|
บทที่ 1 อัจฉริยะบ้านนอก
ในป่าแอฟริกาที่อุดมสมบูรณ์ มีกระทิงอยู่ฝูงหนึ่ง อาศัยอยู่กันประมาณร้อยกว่าตัว วันนั้น อากาศดี พวกมันพากันออกหากินบนผืนหญ้าที่กว้างใหญ่ไพศาล”
แว่วเสียงนุ่ม ๆ มีเสน่ห์ และเต็มไปด้วยพลังแห่งการสร้างสรรค์ดังขึ้นในห้องเรียนเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในจังหวัดหนองคาย
“ท่าม กลางสายลมอ่อน ๆ โชยพัดผ่าน บรรยากาศร่มรื่น เย็นสบาย แต่แล้วประสาททุกส่วนของเหล่ากระทิงพลันตึงเครียด เพราะพวกมันได้กลิ่นสิงโต……ไม่ใช่สิงโตแค่ตัวเดียว.....จมูกที่ปราดเปรียว ของพวกมันได้กลิ่นฝูงสิงโต”
จังหวะจะโคน และลีลาการเล่านั้นทำให้คนฟังถึงกลับสะดุ้ง เพราะคิดถึงความดุร้ายของสิงโตขึ้นมา
“โฮกกกก.................”
คนเล่าทำเสียงคำรามดังลั่น จนคนทั้งห้องพากันตกใจ คนที่ขวัญอ่อนก็แทบตกเก้าอี้
“สิงโต ตัวหนึ่งกระโจนออกมายืนจังก้าอยู่หน้าฝูงกระทิง เหล่ากระทิงพากันถอยออกด้านข้าง ทำให้เหล่ากระทิงแม่ลูกอ่อน รีบวิ่งไปนำลูกของมันมารวมกลุ่มอยู่กลางฝูงกระทิง โดยมีเหล่ากระทิงหนุ่มพากันห้อมล้อมไว้ คอยป้องกันเหล่าสิงโต”
“โฮกกกก................”
คราว นี้คนเล่ากระโดดออกมาจากจุดที่ยืนอยู่ เข้ามาใกล้เหล่านักเรียนที่นั่งฟังอย่างใจจดใจจ่อ จนเหล่านักเรียนหญิงพากันร้องกรี๊ดกันราวกับเสียงกรี๊ดในงานคอนเสิร์ต
“สิงโต อีก 7-8 ตัว พากันวิ่งมาห้อมล้อมฝูงกระทิงไว้ไม่ให้หนี เหล่ากระทิงไม่มีทางหนี พวกมันจึงวิ่งวนไปรอบ ๆ ด้วยความหวังว่าจะมีทางรอด แต่พวกมันหมดหวังแล้ว เพราะการประสานงานของเหล่าสิงโตไร้ซึ่งช่องโหว่ ด้วยเหตุนี้ เหล่าฝูงกระทิงจึงทำได้เพียงรักษากลุ่มไว้ ทำให้เหล่าสิงโตไม่กล้าเข้าจู่โจม ทั้งสองฝ่ายจึงเฝ้ารักษาสภาพเช่นนั้นไว้” คราวนี้เสียงนุ่ม ๆ ก็ดังแผ่ว ๆ เป็นจังหวะ ราวกับว่า เหล่ากระทิงหมดทางหนี และอับจนปัญญาแล้ว
“จนกระทั่ง.....” เสียงคนเล่าดังขึ้นด้วยความตื่นเต้น จนทำให้คนฟังคอยลุ้นว่าจะมีปาฏิหาริย์อะไรที่จะช่วยเหล่ากระทิงได้
“ฟึดดดดดด................”
ชาย หนุ่มร่างร่างสูงโปร่ง ผิวขาว แต่ตาชั้นเดียวราวกับเป็นลูกคนจีน ได้ทำเสียงหายใจออกมาดังลั่น ทำให้คนรู้ว่าเป็นเสียงหายใจของกระทิง
“เสียงหายใจจากกระทิงหนุ่มที่แข็งแรงที่สุดในฝูง..............
