วรรณกรรมของหมื่นลี้
Group Blog
 
All Blogs
 

บทที่ 28 สลับแขกเป็นเจ้าบ้าน

“จงทำตัวให้คล่องดุจลม ทึบดุจป่า จู่โจมและปล้นชิงดั่งไฟ ตั้งมั่นสงบดั่งขุนเขา ยากที่จะหยั่งดั่งเมฆ และเคลื่อนไหวดุจดั่งสายฟ้า.... ผู้ที่จะชนะได้ต้องรู้จักศิลปะแห่งยุทธศาสตร์ทางตรง และทางอ้อม นี่คือศิลปะแห่งการดำเนินกลยุทธ์” ซุนวู

ที่คฤหาสน์ตระกูลดำรงฤทธิกุล เสียงโทรศัพท์ได้ดังขึ้นในเวลา 11.30 น.

“สวัสดีคะ บ้านคุณ เจ้าสัวรณฤทธิ์ คะ ไม่ทราบว่าจะเรียนสายกับใครคะ” เสียงสาวใช้ที่รับสายพูดขึ้น

“สวัสดีครับ ขอเรียนสายกับเจ้าสัวครับ” เสียงในสายพูดขึ้น

“ไม่ทราบว่าใครต้องการเรียนสายด้วยคะ”

“บอกท่านว่า ตี๋น้อย โทรมา”

“ขอโทษด้วยคะคุณตี๋น้อย ตอนนี้ท่านเจ้าสัวยังไม่กลับจากที่ทำงาน จะฝากอะไรไว้ถึงท่านไหมคะ” ร่างบอบบาง และดูสวยกว่าคนใช้ทั่วไปกล่าวขึ้น พลางกดปุ่มอัดเสียงขึ้น

“งั้นฝากบอกท่านด้วยว่า ผมขอโทษด้วยที่ทำไม่ได้ แต่ขอท่านอย่าห่วงเลย ให้เวลาผมหาเงินเข้าไปใหม่ก่อน แล้วจะทำตามเงื่อนไขให้สำเร็จให้จงได้ ฝากแค่นี้ละครับ ขอบคุณมาก” จากนั้นก็เป็นเสียงวางสาย สาวใช้คนสวยรีบฉวยทัมไดร์ฟออกจากเครื่องบันทึกเสียง พลางวิ่งขึ้นชั้นสองทันที

ก๊อก..................ก๊อก...........................

ประตูห้องนอนได้ถูกเปิดออกด้วยระบบอัตโนมัติ ทำให้ร่างสาวใช้รีบถลาเข้าไปในห้อง ก่อนที่จะปิดประตู

หมับ................ว๊าย......................

พริบตาที่เข้ามาในห้อง ร่างบอบบางก็ถูกวงแขนกอดรัด และระดมจูบพรมไปทั้งใบหน้า

“ปล่อยเชอรี่ก่อนสิคะ ไม่งั้นเชอรี่ไม่บอกข่าวสำคัญที่สุดให้พี่ตี๋นะ”

เชอรี่ หรือที่บรรดาคนใช้ด้วยกันเรียกกันว่า นังเชย หรือชื่อจริงว่า อบเชย ทำสะบัดสะบิ้ง ทำให้ชายหนุ่มที่พึ่งจะตื่นนอน เพราะไปเที่ยวฉลองความสำเร็จกับเพื่อนที่รัชดาซอย 4 จนถึงเช้า หัวเราะอย่างชอบใจ

“บอกมาก่อนสิ ถ้าข่าวถูกใจก็ปล่อย ถ้าไม่ถูกใจก็ไม่ปล่อย”

“นี่คะ เสียงพูดของตี๋น้อยโทรมาอ้อนเจ้าสัว แต่ไม่รู้เรื่องอะไรนะคะ แต่น่าจะเป็นเรื่องเกมนี่แหละ” พูดพลางส่งทัมไดร์ฟให้กับตี๋ใหญ่ แต่ชายหนุ่มกลับอุ้มเชอรี่ไปที่เครื่องเสียง

“อุ๊ย...พี่ตี๋อะ เชอรี่อายนะ” ปากบอกอาย แต่หน้าไม่แดงสักนิด แถมยังทำตาปรือ จนชายหนุ่มต้องหอมอีกฟอดใหญ่ ก่อนที่จะพูดว่า

“นี่ เชอรี่ ช่วยเอาเสียบใส่ให้หน่อยสิ มือไม่ว่าง”

“เสียบอะไรคะ” คนใช้สาวทำตาตื่น

“เสียบทัมไดร์ฟ เสียบเสร็จแล้วค่อยเสียบอย่างอื่นต่อ”

ตี๋ใหญ่ที่อารมณ์ดีมาตั้งแต่เจ้าหยง หรือชื่อในเกมคือ ขงหยง มารายงานว่าตี๋น้อยตายแล้ว เพราะถ้าเดินทางในเกม กว่าข้อมูลจะถึงมือเขาก็เกือบครึ่งเดือน ทำให้เพื่อนคู่ใจต้องออกจากเกมมาบอกก่อนที่จะเดินทางไปสมทบในเกม

“เสียบอะไรต่อคะ” สาวเจ้าที่หมายมั่นจะขยับตำแหน่งสู่ว่าที่สะใภ้ท่านเจ้าสัว แม้ว่าจะเป็นอนุก็ยอม ถามขึ้นอย่างให้ท่า

“ก็เสียบทัมไดร์ฟอีกอันไง แล้วคิดว่าเสียบอะไรละ”

รายนี้ก็ไม่แพ้กันเท่าไรนัก กล่าวตอบทันควัน จากนั้นแว่ว ๆ เสียงตี๋น้อยดังมาจากเครื่องเสียง ทำให้ตี๋ใหญ่หัวเราะลั่นอย่างชอบใจ พร้อม ๆ กับวางสาวใช้สาวลงบนเตียงนอน ก่อนที่จะโยนตัวเองตามลงไป จากนั้นก็ปรากฏเสียงหัวเราะคิกคักดังตามมา


ในเมืองขุมทรัพย์ ซึ่งขณะนี้ได้ตกเป็นสมบัติส่วนตัวของโจโฉไปแล้ว โดยการปราบปรามผู้ที่ลุกขึ้นมาต่อสู้ และสามารถสังหารผู้นำการต่อสู้นั้นได้ ทำให้สามารถรวบรวมผู้คนบนเกาะ และกองทหารไว้ได้

“เอาละ เรามาว่ากันเรื่องรายละเอียดของแผนที่ท่านขุนพลจูสือว่าน และท่านจ้าวเซวียนหยวน เป็นคนร่างหน่อย ขอท่านจ้าวสรุปเนื้อหาให้พวกเราฟังอีกทีหนึ่งด้วยครับ”

ขงหยง ซึ่งอารมณ์ดีเป็นพิเศษ เนื่องจากได้รับการชื่นชมจากตี๋ใหญ่ถึงผลงานในเกาะแห่งนี้ ได้กล่าวขึ้นในที่ประชุม นอกจากนั้น จูสือว่านที่เย่อหยิ่งตั้งแต่แรกนั้นได้รับบาดเจ็บ ทำให้ต้องพักรักษาตัวอีกนาน และคนแซ่จ้าวผู้นี้ก็ไม่เย่อหยิ่งเหมือนจูสือว่าน

“แผนพัฒนาเกาะแห่งนี้จะอยู่ใน 3 ขั้นตอนคือ
1. การเพิ่มขยายประชากร และพื้นที่ของเมือง พูดง่าย ๆ ก็คือ ทำให้ที่นี่กลายเป็นแคว้น ๆ หนึ่งที่จะเป็นแหล่งผลิตเสบียงอาหาร และเกลือ
2. การผลิตทหาร และป้องกันตนเอง ซึ่งที่นี่จะผลิตทหารชั้นยอดให้กับหน่วยชาญศึกของท่านขุนพลทั้งสอง เพื่อจะได้ใช้ช่วยเหลือท่านโจโฉในการพิชิตแผ่นดินภาคเหนือต่อไป
3. การสร้างกองทัพเรือที่ยิ่งใหญ่ เพื่อเป็นกันชนระหว่างภาคเหนือ และภาคใต้ นอกจากนั้นแล้ว ถ้าท่านโจโฉจะทำสงคราม เกาะแห่งนี้ก็คือแนวหน้าในการบุกทะลวงภาคใต้
โดยขั้นตอนแรกนั้น จะต้องได้รับความช่วยเหลือจากแคว้นเองจิ๋วที่อยู่ใกล้ ๆ กัน เพื่อขอให้ประชากรที่ต้องการมีที่ดินเป็นของตนเอง และผู้ที่ต้องการเป็นทหารชาญศึก ให้อพยพมาที่นี่ นอกจากนั้นแล้ว ในช่วงแรกนั้น กองทัพเรือของเองจิ๋วจะต้องคุ้มครองเกาะแห่งนี้ จนกว่าทางเกาะจะสร้างป้อมค่าย รายล้อมริมน้ำ และสร้างกองทัพเรือของตนเองได้” จ้าวเซวียนหยวนกล่าวอย่างฉะฉาน ทำให้คนทั้งสามอดที่จะทึ่งในแผนการนี้ไม่ได้

“ข้าคิดว่า มันจะไม่ใหญ่เกินตัวไปหรือ” กวัวจินเทียนกล่าวอย่างครุ่นคิด

“ก็เพราะเหตุนี้แหละ ที่ข้าจึงต้องขอหน่วยชาญศึกไว้ที่นี่ ให้ท่านทั้งสองติดตัวไปเพียง 50 คน และภายในเวลา 4 เดือน ข้าจะคืนให้” จ้าวเซวียนหยวนลูบเคราเบา ๆ พลางมองขุนพลทั้งสองอย่างจริงใจ

“ตกลง ข้าจะยอมรับข้อเสนอของเจ้า และจะช่วยพูดกับท่านโจโฉให้”

ขงหยงกล่าวขึ้น ซึ่งความจริงเรื่องนี้เขาได้ปรึกษาตี๋ใหญ่มาแล้วในผับที่รัชดาแล้ว แม้ว่าอัตราความเสี่ยงมันจะมาก แต่เมื่อขุนพลปีศาจจูสือว่าน และเหล่าทหารชาญศึกอยู่ด้วย คงไม่มีใครกล้าที่จะตุกติกกับเขา อีกอย่าง ถ้าสิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดนั้นสามารถทำได้ พวกเขาก็จะสามารถเข้ายึดเขตภาคใต้ หรือ กังตั๋ง ได้ทันทีที่รวบรวมแผ่นดินทางเหนือสำเร็จ ซึ่งจะสามารถใช้เวลาได้เร็วกว่าโจโฉตัวจริงในประวัติศาสตร์ และแผ่นดินนี้ก็ไม่ต้องเกิดเป็นสามก๊กอีกต่อไป

ขงหยงหยิบหนังสือแผนงาน และรายละเอียดประกอบต่าง ๆ โหลดลงเข็มขัดจอมปราชญ์ของตี๋น้อย ซึ่งโจโฉให้เป็นของเขา พร้อมกับอาวุธต่าง ๆ ในเซตนิลกาฬ ไม่ว่าจะเป็นหอกกางเขนดำ ดาบ มีด และธนูนิลกาฬ ทำให้ในช่วงนี้เขาออกจะร่าเริงผิดปกติ และทำให้นิสัยขี้ระแวงของเขาไม่ได้กำเริบเช่นปกติ

“เดี๋ยวครับท่าน พอดีชาวเมืองมีข้อจะขอร้อง และได้ยื่นจดหมายมาทางข้า”

วังกงลู่กล่าวขึ้นอย่างกะทันหัน ทำให้ทุกคนหันไปมอง เพราะไม่เคยปรากฏเหตุการณ์ที่วังกงลู่จะเสนอเรื่องราวต่าง ๆ ตามคำร้องขอของชาวบ้านเลยสักครั้ง

“ไม่ต้องมองข้าอย่างนั้นหรอก พอดีเมื่อวานข้าเดินผ่านลานชุมนุมของชาวบ้าน เห็นเขาถกปัญหากันใหญ่ถึงเรื่องต่าง ๆ ข้าเห็นว่ามันเป็นเรื่องที่มีเหตุผล จึงขออาสามายื่นเรื่องให้” ขุนพลขวากล่าวขึ้นเมื่อเห็นสายตาที่สงสัยของขงหยง และกวัวจินเทียน

“อืม....ขอให้เปลี่ยนเจ้าเมืองหรือ ไม่เคยมีมาก่อนนะ ที่ชาวบ้านจะขอเปลี่ยนเจ้าเมือง” ขงหยงอ่านดู ก่อนที่จะเอ่ยขึ้น

“มันก็จริงที่ว่า ไม่เคยมีเมืองไหนที่ชาวบ้านจะขอเปลี่ยนเจ้าเมือง แต่ถ้าอ่านดูเหตุผลแล้วก็ดูเข้าทีนะ” วังกงลู่อดไม่ได้ที่จะช่วยกล่าวช่วยชาวบ้าน

“เพราะเจ้าเมืองไม่มีหัวพัฒนา ไม่ออกเยี่ยมเยียนดูแลชาวบ้าน ปกป้องและให้ท้ายกลุ่มนายทุนนอกกฎหมาย และที่สำคัญที่สุดคือ ไม่มีความสามารถที่จะสร้างเมือง และกองกำลังให้ใหญ่กว่านี้ได้” ขงหยงอ่านแล้วก็นิ่งคิดไปครู่ใหญ่

“ไม่น่าจะเป็นความคิดชาวบ้านจริง ๆ นั่นแหละ”

