วรรณกรรมของหมื่นลี้
Group Blog
 
All Blogs
 
บทที่ 11 บุกคุกปล้นนักโทษประหาร

สำหรับผู้ที่เฝ้าเวรยามแล้ว วิกาลนี้ช่างยาวนานนัก ซึ่งตรงกันข้ามกับผู้ที่หลับใหลอยู่ในที่นอนที่แสนจะอบอุ่น มักจะรู้สึกเสมอว่า วิกาลนั้นช่างสั้นยิ่งนัก หลับไปไม่นานเท่าไรก็ต้องตื่นแล้ว แต่ในคืนนี้ ทั้งผู้ที่อยู่เวรยาม และผู้ที่หลับใหลอยู่บนที่นอนต่างก็จะได้รับการอนุญาตให้พักผ่อนได้ชั่วนิรันดร์

กร๊อบ.....................กร๊อบ..............................

ในค่ายทหารด้าตะวันออก และค่ายทหารด้านตะวันตกนั้นเริ่มมีเสียงกระดูกเคลื่อนออกจากที่ดังเบา ๆ ถี่ขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อมองไปในสายไฟที่ส่องสว่างจ้าไปทั่วบริเวณ ก็มองเห็นทหารในชุดยามรักษาการณ์ค่ายละ 2 คน ต่างคนต่างขยันขันแข็งยิ่งนัก เพราะเดินตรวจตราไปมาอยู่รอบ ๆ บางครั้งมุดกระโจมนี้ แล้วมาโผล่อีกกระโจมหนึ่ง จนถ้วนทั่วทุก ๆ กระโจมพัก

แต่ทว่า นอกจากทหารทั้ง 4 คนนี้แล้ว เหล่าทหารยามซึ่งปกติจะมีค่ายละ 5 คน ต่างหายหน้าไปจนหมดสิ้น เหลือไว้เพียงค่ายละสองคนเท่านั้น

“ได้ยินเสียงอะไรไหม โกอวด ไอ้พวกที่เข้าเวรยามที่ค่ายมันเคี้ยวกระดูกไก่เสียงดังเล็ดลอดมาถึงนี่เลย”

ทหารยามที่ยืนยามคู่กันหน้าประตูคุกเอ่ยขึ้นด้วยความหิว เพราะผลัดนี้เป็นจะเข้ายามตั้งแต่ยามจื่อ ไปจนถึง ยามอิ่น (ห้าทุ่ม – ตี 5) เป็นเวลา 3 ชั่วยาม ซึ่งเป็นเวลาที่ทั้งง่วง ทั้งหิว สำหรับคนที่ยืนยาม ทำให้ได้ยินเสียงอะไรก็เป็นของกินไปหมด

“น่าน.....ว่าแล้ว ไอ้พวกนี้มันก็มีน้ำใจอยู่แฮะ แอบกินไก่ยามค่ำคืน ยังมีน้ำใจมาให้เรากินด้วย”

ทหารยามที่กำลังคุยอยู่นั้นกล่าวขึ้นอย่างดีใจ เพราะมองเห็นทหารสองคนนำไก่ตุ่นใส่จานมาให้ตัวใหญ่ ๆ ทั้งตัว ทำให้คนที่ชื่อโกอวดซึ่งกำลังยืนหาวอยู่หายง่วงเป็นปลิดทิ้ง

“ดี ๆ กำลังง่วงอยู่พอดี บ๊ะ......วันนี้เป็นลาภปากแฮะ เอาไว้ออกเวรแล้วจะทำไก่ขอทานอร่อย ๆ ฝีมือโกอวดให้เป็นการตอบแทน” โกอวดรีบเอ่ยขึ้นอย่างดีใจที่เห็นทหารยามที่มาจากในค่ายคนหนึ่งยื่นจานให้

“ไปนั่งกินหลบ ๆ หน่อยสิ เดี๋ยวพวกข้าจะยืนยามให้ชั่วครู่”

ทหารที่ยื่นไก่ให้พูดขึ้น ทำให้ทั้งสองรีบหยิบจานไก่เดินเข้าไปด้านข้างของประตูห้องขัง โดยไม่ได้เห็นว่า คนที่ยื่นไก่ให้ได้ตามเข้าไปด้วย และเมื่อโกอวดวางจานลงบนโต๊ะ ทหารทั้งสองก็จับปิดปากพวกมันทั้งสอง ก่อนที่จะบิดคอด้วยความชำนาญทันที

อุ๊บ.............กร๊อบ.............กร๊อบ...................