มันเคยเอาชนะในการต่อสู้มานับครั้งไม่ถ้วน.............
มันไม่เคยเห็นด้วยกับความคิดของหัวหน้าฝูงที่ให้หนีภัยจากสิงโต..............
ดังนั้น มันจึงพุ่งทะยานเข้าใส่สิงโต มันก้มหัว พุ่งเป้าหมายไปที่ท้องของสิงโตตัวหนึ่ง...........”
“หวืดดดด.......................”
ทุกคนในห้องทำหน้าเคร่งเครียด เพราะเสียงเช่นนี้ย่อมแสดงว่า เจ้ากระทิงหนุ่มพุ่งเข้าชนสิงโตพลาด
“เขาอันแหลมคมของเจ้ากระทิงพุ่งเฉียดท้องสิงโตไปนิดเดียว....นิดเดียวเท่านั้นเอง”
คนเล่าทำเสียงทอดถอนใจ ก่อนที่จะเล่าต่อว่า
“สิงโต ค่อย ๆ ถอยหลัง ทำให้เจ้ากระทิงหนุ่มยิ่งได้ใจ มันได้ไล่ขวิดเหล่าสิงโตจนหนีกระเจิดกระเจิง มันยิ่งไล่ขวิดสิงโต เหล่าสิงโตก็ยิ่งวิ่งหนีมัน”
“ครั้งแล้ว มันคิดว่า เหล่าสิงโตพวกนี้หวาดกลัวมันแน่ ๆ ทำให้มันภาคภูมิใจในกำลังอันเข้มแข็งของมัน ซึ่งจะทำให้มันสามารถช่วยฝูงของมันได้ และมันอาจจะได้รับตำแหน่งหัวหน้าฝูงแทนเจ้ากระทิงแก่ที่ขี้ขลาดตัวนั้น”
คนเล่าปล่อยให้ความเงียบเกิดขึ้นกับคนฟังในชั้น รวมทั้งครูผู้สอนที่นั่งนิ่งราวกับจะครุ่นคิดถึงความหมายของสถานการณ์นี้
“ครู่ ใหญ่ ๆ ต่อมา เมื่อเจ้ากระทิงหนุ่มเงยหน้าขึ้น สิ่งที่มันเห็นคือ สิงโต 7 - 8 ตัว ล้อมรอบตัวมัน มันมองหาพรรคพวกของมัน แต่อนิจจา...มันเป็นวัวกระทิงเพียงตัวเดียวที่อยู่ในระแวกนี้”
คนฟังหลับตาปี่ด้วยความหวาดเสียว เพราะพอจะล่วงรู้ถึงจุดจบของเจ้ากระทิงหนุ่ม ฮีโร่ของเหล่ากระทิง ว่าจะจบลงที่ไหน
“มัน สู้อย่างไม่ย่อท้อ ด้วยหวังปาฏิหาริย์ แต่อนิจจา.....ปาฏิหาริย์ที่มันคาดหวังไว้ไม่เคยเกิดขึ้น เพราะคมเขี้ยวของเหล่าสิงโตพากันรุมกัดฉีกร่างของมันจนมันอ่อนแรง และก่อนที่ดวงตาของมันจะปิดไปตลอดกาล มันเห็นเหล่าสิงโตที่เคยรุมไล่ฝูงของมันบัดนี้พากันมาห้อมล้อมมันเพียงตัว เดียวเท่านั้น”
“มันจึงรู้สำนึกว่า......แม้มันจะมีกำลังที่แข็ง แกร่ง มีเขาทั้งคู่ที่แหลมคม กำลังขาที่ปราดเปรียว แต่สุดท้ายแล้ว...มันก็เป็นได้แค่ อาหารอันโอชะของฝูงสิงโตเท่านั้น !!!”