“แต่ชาวบ้านที่นี่เขาก็มีการศึกษาที่ดีนะครับ ไม่เหมือนชาวบ้านที่อื่น ดังนั้น พวกเขาอาจจะคิดอย่างนั้นก็ได้ เพราะท่านขุนพลขวาก็ไปเห็นมากับตา และได้ยินมากับหู” จ้าวเซวียนหยวนกล่าวขึ้น ทำให้ขงหยงมองหน้าจ้าวเซวียนหยวน ก่อนที่จะพูดว่า

“งั้นงานนี้เจ้าช่วยทำหน้าที่เจ้าเมืองให้หน่อย เพราะจากแผนการพัฒนาที่เจ้าเสนอมา ถ้าเจ้าไม่ได้เป็นเจ้าเมือง อาจจะทำให้งานล่าช้ากว่าที่ควรจะเป็นได้”

“ได้ขอรับ ข้าจะทำให้ดีที่สุดตามแผนการที่ได้เสนอไปอย่างแน่นอน” จ้าวเซวียนหยวนรับคำ ทำให้ขงหยงพยักหน้ารับด้วยความพึงพอใจ

พรุ่งนี้แล้วที่เขาจะได้กลับไปร่วมกับโจโฉ เพื่อสร้างผลงานในการที่จะปราบปรามก๊กอ้วนเสี้ยว และครั้งนี้ขุนพลทั้งสองยอมอยู่ข้างกายของเขา ทำให้กลุ่มนักรบปีศาจที่เก่งกาจซึ่งไม่เคยยอมอยู่กับใครภายใต้การดูแลของจูสือว่าน บัดนี้ เมื่อจูสือว่านวางมือ กองทัพนี้ก็กลายเป็นกองกำลังส่วนตัวของเขาทันที ทำให้ฐานะของเขากลายเป็นกุนซือปีศาจ ที่จะนำทัพปีศาจนี้บดขยี้อ้วนเสี้ยวเพื่อสร้างผลงานทันทีที่ฝึกฝนคนใหม่ขึ้นมาสำเร็จ ซึ่งโจโฉก็จะจัดเตรียมกลุ่มทหารไว้ให้สองหมื่น รอเขาไปบัญชาการเป็นกองพลปีศาจ

“รู้สึกว่าจะสำเร็จตามแผนนะ เหมือนที่ตี๋น้อยบอกไว้เลยว่า คนอย่างตี๋ใหญ่ และขงหยงนั้น แม้จะฉลาด แต่ขาดเฉลียว เมื่อเห็นเนื้อชิ้นใหญ่อยู่ตรงหน้า และแผนการแห่งความสำเร็จที่ใหญ่ ๆ อยู่ไม่ไกลก็จะละเลยจุดอ่อนเล็ก ๆ น้อย ๆ โดยทันที”

เสียงเสี่ยวหมวยกล่าวขึ้นในร้านรับแลกเงินของเฉียนไท่เส้า ทำให้คนอื่น ๆ ทั้ง 9 คนที่นั่งอยู่ด้วยพากันจ้องมองเสี่ยวหมวยอย่างยิ้ม ๆ

“ใช่ โดยเฉพาะเมื่อข้างกายของพวกมันมีสาวงามที่ต้องการจะยกฐานะตัวเองอยู่ข้างกาย เจ้าขงหยงก็จะต้องรีบปิดประชุมด้วยการยอมรับปากตี๋น้อยไปทุกเรื่อง เพื่อที่จะกลับที่พักที่มีนางงามเหล่านั้นรออยู่”

หลัวหย่ง ซึ่งเปิดร้านขายเสื้อผ้า ทำให้รู้จักกับเหล่าสาว ๆ ในเมืองนี้เกือบทุกคน ทำให้รู้ว่าใครต้องการยกฐานะตัวเอง และช่วงใช้ได้อย่างถูกต้อง ทำให้แผนการที่ยิ่งใหญ่นี้สามารถผ่านไปได้ ด้วยกลหญิงงาม

“ไม่น่าเชื่อว่า ตี๋น้อยจะสามารถดำเนินกลต่อเนื่องแบบยุบยับซับซ้อนขนาดนี้”

เสี่ยวหมวยทอดถอนใจชมเชยในแผนการที่ติดต่อกันจนเหมือนกับเปลี่ยนรูปแบบของสงครามที่มี พร้อมกับเปลี่ยนแบบแผนสงครามที่มีมาทันที

“แหม....หายใจเข้าหายใจออกเป็นตี๋น้อยไปหมดนะ อาหมวยเล็กนา” ป้าอี่หลางแซวออกมา ทำให้เสี่ยวหมวยหน้าแดง

“ป้าก็...กำลังพูดกันเป็นงานเป็นการนะ จะมาแซวกันทำไมเนี่ย”

“หรอ เป็นงานเป็นการเชียวหรอ แล้วงานหมั้น หรืองานแต่งละ” ป้าอี่หลางก็ไม่ยอมเลิกแซว ทำให้ลุงพันต้องกระแอมไอออกมา ทำให้ร่างท้วม ๆ ของป้าต้องหัวเราะคิก ๆ ออกมา

“โรคหวงลูกสาวกำเริบแล้ว ใครมียาดีเอามาให้ลุงพันกินหน่อยเร็ว” คำพูดนี้เรียกเสียงหัวเราะจากบรรดาอดีตพนักงาน NPC ทั้งหลายได้เป็นอย่างดี ทำให้เสี่ยวหมวยหน้าแดงมากขึ้นไปอีก

“ว่าแต่เจ้าพวกกระทิงทั้ง 16 ตัวนี่ ฝีมือแต่งหน้า แต่งตา แต่งผม และปลูกหนวดปลูกเคราของมันเนี่ย สุดยอดจริง ๆ” ลุงเว่ย เจ้าของร้านขายอาวุธที่จ้าวเซวี่ยงหยางไปดูอาวุธได้เอ่ยขึ้น

“นั่นนะสิ นี่ถ้าอาหมวยไม่บอกไม่รู้นะเนี่ย พาลจะนึกว่า เจ้าตี๋น้อยตายไปแล้วจริง ๆ” ลุงพันเอ่ยปากยอมรับความสามารถของ 16 นงคราญอีกคน

“นี่ถ้าพวกลุง ๆ ป้า ๆ ทั้งหลายได้เห็นศพของตี๋น้อยนะ จะอึ้ง ทึ่ง ปนสยอง เพราะแยกไม่ออกเลยแหละ นึกว่าตี๋น้อยตายไปจริง ๆ” เสี่ยวหมวยพูดขึ้นอย่างอารมณ์ดี ทำให้ลุงพันต้องพูดชมเชยขึ้นว่า

“แค่จัดการแปลงโฉมคนที่อายุ 17 ให้กลายเป็นอีกคนที่มีอายุ 20 ปีก็ยากแล้ว แต่คนที่น่าทึ่งมากที่สุดก็ไม่พ้นตี๋น้อย คนอะไร สามารถกลมกลืนตัวเองจนกลายเป็นคนใหม่ได้ในเวลาเพียงไม่ทันข้ามวัน ทั้งบุคลิก นิสัย ความเคยชินใหม่ ๆ อย่าว่าแต่ขงหยงเลย ต่อให้เป็นเพื่อนสนิทก็ไม่คิดสงสัยว่า จ้าวเซวียนหยวนคือ ตี๋น้อย”

“แล้วงานที่เสี่ยวหมวยขอร้องทุกคนให้ช่วยทำ ไม่ทราบว่าเสร็จหรือยังคะ” เสี่ยวหมวยที่ยิ้มแย้มแจ่มใสที่ได้ยินคำชมเชยตี๋น้อย แต่ก็ยังสอบถามงานที่ให้บรรดาพี่ ๆ ลุง ๆ และป้า ๆ เหล่านี้ไปทำ

“งานง่าย ๆ แค่นี้สบายมาก นี่คะ คุณหมวย ทะเบียนสำมะโนประชากรของเมืองขุมทรัพย์” ป้าอี่หลางส่งแผ่นดิสเล็ก ๆ ให้เสี่ยวหมวย ทำให้อีกฝ่ายโหลดลงเข็มขัดจอมปราชญ์ของตนเองทันที

“เออ...แล้วนี่ตี๋น้อยเขาลงทุนให้เข็มขัดจอมปราชญ์ไปจริง ๆ หรอ แพงมากเลยนะนั่น อีกอย่าง อาวุธเซตนิลกาฬของลุงพันนั่นก็เป็นหนึ่งไม่มีสอง ไม่เสียดายหรอ” ลุงเว่ย เจ้าของร้านอาวุธเอ่ยขึ้นอย่างเสียดาย

“โธ่...ลุง แค่เข็มขัดกับอาวุธ ตี๋น้อยเขาเอาไปฝากไว้กับตี๋ใหญ่เท่านั้นเอง เดี๋ยวก็ไปเอาคืนมาหรอก แค่สมบัติไม่กี่ตัง แลกกับกองกำลังมหาศาลที่จะได้มา พร้อมทั้งโอกาสในการยึดครองกังตั๋ง ขยายไปเสฉวน และครอบครองทั้งแผ่นดินเชียวนะ” เสี่ยวหมวยบอกแผนการคร่าว ๆ ออกมา เล่นเอาคนทั้งหมดตกใจกับแผนการนี้

“เล่นขนาดนั้นเชียวหรอ อยากรู้แผนการจัง บอกรายละเอียดหน่อยสิ” ลุงพันตาเป็นประกายด้วยความอยากรู้กลยุทธ์ของตี๋น้อย แต่เสี่ยวหมวยส่ายหน้า พลางบอกว่า

“รายละเอียดยังไม่เปิดเผย แต่จะทยอยเปิดเผยเรื่อย ๆ ตอนนี้ตี๋น้อยบอกมาว่า ให้พวกเราทุกคนช่วยทำตามแผนที่วางไว้อย่างเคร่งครัดด้วย เพราะช่วงนี้สำคัญมากที่จะวางรากฐานสำหรับความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ในอนาคต”




 

Create Date : 21 ตุลาคม 2554    
Last Update : 21 ตุลาคม 2554 19:16:46 น.
Counter : 396 Pageviews.  

บทที่ 27 ตอนต่อบุปผา เชื่อมโยงหยก

“ขุนพลผู้เชี่ยวชาญทำการอย่างแฝงเร้นและงำไว้เป็นความลับไม่ให้ปรากฏ และสามารถควบคุมชะตากรรมของศัตรูไว้ในกำมืออย่างไร้ร่องรอย” ซุนวู


กุบ.........กุบ...................

หน้าเมืองฝึกฝนในเช้าวันนี้ ทหารชาญศึกได้เดินทางกลับจากการศึก แต่ทว่า จำนวนที่กลับมามีเพียง 80 คนเท่านั้น ทำให้เหล่าทหารที่พึ่งจะเปิดประตูเมืองแปลกใจยิ่งนัก โดยเฉพาะเมื่อเห็นชุดเกราะที่ขมุกขมัว และบางคนได้รับบาดเจ็บมาด้วย

“พวกเราเสียที และดูท่าขุนพลจูสือว่านก็น่าจะถูกล้อมจนหมดทางหนี” วังกงลู่ ซึ่งเป็นขุนพลขวา ได้เอ่ยกับขงหยงที่รีบมาทันทีที่ทหารรายงานข่าว

“แล้วท่านจูสือว่านละ เป็นอย่างไงบ้าง ทำไมพวกท่านไม่เข้าไปช่วย” ขงหยงถามทันที

“ขออภัยด้วย....ตอนพวกข้าหนีมา มองเห็นท่านตกอยู่ในวงล้อม ถ้ามัวช่วยเหลือก็จะถูกจับกันหมด เพราะพวกมันมีทหารโล่หนามแหลมคมที่สามารถสกัดม้าได้ ทำให้พวกเราเสียเปรียบ” ขุนพลซ้าย กวัวจินเทียนกล่าวอย่างรู้สึกผิด

“ไม่เป็นไรหรอก การศึกก็ต้องมีวันที่พลาดกันบ้าง แต่เมื่อพลาดแล้ว เราจะแก้ไขสถานการณ์อย่างไร นี่สิที่เราจะต้องคิด” ขงหยงให้กำลังใจ

“เพราะเหตุนี่แหละที่พวกเราจึงรีบขึ้นม้า เพื่อหนีมา” กวัวจินเทียนกล่าวขึ้น พลางอธิบายว่า

“เมื่อพวกมันได้ชัยชนะ ก็คงจะประสบกับความสูญเสียอยู่มากโขเหมือนกัน ดังนั้น ตอนนี้มันคงจะเกลี่ยกล่อมเหล่าทหารชาญศึกอยู่ คงไม่ออกมาโจมตีพวกเราง่าย ๆ อย่างแน่นอน”

“ใช่ข้าเห็นด้วย ดังนั้น เราจะต้องรีบรวบรวมกำลังพลเพื่อกลับไปโจมตีพวกมันไม่ให้รู้ตัว” วังกงลู่กล่าวขึ้นอย่างมาดมั่น

“ทหารที่นี่มีประมาณ 600 คน กลุ่มโรงเรียนจอมฟ้าอีก 600 คน ซึ่งถ้าทิ้งคนไว้รักษาเมืองนิดหน่อย เมื่อรวมกับทหารชาญศึกที่หนีรอดก็จะมีประมาณ 1,200 คน โดยให้เหล่าทหารชาญศึกของพวกท่านเป็นหัวหน้าหมู่บังคับบัญชาคนเหล่านี้ น่าจะสามารถที่จะกลับไปทวงคืนชัยชนะได้” ขงหยงคำนวณกำลัง ก่อนที่จะบอกอีกว่า

“และสำหรับศึกครั้งนี้ ข้าจะขออาสาทำหน้าที่เป็นกุนซือให้ โดยให้พวกท่านทั้งสองเป็นแม่ทัพคู่ ท่านว่าเป็นอย่างไร”