ภายในห้องขังในคุกลับจะมีอยู่สองชั้น ชั้นแรกเป็นชั้นนอก ซึ่งจะเป็นที่คุมขังนักโทษสถานเบา แต่ห้องขังที่สองนั้นจะเป็นที่คุมขังนักโทษประหาร ซึ่งทั้งสองฟากฝั่งของห้องขังจะเป็นกรงที่ขังเดี่ยว ๆ แต่ในคืนนี้ เหล่านักโทษประหารที่มีประมาณ 20 กว่าคนต่างตะโกนคุยกันเสียงดังลั่นห้องขัง แม้ดึกดื่นเที่ยงคืนมิยอมหลับนอน เพราะพวกเขารู้ดีว่า เวลานอนนั้นย่อมจะมีมากเมื่อถูกประหารไปแล้ว แต่เวลาเป็นนั้นมีน้อยนักจนเสียดายแม้แต่จะยอมเสียเวลาไปกับการนอนหลับ

“ขอโทษทีวะเพื่อน เจ้าคือผู้พันเอี้ยฮุ้น ยอดฝีมืออันดับหนึ่งในเมืองนี้ใช่ไหม”
นักโทษร่างสูงใหญ่ ใบหน้ารกครื้มไปด้วยหนวดเครา ได้เอ่ยถามขึ้นด้วยเสียงดังกังวาน ทำให้เหล่านักโทษที่ตะโกนโหวกเหวกโวยวายนั้นต่างเงียบเสียงลง เพราะพวกเขารู้จักคนที่ถาม และคนที่ถูกถาม

“เจ้าคือ เหยี่ยวตาทอง เอี้ยวจิ้งเจิง หัวหน้าผู้กล้าแห่งเขาไท่ซานใช่ไหม” เอี้ยฮุ้นถามขึ้นทันทีที่เห็นแววตาแหลมคม และส่องประกายวาววับไปความมืด ทำให้ฝ่ายที่ถูกถามกลับหัวเราะดังลั่น

“ยอดเยี่ยมมากผู้พัน แค่มองเห็นนัยน์ตาข้าก็รู้จักแล้ว ใช่ข้าคือเอี้ยวจิ้งเจิง แห่งเขาไท่ซาน”

เอี้ยวจิ้งเจิง ผู้เป็นหัวหน้าโจรเขาไท่ซาน ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกของเมืองฝึกฝนกล่าวตอบ ร่างสูงใหญ่นั้นได้เขม้นมองเอี้อฮุ้นอย่างแปลกใจที่เห็นผู้พันแห่งกองทัพได้กลายเป็นนักโทษประหารเช่นเดียวกับเขา

“ทำไมทางการหน้ามืดตามัวเช่นนี้ จับท่านเอี้ยฮุ้นมาประหาร ก็เท่ากับตัดแขนขาตัวเอง หรือว่า ท่านไปเหยียบตาปลาใครมาละ” เอี้ยวจิ้งเจิงถามอย่างตรง ๆ ตามแบบมหาโจร ทำให้เอื้อฮุ้นตอบตรง ๆ เช่นเดียวกันว่า

“ก็ไม่มีอะไรหรอก แค่ไปเหยียบตาปลามหาอุปราชโจโฉ ก็เท่านั้นเอง”

เสียงฮือฮาดังลั่นห้องขัง เพราะแม้ว่าพวกมันจะเป็นมหาโจร แต่เพราะเหตุการณ์บังคับ และทางการบีบคั้นพวกเขาจนทนไม่ไหว และผู้ที่บีบคั้นพวกเขาจนต้องหนีเตลิดมานั้นก็คือโจโฉ ซึ่งถือคติที่ว่า ผู้ตามข้าอยู่ ผู้ขวางข้าตาย เหล่าผู้กล้าที่ไม่เห็นด้วยกับการอ้างราชอำนาจขององค์ฮ่องเต้มาใช้เสริมสร้างก๊กตัวเองของโจโฉจึงต้องหนีเตลิดมาเป็นโจร และถูกตามล่าจนต้องหนีไปตั้งกลุ่มโจรบนเขาไท่ซานด้านตะวันออกของแผ่นดินใหญ่ในมณฑลเฉงจี๋ว คอยก่อกวนและรังคราญก๊กของโจโฉ จนต้องถูกตีแตกพ่ายมา

“ไท่ซานกับที่นี่แม้ว่าจะไม่ไกล แต่ก็ไม่ใกล้นัก พวกท่านมาที่นี่ได้อย่างไร” เอี๊ยฮุ้นถามขึ้นอย่างสงสัย