ความ เงียบปกคลุมทั่วทั้งห้องในชั่วพริบตานั้นเอง เสียงถอดถอนใจของเหล่าเพื่อนร่วมชั้นและครูประจำวิชาทำให้เด็กหนุ่มผู้ถ่าย ทอดเรื่องราวนี้กล่าวสรุปออกมาว่า
“ความจริงที่แฝงอยู่ในเหตุการณ์ นี้สอนให้เรารู้ว่า......ความเก่งกล้าสามารถที่ปราศจากการวางแผน ย่อมเป็นได้แค่เหยื่อของผู้ที่รู้จักการวางแผนการอย่างรอบคอบและรัดกุม”
“เพราะฉะนั้น หากคิดจะสำเร็จผลในสิ่งใด ต้องวางแผนก่อนทุกครั้ง....ขอบคุณครับ”
เมื่อ สรุปเรื่องราวเสร็จสิ้น เด็กหนุ่มผู้ยืนรายงานหน้าชั้นก็โค้งคำนับครู และเพื่อนร่วมชั้น ทำให้ได้รับเสียงปรบมือดังสนั่นหวั่นไหว และเนิ่นนานจากเพื่อน ๆ และครูผู้สอน
“ว๊าว..............สุดยอดไปเลยตี๋น้อย สุดยอดอัจริยะประจำโรงเรียน “
กลุ่ม หัวโจกประจำห้องพากันออกปากเชียร์ จนครูผู้สอนต้องถลึงตามอง เสียงเชียร์จึงหยุดลง แต่ยังไม่วายที่จะมีการยกมือยกไม้ให้กับเด็กหนุ่มที่มีชื่อเล่นว่า ตี๋น้อย
เมื่อ พักเที่ยง เหล่าเพื่อน ๆ ก็พากันมารุมล้อมตี๋น้อย พลางนำข้าวที่ห่อจากบ้านมารวมกลุ่มกัน เพื่อที่จะมีอาหารหลากหลายชนิด และที่สำคัญที่สุดก็คือ เพื่อที่ตี๋น้อยจะได้กินอาหารกลางวันอย่างอิ่มหนำสำราญ
“ตี๋น้อย ช่วยพวกเราหน่อยสิ อีกไม่กี่เดือนก็จะถึงการแข่งขันกีฬาจังหวัดแล้ว พวกเราอยากเป็นตัวแทนจังหวัดไปแข่งขันกีฬาประจำภาค”
ตี๋ น้อย เป็นชื่อของ นาย ฤทธิ์เดชา ดำรงฤทธิกุล เด็กหนุ่มวัย 17 ปี ถึงแม้ว่าจะชื่อตี๋น้อย แต่รูปร่างที่สูงโปร่ง และดูเด่นเป็นสง่าดูขัดกับชื่อเล่น ถึงกระนั้นก็ดี เหล่าเพื่อน ๆ ก็ยังคงจะเรียกเขาในนาม ตี๋น้อย เช่นเดิมไม่เคยเปลี่ยน
ตี๋น้อยเป็นเด็กกำพร้า ผู้ซึ่งใช้นามสกุลของพ่อที่ไม่เคยเห็นหน้าเลยสักครั้งเดียว
แม่ ของตี๋น้อยเสียชีวิตตั้งแต่วันที่คลอดเขาออกมา แต่แม่ก็ได้ตั้งชื่อเล่น และชื่อจริง พร้อมทั้งเตรียมใบรับรองการเป็นบุตรจากผู้เป็นพ่อ ทำให้ตี๋น้อยสามารถใช้นามสกุล “ดำรงฤทธิกุล” ของเจ้าสัวรณฤทธิ์ ดำรงฤทธิกุล นักธุรกิจอันดับต้น ๆ ของประเทศไทย และของโลกได้ด้วยสถานะของการเป็น ”บุตรชาย”
แม้ว่าจะเป็นบุตรชายของมหาเศรษฐีระดับโลก แต่ในชีวิตจริงของตี๋น้อยยังคงอาศัยอยู่กับยายโดยไม่ได้เรียกร้องสิทธิของตน เองเลยแม้แต่น้อย แม้ว่ายายจะเสียไปเมื่อปีที่แล้ว แต่เขาก็ยังรักที่จะใช้ชีวิตอยู่ตัวคนเดียวในบ้านเก่า ๆ ที่เป็นมรดกของยาย
เพราะเขาคือ ตี๋น้อย...อัจฉริยะผู้ไม่ยอมก้มหัวให้กับชะตาชีวิต.....