“ดีมาก ถ้าอย่างนั้นคงต้องรีบแล้วละ เพื่อที่จะได้ออกไปก่อนเที่ยงวันได้”
วังกงลู่ร้องขึ้นด้วยความดีใจกับกองกำลังที่มี และถ้าได้ขงหยงเป็นกุนซือ ก็จะสามารถรับมือกับศัตรูได้อย่างลึกล้ำ และเท่าทันเล่ห์เหลี่ยมของศัตรู


ภายในตัวเมือง แม้ว่าเกาะฝึกฝนจะถูกลบสถานะกลายเป็นเกาะธรรมดา ที่ชื่อเกาะขุมทรัพย์ ทำให้ระบบสนับสนุนของเมืองฝึกฝนถูกยกเลิก เนื่องจากถูกแทรกแซงจากกองกำลังของผู้เล่น ทำให้ผู้เล่นใหม่ไม่ปลอดภัย เกาะฝึกฝนแห่งใหม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาทดแทนที่แห่งนี้

แต่เหล่า NPC ส่วนมากที่อยู่บนเกาะแห่งนี้ไม่สมัครใจที่จะย้ายตาม โดยเฉพาะเหล่า NPC ร้านค้า ทำให้ทางระบบต้องทำการลบล้างสถานะพนักงาน และเปลี่ยนสถานะให้เป็นชาวเมืองทั่ว ๆ ไป ซึ่งทำให้เมืองนี้ยังคงมีร้านค้าดังเช่นปรกติ แต่สินค้า และเงินทุนหมุนเวียนต่าง ๆ นั้นจะต้องหามาทดแทนเมื่อหมดไป

“ป้าอี่หลางคนสวย ยังไม่ไปเกาะใหม่หรอคะ”

สาวน้อยวัยสดใสน่ารัก ได้เดินมาทักทายเจ้าของร้านยาสมุนไพรอย่างร่าเริง ทำให้เจ้าของร้านที่กำลังดูแลพนักงานของร้านจัดเรียงสมุนไพรอยู่ต้องร้องขึ้นอย่างดีใจ

“เสี่ยวหมวย ไปไงมาไงละ ไม่เห็นหน้าหลายวัน” หญิงร้านท้วมวัยกลางคนท่าทางใจดี ได้เขามาดึงแขนเสี่ยวหมวยทันที

“มา ๆ ๆ เล่าเรื่องของเราให้ป้าฟังหน่อย”

“ก็อยากจะเล่าให้ฟังหรอกคะ แต่ว่า ไปร้านของลุงเฉียนก่อนดีกว่านะ เพราะนัดกับคนอื่นไว้ จะได้เล่าทีเดียว ดีไหมคะป้า”

เสี่ยวหมวยทำท่าทางอ้อนเจ้าของร้านสมุนไพร ทำให้นางหัวเราะชอบใจ ก่อนที่จะเดินทางไปรวมกลุ่มที่ร้านแลกเงินของเฉียนไท่เส้า ซึ่งจะมีบรรดาอดีต NPC ทั้งหลายที่เต็มใจที่จะอยู่ที่นี่ได้ประชุมกันอยู่ที่นั่น รวมทั้งลุงพัน ซึ่งเป็นอดีตบรรณารักษ์ที่ผันตัวเองมาเปิดร้านหนังสือด้วย


ที่ด้านหน้าของเมืองขุมทรัพย์ กองกำลังรักษาเมืองจำนวน 1,200 คน ได้แบ่งออกเป็น 3 ทัพ โดยทัพหลักจำนวน 500 คน มีขงหยงคอยกำกับดูแลทัพ ปีกซ้ายจำนวน 300 คน มีกวัวจินเทียนเป็นแม่ทัพซ้าย และปีกขวาจำนวน300 คน มีวังกงลู่ เป็นแม่ทัพขวา

“พวกท่านทั้งสองต้องเดินทัพแบบไม่ให้กองทัพตัวเองปรากฏร่องรอยใด ๆ เพื่อไม่ให้พวกมันรู้ว่าเรายกไปสามทัพ ให้มันนึกว่า พวกเรายกไปแค่ทัพเดียว เมื่อยกทัพไปถึง ข้าจะยั่วพวกมันให้ออกมาสู้รบกับข้าเอง” ขงหยงกล่าวกับแม่ทัพทั้งสองก่อนที่จะออกเดินทาง

“จำไว้ว่า เมื่อทัพหลักเข้าปะทะกำลังของพวกมันแล้ว พวกท่านทั้งสองต้องคุมปีกซ้าย และปีกขวาต้องคอยก่อกวน และตีขนาบแบบไม่ให้พวกมันรู้ตัว ถ้าพวกมันคอยพะวงทางปีกซ้ายและปีกขวาเมื่อไร ทัพหลักก็จะเข้าจู่โจมอย่างหนักหน่วงรุนแรง ซึ่งจะทำให้พวกมันแตกกระจาย และรวมกันไม่ติด จนต้องแตกพ่ายไป เมื่อนั้น พวกท่านก็ต้องตามตีต่อไปจนทะลวงค่ายพวกมันให้แตกพ่ายไปด้วยแรงปะทะของพวกที่แตกหนีของพวกมันเอง”

กุนซือผู้เชี่ยวชาญการศึกกล่าวขึ้น ทำให้ขุนพลทั้งสองรู้สึกทึ่งในแผนศึกของขงหลง แม้ว่าไม่ค่อยมีใครกล่าวขานถึงฝีมือของเขามากเท่าไรก็ตาม

ขงหยงเป็นมือขวาของโจโฉ และโจโฉยกย่องอย่างมาก จนทำให้จูสือว่านรู้สึกริษยา เพราะผลงานของคนผู้นี้นับว่ามีไม่มากเท่ากับจูสือว่าน แต่เพราะความเป็นเพื่อนของโจโฉ ทำให้เขามาถึงจุดนี้ได้ง่ายกว่าคนอื่น ๆ

“เอาละ เตรียมตัวออกเดินทางได้”

ขงหยงพูดพลางบังคับม้าไปยังกองทัพตนเอง พร้อม ๆ กับที่ขุนพลทั้งสองได้เหยาะม้าไปยังกองทัพตนเองเพื่อเตรียมตัวออกเดินทางเช่นเดียวกัน

กุบ..............กุบ.........................

เสียงทัพม้าจำนวนหนึ่งกำลังมุ่งตัดผ่านป่าเบญจพรรณมาทางนี้ ทำให้กองทัพทั้งสามต่างเตรียมตัวรับศึกทันที เนื่องจากไม่คิดว่าศัตรูจะจู่โจมมาเร็วขนาดนี้

“เตรียมตัวรับศึก”

เสียงแม่ทัพทั้งสามกล่าวด้วยเสียงดังกังวาน ทำให้เหล่าทหารทั้งหมดได้ชักอาวุธออกมา และแปรขบวนทัพเพื่อเข้าสู่สงครามเต็มรูปแบบทันที

“เดี๋ยวก่อน ข้าขุนพลจูสือว่าน ทุกคนเก็บอาวุธเดี๋ยวนี้”

เสียงตะโกนดังพร้อมกับม้าตัวใหญ่สีดำทะมึนปรากฏตัวขึ้น และเมื่อมาใกล้ ทุกคนจึงเห็นชัดว่า เป็นขุนพลปีศาจตัวจริง

พรึบ................พรึบ.............................

นามของคน เงาของไม้ นับว่าคำนี้เป็นจริง เพราะยังไม่ทันที่แม่ทัพทั้งสามจะทันได้สั่งการ เหล่าพลทหารทั้งหลายก็เก็บอาวุธ และทำความเคารพผู้ที่มาใหม่อย่างพร้อมเพรียงกันทันที

“ดีใจที่ได้พบเห็นท่านขุนพลอีกครั้ง และขออภัยด้วยที่พวกเราไม่ได้อยู่รอท่าน”

กวัวจินเทียนกล่าวขึ้นด้วยความเกรงกลัวในความผิดของตนเองที่ละทิ้งหน้าที่ ผสมกับความรู้สึกแปลกใจที่ขุนพลผู้นี้หนีรอดมาได้ แถมยังมีกองทัพที่ติดตามมาเกือบ 1,500 คน

“เรื่องนี้ค่อยว่ากันทีหลัง ตอนนี้ข้ามีเรื่องสำคัญที่จะต้องพูดกับท่านขงหยง”

ขุนพลปีศาจปล่อยรังสีกดดันเหล่าทหารทั้งหลาย จนทำให้ทหารที่อยู่รายล้อมขงหยงต้องถอยหนีออกห่างอย่างควบคุมตนเองไม่ได้

“มะ มะ มีอะไรก็ว่ามา”

แม้แต่ระดับขงหยงยังถูกรังสีกดดันของขุนพลในตำนานผู้นี้กดดันจนเสียกริยายอดกุนซือเพราะไม่อาจจะควบคุมการพูดของตนเองได้

“ข้ามีอะไรจะมอบให้เป็นของขวัญ”

ขาดคำ มือของจูสือว่านก็ยกขึ้น ทำให้ทหารสองคนในชุดผู้พันแห่งกองทัพปีศาจได้จูงม้าอีกตัวซึ่งมีคนนอนคว่ำหน้าบนหลังม้ามาด้วย

“หม่าชิง กับ หมิงสง”

เสียงอุทานเบา ๆ ดังจากปากของขุนพลซ้าย และขุนพลขวา เพราะนายพันที่ควบม้านำของขวัญมานั้นคือ อดีตเชลยของพวกเขานั่นเอง

“ลองดูผู้ที่นอนตายอยู่บนหลังม้าสิ ดูให้เต็มตาก่อนที่ร่างของมันจะสลายไป”

หม่าชิง กับหมิงสงได้นำม้าบรรทุกศพของชายผู้นั้นไปยังขงหยง ชายที่เสียชีวิตนั้นมีทรงผมสั้นเหมือนพวกที่พึ่งจะเรียนจบมัธยมมาหมาด ๆ และใบหน้าดูอ่อนวัย จนขงหยงต้องควักรูปภาพที่นำติดตัวมาเปรียบเทียบทันที

“ตี๋น้อย นี่เป็นตี๋น้อยจริง ๆ” ขงหยงเอ่ยขึ้นอย่างไม่เชื่อสายตา

“ไม่เพียงแค่ซากศพของตี๋น้อยเท่านั้น แต่กลุ่มพลที่เดินเท้ามานี่เป็นอดีตกองทัพของมันที่หันมาสวามิภักดิ์ต่อท่านโจโฉ”

คำกล่าวของจูสือว่านทำให้ขงหยงยิ่งแตกตื่น เพราะเรื่องราวที่ทำท่าจะบานปลายกลับสงบเรียบร้อยลงด้วยขุนพลปีศาจผู้นี้

แวบ.............................

ไม่ทันขาดคำ ซากศพของตี๋น้อยก็สลายหายไป เหลือไว้แต่เสื้อผ้า และทรัพย์สินส่วนตัวเท่านั้น ทำให้สองนายพันใหม่รีบรวบรวมไว้ และนำมามอบให้กับขงหยงทันที

“ถึงว่าสิ ทำไมมันเก่ง นี่เป็นเข็มขัดจอมปราชญ์ที่ราคาแสนแพง อาวุธในเซตนิลกาฬ แค่สองอย่างนี่ก็ทำให้มันเก่งกว่าคนทั่ว ๆ ไปแล้ว” ขงหยงกล่าวอย่างยินดี เพราะได้ของไปให้กับโจโฉ ซึ่งจะต้องได้รับบำเหน็จรางวัลใหญ่ตอบแทนให้แน่ ๆ

“อ๊อก” เสียงกระอักเลือดดังขึ้น ทำให้หม่าชิง กับหมิงสงรีบไสม้าไปยังขุนพลปีศาจทันที

“ท่านพ่อรีบไปพักผ่อนเถอะครับ ท่านกรำศึกมามากแล้ว” หมิงสงกล่าวขึ้น ทำให้ทุกคนตกใจ และแปลกใจในคำพูดของหมิงสง

“ลืมแนะนำ ทั้งสองคนเป็นบุตรบุญธรรมของข้า ถ้าอย่างนั้นข้าคงต้องขอตัว เพราะว่า กว่าจะสังหารตี๋น้อยได้ ข้าก็เกือบจะตายตามไปด้วย ดีแต่ว่าติดเกราะ แต่แรงกระแทกก็เล่นเอากระอักเลือดไปเหมือนกัน หากไม่ได้ลูกบุญธรรมทั้งสองช่วยเอาไว้ ทำให้พรรคพวกของตี๋น้อยไม่ได้รุมเล่นงานข้า ปานนี้ข้าก็คงไม่รอดเหมือนกัน” จูสือว่านกล่าวขึ้นอย่างอ่อนแรง แต่ก็ยังเรียกผู้ช่วยอีกคนมาแนะนำให้ขงหยงได้รู้จัก

“นี่คือ จ้าวเซวียนหยวน กุนซือคนใหม่ของข้า เขาเป็นคนพูดให้เหล่าทหารของตี๋น้อยยอมจำนนต่อพวกเรา ดังนั้น ข้าจึงตั้งเขาให้เป็นกุนซือคอยจัดการเรื่องต่าง ๆ แทนข้า ในระหว่างที่ข้าพักรักษาตัวอยู่ ดังนั้น ขอท่านขงหยง และขุนพลทั้งสองให้เกียรติแก่ท่านจ้าวเซวียนหยวนด้วย”