“เมื่อเราถูกกองทัพโจโฉตีแตก เราก็อาศัยปล้นเรือ เพื่อที่จะหาเกาะอาศัยหลบภัย จนกระทั่งได้ถูกคลื่นใหญ่ ฟาดซัดเรือพวกเราจนต้องล่ม แม้จะว่ายน้ำหนีรอดมาได้บางส่วน แต่ก็ถูกทหารของที่นี่พบเห็น และล้อมจับได้ในที่สุด

“มีเรื่องเช่นนี้หรือ ทำไมข้าจึงไม่ได้รับรายงานละ” เอี๊ยฮุ้นสงสัย

“นั่นเนื่องเพราะว่า เจ้าเมืองที่นี่คิดที่จะเอาใจโจโฉ จะได้ส่งมอบพวกข้าให้กับโจโฉโดยให้คนรู้เห็นน้อยที่สุด”

เลี่ยงเซินผู้มีเรือนร่างสมส่วน และหน้าตาท่าทางอาจหาญ ในอดีตเคยเป็นมือปราบวังหลวง และได้กลายมาเป็นมือขวาของเอี้ยวจิ้งเจิง ได้เอ่ยขึ้น

“โจโฉมาที่นี่ และตอนนี้ก็คงจะลงเรือกลับไปที่ลกเอี๋ยงแล้ว น่าแปลกที่ท่านเจ้าเมืองไม่ส่งมอบพวกท่านให้กับโจโฉ” คำพูดของเอี้ยฮุ้น ทำให้เหล่าขุนโจรทั้งหลายต้องตระหนกแล้ว

“อืม....แสดงว่า มีเรื่องที่เร่งด่วนมากกว่าเรื่องของพวกข้าให้เจ้าเมืองต้องจัดการ จึงไม่มีเวลามาเลียโจโฉ เพราะรู้อยู่ว่า ถ้าเลียไม่เป็น หัวบนบ่าคงต้องย้ายที่แน่ ๆ” เลี่ยงเซินพูดขึ้นอย่างรู้จักนิสัยของโจโฉ และข้าราชการในแผ่นดินอย่างดี

“ว่าแต่ท่านไปทำอะไรให้ขัดเคืองใจของโจโฉละ ท่านไม่เคยไปลกเอี๋ยงไม่ใช่หรือ ทำไมมันถึงมารังควานท่านถึงที่นี่ได้” เอี้ยวจิ้งเจิง หัวหน้าโจรเขาไท่ซานถามขึ้น

“นั่นนะสิ ท่านไปทำอะไรให้มันไม่พอใจจนต้องสั่งประหารท่าน” เลี่ยงเซินที่สงสัยมาแต่แรก จึงถามย้ำขึ้นด้วยความแปลกใจ

“ข้าพบคน ๆ หนึ่งที่มีใบหน้าคล้ายคลึงกับโจโฉประมาณ 4 ส่วน แต่เขาคนนี้ดูมีคุณธรรม และมีประกายตาที่เฉลียวฉลาดกว่าโจโฉอีก แต่ว่า.....เขาพึ่งจะเข้ามาฝึกฝนที่เมืองนี้ได้ไม่กี่วัน โจโฉก็ส่งจดหมายด่วนประทับตราทางการให้จับตาย พร้อมทั้งตั้งรางวัลไว้อย่างสูงสำหรับชายคนนี้ ข้าจึงช่วยให้เขาหนีไปทางด้านตะวันออกของเมือง ให้เข้าไปยังป่าดงดิบ เพราะหลบลี้หนีภัยในพื้นที่ที่อันตรายที่สุดในเกาะแห่งนี้ หวังว่าจะช่วยให้เขาพ้นภัยจากคนพาลผู้นี้ไป”

เอื้อฮุ้นตอบขึ้นด้วยดวงตาเป็นประกายแจ่มใส จนทำให้เหล่าขุนโจรทั้งหลายต้องปรบมือดังลั่นอย่างชอบใจ พลางกล่าวขึ้นด้วยเสียงกังวานว่า

“ยอดเยี่ยมมาก ผู้ที่สามารถทำให้โจโฉกังวลใจจนต้องสั่งตามล่านั้นมีอยู่ไม่มากนัก ยิ่งเป็นคนที่พึ่งจะเข้ามาในโลกใบนี้ยิ่งไม่เคยมี ข้าคิดว่า คน ๆ นี้จะต้องเป็นดาวข่มโจโฉแน่ ๆ ยิ่งคิดข้าก็ยิ่งอยากที่จะเห็นตัวคน ๆ นี้แล้วสิ” หัวหน้าโจรแห่งเขาไท่ซานพูดขึ้นด้วยใบหน้าเปี่ยมด้วยความหวัง