“พวกนายมีแผนการไหมละ”
ตี๋ น้อยถามเพื่อน ๆ ซึ่งมักจะมาปรึกษาเขาอยู่เสมอ ๆ และนี่คือคำพูดยอดฮิตของเขา ทำให้เป็นที่รู้กันโดยทั่วไปว่า ถ้าไม่มีคำตอบที่ดี อาจจะต้องครุ่นคิดหาทางตอบคำถามนี้ให้ได้ ก่อนที่จะมาปรึกษากับตี๋น้อย
“ไม่มีหรอก แต่พวกเรามีเป้าหมายที่จะไปให้ถึงทีมชาติ แต่ไม่รู้ว่าจะวางแผนการอย่างไงจึงจะไปให้ถึงจุดนั้นได้ พวกเราจึงต้องมาขอให้นายช่วยนี่ไงละ” เอก ประธานนักเรียนผู้ใช้งานตี๋น้อยบ่อยที่สุด เอ่ยขึ้น
“ถ้าอยากจะไปให้ถึงทีมชาติก็ไม่เห็นจะยากเลย เล่นให้เก่งทั้งส่วนตัว และเป็นทีม”
ตี๋น้อยพูดเสร็จก็ปั้นข้าวเหนียวจิ้มแจ่วบองขึ้นใส่ปากอย่างเอร็ดอร่อย ทำให้เพื่อน ๆ ที่โดนตี๋น้อยตอบแบบง่าย ๆ ต้องถามอีกครั้งว่า
“แล้วไอ้ความเก่งนี้มันเป็นอย่างไรละ”
“พวก นายมีโทรทัศน์ที่บ้านกันทุกคน ไม่เคยเห็นโฆษณาน้ำอัดลมที่มีนักฟุตบอลเลี้ยงบอลวิ่งผ่านบ้านคน โดยมีชาวบ้านจำนวนมาพยายามมาแย่งฟุตบอล พวกนายเห็นแล้วบอกได้ไหมว่า ความเก่งคืออะไร” ตี๋น้อยที่มักจะทำหน้าที่ในการแนะนำเพื่อน ๆ ในทุกเรื่อง ได้ถามคำถามที่จุดประกายความคิดของเพื่อน ๆ
“ความเก่งคือ การที่สามารถทำเรื่องที่ยากสุด ๆ ให้เหมือนกับเป็นของง่ายสุด ๆ” เจ้าเหน่ง ซึ่งเป็นนักฟุตบอลประจำโรงเรียนตอบขึ้น เมื่อเห็นว่า เพื่อน ๆ ไม่มีใครกล้าตอบ
“อย่างไง” ตี๋น้อยเงยหน้าขึ้นมองเหน่ง พร้อมกับถามขึ้น
“ก็อย่างการวิ่งเลี้ยงบอลหลบชาวบ้านกลุ่มใหญ่ไปได้ราวกับเป็นเรื่องง่าย ๆ นะสิ”
“แล้วไงอีก” ตี๋น้อยถามต่อ
“คงจะเป็นการทำเรื่องเครียด ๆ อย่างการเล่นบอลให้เป็นเรื่องสนุก ๆ เฮ ๆ ฮา ๆ ได้มั๊ง”
“แล้วไงต่อ”
“เอ...ยังมีอีกหรอ” เจ้าเหน่งจนมุม จึงถามกลับ
“เอ้า.... ไม่มีก็ได้ แล้วจะทำอย่างไงให้มีความเก่งละ” ตี๋น้อยเลยเปลี่ยนคำถาม เพราะเห็นหน้าเครียด ๆ ของเพื่อน ๆ แล้วพาลจะกินข้าวไม่อร่อย
“ฝึกซ้อมไง” เจ้าชัย หัวหน้านักวอลเล่ย์บอลตอบ