กล่าวจบ ขุนพลปีศาจผู้มีชื่อเลี่ยงลือก็ชักม้าเข้าไปยังที่พักในตัวเมือง พร้อม ๆ กับลูกชายคนใหม่ทั้งสอง ที่คอยดูแลอารักขาอย่างใกล้ชิด

“ข้าชื่อ จ้าวเซวียนหยวน นับแต่นี้ ถือว่าข้าเป็นพ่อบ้านคนใหม่คอยจัดการดูแลกองทัพปีศาจ และเรื่องราวต่าง ๆ ในเมืองขุมทรัพย์แห่งนี้แทนท่านขุนพล ขอฝากตัวกับท่านขงหยง ท่านขุนพลขวาวังกงลู่ และท่านขุนพลซ้าน กวัวจินเทียน ด้วย”

ชายหนุ่มอายุราว ๆ 20 ปี ท่าทางคล่องแคล่วว่องไว ไว้ผมทรงมวยสูง ไว้หนวด และเคราพองาม ในมือถือพัดจีบ และแต่งชุดที่ปรึกษาทางการทหารเต็มยศ
ในช่วงแรก ๆ ทั้งขงหยง วังกงลู่ และ กวัวจินเทียนไม่ไว้วางใจในคน ๆ นี้ แต่หลังจากที่ดูกริยาท่าทาง และการพูดการจาแล้ว คงจะไม่เป็นวรยุทธ์ และน่าจะเป็นนักศึกษายุทธศาสตร์ทางทหาร จึงทำให้ทั้งสามผ่อนคลายความคลางใจลงได้


“ท่านขุนพลมีแผนการที่จะอยู่ที่นี่ เพื่อที่จะพัฒนาที่นี่ให้เป็นฐานกำลังของท่านโจโฉ ซึ่งจะจำเป็นเมื่อท่านจะใช้ที่นี่เป็นฐานเสบียง และเป็นฐานกำลังในการยึดครองกังตั๋ง”

ในห้องวางแผนของที่ทำการประจำเมือง จ้าวเซวียนหยวนได้กล่าวเริ่มจุดประสงค์ที่สำคัญทันที ทำให้ขงหยง วังกงลู่ และกวัวจินเทียน ที่นั่งประชุมอยู่ด้วย ต้องครุ่นคิดตามทันที

“ท่านโจโฉไม่น่าจะอนุญาตนะ เพราะช่วงนี้ท่านกำลังทำสงครามกับอ้วนเสี้ยว ทำให้อยู่ในช่วงที่ต้องการใช้คน” ขงหยงกล่าวอย่างครุ่นคิด

“ข้าทราบ แต่ว่า...ขอท่านขงหยงรายงานท่านโจโฉด้วยว่า ท่านขุนพลสุขภาพไม่ดี ไม่สามารถที่จะออกศึกได้แล้ว เพราะแรงกระแทกจากตี๋น้อยนั้นแรงมากจนสามารถกระแทกต้นไม้ใหญ่ ๆ หักโค่นได้ในครั้งเดียว ดีที่เป็นท่านขุนพล ถ้าเป็นคนอื่น ข้าว่า คงจะกระอักเลือดจนตายไปแล้ว” คำพูดของจ้าวเซวียนหยวนทำให้ทั้งสามตกใจมาก

“ตี๋น้อยเก่งขนาดนั้นเชียวหรือ” กวัวจินเทียนกล่าวขึ้น

“ในเกาะแห่งนี้ เจ้าสัวหรือที่พวกท่านรู้จักในนาม ตี๋น้อย เป็นคนที่เก่งที่สุด และสามารถสู้กับท่านขุนพลได้จนไม่อาจเอาชนะกันได้ ดีแต่ว่า...ท่านขุนพลเสี่ยงอันตรายแสร้งเปิดช่องว่างตรงหน้าอกให้ เมื่อมันหลวมตัวกระแทกด้ามหอกออกมา ท่านขุนพลจึงแทงสวนที่อกของมันเช่นกัน จึงสามารถชนะได้อย่างเฉียดฉิว”
กุนซือกองพันปีศาจคนใหม่กล่าวรายงานการต่อสู้ที่เกิดขึ้นในค่าย ทำให้ทุกคนต้องอึ้งอีกครั้ง และทำให้ขงหยงต้องขอจบการประชุมก่อน เพื่อที่จะไปเยี่ยมอาการของขุนพลจูสือว่าน ก่อนที่จะตกลงใจต่อไป

“อีก 3 วันข้าก็จะเดินทางกลับไปรายงานต่อท่านโจโฉ ระหว่างนี้ ท่านควรที่จะพูดคุยรายละเอียดกับท่านขุนพล ถึงแผนการต่าง ๆ ที่จะทำในเกาะแห่งนี้ รวมทั้งรายงานของหมอเกี่ยวกับสุขภาพของท่านขุนพลด้วย ข้าจะได้นำไปประกอบกับรายงานต่อท่านโจโฉ” ขงหยงกล่าวขึ้น และบอกต่อว่า

“อีก 2 วัน เราจะประชุมเรื่องนี้ใหม่ ตอนนี้ขอข้า และขุนพลทั้งสองไปเยี่ยมอาการของท่านขุนพลก่อนนะ” ทั้งสี่คนจึงแยกย้ายกันไป เพื่อที่จะเริ่มภารกิจของตนต่อไป




 

Create Date : 19 ตุลาคม 2554    
Last Update : 19 ตุลาคม 2554 23:22:12 น.
Counter : 313 Pageviews.  

บทที่ 26 ปล้นค่ายกองพันปีศาจ

“วิธีการรบนั้น มีแค่ทางตรง และทางอ้อม แต่การผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนระหว่างวิธีทางตรง และทางอ้อม จะก่อให้เกิดกลยุทธ์ที่มากมายหาที่สุดไม่ได้ ดุจดังเหยี่ยวที่โฉบเหยื่อได้ในจังหวะที่เหมาะสม ดังนั้น พลังของผู้เจนศึกก็จะเคลื่อนไหวในจังหวะที่เหมาะสม ดุจดังคันธนูที่น้าวสายเต็มที่ และปล่อยออกในจังหวะที่เหมาะสม” ซุนวู


แเกร๊ง....................ฉั๊วะ...........................

เสียงการต่อสู้กันดังจากในกระโจมที่หน่วยล่าสังหารเข้าไป ไม่นาน ร่างของนักฆ่าเหล่านั้นก็กระเด็นออกมาจากในกระโจมในสภาพที่ไร้ลมหายใจ ทำให้กองกำลังของหน่วยล่าสังหารประสบกับความเสียหายทันที

“ถอยออกมาเร็ว พวกมันใส่ชุดเกราะนอน”

หลิวมู่ ซึ่งเป็นหัวหน้าหน่วยล่าสังหารสั่งการขึ้น ทำให้เหล่านักฆ่าที่เหลือเพียงไม่กี่สิบคน จากจำนวนเป็นร้อย ได้ถอยออกมารวมตัวกันนอกกระโจมทันที

ตูม....................พรึบ..............................

ตี๋น้อยสั่งการให้ยิงหินเผาไฟไปที่กระโจมใหญ่ ซึ่งเป็นที่ตั้งกองบัญชาการทันที ทำให้แสงไฟลูกพรึบขึ้นมาทันที

เฟี้ยว........................แกร๊ง.........................

เหล่านักรบปีศาจได้โผล่หน้าออกมาจากกระโจมเพื่อที่จะรุกไล่เหล่านักฆ่าที่ถอยออกมา แต่ก็ต้องควงหอกออกต้านรับธนูที่ยิงมารอบด้าน

โครม..............................

เสียงประตูทั้งด้านหน้า และด้านหลังได้เปิดออก และเหล่าทหารของตี๋น้อยได้รุกไล่เข้ามาทั้งสองด้านทันที เพื่อตีขนาบกับทหารบนกำแพง

ย๊าก..................ฉั๊วะ................................

โล่ประหลาดของกลุ่มโล่เหล็ก ที่มี 16 นงคราญเป็นผู้นำได้เริ่มเปิดตัวอย่างสวยงาม เพราะกลยุทธ์เฉพาะตัวของโล่คู่นับว่าแข็งแกร่ง และเหี้ยมโหดยิ่งนัก

ควับ..........................ตูม.......................................

นักรบปีศาจผู้หนึ่งใช้หอกแทงเข้าไปหวังจะทะลวงเข้าสู่ร่างเจินเจิน แต่มือขวาของเจินเจินใช้โล่ตบกดหอกลงดิน และกลิ้งตัวหมุนไปบนหอก และใช้โล่ในมือซ้ายอัดเข้ากับร่างของนักรบผู้นั้น ทำให้คมหนามบนโล่แทงเข้าสู่ร่างกายของนักรบปีศาจ และเจินเจินก็กรีดลงมาด้านล่าง ทำให้นักรบผู้นั้นร้องเสียงโหยหวนก่อนที่จะตาย

อ๊าก.....................อ๊าก...................................

เสียงร้องโหยหวนของนักรบปีศาจผู้ที่ไม่เคยมีความรู้สึกเจ็บปวด ไม่เคยร้อง ไม่เคยหิว และไม่เคยแพ้ใคร มาในวันนี้ ความรู้สึกต่าง ๆ ที่พวกมันไม่เคยได้รับ บัดนี้ได้รับมาครบหมดแล้ว และที่ด้านหลังของหน่วยเกราะเหล็ก สองหนุ่มดาบง้าว ได้อาละวาดฟาดฟันเหล่านักรบปีศาจที่ยังสับสนอลหม่านอยู่จนล้มตายกันไปเป็นจำนวนมาก

เคว้ง.....................เคว้ง.........................

เมื่อทุกอย่างที่ไม่เคยสัมผัสได้สัมผัสมาหมดแล้ว ทำให้เกิดความรักตัวกลัวตายเป็นครั้งแรกของการเป็นนักรบปีศาจ ทำให้พวกมันต่างพากันถอยร่นจนแทบจะแตกแถว

“พวกเจ้าทำอะไร ห้ามถอยแม้แต่ก้าวเดียว”

เสียงของจูสือว่านตะโกนขึ้นด้วยเสียงอันดัง หวังว่าจะทำให้เหล่านักรบได้ลุกขึ้นสู้อีกครั้ง แต่ทว่า หัวใจที่กระหายเลือดของพวกเขาได้มอดดับลงแล้ว เมื่อความกระหายเลือดไม่เหลือ ความเคารพ และเชื่อฟังในตัวของขุนพลก็จางหายไป หลงเหลือไว้แต่ความกลัวตาย ทำให้จูสือว่านคลั่งแค้นจนตวัดหอกออกทิ่มแทงใส่ทหารของตนเอง

แกร้ง................แกร้ง.........................

ปรากฏดาบใหญ่ และง้าวใหญ่ประสานกันต้านทานหอกของจูสือว่านได้ทัน ทำให้นักรบผู้นั้นรีบหลบออกจากบริเวณนั้น แต่จูสือว่านเขม็งมองสองคนที่เคยเป็นเชลยของเขาอย่างเครียดแค้น

“งานนี้ขอเจินเจินด้วยนะ อยากจะสู้มานานแล้วกับขุนพลอันดับหนึ่งของแผ่นดิน”

ร่างของผู้นำหน่วยโล่เหล็กมีคราบเลือดกระจายเต็ม แต่ไม่ใช่เลือดของเขา เป็นเลือดของศัตรู ทำให้ร่างของเจินเจินราวกับเทพเจ้ากระหายเลือด


ในด้านอื่น ๆ ของค่าย เหล่าทหารที่ถูกปิดล้อมได้หมดทางสู้ ทำให้ยอมจำนน แต่ก่อนที่จะยอมจำนน ก็มีการสู้รบกันอย่างดุเดือด ซึ่งถ้าไม่ได้หน่วยโล่เหล็ก และพลธนูที่อยู่รอบกำแพงคอยยิงสนับสนุน ทหารฝ่ายของตี๋น้อยคงจะมีคนตายอีกมาก เพราะฝีมือของฝ่ายกองพันปีศาจนับว่าเป็นที่หนึ่งสมคำร่ำลือจริง ๆ
แต่ทว่า นายพลซ้าย นายพลขวา และทหารจำนวนหนึ่งได้ทะลวงฝ่าวงล้อมหนีไปได้ ทำให้ตี๋น้อยต้องรีบเผด็จศึก เพราะแผนการที่วางไว้ว่าจะเผด็จศึกที่นี่แบบเงียบ ๆ เพื่อยกทัพไปยึดเมืองแบบไม่ให้รู้ตัวคงจะไม่ได้แล้ว


เคว้ง.......................เกร๊ง.................................

