง ทำให้ตี๋น้อยรีบพุ่งตัวมาข้างหน้าอย่างรวดเร็ว พร้อมกับม้วนกลิ้งไปด้านข้างเพื่อพลิกหลบและหันมาเผชิญหน้ากับผู้บุกรุกได้ โดยในมือนั้นได้กุมด้ามกระบี่ไว้ แต่ไม่ได้ชักออกมา ด้วยมองเห็นหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใสของผู้บุกรุก

เคว้ง..................เคว้ง.......................

เหล่าหัวหน้านักรบทั้ง 10 เมื่อเห็นตี๋น้อยถูกคุกคาม ต่างก็พากับชักอาวุธ และรีบวิ่งมาทางตี๋น้อยทันที พร้อมกับพากันล้อมเจ้าของเสียงพูดนั้นไว้อย่างแน่นหนา

“เฮ้....ต้อนรับสาวสวยกันอย่างนี้หรอ” เสียงนั้นยังคงส่งเสียงแจ้วแจ้วอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับยอดนักรบที่ล้อมรอบ

“เอ้า...เสี่ยวหมวยหรอ ทุกคน นี่เป็นเพื่อนข้าเอง ไม่มีอะไรหรอก” ตี๋น้อยเมื่อเห็นคนที่อุตริโผล่มาข้างหลังเขาได้โดยที่เขาไม่รู้ตัว ก็บอกกับทุกคนที่รายล้อมอยู่ทันที

“ขออภัยด้วยที่เสียมารยาท ไม่รู้ว่าเป็นเพื่อนท่านเจ้าสัว” เอี้ยวจิ้งเจิงกล่าวขออภัย

“ขอโทษ ข้าคิดว่า ข้าเคยเห็นท่านมาก่อนนะ ไม่ทราบว่า ท่านชื่อเสี่ยวหมวยใช่ไหม”

เลี่ยงเซิน อดีตยอดมือปราบแห่งวังหลวง ได้จับต้องมองเสี่ยวหมวยอย่างไม่วางตา เพราะเขาจำเธอได้จากแฟ้มบุคคลที่น่าจับตามองในวังหลวง

“ท่านมือปราบเลี่ยงเซินนั่นเอง ข้าไม่มีอะไรปิดบังพวกท่านหรอก ข้าก็คือคนที่พวกท่านเคยได้ยินชื่อนั่นเอง”

คำตอบของเสี่ยวหมวยทำให้เอี้ยฮุ้น อุ้ยต่งจิ้น เอี้ยวจิ้งเจิง และเลี่ยงเซินต่างตกใจ เพราะคิดไม่ถึงว่า บุคคลระดับเสี่ยวหมวยได้เข้ามาอยู่ในเมืองฝึกฝนแห่งนี้

“เมื่อพวกท่านต่างก็รู้แล้วว่าข้าเป็นใคร จะปล่อยให้ข้าได้ทักทายหัวหน้าของพวกท่านได้หรือยัง” เสี่ยวหมวยถามอย่างยิ้ม ๆ ทำให้คนทั้งหมดต้องขออภัย และพากันเดินจากไป เหลือเพียงเสี่ยวหมวย ตี๋น้อย และหยางฟง

“หยางฟง เจ้าจะอยู่นี่ทำไมละ มานี่ด้วยกันดีกว่า แล้วข้าจะบอกเองว่านางเป็นใคร”

อุ้ยต่งจิ้นที่รู้ว่า หยางฟงห่วงใยความปลอดภัยของตี๋น้อย จึงเดินมาดึงมือไปด้วยกัน ปล่อยให้ทั้งสองคนได้อยู่ด้วยกันตามลำพัง

“ปล่อยข้าก่อนได้ไหม ข้ายังไม่ไว้ใจคนผู้นั้น แม้ว่าจะเป็นผู้หญิงก็ตามเถอะ เพราะข้าสัมผัสถึงความน่ากลัวของนางได้” ร่างสูงใหญ่ของหยางฟงได้สะบัดมือออกจากมือของอุ้ยต่งจิ้น

“ถ้านางจะลอบฆ่าท่านเจ้าสัวของเรา ต่อให้มีพวกเรามากกว่านี้ ก็ไม่สามารถที่จะขัดขวางนางได้” อุ้ยต่งจิ้นกล่าวขึ้น ทำให้หยางฟงชะงักที่จะกลับไปคุ้มครองตี๋น้อย

“นางร้ายกาจอย่างนั้นเชียวหรือ ทำไมข้าไม่เคยได้ยินชื่อของนางในทำเนียบยอดฝีมือ”

“เพราะนางไม่ใช่ยอดฝีมือนะสิ” ชายผู้มีปัญญา และเชี่ยวชาญในการศึกได้กล่าวขึ้น

“แล้วนางเป็นใคร”