“อืม....ทุกโรงเรียนก็ฝึกซ้อม นักกีฬาทุกคนก็ต้องฝึกซ้อม ไม่เห็นจะทำให้เราเก่งกว่าคนอื่น ๆ ได้เลย” คราวนี้ตี๋น้อยขัดขึ้นแบบให้คิด
“เราก็ต้องฝึกให้หนักกว่าพวกเขา” ขิง เด็กเรียนซึ่งร่วมวงกินข้าวด้วย แต่ไม่ได้เป็นนักกีฬาตอบขึ้น
“ถูก ต้อง เราต้องฝึกให้หนักกว่าคนอื่น แต่จะฝึกให้หนักกว่าอย่างไรละ เพราะเราก็ต้องเรียน ต้องกลับบ้าน ต้องทำงานช่วยพ่อแม่ ต้องมีธุระส่วนตัวอีกเยอะแยะไปหมด” ตี๋น้อยกล่าวทวน และตบท้ายด้วยการถามเหมือนเดิม
“เราเคยดูหนังเรื่องของนักบาสเก็ตบอล ที่พกลูกบาสไปไหนมาไหนด้วย แล้วก็ทำให้มันเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของเรา แบบนี้จะทำให้เราเก่งขึ้นกว่าคนอื่น ๆ ได้ไหม”
เจ้าโย่งนักบาสเก็ตบอลของโรงเรียนพูดเสียงเบา ๆ แต่ทุกคนก็พยายามเงี่ยหูฟังด้วยความสนใจ
“น่า จะเข้าท่า นักฟุตบอลก็เลี้ยงฟุตบอลตลอด นักตะกร้อก็เล่นกับลูกตะกร้อตลอดเวลา เล่นกีฬาอะไรก็เล่นกับสิ่งนั้น ๆ ตลอดเวลา” ตี๋น้อยพูดขึ้น
“แล้วพวกเราที่เป็นนักกรีฑาละ จะต้องทำอย่างไร” หลังจากเสียงเฮของเหล่านักกีฬาแล้ว บรรดานักกรีฑาที่ได้ยืนฟังไอเดียการฝึกซ้อมก็ถามขึ้น
“ถ้าเป็นนัก วิ่ง ก็น่าจะวิ่งตลอดนะ ตอนนั่งเรียนก็สับขาทำท่าวิ่ง ส่วนนักกระโดดสูงก็นั่งยอง ๆ กระโดดขึ้นลง ไม่รู้สินะ ลองไปคิดและออกแบบการฝึกซ้อมของพวกนายมาเองก็แล้วกัน เรามันไม่ใช่นักกีฬา พวกนายเก่งกว่าเราอยู่แล้ว ในเรื่องนี้”
ตี๋น้อยเสนอแนวคิด และชมเชยพวกเขา ทำให้เหล่านักกรีฑาพากันดีใจ และวิ่งออกไปประชุมกันว่า แต่ละประเภทควรออกแบบการฝึกซ้อมตลอดเวลาอย่างไร
เช้าวันต่อ มา ที่ห้องเรียนของโรงเรียนประชาสงเคราะห์ จังหวัดหนองคาย ก็เกิดเหตุการณ์แปลกประหลาดเกิดขึ้น เมื่อเหล่านักเรียนต่างพากันนำอุปกรณ์กีฬาของตนมาโรงเรียน เช่น ฟุตบอล วอลเลย์บอล ตะกร้อ บาสเก็ตบอล และอุปกรณ์กีฬาอื่น ๆ อีก แล้วแต่ว่าใครจะเล่นอะไร