การ ต่อสู้ระหว่างขุนพลปีศาจ กับสองหนุ่ม หนึ่งไม่ระบุเพศ กำลังเข้มข้น จนกระทั่งเจินเจินโดนด้ามหอกตวัดไปที่ขา ทำให้เสียหลัก และสองหนุ่มโดนถูกรุกไล่จนมือปั่นป่วน ทำให้จูสือว่านที่มองสถานการณ์ออกรีบถอยห่าง ก่อนที่จะเกิดการรุมอีกครั้ง

“ข้าต้องการประลองกับขุนพลฝ่ายท่าน ไม่ใช่พวกท่าน”

จูสือว่านที่ถือดีในฝีมือประกาศก้อง ทำให้เหล่าทหารกองพันปีศาจต้องเผลอตัวกระชับอาวุธเพื่อที่จะเข้าร่วมรบตามคำสั่งของผู้เป็นแม่ทัพ แม้ว่าจะมีเหล่าทหารของตี๋น้อยก็คุมเชิงไว้ก็ตาม แต่ว่า เหล่าทหารของตี๋น้อยนั้นก็ไม่ได้โจมตีแต่อย่างใด เพราะถือเป็นมารยาทในกลางศึกในการขอรบระหว่างขุนพลทั้งสองฝ่าย

“ถ้าเป็นท่าน ในขณะที่ขุนพลอีกฝ่ายกำลังตกอยู่ในวงล้อม และเสียเปรียบ ท่านจะยอมประลองด้วยไหม” ตี๋น้อยที่ถือหอกกางเขนดำ เดินมายังบริเวณ ทำให้ทหารเดินหลบให้เขาเป็นทางแยกไปสู่ขุนพลปีศาจที่อยู่กลางวง

“ถ้าเป็นข้า ข้าจะไม่ประลองด้วยอย่างเด็ดขาด”

จูสือว่านกล่าวอย่างจริงจัง เพราะนี่เป็นการรบ ไม่ใช่การประลอง ถ้าคิดตามยุทธพิชัยสงครามแล้ว นอกจากฝ่ายตรงกันข้ามจะขอประลองในขณะที่กองทัพกำลังเผชิญหน้ากันเท่านั้น ไม่ใช่ในสภาพแบบนี้ เพราะในสภาพแบบนี้ชนะไปก็ไร้ประโยชน์อันใด แต่ถ้าแพ้ก็จะสูญเสียชีวิตอย่างไร้ประโยชน์

“นี่แหละคือส่วนที่ข้านับถือท่าน แม้อยู่ในสภาพที่คับขันหมดทางสู้ก็ไม่ย่อท้อ แม้จะถูกล้อมไว้ดังสุนัขเถื่อน แต่ยังรักษาท่าทางดุจดั่งราชสีห์ในท่ามกลางฝูงของตนไว้ได้” ตี๋น้อยกล่าวอย่างชื่นชม ทำให้จูสือว่านเพ็งมองดูขุนพลหนุ่มน้อยข้างหน้า

“หนุ่มแน่น องอาจ ล้ำเลิศด้วยปัญญา และมีวาจาที่เฉียบแหลมยิ่งนัก มิน่าละ...ท่านโจโฉจึงมุ่งมั่นที่จะกำจัดเจ้าก่อนที่จะสร้างตัวได้ แต่ข้ามีข้อเสนอให้กับเจ้า ถ้าเจ้าสามารถเอาชนะข้าได้ ข้าจะมอบแว่นแคว้นหนึ่งให้กับเจ้า แต่ถ้าเจ้าแพ้ เจ้าต้องปล่อยข้าไป” จูสือว่านเสนอผลประโยชน์ให้กับตี๋น้อยทันที

“แว่นแคว้นหนึ่งข้าหาเองได้ ไม่ต้องให้ยากกับท่าน แต่สิ่งหนึ่งที่ข้าต้องการตอนนี้คือ ขุนพลที่ชาญศึก และกองทหารที่ชาญศึก” ตี๋น้อยเขม็งดูขุนพลที่ถูกร่ำลือว่าเก่งกาจดุจดังปีศาจ ทำให้เขาเกิดความรู้สึกที่จะเดิมพันสักครั้งหนึ่ง

“ท่านไม่คิดหรือว่า เพียงแค่ท่านจับตัวข้าได้ ให้คนมาเกลี่ยกล่อม ไม่ต้องเสี่ยงอันตราย เจ้าก็อาจจะได้ในสิ่งที่เจ้าต้องการก็ได้”

“ในชีวิตลูกผู้ชายคนหนึ่ง แม้จะเต็มเปี่ยมด้วยสติปัญญา แต่ถ้าไม่ทำสิ่งที่ท้าทายบ้าง ชีวิตก็น่าเบื่อเกินไป อีกอย่างหนึ่ง คนอย่างท่าน ถ้าไม่อาจสยบท่านได้ ก็อย่าหวังว่าการเกลี่ยกล่อมธรรมดาจะสามารถได้ตัวท่าน ท่านว่าไหม” ตี๋น้อยกล่าวอย่างยิ้ม ๆ ทำให้จูสือว่านพยักหน้า

“ท่าน เป็นคนละประเภทกับโจโฉ โจโฉเจ้าเล่ห์ และไม่ยอมให้ตนเองต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่รู้ว่าจะเป็นหรือตาย แต่ท่าน ฉลาด และพยายามเข้าถึงจิตใจผู้อื่น แม้ว่า ในการทำอย่างนั้นจะเกิดสถานการณ์ที่ไม่อาจควบคุมได้ก็ตาม มิน่าละ แม้แต่ศัตรูของท่าน ก็ยังเคารพนับถือท่าน และยอมเข้าด้วย" จูสือว่านกล่าวอย่างรอบคอบ ก่อนที่จะพูดต่อไปว่า

"ท่านมีส่วนผสมของนักยุทธศาสตร์ชั้นเลิศ นักรบชั้นเยี่ยม และนักปกครองผู้สามารถครอบครองจิตใจคนอื่นให้จงรักภักดีได้อย่างแท้จริง ดังนั้น ข้าจะรับข้อตกลงของท่าน ถ้าท่านชนะข้าได้ ข้าจะยอมสวามิภักดิ์กับท่านด้วยความเต็มใจ”

ขุนพลปีศาจจูสือว่านกล่าวอย่างหนักแน่น ทำให้เหล่าทหารกองพันปีศาจที่ถืออาวุธรอบกายของเขา ได้กระจายกำลังออกไปอยู่ด้านหลังของเขา เพื่อคอยรับการเปลี่ยนแปลง และเฝ้ามองดูอย่างลุ้นระทึกกับการต่อสู้ครั้งนี้

“ท่านเจ้าสัว” อุ้ยต่งจิ้นที่เชี่ยวชาญทางกลยุทธต่าง ๆ เช่นกัน ได้เข้ามาใกล้ตี๋น้อย หวังจะทัดทาน

“ท่านอุ้ย สั่งการทหารให้ซ่อมแซมค่ายคูประตูกลต่าง ๆ ให้ดี และรักษาการณ์ไว้ให้เข้มแข็ง สามารถป้องกันได้ทั้งศัตรูภายนอก และภายใน จากนั้น ให้หน่วยโล่เหล็กล้อมที่นี่ไว้ ถ้าข้าเป็นอันตรายก็ให้ปล่อยท่านขุนพลจูสือว่าน และเหล่าทหารของท่านทันที”

“รับทราบคำสั่งขอรับ” อุ้ยต่งจิ้นที่เห็นแววตา และท่าทางที่จริงจังของตี๋น้อย จึงน้อมรับคำสั่ง

“เอาละ ข้าพร้อมแล้ว” ตี๋น้อยร้องบอกขุนพลจูสือว่าน ที่มองดูการสั่งงานของตี๋น้อยอย่างชื่นชม

“ท่านน่าจะมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับลูกข้า แต่ลูกของข้าไม่ได้เก่งกาจแม้เพียงครึ่งหนึ่งของท่าน ทำให้ต้องประสบกับความพ่ายแพ้จนตัวตายในการศึกครั้งแรก” จูสือว่านพึมพำออกมา ทำให้ตี๋น้อยกล่าวเบา ๆ ว่า

“ความเก่งกาจไม่ได้มาอย่างง่ายดายจริง ๆ ข้าขอคาดเดาว่า เพราะเหตุนี้ ท่านจึงมุ่งโจมตีจิตใจศัตรู และโหดเหี้ยมต่อศัตรู” ตี๋น้อยกล่าวแทงใจดำจูสือว่าน ทำให้หน้าของเขาหมองคล้ำลง แต่กลับเหี้ยมเกรียมขึ้นมาอีกในทันที

“เอาละ ได้เวลาต่อสู้กันแล้ว เชิญท่านก่อน”

ท่วงท่าการกระชับหอกตั้งท่าของจูสือว่านนับว่าไร้ซึ่งจุดอ่อนจริง ๆ และสามารถปลดปล่อยพลังกดดันศัตรูจนระย่นย่อได้ ดังนั้น ตี๋น้อยจึงผ่อนคลาย หอกแม้จะตั้งท่า แต่เป็นอีกแนวทางหนึ่ง ไม่ใช่การรุก ไม่ใช่การรับ ไม่แข็ง ไม่อ่อน แต่ดุจดังถือหอกยืนคุยกับสหายก็ปาน

ร่างของจูสือว่านที่ไม่สูงใหญ่มากนัก แต่เมื่อตั้งท่าต่อสู้แล้ว ดูเหมือนจะสูงใหญ่กว่าความเป็นจริง ส่วนตี๋น้อยนั้นรูปร่างสูงโปร่งได้สัดส่วน แม้ว่าจะสูงกว่าจูสือว่านอยู่บ้าง แต่ถ้าเทียบกับคนทั่ว ๆ ไปในแผ่นดินแล้ว ก็นับว่าสูงกว่าคนอื่นไม่มากนัก แต่ยามนี้ ร่างของตี๋น้อยราวกับจะสลายหายไปในอากาศธาตุ


“โอ๊ะ.....สุดแกร่งกร้าว ปะทะกับ สุดอ่อนหยุ่น ใครจะแพ้ใครจะชนะ ดูยากจริง ๆ” เลี่ยงเซินที่ควบคุมกองทหารหน่วยธนู ได้กล่าวขึ้นกับเอี้ยวจิ้งเจิง ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ

“มิน่าละ เจ้าปีศาจนี่มันถึงได้ชัยชนะมาตลอด ไม่ใช่แค่กลยุทธ์อย่างเดียว ถ้าเทียบฝีมือของมันกับขุนพลท่านอื่นในแผ่นดินแล้ว คนอื่น ๆ สู้ไม่ได้จริง ๆ” เอี้ยวจิ้งเจิงกล่าวเบา ๆ พลางเอ่ยถามขึ้นว่า

“แล้วท่านว่า ท่านเจ้าสัวจะชนะไหม”

“ดูยาก ดูไม่มีจุดอ่อนช่องว่างทั้งสองคน จูสือว่านแกร่งแกร้ว เจ้าเล่ห์ และเลือดเย็น ส่วนเจ้าสัวดูอ่อนหยุ่น เงียบสงบ เต็มไปด้วยไหวพริบ และกลยุทธ์มากมาย คู่นี้คงจะต่อสู้กันยาวนานแน่ ๆ กว่าจะเอาชนะกันได้” เลี่ยงเซินตอบตามที่ตามองเห็น ทำให้เอี้ยวจิ้งเจิงพยักหน้าเข้าใจ

“ถึงว่าสิ ทำไมท่านเจ้าสัวจึงสั่งการให้รักษาป้อมค่ายไว้ดี ๆ ป้องกันทั้งศึกนอกศึกใน เพราะจะใช้เวลามากนี่เอง”


กึ่งกลางลาน ภายในป้อง ซึ่งคู่ต่อสู้ทันสองกำลังยืนประจันหน้ากันอยู่ จูสือว่านมองเห็นความเสียเปรียบของตนเองทันที เพราะว่า การที่จะรักษาท่วงท่าแห่งการรีดเร้นพลังคุกคามคู่ต่อสู้ กับคนที่จะรักษาท่วงท่าสบาย ๆ นั้นใช้ความพยายามแตกต่างกันมากนัก ดังนั้น เขาจึงต้องจู่โจมแล้ว มิฉะนั้น จะไม่มีโอกาสได้จู่โจมอีกต่อไป

วูบ.....................วูบ...........................

หอก ของขุนพลปีศาจนับว่าร้ายกาจสมชื่อ เน้นความไว ความพลิ้ว และความเม่นยำ ทำให้ตี๋น้อยร่ายรำหอกคุ้มครองตนเองทันที เพราะแรงของหอกคู่ต่อสู้ไม่ได้แทงมาอย่างสุด ๆ เป็นแค่การลองเชิงเพื่อหาโอกาสเท่านั้น

ท่วงท่าการร่ายรำหอกดูเหมือนเชื่องช้า แต่ไม่ว่าจูสือว่านจะแทงหอกไปถี่ยิบ และรวดเร็วแค่ไหน อีกฝ่ายก็สามารถปัดป้อง และหลบเลี่ยงได้ตลอด แม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ตอบโต้ แต่ขุนพลผู้มากประสบการณ์ก็รู้ว่า อีกฝ่ายพร้อมที่จะตอบโต้ตลอดเวลา ถ้าเขาเปิดช่องว่างให้




 

Create Date : 19 ตุลาคม 2554    
Last Update : 19 ตุลาคม 2554 23:16:27 น.
Counter : 334 Pageviews.  