“หัวหน้ากลุ่มนักฆ่าที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดในยุคนี้”

สิ้นเสียงของอุ้ยต่งจิ้น ทำให้หยางฟงตกตะลึง เพราะวิชาที่เขาเรียนมาจากโรงเรียนจอมฟ้านั้น ได้กล่าวถึงคนที่โดดเด่นในยุคนี้ และหนึ่งในนั้นก็คือ เสี่ยวหมวยนั่นเอง

จากนั้นเขาได้เหลียวมองเหล่าหัวหน้ากลุ่มทั้งห้าที่กำลังคุยกับเอี้ยฮุ้นอยู่นั้นก็มีท่าทางเช่นเดียวกับเขา เพราะใครจะไปเชื่อว่า ผู้ที่มีรูปโฉมงดงามราวกับจะสยบแผ่นดินไว้ได้ด้วยเพียงรอยยิ้ม จะมีความน่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ได้

“นี่คือ เสี่ยวหมวย หัวหน้ากลุ่มหงส์ไฟ ที่เชี่ยวชาญการลอบฆ่า สืบข่าว การก่อวินาศกรรม และการเจรจาต่อรองอย่างนั้นหรือ”

หยางฟงแทบจะไม่เชื่อ เมื่อเห็นสีหน้าท่าทางที่ยิ้มแย้มแจ่มใส ร่าเริง และแฝงไว้ด้วยความเอียงอายราวกับสาวน้อยที่แอบมาพบแฟนหนุ่มของเสี่ยวหมวย


“พี่พึ่งจะรู้จักสำนวนนิยายจีนที่ว่า คนในยุทธภพ ไม่อาจจะเป็นตัวของตัวเอง ก็ในวันนี้แหละ” ตี๋น้อยที่เอนกายไปพิงต้นไม้ข้างลำธารทอดถอนใจ ทำให้เสี่ยวหมวยที่นั่งอยู่ข้างๆ ต้องอมยิ้มเล็กน้อย

“ไม่ทันไรก็เริ่มพูดเหมือนคุณลุงพันแล้วนะ รายนั้นนะ ตั้งแต่ได้วิชาการอ่านหนังสือแบบใหม่ ก็เล่นอ่านจนนิยายจีนแทบจะหมดห้องสมุดอยู่แล้ว”

“คิดถึงลุงจังเลยนะ ถ้าไม่มีลุงพัน กับหมวย พี่ก็ไม่รู้ว่าจะรอดพ้นจากอุ้งมือพี่ชายต่างมารดาคนนี้ได้ไหม”

“หมวยกับลุงช่วยแค่นิด ๆ หน่อย ๆ แต่สิ่งที่พี่ตี๋ทำนี่สิ เหลือเชื่อจริง ๆ เพียงคนเดียว สามารถดึงดูดคนที่มีความสามารถอย่างเอี้ยวจิ้งเจิน หัวหน้ากลุ่มไท่ซาน ที่เคยมีกองกำลังนับแสน กับเอี้ยฮุ้น ซึ่งเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งของเมืองฝึกฝนได้ แถมยังสามารถสยบกองกำลังที่ออกตามล่าตัวเอง จนสามารถสร้างกองกำลังของตนเองขึ้นมาได้” เสี่ยวหมวยกล่าวอย่างชื่นชม พลางชวนคุยต่อว่า

“แต่หมวยยังสงสัยอย่างหนึ่ง คนที่มาเล่นเกมนี้จะมีฮีโร่ของตนเองอย่างน้อยหนึ่งคน เช่น ตี๋ใหญ่ พี่ชายของพี่ก็นิยมชมชอบโจโฉ ตั้งชื่อตัวเองเป็นโจโฉ เลียนแบบอุปนิสัยของโจโฉ แถมลอกเลียนแบบยุทธวิธีของโจโฉมาจนแทบเรียกว่า ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยก็ว่าได้” เสี่ยวหมวยเกริ่นนำ ก่อนจะเข้าสู่ประเด็นว่า

“แล้วพี่ตี๋มีใครเป็นฮีโร่ของตัวเองหรอ”

“แล้วหมวยคิดว่าพี่มีใครเป็นไอดอลละ” ตี๋น้อยย้อนถามอย่างยิ้ม ๆ

“ก็หมวยถามพี่นะ ไม่ได้ให้พี่มาถามหมวย”

“ก็หมวยบอกมาก่อนดิ แล้วพี่ค่อยเฉลยทีหลัง” ตี๋น้อยทำเป็นไม่สนใจอาการงอนตุบป่องของเสี่ยวหมวย ทำให้ฝ่ายนั้นกระฟัดกระเฟียด และสะบัดหน้าหนี