“เฮ้อ.....แม้พวกท่านจะแหกคุกนี้ไปได้ในวันนี้ หรือพรุ่งนี้ พวกท่านจะได้พบกับคน ๆ นี้หรือเปล่ายังไม่รู้ เพราะว่า โจโฉได้ทิ้งขงหยง นักกลยุทธ์แห่งลกเอี๋ยงเอาไว้เคยบัญชาการกลุ่มต่าง ๆ ในเมืองนี้ให้ออกไล่ล่าคนผู้นี้ และมันยังส่งข่าวทางนกพิราปสื่อสารให้นำกองกำลังค้นหาที่เชี่ยวชาญที่สุดในเมืองหลวงมาอีก 1 กองพัน เพื่อช่วยกันค้นหาและทำลายล้างคน ๆ นี้อีกแรงหนึ่ง” สิ้นเสียงเอี้ยฮุ้น เสียงอุทานดังขึ้นจากปากมหาโจรเดนตายทั้ง 25 คน

“แต่ถ้าชายผู้นี้จะเกิดมาเป็นดาวข่มโจโฉ อันตรายแค่นี้คงไม่คณามือของท่านหรอก ถ้าพวกเรารอดไปได้ พวกเราจะตั้งกลุ่มอยู่ในเกาะแห่งนี้ เพื่อเป็นกองกำลังให้ท่านได้ใช้เพื่อต่อต้าน และรุกไล่โจโฉ แผ่นดินนี้คงจะสนุกสนานมากขึ้น ฮ่า ๆ ๆ” เอี้ยวจิ้งเจิงพูดขึ้นด้วยเสียงห้าวหาญ ทำให้ผู้กล้าแห่งเขาไท่ซานยกนิ้วเห็นด้วย

แกร๊ก...................แอ๊ดดดดดด.....................

เสียงประตูใหญ่ที่เชื่อมต่อกับห้องขังชั้นนอกดังขึ้น ทำให้คนทั้งหมดแปลกใจ เพราะประตูนี้ไม่เคยเปิดถ้าไม่ใช่การนำคนมาขัง หรือไม่ก็เป็นการนำคนไปประหาร เพราะอาหารจะให้แค่เวลาเที่ยงของทุกวันเท่านั้น
มองเห็นทหารสองคนเดินตรงเข้ามายังห้องของเอี้ยฮุ้น ทำให้เหล่าโจรร้องโวยวายทันที

“เฮ้ย....ไอ้พวกทหารเดนตาย จะเอาท่านเอี้ยฮุ้นไปไหน หยุดเดี๋ยวนี้”
เสียงร้องด่าทหารดังระงม แม้ว่า ทหารคนหนึ่งจะเอาดาบออกมาไล่ขู่ แต่ทั้งหมดก็ไม่ยอมเงียบเสียง จนกระทั่งเอี้ยฮุ้นที่มองเห็นใบหน้าของทหารคนหนึ่งเข้า จึงร้องอุทานขึ้น

“อุ้ยต่งจิ้น เป็นเจ้าหรือนี่”

“ใช่แล้วท่านหัวหน้า พวกเราทั้งสี่มาช่วยท่านแล้ว” ทหารคนที่เปิดประตูห้องเอี้ยฮุ้นเอ่ยขึ้น ทำให้เหล่าโจรเงียบเสียง เมื่อรู้ว่านี่คือการปล้นคุก

“อุ้ยตี๋ เปิดประตูปล่อยพวกเขาออกมาให้หมด” เอี้ยฮุ้นร้องบอก ทำให้อุ้ยต่งจิ้นรีบบอกว่า

“แต่...หัวหน้า การที่นำคนมากเกินไป อาจจะทำให้การหนีลำบาก และอาจจะถูกจับได้นะ”

“เขาคือเอี้ยวจิ้งเจิง หัวหน้าผู้กล้าแห่งเขาไท่ซาน” เอี้ยฮุ้นชี้มือไปยังชายรูปร่างสูงใหญ่ที่ยืนสงบนิ่งอยู่ในกรงขัง ทำให้อุ้ยต่งจิ้นรีบคารวะ และเปิดประตูห้องขังทันที