พวกที่มีอุปกรณ์กีฬาเหล่านี้ก็จะพากัน เลี้ยงลูก เล่นกับมัน และใช้เวลากับมันให้มากที่สุดเท่าที่พวกเขาจะคิดได้ โดยไม่สนใจว่าจะเป็นเวลาอะไร ไม่ว่าจะเข้าแถวเคารพธงชาติ นั่งเรียน กินข้าว ทำเวร ส่วนพวกที่ไม่มีอุปกรณ์ก็จะพากันวิ่ง กระโดด และทำท่าทำทางที่จะช่วยให้เขาคุ้นเคยกับกีฬาของพวกเขา
ในโรงเรียน แห่งนี้จึงมีผู้ที่เรียบร้อยแค่คนเดียวคือ....ตี๋น้อย เพราะตี๋น้อยไม่ได้เป็นนักกีฬาแต่มีความรอบรู้ในกีฬาทุกประเภท ครูใหญ่จึงมอบหมายให้เขาเป็นที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ให้กับกีฬาทุกประเภทใน โรงเรียน
“ตี๋น้อย บอกครูหน่อยได้ไหม ว่าเกิดอะไรขึ้นกับนักเรียนโรงเรียนเรา”
ครูใหญ่ร่างท้วม สวมแว่นตาหนาเตอะที่กำลังปวดหัวเพราะเสียงอึกทึกครึกโครมเหมือนกับว่า โรงเรียนมีกีฬาสีตลอดเวลา
“ก็ ไม่มีอะไรมากหรอกครับครู แค่พวกเพื่อน ๆ เขาอยากที่จะเอาชนะในการแข่งขันกีฬาประจำจังหวัด เพื่อมุ่งสู่การเป็นนักกีฬาทีมชาติ ก็เท่านั้นเองครับ” ตี๋น้อยตอบแบบเรียบ ๆ ทำเอาครูใหญ่มองลอดแว่นมายังเขา
“ไอเดียเธออีกละสิ ที่ทำให้เหล่าเพื่อน ๆ เป็นแบบนี้”
“ก็ไม่เชิงหรอกครับ ทุกคนช่วยกันออกความคิด ผลสรุปก็ออกมาอย่างที่เห็นนั่นแหละครับ” ตี๋น้อยตอบยิ้ม ๆ ก่อนที่จะพูดอีกว่า
“โรงเรียน เราเป็นโรงเรียนเล็ก ๆ นักเรียนไม่ถึง 500 คน และส่วนใหญ่ก็ยากจน ถ้าพวกเขาไม่เก่งในทางใดทางหนึ่ง โอกาสที่จะก้าวขึ้นไปสู่ชีวิตที่ดีกว่านี้คงจะยาก พวกผมคงต้องรบกวนให้ครูช่วยพวกเราหน่อยก็แล้วกันนะครับ” ตี๋น้อยพูดขึ้นก่อนที่ครูใหญ่จะทันได้ออกความคิดเห็น
“ครูเชื่อใน ความเป็นอัจฉริยะของเธอ แต่ขอครูมั่นใจหน่อยได้ไหมว่า ถ้าทำอย่างนี้แล้ว โอกาสของโรงเรียนเราจะก้าวไปสู่การเป็นตัวแทนจังหวัด จนสามารถไปแข่งขันระดับภาคได้”