“เอาละ ๆ ยอมแพ้แล้วจ้า ไม่ต้องทำหน้าทำตาแบบนั้นก็ได้ เดี๋ยวบอกให้”

ตี๋น้อยต้องยอมแพ้เป็นครั้งแรกในชีวิต แต่เป็นความพ่ายแพ้ที่ทำให้หัวใจเป็นสุข เพราะเสี่ยวหมวยไม่ได้ทำให้เขายอมแพ้ด้วยเหตุผล และคารม แต่เป็นการใช้ความน่ารักมาพิชิตใจตี๋น้อยให้พ่ายแพ้

“ซุนกวนกล้าหาญชาญชัย แต่ยึดติดกับระเบียบแบบแผน ไม่เน้นพลิกแพลงแปรเปลี่ยนที่หลากหลายราวกับแม่น้ำแยงซีเกียงที่ไหลเป็นกำแพงของง่อก๊ก ทำให้แผนการที่ยิ่งใหญ่ไร้ความสำเร็จ” ตี๋น้อยกล่าววิเคราะห์ก๊กทั้งสามก่อนที่จะบอกว่าตนชอบก๊กไหน

“เล่าปี่ คนผู้นี้เป็นถึงเชื้อสายกษัตริย์ แถมก๊กของตนเองยังใช้ชื่อว่า สู่ฮั่น ซึ่งหมายถึงก๊กของราชวงศ์ฮั่น ได้รับความเคารพจากองค์จักรพรรดิ์เหี้ยนเต้ อีกทั้งบรรดาเจ้าเมือง และคนใหญ่คนโตในแผ่นดินล้วนแล้วแต่เครือญาติของตนเองทั้งสิ้น และเป็นผู้มีน้ำใจไมตรีทำให้มีมิตรสหายมากมาย แต่ไม่อาจที่จะใช้ประโยชน์จากข้อได้เปรียบเหล่านี้ ทำให้ภายหลังพ่ายแพ้จนถูกเปลี่ยนชื่อก๊กเป็นจกก๊ก กลายเป็นก๊กบ้านนอกไร้ซึ่งความชอบธรรม เพราะเหตุผลเดียวคือ ไร้ความเป็นผู้นำ ไร้ความพลิกแพลง และมุ่งหวังพึ่งพิงคนอื่นมากเกินไป จนทำให้ตนเองกลายเป็นผู้ที่ไร้ความสามารถไปในที่สุด”

“ส่วนโจโฉ ผู้นำวุยก๊ก เป็นคนที่มีความสามารถดี พลิกแพลงแปรเปลี่ยนล้ำลึกพิสดาร รู้จักใช้คน รู้จักใช้การเมืองให้นำมาซึ่งอำนาจเหนือแผ่นดิน ดูแล้วน่าจะเป็นคนที่เลิศเลอเปอร์เฟ็คที่สุดในบรรดาผู้นำทั้งสามก๊ก แต่จุดอ่อนที่สำคัญที่สุดของโจโฉก็คือ มีความเป็นผู้นำสูงเกินไป จนกลายเป็นว่า ไม่ยอมที่จะฟังความเห็นที่แตกต่าง ทำให้กลายเป็นมองมุมเดียว และช่วงใช้แต่ผู้ที่มีความคิดเห็นใกล้เคียงกับตนเอง จึงทำให้ผู้ที่มีความคิดเห็นเหมือนกับโจโฉนั้นก็ใช้ตัวของเขาเป็นบันไดก้าวสู่อำนาจเช่นกัน จนกลายเป็นคนที่ก่อร่างสร้างเมืองไว้ให้ลูกน้องของตนเองไปในที่สุด”

ตี๋น้อยบอกเล่ามาถึงตอนนี้ก็ทำท่าเหมือนกับจะหลับ ทำให้เสี่ยวหมวยเผลอเอามือตีแขนดังเพี๊ยะด้วยความหมั่นไส้

“โอ๊ย.....เจ็บนา” เสียงบอกเจ็บ ๆ แต่หน้าตายิ้ม ๆ จนเสี่ยวหมวยหน้าแดง

“วิเคราะห์อยู่นั่นแหละ ก็บอกมาสิ ว่าใครเป็นแม่แบบในดวงใจน้อย ๆ ดวงนี้”

“พี่ก็วิเคราะห์ให้ฟังแล้ว คราวนี้หมวยก็วิเคราะห์เองมั๊งสิ ไม่ใช่เอาแต่ถามพี่” ตี๋น้อยเอ่ยขึ้น ทำให้เสี่ยวหมวยทำท่าจะทุบอีกครั้ง จนต้องยอมแพ้