“ขออภัย ไม่ทราบว่าเป็นท่าน ถ้าเป็นท่าน ข้ายินดีที่จะร่วมเป็นร่วมตายด้วย” หัวหน้าโจรหัวเราะเสียงดังลั่น ก่อนที่จะออกมาจากกรงขัง และเอามืออวบอูมตบบ่า
ของอุ้ยต่งจิ้นเบา ๆ พลางบอกว่า

“คนทั้งหมดนี้เป็นพี่น้องของข้า พวกเขาองอาจกล้าหาญ คนหนึ่งอาจต้านทหารได้เป็นสิบ วางใจเถอะ ถ้ามีอาวุธให้พวกเขา แม้จะบุกปล้นเมืองนี้ก็จะได้ดังใจ”

“เรื่องอาวุธไม่ต้องห่วง ข้างนอกมีอาวุธเพียบ เชิญออกมาได้ทุก ๆ คน” อุ้ยต่งจิ้นพูดพลางไขกุญแจปล่อยทุกคนออกมา ทำให้หมิงสงที่มาด้วยต้องเอ่ยถามเบา ๆ ว่า

“ถ้าอย่างนั้นแผนการของเราต้องเปลี่ยนแปลงใหม่ใช่ไหม” คำถามนี้ทำให้เหล่าโจรทั้งหมดหัวเราะดังลั่น

“แน่นอน เมื่อพวกผู้กล้าออกจากคุก จะมีผู้ใดกล้าต่อต้านพวกเราได้”
เมื่อทุกคนออกมาจากห้องขังหมดแล้ว อุ้ยต่งจิ้นก็จัดการปลดโซ่ตรวนจากข้อมือ และข้อเท้าของทุกคน ทำให้ทุกคนสลัดมือและเท้าไปมาอย่างพึงพอใจ

“เดี๋ยวพวกข้าจะนำหน้า ทุกคนตามมา เพื่อไปเก็บอาวุธ และวางแผนการกันต่อไป” อุ้ยต่งจิ้นร้องบอกกับทุกคน

แอ้ดดดดด.......................

เมื่อประตูเหล็กที่เชื่อมโยงกับคุกภายนอกเปิดออก และทุก ๆ คนกำลังจะผ่านไป เหล่านักโทษคดีเล็กน้อยในคุกด้านนอกก็คุกเข่าลงทันที พลางกล่าวว่า

“ท่านผู้กล้าหาญ โปรดปล่อยพวกเราไปด้วยเถิด ไม่อย่างนั้น เมื่อกองทหารใหม่เข้ามาในตอนเช้า พวกข้าก็คงไม่รอดอย่างแน่นอน อีกอย่าง ถึงจะอยู่ไป พวกเราก็จะต้องตกไปเป็นทาสอยู่ดี ขอพวกเราไปเป็นม้าเป็นลาให้กับพวกท่านดีกว่า”

ชายกลางคนผู้ซึ่งดูเป็นคนมีการศึกษาเป็นผู้กล่าวขอร้องกลุ่มคนที่กำลังจะแหกคุกหนี

“เอาไงดี หัวหน้า” อุ้ยต่งจิ้นหันกลับมาถามเอี้ยฮุ้น

“พาพวกเขาไปด้วย” คำตอบของเอี้ยฮุ้น ทำให้อุ้ยต่งจิ้นหันหน้าไปบอกกับหมิงสง และเหล่าขุนโจรทันที

“ท่านไปเอาพวงกุญแจห้องขังด้านนอกมา แล้วปล่อยพวกเขาไป ส่วนที่เหลือพากันออกไปเก็บอาวุธ เปลี่ยนชุดให้เป็นชุดของทหาร และจัดกองกำลังรอคอยคุ้มกันอยู่ด้านนอก”

ดังนั้นทุกคนจึงแยกย้ายกันไปเตรียมกัน ส่วนอุ้ยต่งจิ้น เอี้ยฮุ้น เอี้ยวจิ้งเจิง และเลี่ยงเซินได้จับกลุ่มประชุมกันอย่างเคร่งเครียดเพื่อวางแผนการหนี เนื่องจากกลุ่มโจรมีคน 25 คน นักโทษในห้องขังด้านนอก 58 คน และกลุ่มของเอี้ยฮุ้นอีก 5 คน รวมเป็นกลุ่มขนาดเกือบหนึ่งกองร้อย ด้วยมีผู้คนถึง 88 คน


Create Date : 15 ตุลาคม 2554
Last Update : 15 ตุลาคม 2554 15:58:52 น. 0 comments
Counter : 341 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Muen Li
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add Muen Li's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.