บทที่ 25 แผนเหนือเมฆ ช่วงชิงเชลยศึก

“เคล็ดลับการทำสงครามคือ ทำตามกฎแห่งฟ้าดิน ทำตามการเปลี่ยนแปลงของหยินหยาง เมื่อศัตรูได้เปรียบ ต้องอดทนและรอคอยโอกาส ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงของหยิน และ เมื่อได้โอกาส ก็ต้องรุกไล่ข้าศึกอย่างรวดเร็วดั่งสายฟ้าฟาด ซึ่งจึงเป็นการเปลี่ยนแปลงของหยาง” พิชัยสงครามยุคแรกของจีน

ในป่าดงดิบ ยามวิกาลยาวนานยิ่งนัก และในยามวิกาลของป่าดงดิบนั้นก็จะเป็นความมืดมิดอย่างแท้จริง เพราะไร้ซึ่งแสงเดือน และแสงดาว แต่ในค่ายฮกหลงนั้น เนื่องจากตั้งอยู่บนเนินเขาสูง จึงมองเห็นดาวเดือนชัดกระจ่าง และงดงามเกินจะพรรณนา

“ยังไม่นอนอีกหรอ”

เสียงกล่าวทักตี๋น้อยที่ชอบใช้เวลาที่ต้นไม้ริมน้ำ ซึ่งบัดนี้ได้รับการสร้างศาลาเล็ก ๆ ไว้ และจุดโคมไฟจนสว่างไสว

“อืม...เสี่ยวหมวยหรอ พี่ยังคิดเสริมประสิทธิภาพกองทัพอยู่นะ มาช่วยพี่ดูหน่อยสิ”

ตี๋น้อยที่นั่งดูข้อมูลต่าง ๆ ในจอภาพที่ฉายขึ้นมาจากเข็มขัดจอมปราชญ์กล่าวขึ้น ทำให้เสี่ยวหมวยเดินไปนั่งข้าง ๆ พลางดูข้อมูลที่ตี๋น้อยกำลังทำอยู่

“โห.....เล่นสร้างทัพจตุรเทพเชียวหรอ แค่สร้างหน่วยเกราะเหล็กก็น่าจะชนะได้แล้ว”

ภาพที่ปรากฏตรงหน้าเสียวหมวย ได้ผ่านการครุ่นคิด วางแผน จากข้อมูลมากมายมหาศาล ทำให้เป็นกองทัพจตุรเทพอันประกอบด้วย หน่วยมังกรเขียว หน่วยพยัคฆ์ขาว หน่วยหงส์ไฟ และหน่วยเต่าดำ ซึ่งจะมีทั้งข้อมูลของประสิทธิภาพ ลักษณะหน่วย อาวุธ การฝึกหัด และอื่น ๆ อีกมากมาย เรียกว่าครบถ้วนทีเดียว

“เตรียมแผนการฝึกเอาไว้ก่อน ถ้าสงครามยืดเยื้อเราก็จะฝึกไปรบไป แต่ถ้าเรารบชนะ ก็จะเสียเวลาการสร้างกองทัพไปบ้าง เพราะต้องตามตีเมืองเพื่อยึดเมือง จากนั้นก็จะสร้างป้อมค่าย และอาวุธสำหรับป้องกันเมือง ทำการผูกมัดใจชาวเมือง และอื่น ๆ อีกมากมาย กว่าจะดำเนินการฝึกได้” ตี๋น้อยกล่าวยิ้ม ๆ ทำให้เสี่ยวหมวยกล่าวอย่างรู้ทันว่า

“พี่เลยเตรียมแผนนี้ไว้ เพื่อว่า ถ้าชนะจนต้องตามตียึดเมืองจริง ๆ จะได้ให้ข้อมูลนี้กับผู้ช่วยของพี่ไปจัดการฝึกคน 4 กลุ่มก่อน เพื่อเป็นต้นแบบ ใช่ไหม”

“ฮ่า ๆ ๆ.....คุยกับหมวยนี่ไม่ต้องพูดมากเลยนะ แค่แย้ม ๆ ก็รู้แล้ว....ถูกต้องแล้วคร๊าบบบ ท่านหัวหน้าหน่วยหงส์ไฟ”

ตี๋น้อยหัวเราะอย่างถูกใจ เพราะไม่ว่าจะเป็นในเกม นอกเกม ก็เห็นมีเสี่ยวหมวยคนนี้ที่ตามความคิดของเขาทัน ทำให้เขาลุกขึ้นยืน พลางคารวะแบบธรรมเนียมจีน ทำให้เสี่ยวหมวยหัวเราะ

“ยังไม่ถามเลยว่าจะรับ หรือไม่รับ แบบนี้ไม่มัดมือชกหรอ ท่านเจ้าสัว”

“อย่างเสี่ยวหมวยไม่ต้องมัดมือหรอก แค่มัดใจก็พอแล้ว”

“มัดใจ...แล้วใช้อะไรมัดละ”

“จะมัดใจหมวยได้ ก็ต้องใช้หัวใจของพี่ตี๋คนนี้เท่านั้นแหละ จริงไหม” ทั้งน้ำเสียง สีหน้า ท่าทาง และแววตาของตี๋น้อย ทำให้สาวเก่งอย่างเสี่ยวหมวยหน้าแดง ก่อนที่จะฝืนใจเปลี่ยนเรื่อง

“ตอนนี้กองพันปีศาจยังไม่เคลื่อนไหวเลย กบดานอยู่แต่ในค่าย” เสี่ยวหมวยที่ลงมือสืบข่าวเอง จึงรายงานให้ตี๋น้อยรู้

“อืม....พี่ก็คิดไว้แล้วเหมือนกัน ระดับคนอย่างจูสือว่านแล้ว ถ้าลงมือไม่ได้ผล ก็จะต้องเฟ้นหาแผนการที่จะโจมตีครั้งเดียวให้ได้ผล ซึ่งเป็นผลเสียจากการรบชนะจนไม่เคยแพ้ใครของเขา”

“พี่คิดว่าอย่างไร สำหรับแผนการรบของจูสือว่าน” เสียวหมวยจึงถามความรู้สึกของตี๋น้อย

“สมกับชื่อกองพันปีศาจ ใช้ด้านมืดของมนุษย์มาโจมตีจิตใจของคนในกองทัพ และใช้คนในกองทัพ มาก่อให้เกิดความแตกแยกในกองทัพ จนกระทั่งความแข็งแกร่งของความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันนั้นหายไป จึงสามารถพิชิตได้ทุกกองทัพในโลกนี้” ตี๋น้อยวิเคราะห์

“แล้วทำไมยุทธวิธีของพวกมันใช้ไม่ได้กับกองทัพของเรา”

“เพราะกองทัพของเราอยู่บนเนินเขา ไม่อาจที่จะจับกุมคนได้มาก อีกอย่าง กองทัพของเรานั้น ได้รับการปรับจิตใจ ทำให้ความจงรักภักดี และความสามัคคีในกองทัพสูงมาก เพราะพี่เน้นสร้างจิตใจ ก่อนที่จะสร้างกองทัพ ทำให้พวกมันหาไส้ศึกไม่ได้ ยุแยงตะแคงรั่วก็ไม่ได้ แถมยังไม่สามารถใช้คนของเรามาเป็นโล่เพื่อสร้างความระส่ำระสายขึ้นในกองทัพได้อีก เมื่อสิ้นอาวุธเหล่านี้ไป พวกมันก็เป็นแค่กองทัพผีเร่ร่อนเท่านั้น” ตี๋น้อยสรุปยุทธวิธีของกองทัพปีศาจ

“แต่ทหารของพวกมันแต่ละคนก็มีความเก่งกล้าสามารถมากพอ ๆ กับเหล่าแม่ทัพนายกองของเราเลยนะ นับว่าเป็นกองทัพที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในแผ่นดินก็ว่าได้”

“มันก็จริง แต่ว่า....กองทัพที่จะไร้ผู้เทียมทานได้นั้นไม่ใช่แค่เก่ง แต่ต้องพลิกแพลงแปรเปลี่ยนจนศัตรูไม่อาจหยั่งคาดได้ แต่กองทัพปีศาจพวกนี้เอะอะก็ขี่ม้าถือทวน ทำราวกับว่า ทั้งทุกคนในกองทัพเป็นแม่ทัพใหญ่ ทั้ง ๆ ที่เป็นแค่ทหารเลว ทำให้บางพื้นที่ บางยุทธภูมิ เกิดความเสียเปรียบ จนอาจจะนำไปสู่ความพ่ายแพ้ได้”

“ถ้าอย่างนั้น การเอาชนะก็ไม่ใช่เรื่องยากสิ”

“การเอาชนะไม่ใช่เรื่องยากหรอก แต่การเอาชนะอย่างง่ายดายต่างหากที่ยาก และเป็นเป้าหมายของพี่ เหมือนที่ซุนวูกล่าวไว้ว่า ไม่เพียงแค่รบชนะ แต่ต้องชนะอย่างง่ายดายด้วย และเป้าหมายสูงสุดของพี่ก็คือ ชนะโดยไม่ต้องรบ”

ตี๋น้อยกล่าวอย่างมุ่งมั่น ทำให้เสียวหมวยนั่งมองอย่างชื่นชมในความคิดที่เปี่ยมไปด้วยประสิทธิผล และไม่เหมือนใครของตี๋น้อย


ยามนี้ ที่เก๋งน้อยที่ทั้งสองนั่งพูดคุยกันอยู่นั้น เหล่าผู้นำทั้ง 10 คน ได้เดินมาหาตี๋น้อย ทำให้ตี๋น้อยปิดข้อมูลการฝึก และเปิดข้อมูลแผนเหนือเมฆที่เขาวางแผนเอาไว้ และบอกให้ทุกฝ่ายเตรียมตัวในช่วงเย็น ก่อนที่จะให้ไปนอน

“ทุกอย่างเรียบร้อยครับท่าน ตอนนี้ให้ทหารที่จะปฏิบัติการไปนอนหลับพักผ่อนแล้ว” เอี้ยวจิ้งเจิงรายงาน ทำให้ตี๋น้อยกล่าวขอบคุณพวกเขาทุกคน

“ขอบคุณพวกท่านมาก แล้วพวกท่านยังไม่นอนหรือ ไปนอนเถอะ ข้าจะวางแผนอะไรนิดหน่อยก่อน แล้วจะไปนอนเหมือนกัน”

“ข้าต้องขอบคุณท่านมากกว่า เพราะถ้าแผนการนี้สำเร็จ ก็จะทำให้พวกเรากลายเป็นกองกำลังที่ดีที่สุดในแผ่นดินแทน แถมยังได้แก้แค้นให้กับท่านเอี้ยวจิ้งเจิง และหม่าชิง กับหมิงสงด้วย” เอี้ยฮุ้นกล่วขึ้น ทำให้ตี๋น้อยยิ้มรับ

“ถ้าทุกคนฝึกซ้อมแผนการทุกอย่างจนชำนาญแล้ว ข้าก็ขอยืนยันว่า จะไม่มีทางผิดพลาดเป็นอันขาด แต่ถึงแม้ว่าจะมีผิดพลาดบ้าง ก็จะมีแผนสองรองรับอยู่แล้ว แต่ขอให้ทุกคนจำไว้ว่า พลิกแพลงแปรเปลี่ยน รุกรับตามสถานการณ์ ถึงแม้ว่า กองกำลังของเราจะยังใหม่ แต่ท่านเอี้ยฮุ้น กับท่านเอี้ยวจิ้งเจิงเป็นผู้เชี่ยวชาญ และมีประสบการณ์ ข้าเชื่อว่า พวกท่านทั้งสองจะรับมือกับสถานการณ์ทุกอย่างได้” ตี๋น้อยกล่าวกับยอดทหารหลวง กับยอดขุนโจร ก่อนที่จะหันไปยังหัวหน้าทั้ง 6 กลุ่ม

“ข้าอยากจะขอร้องท่านให้พวกท่านเป็นผู้ช่วยท่านทั้งสองก่อน เพื่อฝึกฝนความชำนาญ และประสบการณ์ ข้าเชื่อว่า ด้วยศักยภาพ และความสามารถของพวกท่าน จะทำให้พวกท่านโดดเด่นขึ้นมา และจำไว้ว่า พวกเราเป็นทีมเดียวกัน” ตี๋น้อยกล่าวจบก็หันหน้ามายังทุกคน

“แม้กองพันปีศาจจะเก่งกาจ แต่พวกมันรู้จักแต่ทำตามคำสั่ง สำหรับพวกเราแล้ว ข้าเน้นย้ำให้ทุกคนใช้จินตนาการ และความคิดสร้างสรรค์ของทุกคน ให้สอดคล้องกับแผนการโดยรวม ซึ่งจะทำให้พวกเรามีความหลากหลาย และความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในตัวเอง และจะทำให้การพลิกแพลงแปรเปลี่ยนนั้นซับซ้อนจนยากแก่การคาดคำนวณ จนกลายเป็นปัจจัยที่นำเราไปสู่ชัยชนะ” เมื่อจบคำกล่าวของตี๋น้อย ทุกคนรับคำด้วยดวงตาเป็นประกายเปี่ยมด้วยความมั่นใจ และศรัทธาในตัวเอง และในตัวของตี๋น้อย


ยามสาม (04.00 – 06.00) เป็นช่วงที่คนหลับลึกที่สุด และผ่อนคลายที่สุด โดยเฉพาะเหล่าทหารที่ยืนยามรักษาการ เนื่องจากความตึงเครียดในยามค่ำคืนเริ่มผ่านไป และเป็นช่วงเวลาที่ง่วงที่สุดของผู้ที่ยืนยาม เพราะเป็นรอยต่อระหว่างกลางคืน และกลางวัน

กร๊อบ....................กร๊อบ.......................

เสียงฝีมือการบิดคอหักกระดูก วิชาเฉพาะตัวของกลุ่มเอี้ยฮุ้น ที่บัดนี้ได้ถูกถ่ายทอดให้กับหน่วยสังหารของกองกำลังตี๋น้อย ซึ่งได้ย่องเงียบเข้าจัดการกับหน่วยซุ่มตามทางไปสู่ป้อมค่ายของกองพันปีศาจ

ค่ายของกองพันปีศาจนั้น สร้างจากไม้ซุงทั้งท่อน เหมือนกับของค่ายฮกหลง แต่การรักษาการณ์กลับแตกต่างกันยิ่งนัก เพราะของค่ายฮกหลงนั้นมีทางขึ้นแค่ทางเดียว แต่ถึงกระนั้นก็ยังติดโคมไฟจนสว่างรอบกำแพง แต่ที่นี่ เป็นเนินเขาที่เปิดกว้างทุกทิศ แต่มีโคมไฟเฉพาะตรงป้อมแปดป้อม ในแปดทิศเท่านั้น

แกรก........................วูบ.........................