“ก็ทั้งสามคนนั่นแหละที่เป็นแม่แบบของพี่ ความห้าวหาญชาญศึกของซุนกวน มิตรภาพ การได้ใจราษฎร และเหล่าทหารหาญของเล่าปี่ รวมทั้งเล่ห์เหลี่ยมความพลิกแพลงจนเหมือนกับเป็นความเจ้าเล่ห์ของโจโฉ” คำตอบของตี๋น้อยทำให้เสี่ยวหมวยรู้สึกแปลกใจ จนต้องถามขึ้น

“นึกว่าพี่จะชอบขงเบ้ง หรือไม่ก็บังทอง เพราะเห็นพี่ชอบใช้ปัญญาพิชิตคนนักนี่ ไม่นึกว่าจะชอบหัวหน้าก๊กทั้งสาม”

“ขงเบ้ง และบังทอง ก็เป็นแค่กุนซือ ต่อให้ฉลาดกว่านี้อีกสิบเท่าก็ไม่อาจที่จะเปลี่ยนแผ่นดินให้รุ่งเรือง และแย่ลงไปได้หรอก เพราะผู้ที่สามารถที่จะทำเช่นนั้นได้ก็คือ ผู้นำ เป็นเอกสิทธิ์เฉพาะผู้นำเท่านั้น ดังนั้น พี่จึงต้องเป็นผู้นำ ไม่ใช่ผู้ที่อยู่เคียงข้างผู้นำ”

“แต่เสี่ยวหมวยจะอยู่เคียงข้างผู้นำ ดีไหมจ๊ะ” เสี่ยวหมวยถามอย่างมีความหมายที่ลึกซึ้ง ทำให้ตี๋น้อยอดที่จะหน้าแดงไม่ได้ ทำให้เสี่ยวหมวยหัวเราะคิก ๆ ที่สามารถทำให้ตี๋น้อยอายหน้าแดงได้

“แล้วหลังจากนี้ พี่วางแผนไว้อย่างไรหรอ”

“สร้างที่มั่น ฝึกอบรมคน ยึดเกาะ และสร้างกองกำลังที่เกาะแห่งนี้ จากนั้นก็จะวางสายแทรกซึมทั่วทั้งแผ่นดิน ครอบครองจิตใจ และศรัทธาของประชาชนไว้ให้ได้ เมื่อนั้นก็จะไม่มีขุนศึกคนไหนต่อต้านพี่ได้อีกแล้ว” ตี้น้อยกล่าวถึงแผนการอย่างรวบรัดด้วยความมั่นใจ พลอยทำให้เสี่ยวหมวยมั่นใจไปด้วย

“ถ้าอย่างนั้น หมวยขอช่วยในแผนการนี้ด้วยนะ เริ่มต้นจากการสร้างป้อมค่ายนี้ก่อน เดี๋ยวหมวยขอช่วยในการวางกับดักกลไก และขุดคูคลองป้องกันป้อมค่าย ดีไหม”

“ดีสิ งั้นเดี๋ยวพี่เรียกทุกคนมาประชุมพร้อมกัน เพื่อวางแปลนป้อมค่ายก่อน จะได้เริ่มก่อสร้างกันในวันพรุ่งนี้เลย เออ...ลืมถาม แล้วหน่วยทหารชาญศึกที่โจโฉจะส่งมา ตอนนี้ถึงหรือยัง”

“พรุ่งนี้กองกำลังหน่วยชาญศึกจะมา ซึ่งอาจจะบุกมาทันที หรืออาจจะพักผ่อนก่อนที่จะบุกมาก็ได้ ตอนนี้ไม่มีข้อมูลว่าใครเป็นผู้คุมทัพ ทำให้ไม่สามารถคำนวณแผนการของพวกมันได้”

คำตอบของเสี่ยวหมวย ทำให้ตี๋น้อยนิ่งคิด เพราะเขาต้องสร้างป้อมค่ายอย่างเร่งด่วนแล้ว คงต้องใช้เวลาสร้างทั้งวันทั้งคืน โดยการเปลี่ยนเวรสลับกันในการสร้าง เพื่อให้สามารถมีกองกำลังที่มีกำลังส่วนหนึ่งพักผ่อนเป็นกำลังเสริม อีกส่วนหนึ่งทำการก่อสร้าง และอีกส่วนหนึ่งแบ่งออกเป็นสองส่วนคือ รักษาค่าย และออกลาดตระเวน เพื่อแสวงข่าว ซุ่มซ่อน และลอบเร้นโจมตีข้าศึกแบบกองโจร



Create Date : 17 ตุลาคม 2554
Last Update : 17 ตุลาคม 2554 12:18:20 น. 0 comments
Counter : 308 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Muen Li
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add Muen Li's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.