ครูใหญ่ที่เห็นผลงานในหลาย ๆ เรื่องของตี๋น้อยพูดขึ้น พลางมองดูตาของเด็กนักเรียนที่สามารถทำให้โรงเรียนเล็ก ๆ ก้าวขึ้นมาเป็นโรงเรียนที่มีศักยภาพจนโรงเรียนประจำจังหวัดที่โด่งดังต้อง ยอมรับในหลายเรื่อง เช่นเรื่องการศึกษา การหารายได้พิเศษของนักเรียน ความสามัคคีของนักเรียน การประกวดมารยาท และอื่น ๆ อีกมากมาย แต่ครั้งนี้จะนำโรงเรียนแห่งนี้ซึ่งอ่อนด้อยที่สุดในจังหวัดในเรื่องกีฬา ไปสู่ความโดดเด่นเป็นหนึ่งในเรื่องกีฬา ซึ่งเขาก็ไม่รู้ว่าจะทำได้อย่างไร
“ผม มั่นใจ เพื่อน ๆ ทุกคนก็มั่นใจ แค่นี้ก็เพียงพอแล้วที่ครูก็จะต้องมั่นใจด้วย” ตี๋น้อยกล่าวเสียงหนักแน่น พร้อมดวงตาที่เป็นประกาย ทำให้ครูใหญ่ผงกหัวยอมรับ
“สำหรับครูท่าน อื่น ๆ ผมคิดว่า แรก ๆ พวกเขาคงจะรับไม่ค่อยได้ ดังนั้น ผมต้องรบกวนให้ครูช่วยชี้แจงให้บรรดาครูทั้งหลายฟังด้วย รวมทั้งให้ครูพละช่วยแนะนำแนวทางปฏิบัติ และเทคนิคกีฬาต่าง ๆ ด้วย” ตี๋น้อยกล่าว ก่อนที่จะเสริมว่า
“และถ้าเป็นไปได้ ผมอยากให้ครูใหญ่ช่วยไปยืมเทปการแข่งขันกีฬาประเภทต่าง ๆ ในระดับโลก มาให้พวกเราดูด้วยนะครับ ผมเชื่อว่า สิ่งนี้จะทำให้พวกเราพัฒนาศักยภาพไปได้อีกยาวไกล จนกระทั่งพวกเราทุกคนได้ไปสู่ชีวิตที่ดีกว่า ด้วยความช่วยเหลือจากครูใหญ่ และครูทุก ๆ คนในโรงเรียนแห่งนี้”
“ครับ ได้ครับคุณตี๋น้อย แล้วมีอะไรจะใช้กระผมอีกไหมครับท่าน” ครูใหญ่ตอบยิ้ม ๆ
“ไม่มีแล้วครับ ถ้ามีแล้วจะบอก เออ....ผมขอตัวก่อนละคร๊าบบบ”
พูด ยังไม่ทันจบ หนุ่มน้อยร่างสูงโปร่งนามตี๋น้อยก็วิ่งหายไปจากห้องอย่างรวดเร็ว จนครูใหญ่ที่กำลังควานหาชอล์กต้องชะงักมือไป เพราะเป้าหมายไม่อยู่ให้ขว้าง
หลัง จากพูดคุยกับครูใหญ่แล้ว ตี๋น้อยก็ให้คำแนะนำเพื่อน ๆ ทุกคนไม่ให้ส่งเสียงดัง รวมทั้งการให้กำลังใจกับคนที่ลูกบอลมักจะหลุดมือหลุดเท้าจนต้องคอยวิ่งเก็บ จนเหน็ดเหนื่อย ส่วนครูใหญ่ยังง่วนอยู่กับการจดบันทึกสิ่งต่าง ๆ ที่ตี๋น้อยแนะนำ เพื่อนำไปรายงานในที่ประชุม และนำมาเป็นแผนปฏิบัติงานของโรงเรียน
Free TextEditor
Create Date : 15 ตุลาคม 2554 |
Last Update : 15 ตุลาคม 2554 15:47:04 น. |
|
0 comments
|
Counter : 266 Pageviews. |
|
|
|
| |
|
|