ในมุมมืดของค่าย กลุ่มคนราว ๆ สัก 100 คน กำลังใช้เครื่องมือแบบตะขอร้อยเชือก โยนขึ้นเกี่ยวกำแพง และดึงตัวขึ้นไปบนกำแพง เมื่อขึ้นไปหมดแล้วก็จัดแบ่งทีมกันออกตามหน้าที่ โดยจุดมุ่งหมายคือ ป้อมด้านหน้า ซึ่งมีหม่าชิง และหมิงสง ถูกจับมัดให้ยืนอยู่ด้านหน้าเพื่อตากแดดตากลม โดยไม่ให้พักแต่อย่างใด

กร๊อบ...............กร๊อบ.......................

หน่วยล่าสังหารยังคงทำหน้าที่ได้อย่างดีเลิศ จนสามารถกำจัดทหารที่อยู่ในป้อมทั้งแปดได้จนหมดสิ้น ทำให้หน่วยโจมตีอีก 300 คน พากันปีนขึ้นบนกำแพง


ที่ด้านนอกกำแพง ทหารราว 400 คน กำลังรอคอยสัญญาณจากทหารด้านใน และทหารหน่วยล่าสังหารประมาณ 10 คน ได้นำหม่าชิง กับหมิงสงมาส่งให้ ก่อนที่จะไปรวมกลุ่มกับทีมของตนเพื่อปฏิบัติภารกิจที่สำคัญต่อ

“หม่าชิง หมิงสง พวกเจ้าไม่เป็นไรนะ” เอี้ยฮุ้นกล่าวอย่างดีใจที่ทั้งสองถูกช่วยมาได้ เมื่อจะอ่อนเพลียเพราะถูกมัดตากแดดตากลม แต่ทั้งสองก็มีกำลังใจเต็มเปี่ยม

“ไม่เป็นไร แค่ขอข้าวขอน้ำกินก็พอ แต่พวกข้าทั้งสองไม่กลับค่ายนะ จะขอดูหน้าไอ้ปีศาจนั่นมันพ่ายแพ้”

ทั้งสองมองเห็นกองทหาร และการจัดวางกองกำลังก็รู้ว่า กองทัพพวกเขาจะทำอะไร จึงบอกกับเอี้ยฮุ้น ที่กำลังจะสั่งทหารให้คุ้มครองพวกเขาไปส่งค่าย

“ถ้าต้องการอย่างนั้นก็ได้ อย่างไรซะ บุรุษเหล็กอย่างพวกเจ้าก็ทนได้อยู่แล้ว” เอี้ยฮุ้นกล่าว

“เสียดายที่ท่านเจ้าสัวเปลี่ยนแผนกะทันหันนะ พวกข้าเลยไม่ได้แสดงความสามารถ”

ร่างในชุดเกราะเหล็กทั้งตัว มือทั้งสองถือโล่ 2 อัน และรอบโล่ทั้งสองนั้นมีหนามแหลมคมติดโดยรอบ ทำให้มองดูน่ากลัวมากกว่าโล่ และหอกแบบเดิม เดินเข้ามาทักทายทั้งสอง

“เจินเจิน อย่าน้อยใจไปเลย แผนการวันนี้ ถ้าไม่มีพวกเจ้าก็จะไม่สำเร็จอย่างเด็ดขาด เพราะมันไม่ใช่การช่วยเหลือทั้งสอง แต่เป็นการแก้แค้นแทนทั้งสอง” เอี้ยฮุ้นที่เข้าใจความรู้สึกของเจินเจินจึงกล่าวให้กำลังใจ

“ท่านเจ้าสัวละ ข้าอยากขอบคุณท่านหน่อย ไม่รู้ว่าท่านจะว่างไหม” หมิงสงกล่าวขึ้นอย่างนึกได้ ทำให้เจินเจินรีบตอบเองว่า

“โน้น.....บนกำแพงโน้น ท่านเจ้าสัว กับเสี่ยวหมวย นำทีมเอง โดยมีหยางฟง เอี้ยวจิ้งเจิง และเลี่ยงเซิน ตามไปด้วย ส่วนที่เหลือรอประตูเปิด และจู่โจมเข้าไปเข่นฆ่าพวกมันในค่าย โดยมีพวกข้าทั้ง 16 คุมหน่วยโล่เหล็ก 50 คน เป็นกองหน้า”

“น่าจะได้เวลาแล้วนะ ท่านเจินเจินไปเตรียมตัวได้แล้ว ชักช้าเดี๋ยวการณ์ของท่านจะเสียไป มันจะส่งผลกระทบต่อแผนการของพวกเรา” เอี้ยฮุ้นที่ยืนมองสถานการณ์ต่าง ๆ บนป้อมกล่าวขึ้น ทำให้เจินเจินคารวะทั้งสาม และกลับไปเตรียมการในหน่วยของตน

เมื่อเจินเจินออกไปแล้ว ทหารก็ได้นำอ่างน้ำขนาดใหญ่มาให้กับคนทั้งสองที่พึ่งจะถูกช่วยมาจากการเป็นเชลย พร้อมกับข้าวปลาอาหารอย่างสมบูรณ์ ทำให้หม่าชิงอดที่จะถามไม่ได้ว่า

“ข้าเห็นกองกำลังของเราครึ่งหนึ่งเข้าไปยึดกำแพงได้แล้ว แล้วการโจมตีจะไม่เริ่มขึ้นในฉับพลันนี้หรือ”

“ตอนนี้เป็นงานของพวกหน่วยสังหาร เหมือนกับในตอนที่เราเข้าไปปล้นคุกนั่นแหละ แต่ถ้าพวกมันรู้ตัวจึงจะเปิดศึกโจมตีขนาบ และประตูด้านหน้าค่ายก็จะเปิดออก และทัพเราจึงจะบุกตะลุยเข้าไปจู่โจม” อุ้ยต่งจิ้น ผู้ซึ่งมีส่วนในการวางแผนบุกครั้งนี้ด้วย กล่าวขึ้น

“มิน่าละ ว่าทำไมมันคุ้น ๆ กับแผนนี้ ที่แท้ต่งจิ้นน้อยของเราช่วยท่านเจ้าสัววางแผนด้วยนี่เอง อย่างนี้อีกหน่อยคงได้เป็นกุนซือฝีมือดีประจำกองทัพเทพของท่านเจ้าสัวแน่ ๆ” หมิงสงที่นั่งแช่ในน้ำอุ่นอย่างอารมณ์ดี พลางกินอาหารที่อยู่ในถาดเหนืออ่างอย่างหิวกระหาย พูดขึ้น

ตูม....................พรึบ............................

ไม่ทันที่อุ้ยต่งจิ้นจะเอ่ยปากตอบ เสียงการโจมตี และแสงไฟโชติช่วงขึ้นมา ทำให้เอี้ยฮุ้น กับอุ้ยต่งจิ้น รีบถลาออกไปบัญชาศึกทันที ส่วนสองหนุ่มรีบผลักอาหารออก และผลุดลุกใส่เสื้อผ้าทันที พร้อมกับดาบใหญ่ และง้าวที่เอี้ยฮุ้นจัดเตรียมไว้ให้ แม้จะไม่ถนัดมือเท่ากับอาวุธคู่ใจ แต่ก็นับว่ายังใช้การได้ดี

“ไอ้พวกปีศาจน่าตายพวกนี้มันรู้ตัวเร็วจริง ๆ ลอบสังหารมันยาก แต่เราจะตะลุยไปฆ่ามันให้ได้สักร้อยคน แล้วค่อยกลับมากินข้าวละกัน”

หมิงสงที่คว้าง้าววิ่งเข้ากองทัพ ทำให้หม่าชิงที่หยิบดาบใหญ่วิ่งไปข้าง ๆ หัวเราะดังลั่นอย่างชอบใจในความคิดของหมิงสง




 

Create Date : 19 ตุลาคม 2554    
Last Update : 19 ตุลาคม 2554 23:10:02 น.
Counter : 310 Pageviews.  

บทที่ 24 เปิดศึกครั้งแรก

“ขุนศึกผู้เชี่ยวชาญในโบราณจะแสวงหาสถานภาพที่ไม่แพ้เป็นอันดับแรก เพื่อที่จะรอคอยโอกาสในการโจมตีจุดอ่อนอันเปราะบางของศัตรู ซึ่งสถานภาพที่ไม่พ่ายแพ้นั้นขึ้นอยู่กับเรา แต่ความเปราะบางของศัตรูนั้น จะขึ้นอยู่กับการกระทำของศัตรูเอง” ซุนวู


เคว้ง..................เคว้ง..........................

เสียงเหล็กกระทบกันดังขึ้นอย่างถี่ยิบ และเป็นจำนวนมากภายในค่ายฮกหลง ทำให้หน่วยซุ่มของจูสือว่าน กลับมารายงานแต่ไม่สามารถสรุปได้ว่า เกิดจากสาเหตุอะไร

“สงสัยว่า จะเกิดการขัดแย้งกันเรื่องช่วยตัวประกัน จนนำไปสู่การเข่นฆ่ากันเองก็ได้ เพราะคน ๆ นี้ทำการรวมเอากลุ่มต่าง ๆ เข้าไปไว้เป็นกำลังของตนเอง โดยที่ไม่มีกองกำลังที่เป็นฐานกำลังของตนเองเลยแม้แต่น้อย” ขุนพลขวาวังกงลู่คาดคะเน

“ไม่น่าจะใช่นะ เพราะถ้าเป็นการเข่นฆ่ากัน ทำไมไม่ได้ยินเสียงร้อง เพลิงไหม้ และการหนีออกจากค่าย”

ขุนพลซ้ายกวัวจินเทียนตั้งข้อสังเกต แต่ไม่ได้สรุปอะไร ทำให้จูสือว่านครุ่นคิดอย่างหนัก แต่ก็ไม่สามารถเข้าใจเหตุการณ์ในค่ายฮกหลงได้

“เฮ้อ....คงต้องดูกันต่อไปว่า คนผู้นี้กำลังทำอะไร แต่ตอนนี้เราจะต้องบุกแล้ว บอกทหารให้เตรียมตัวภายในครึ่งชั่วโมงนี้ และให้ทำตามแผนอย่างเคร่งครัด” จูสือว่านสั่งการอย่างเด็ดขาด

“ครับท่าน” ขุนพลทั้งสองน้อมรับคำสั่ง

ครืด...............ครืด......................

เส้นทางเดินสู่ค่ายฮกหลงเป็นเส้นทางเล็ก ๆ แคบ ๆ และเดินขึ้นสู่ที่สูง ดังนั้น กองทัพปีศาจของจูสือว่าน จึงเดินทางอย่างยากลำบาก โดยเฉพาะเมื่อมีม้า และเครื่องยิงก้อนหินขนาดย่อมเป็นภาระ แต่แม้กระนั้นก็ดี เหล่าทหารของกองพันปีศาจก็ยังอุตส่าห์นำไม้ที่มัดหม่าชิง และหมิงสงเดินนำหน้า เพื่อให้มั่นใจว่าทหารของค่ายฮกหลงจะไม่สามารถโจมตีพวกเขาได้

“เป็นอย่างที่คิดไว้จริง ๆ พวกมันนำหม่าชิง และหมิงสงมาเป็นกันชน ป้องกันไม่ให้พวกเราโจมตีมัน ขณะเดียวกัน พวกมันพากันขนย้ายเครื่องยิงหินเพื่อจะยิงหินที่เผาไฟจนร้อนจัดเพื่อให้มาเผาค่ายเรา”

ตี๋น้อยที่คำนวณเรื่องราวการโจมตีล่วงหน้าไว้ได้ จึงกล่าวกับเอี้ยวจิ้งเจิง เอี้ยฮุ้น และอุ้ยต่งจิน โดยมีหยางฟงยืนอารักขาอยู่ใกล้ ๆ

“แบบนี้มันก็เท่ากับว่า มันไม่ต้องการให้พวกเราโจมตีมัน แต่ต้องการที่จะโจมตีเราฝ่ายเดียว” เอี้ยฮุ้นกล่าวขึ้น ซึ่งเอี้ยวจิ้งเจิงก็กล่าวเสริมขึ้นว่า

“ในครั้งที่มันยกไปตีเขาไท่ซานของข้า มันก็เริ่มการจับกุมเชลยมาเป็นโล่ป้องกันแบบนี้เหมือนกัน และในครั้งนั้นข้าต้องการให้จู่โจมพวกมันโดยไม่สนใจเชลยซึ่งเป็นพี่น้องร่วมศึกของพวกเรา แต่มีรองหัวหน้าอีกกลุ่มหนึ่ง ไม่ต้องการให้เราโจมตีศัตรูเพื่อที่จะพลาดถูกคนที่เป็นโล่ ทำให้เกิดการต่อสู้กันเอง จึงพ่ายแพ้ต่อกองกำลังของพวกมันในที่สุด”

“แต่ที่นี่ จะไม่มีเหตุการณ์อย่างนั้นเกิดขึ้น เพราะเราจะไม่โจมตีให้โดนพวกเดียวกัน แต่จะโจมตีพวกศัตรูเท่านั้น และข้ามีแผนการที่จะช่วยพี่น้องเราทั้งสองคนนั้น” ตี๋น้อยยืนยัน ทำให้คนทั้งสามรับคำด้วยความมั่นใจในตัวตี๋น้อย

วิ้ว.....................วิ้ว.................

เสียงเครื่องยิงก้อนหินเริ่มทำงาน ทำให้ก้อนหินที่เผาไฟร้อน ๆ ลอยข้ามหัวกองพันปีศาจ และลอยอยู่เหนือกำแพง

ฝุบ..................ผึง..............................

ฉับพลันนั้นเอง สิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อปรากฏแหเหล็กผสมเอ็นในกรอบเหล็กสี่เหลี่ยมได้ดีดตัวขึ้นจากเหนือกำแพง ทำให้ฟาดก้อนหินลอยกลับไปราวกับเป็นลูกเทนนิส เมื่อดีดก้อนหินกลับไปได้แล้ว กลไกก็พับแหใหญ่อันนั้นเก็บทันที

ตูม.............................ตูม...........................

ก้อนหินที่ลอยกลับไปนั้นได้ตกลงท่ามกลางเหล่าทหารกองพันปีศาจ ทำให้เหล่าทหารบาดเจ็บล้มตายไป 4-5 คนทันที

“เล็งยิงอย่าให้กลไกมันทำงานได้ทัน”

จูสือว่านสั่งการ ทำให้บรรดาเคลื่องยิงหินยิงระรัวถี่ยิบ แต่คราวนี้ไม้เทนนิสยักษ์กลับเป็นเหมือนวงล้อยักษ์ที่หมุนฟาดราวกับเป็นกังหันวิดน้ำขนาดใหญ่ เพียงแต่สิ่งที่มันวิดไม่ใช่น้ำ แต่เป็นก้อนหินที่ถูกเผาจนร้อน ทำให้เหล่าทหารของกองพันปีศาจเสียหายไปจำนวนหนึ่ง

“หยุดยิง” จูสือว่านเรีบสั่งหยุดยิงทันที เพราะสิ่งประดิษฐ์ที่เคยเอาชนะมาได้ในทุกการรบ บัดนี้ได้ถูกกำราบด้วยเครื่องมือประหลาดนี้

“อืม.....กลุ่มจอมฟ้านี่บังคับเครื่องเกมเทสนิสยักษ์นี่ได้จริง ๆ แฮะ ขอบใจเจ้ามาก หยางฟง ที่สรรหาผู้มีฝีมือบังคับเกมระดับเทพมารับหน้าที่” ตี๋น้อยที่ยืนมองการต่อสู้อยู่ได้เอ่ยขึ้น ทำให้หยางฟงกล่าวขึ้นว่า

“คนพวกนี้ถนัดเล่นเกมอยู่แล้ว แต่ท่านเจ้าสัวที่คิดเครื่องมือเลียนแบบเกมเทนนิสได้นี่สิ จึงจะเรียกว่าเทพตัวจริง”

“ก็แค่ใช้สปริง และกลไกง่าย ๆ ไม่มีอะไรยากหรอก เพราะถ้าเราไม่ยึดติดอยู่กับกฎเดิม ๆ ที่ผูกมัดเราไว้ เราก็จะสามารถแก้ทางคู่ต่อสู้ได้หมด ถ้าเราคำนวณได้ว่า พวกมันจะมีวิธีการโจมตีเราอย่างไร” ตี๋น้อยกล่าวถึงหัวใจของการเป็นนักยุทธศาสตร์ ทำให้คนทั้งหมดลอบจดจำไว้ในใจ


“โจมตีด้วยธนูไฟ”

เสียงตะโกนสั่งการของจูสือว่าน ทำให้ทหารที่เรียงแถวตอนเรียงสี่ (เพราะทางแคบแค่นั้น) ได้ใช้ธนูไฟระดมยิงทันที ทำให้ทางป้อมต้องใช้แหยักษ์กั้นอย่างถาวร ทำให้ธนูไฟไม่สามารถเข้าไปถึงในค่ายได้ แต่เนื่องจากกำแพง และป้อมทำจากไม้ ทำให้ธนูที่ปักอยู่ในไม้เริ่มจะติดไฟ

ซ่า................ซ่า........................

เสียงน้ำจำนวนมากที่ตี๋น้อยได้ให้คนต่อผ่านท่อไม้ไผ่จนเรียงรายทั่วกำแพง และทำกลไกปิดเปิดไว้ ทำให้สามารถเปิดน้ำได้ทันเวลา จึงไม่เสียหายตามที่ศัตรูต้องการ

“ป้อมรอบนอก ปล่อยธนู” ตี๋น้อยสั่งการโต้ตอบทันที

เนื่องจากการสร้างกำแพงของค่ายฮกหลงนั้นสร้างผิดกว่าค่ายทั่ว ๆ ไปที่จะสร้างกำแพงเป็นแถวแนวระนาบ แต่ตี๋น้อยได้สั่งให้ค่ายฮกหลงสร้างกำแพงด้านหน้าเป็นรูปคันธนูโค้งออกนอก แล้วจึงตีโค้งกลับมา จากนั้นจึงสร้างป้อมไว้เหนือประตูหนึ่งป้อม เคียงคู่กับประตูอีก 2 ป้อม และสร้างป้อมให้อยู่ในแนวโค้งอีกด้านละป้อม ซึ่งเป็นป้อมที่ตี๋น้อยเรียกว่า ป้อมรอบนอก

เฟี้ยว....................เฟี้ยว....................

เมื่อป้อมรอบนอกทั้งสองระดมยิง ทำให้กลายเป็นการยิงแบบขนาบ โดยไม่ผ่านหม่าชิง และหมิงสง ทำให้เหล่าทหารกองพันปีศาจรีบควงหอกป้องกันตัวบนหลังม้า

“ยิงขาม้า” ตี๋น้อยที่เห็นดังนั้น จึงสั่งการทันที

เฟี้ยว................ฉึก................โอ๊ย....................

กลยุทธ์หนึ่งที่สำคัญใน 36 กลยุทธ์ก็คือ ยิงคนให้ยิงม้า จับโจรให้จับหัวหน้า ดังนั้น เมื่อม้าล้ม คนบนหลังม้าก็หมดทางป้องกันตัว จึงถูกยิงล้มตายลงไปอีกนับสิบ จนกระทั่ง แนวหน้าของข้าศึกนำหม่าชิง และหมิงสงกลับเข้ามาในกลุ่ม ตี๋น้อยจึงสั่งหยุดยิง เพื่อไม่ให้ถูกหม่าชิง และหมิงสง

“ฮ่า ๆ ๆ แบบนี้สิ ถึงจะสะใจ ไม่ต้องห่วงพวกข้าหรอก ยิงพวกมันต่อเลย”

หม่าชิงตะโกนลั่นอย่างถูกใจที่ฝ่ายจูสือว่านทำอะไรค่ายฮกหลงไม่ได้ มิหนำซ้ำยังถูกสวนกลับจนบาดเจ็บล้มตายกันระนาว

“ถอย”

จูสือว่านจำใจต้องสั่งถอย เพราะการถอยในช่วงเวลาที่ถูกต้อง ย่อมทำให้ป้องกันความสูญเสียที่จะเกิดขึ้น มิฉะนั้น อาจจะเกิดความเสียหายอย่างใหญ่หลวงได้ ถ้าแก้กลยุทธธนูโจมตีของป้อมรอบนอกไม่ได้

“เสียดาย ถ้าฝ่ายเราไม่ได้ถูกจับตัวไว้ เป็นได้ไล่ตีไม่ให้ถอยไปอย่างง่ายดายแบบนี้แน่ ๆ” เอี้ยวจิ้งเจินที่ยังแค้นกองพันปีศาจไม่หาย กล่าวอย่างเสียดาย ทำให้เอี้ยฮุ้นยิ้มออกมาเป็นครั้งแรกตั้งแต่มีข่าวหม่าชิง กับหมิงสงถูกจับ

“โชคดีที่หม่าชิง กับหมิงสงยังไม่เป็นอะไรมาก”

“ไปดูการฝึกของหน่วยกู้ภัยกันดีกว่า ว่าไปถึงไหนแล้ว” ตี๋น้อยต้องการให้เปลี่ยนบรรยากาศ จึงชักชวนทั้งหมดลงไปตรวจดูการฝึกซ้อมตามแผนการช่วยเหลือตัวประกัน


“สุดยอดเลยวะ แผนตาข่ายฟ้าของท่านเจ้าสัว เล่นเอาลูกหินไฟตีย้อนกลับมา จนพวกที่ยิงตายเป็นแถบ ๆ”

เสียงตะโกนคุยกันลั่นป่าของเชลยทั้งสอง ทำเอาบรรดาทหารหนุ่ม ๆ ที่ไปพ่ายแพ้กลับมาเป็นครั้งแรก แทบจะเอาหอกยัดปากคนพูดให้ทะลุออกท้ายทอย แต่เพราะคำสั่งห้ามแตะต้องเชลยของจูสือว่าน ซึ่งเป็นเหมือนประกาศิตปีศาจ จึงทำให้ไม่มีใครทำอะไรสองคน นอกจากจะมองหน้าราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ

“เสียดาย โดนจับมัดเป็นดักแด้ ทำให้หันกลับไปมองพวกคนที่ถูกธนูเสียบจนพรุนเป็นรังผึ้งไม่ได้อะ ไม่อย่างนั้นคงจะสนุกกว่านี้”

หมิงสงกล่าวอย่างร่าเริง ทำให้เสียงกัดฟันกรอด ๆ ดังขึ้นรอบตัว โดยเฉพาะพวกคนที่ได้รับบาดเจ็บจากลูกธนูในครั้งนั้น

“เจ้าสองคนนี่ สงสัยจะต้องให้ถูกเฆี่ยนหลังซะแล้วมั๊ง” ขุนพลขวาวังกงลู่กล่าวอย่างหงุดหงิด

“ปล่อยมันไปกงลู่ ปล่อยให้มันพล่ามต่อไป เพื่อให้ความเคียดแค้นนี้เกาะกินใจของเหล่าทหาร เพื่อที่จะแปรความโกรธแค้นนั้นให้เป็นพลังแห่งการทำลาย”

จูสือว่านกล่าวด้วยเสียงเย็นเฉียบ ทำให้ขุนพลทั้งสองรู้สึกหนาวเย็นกับความคิดราวกับปีศาจของผู้เป็นหัวหน้า ความลับอย่างหนึ่งของจูสือว่านคือ การใช้ความคิดด้านลบ เพื่อเปลี่ยนเป็นพลังทำลาย ซึ่งจะนำไปสู่ชัยชนะที่เคยเกิดขึ้นทุกครั้งที่ทำสงคราม


แคว้ง..........................แคว้ง.............................

เสียงอาวุธปะทะกับโล่ดังสนั่นหวั่นไหว เมื่อเหล่าทหารจำนวนมากพากันกลุ้มรุมผู้คนรูปร่างสูงใหญ่ ซึ่งอยู่ในชุดเกราะ มือซ้ายถือโล่ใหญ่ มือขวาถือหอกสั้นมือเดียว แม้จะมีแค่ 16 คนแต่ก็สามารถต้านทานการจู่โจมของคนเป็นร้อยได้

แปะ............แปะ...............แปะ....................

“ยอดเยี่ยมมาก เห็นแบบนี้แล้วแตกต่างจากภาพที่เห็นในตอนแรกราวฟ้ากับเหวเลยจริง ๆ” เสียงตี๋น้อยดังขึ้น ทำให้ทุกคนที่ฝึกอยู่หันมาทำความเคารพ ซึ่งตี๋น้อยก็เคารพตอบ

“ท่านเจ้าสัวอย่าแซวกันดิ เขี้ยวเล็บพวกเราที่มีในตอนนี้ก็ล้วนแล้วแต่ท่านชี้แนะทั้งนั้น” เจินเจิน หัวหน้ากลุ่ม 16 นงคราญเก็บหอกสั้นไว้กับโล่ด้านใน ก่อนที่จะกล่าวขึ้น

“อืม...อย่างที่คิดไว้เลย ร่างกายของพวกคุณนี่ถูกฝึกมาอย่างดีในโลกแห่งความเป็นจริง ทำให้ในเกมนี้ มันสามารถที่จะพัฒนาได้อีก จนทะลุขีดจำกัดของมนุษย์ธรรมดาไปแล้ว” ตี๋น้อยพูดทีเล่นทีจริง ทำให้เจินจิงต้องหัวเราะออกมา

“นี่ถ้าไม่มีคุณ พวกเราก็คงจะไม่สามารถมาถึงจุดนี้ได้หรอกนะ”

“แต่ผมสร้างพวกคุณให้เป็นหน่วยกล้าตาย พวกคุณไม่กลัวหรือ ถ้าพลาดหมายถึงความตายเชียวนะ” ตี่น้อยอดที่จะถามคู่อริเก่าของเขาไม่ได้ ทำให้เจินเจินหัวเราะขึ้นมา ก่อนที่จะพูดขึ้นมาอย่างหนักแน่นว่า

“ทุกอย่างมันมีเดิมพัน แม้ว่าถ้าพลาดหมายถึงความตาย แต่นายเป็นคนมอบชีวิตใหม่ให้พวกเรา เป็นชีวิตที่ดีกว่าเดิม ตื่นเต้น เร้าใจ และเต็มเปี่ยมด้วยมิตรภาพ”

“ใช่ อีกอย่าง หมิงสง และหม่าชิง เป็นวีระบุรุษของพวกเราทุกคนแล้วในตอนนี้ แม้พวกเราจะตาย พวกเราก็ยังมาเล่นใหม่ได้ แต่ AI อย่างหมิงสง และหม่าชิง ถ้าตาย ก็จะสูญหายไปจากโลกนี้อย่างถาวร ซึ่งพวกเราจะยอมไม่ได้เป็นอันขาด” เจินเจิงกล่าวบ้าง

“ใช่ พวกเราไม่ยอมให้พวกเขาตายหรอก” เสียงสนับสนุนอย่างท่วมท้นจากสาว ๆ (เทียม) ทั้ง 16 เสียงเป็นเอกฉันท์ งานนี้ไม่สำเร็จไม่เลิกรา......




 

Create Date : 18 ตุลาคม 2554    
Last Update : 18 ตุลาคม 2554 21:04:26 น.
Counter : 270 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  

Muen Li
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add Muen Li's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.