เมื่อพม่าปลอมนั่งฉิ่งฉับทัวร์ไปทอดกฐินที่ก้อนหินทอง
ขอเขียนถึงไฮไลท์เที่ยวพม่าช่วงที่ตื่นเต้นที่สุดในชีวิตนะคะยังจำได้ว่าก่อนไป มีคนมักขู่เข็ญนักว่า หล่อนไปเที่ยวพม่าคนเดียว ไม่พึ่งทัวร์น่ะ ไม่สามารถไปเที่ยวพระธาตุอินทร์แขวนได้ร็อก เพราะมันยุ่งยากและแพงมาก...เอาวะ!ไม่ลองไม่รู้ หาข้อมูลท่องเที่ยวมากว่า6เดือน อยู่ๆเพื่อนๆมาล้มทัวร์เอาดื้อๆ จะให้รออะไรอีก ในเมื่อใจมันบินไปแล้ว ว่าแล้วเสิร์ชห้องพักได้คืนก่อนเดินทางส่งอีเมลล์ไปแล้วบินปร๋อแบบไม่หวังผล โชคดีเหลือเกินมีคนมารับที่สนามบินด้วยค่ะหลังจากถึงที่พัก ซึ่งก็ตามระเบียบ หานาทีสุดท้ายได้ห้องมุมเชียว(มุมอับ)ว่าแล้วก็หมายมาดว่าจะไปหาทัวร์ไปไจ้ก์ทีโย (พระธาตุอินทร์แขวน)เสียให้ได้ มิฉะนั้นคืนนี้จะนอนไม่หลับ เมื่อไกด์ที่เป็นคนไปรับแจ้งในข้อนี้ พี่ก็ตามติดไม่ยอมห่างเดินหาเที่ยวชมตลาดสก๊อตก็แล้ว (ไปแลกตังค์ค่ะ) ไปถามทัวร์ที่โรงแรมก็แล้ว ไปหาคนไทยที่เปิดร้านซุปเปอร์มาร์เก็ต (เพื่อนญี่ปุ่นเธอเคยไปแล้วรู้จักคนนี้ค่ะ เลยยัดชื่อใส่มือให้เผื่อฉุกเฉินจะได้อ้างว่ารู้จักคนไทยตั้งคนนึงแน่ะ แหะๆ) ปรากฎว่าไปเจอร้านแต่เค้าเพิ่งไปกฐินที่ตจว.ค่ะ เจอแต่ลูกชาย เฮ้อ พี่ไกด์ที่ตามต้อยๆก็เลยต้อนเราไปนิ่มๆหมดหวังหาทัวร์แล้ว ขอต่อรองถึงขีดสุด จากสองวันหนึ่งคืน100 ยูเอส กลายเป็นเงินจ๊าดสำหรับค่าเดินทางกินอยู่ที่พี่แกจะพาไปเอง ฮือๆถือเป็นบทเรียนค่ะ ไกด์บุ๊คเล่มหลังๆบอกว่า ไม่ต้องหาโรงแรมไปก่อนก็ได้ แค่ไปลงที่ เจดีย์สุเหล่ ซึ่งคล้ายอนุสาวรีย์ชัยบ้านเรา เป็นวงเวียนขนาดใหญ่ที่มีโรงแรม ร้านค้ากินอยู่กระจุกรายล้อม เดินหาโรงแรมก็ง๊ายง่าย เหงื่อไม่ทันออกก็ลงมานั่งจิบน้ำชาดูคนพม่าชิลล์ๆตามถนนแล้วค่ะ (จำไว้เป็นบทเรียน)อารัมภบทมามากแล้ว ต่อไปนี้คือแผนการค่ะ พี่ไกด์บอกว่าจะให้ถูกสุดๆ ยูต้องปลอมเป็นคนพม่าเสียด้วย แกจะพาไปนั่งรถทัวร์ เพราะระยะทางไกล ช่วงนี้มีคนไปทอดกฐินมากอยู่ พอเนียนๆได้อ่ะนะ ว่าแล้วก็จัดแจงจดที่อยู่โรงแรมให้เราเอาไว้กลับกะแท๊กซี่แล้วพาเดินไปส่งที่เจดีย์ชเวดากองต่อเช้าวันรุ่งขึ้น ออกเดินทางตอน 8 โมงเช้าค่ะ ไปนั่งที่ท่ารถ เกือบ11โมงก็เพิ่งได้ตั๋ว คนพม่าเวลาช่างเหลือเฟือจริง แถมเรายังต้องนั่งใบ้ๆ เอากล้องมายกถ่ายรูปก็ไม่ได้ เพราะพม่าที่ไหนจะมีกล้องดิจิตอลดูหรูหราเตะตาคนขายตั๋วยิ่งนัก จนแอบถ่ายได้ตอนขึ้นไปนั่งปร๋อบนรถแน่ะค่ะนั่งฟังอิริค แคลปตันเอย แอโร่วสมิธเอย พากันครวญเพลงเวอร์ชั่นพม่ากันเพลิดเพลิน เย็นย่ำโพล้เพล้แล้วจึงได้ถึงหมู่บ้านขิ่นปุ้น เมืองไจ้ก์โถ่ อันเป็นฐานในการเดินขึ้นเขาค่ะพาเดินตลาดและกินโมฮิงก่าไปแล้วในบล็อกเก่า มาหนนี้พามาดูที่่พักนะคะ ดีนะเนี่ยที่ตาไกด์แกจองคนละหลัง ไม่งั้นเห็นทีต้องหนีเสียแล้ว ห้องพักเป็นหลังๆ ราคาถูกสุด ณ ยามนี้ก็โดนไป 15 ยูเอสค่ะ อย่าไปหวังเลยโรงแรมคนไทยที่บนยอดเขา หรือแม้แต่รีสอร์ทหรูกลางทาง เพราะเกิน 25 ยูเอสไปแล้วค่ะสภาพห้องพักกว้างมาก มีราวตากผ้าด้วยแน่ะ ได้ซักผ้าซะเลยรุ่งเช้าตื่นเช้ามากๆตีห้ากินข้าวเช้าเสร็จก็รีบไปเข้าแถวเตรียมซื้อตั๋วขึ้นรถกระบะเลยค่ะ รถกระบะเอาไม้กระดานพาดขวางๆถี่ๆพอให้นั่งเข่าชนหลังกันไปได้ คันนึงไปได้ร่วมยี่สิบสามสิบคนแน่ะ ตอนต้นทางไม่ได้ถ่ายรูปค่ะ ต้องเป็นใบ้ด้วย ไม่งั้นถูกโขก คนไทยส่วนใหญ่เค้ามาทัวร์กันค่ะ ทัวร์จะจองโรงแรมกลางเขา รึไม่ก็บนเขาหน้าทางเข้าไว้แล้ว ไม่ต้องมานั่งหวาดเสียวชวนตกเขาเยี่ยงนี้ค่ะ ใครจะมาเที่ยวกับทัวร์ไม่ต้องตกใจไป แต่ถึงตอนรถออก รถเหวี่ยงไปมา หนุ่มสาวพม่าหวีดหวาดพอสนุกสนาน ไม่กล้าถ่ายรูปอยู่ดีเพราะกลัวกล้องหลุดกระเด็นรูปที่ปลายทางสถานีขนส่ง แสงกำลังสวยค่ะ 6-7 โมงเช้าได้แล้วหลังจากนี้ก็เดิน เดิน เดิน ค่ะ ระยะทางไกลคดเคี้ยวนั้นไม่เท่าไหร่ แต่ความชันเกือบ45องศานี่สิ เดินทีก็ต้องขอพักที มีร้านน้ำอ้อยให้แวะกินรายทางค่ะ นั่งดูคนไทยคนญี่ปุ่นนั่งเสลี่ยงเป็นคุณท้าวนางในกันเพลินตาดีค่ะ มีลูกหาบรับแบกคนใส่กระบุงหลังด้วย เสียดายชักภาพไม่ทันนี่ค่ะโรงแรมหรูกลางป่า ราคา25-40 ยูเอสต่อคืนเชียวนะ ใครจะมาเที่ยวพระธาตุอินทร์แขวน อาจเห็นราคาแอบโหดก็ต้องทำใจนะคะ ความสะดวกสบายต่างกันลิบลับ เดินขึ้นไปถึงตีนเขา สบตากับฉิ่นตีแล้วจึงได้รู้ว่า มีรถกระบะขึ้นมาส่งนักท่องเทียวถึงปากประตูด้วยแน่ะ หันขวับไปมองอีตาไกด์อย่างเจ็บแค้น พี่แกบอกว่าเดินขึ้นเขาน่ะดีแล้ว บุญเยอะดี เอาป้ายโรงแรมไปด้วยนะจ๊ะ จะได้เช็คราคากับทัวร์ที่จะจัดได้ เพราะที่นี่ มีโรงแรมที่สะดวกสบายแค่สองแห่งเท่านั้นเองค่ะ เจ้าของน่าจะเป็นคนไทยนะ อีกอันแพงกว่าเพราะอยู่ติดประตูทางเข้าเลยค่ะ วิวยามเช้าสวยมากๆ(แอบไปเดินดูวิวด้วยค่ะ)ดีอีกอย่างตรงที่กลางคืนจะเดินมาเที่ยวชมพระธาตุได้บ่อยเท่าที่ต้องการด้วยค่ะ ซึ่งถ้ามาแบบปอนๆอย่างเราคงเป็นไปไม่ได้เพราะเค้าห้ามชาวต่างชาติพักอ้างแรมปุบปับโดยไม่แจ้งทางการค่ะ โรงแรมแสนสบายใกล้ประตูทางเข้า เสียดายไม่ได้ถ่ายรูปแต่ถ้าเช็คโรงแรมกับทัวร์ก่อนมา ก็คงเป็นอีกโรงแรมหนึ่งนั่นแหละค่ะเดินลัดเลาะไปตามหมู่บ้าน เห็นเขาใส่บาตรพอดี อนุโมทนาบุญด้วยค่ะ (ตอนนี้หอบแฮ่กๆอยู่ พี่ไกด์แกบอกว่าใกล้ถึงแล้ว ไม่ให้พักแล้วหง่ะ)เดินผ่านร้านยาดองด้วย เจอยาดองสูตรป๊าป่า....มีหัวแพะโชว์ด้วยค่ะ มุดๆหลังคาเต้นท์มืดๆมาตามทาง เงยมาเห็นแพะแค่หัวกับกีบ เหวอไปเล็กน้อยไม่ได้ถ่ายรูปนะคะ กลัวคนขายเสือกหัวแพะปรี๊ดมาให้เหมือนถาดห่านย่างในบล็อกที่แล้ว ใครจะตุ๋นยาโป๊วยาจีน เห็นทีจะมาหาเครื่องเคราใส่หม้อได้ครบกันเลยเชียว ดีหน่อยที่เป็นของแห้งทั้งนั้น ไม่มีกลิ่นเหม็นคาวค่ะ แค่อับๆเพราะฝนเพิ่งหมาดๆเองทำใจลำบากมากตอนที่เดินผ่านร้านโมฮิงก่าน่ากิ๊นน่ากิน พี่ไกด์ไม่ยอมแวะให้เติมพลังกันเลย(ของเช้าย่อยไปหมดแล้วอ่ะ)อิ่มบุญไปเลย นึกว่าถึงแล้ว เจอพระธาตุองค์เล็กนี่แทนค่ะ ไม่เป็นไร เดินต่ออีกนิด ไหนๆก็มาจนขนาดนี้แล้ว เดินอีกเกือบครึ่งชั่วโมงก็เจอประตูทางเข้าหน้าวัดแล้วค่ะมีช่องขายตั๋วด้วยค่ะ ตั้งใจไปซื้อจริงๆนะ แต่คนขายไม่อยู่ เลยเนียนๆเดินตามเขาเข้าไปคนเยอะมาก วันนี้เค้ามาปูเสื่อจองที่ไว้นอนตอนค่ำด้วยค่ะ จะมีสวดมนต์กันตอนกลางคืนด้วยพระธาตุอินทร์แขวน ที่คนพม่าเรียกขานกันว่า ไจ้ก์ทีโย ก้อนหินทอง สวยงาม อะเมซซิ่งทุกมุมมอง มีข้อห้ามสำหรับสตรีนะคะ ไม่สามารถเข้าไปยืนปิดทองได้เอง เลยต้องฝากพี่ไกด์ไปแปะให้ค่ะ ส่วนเราต้องออกมายืนตรงนี้ที่มีผู้ญิงนั่งกันแถวนี้ เพราะเป็นมุมที่ใกล้ที่สุดแล้วค่ะพี่ไกด์แกยืนสู้กล้องเต็มที่ หารู้ไม่ว่าเราตั้งใจจะถ่ายรูปช่องว่างใต้ก้อนหินที่สามารถโยกได้ไหวได้อีกด้วยแน่ะ จะเห็นว่าจุดที่วางแตะกัน มีพื้นที่นิดเดียวจริงๆมุมนี้ไปยืนที่ทางเดินรอบใต้ก้อนหินค่ะ หวาดเสียวมากๆ เกิดว่าท่านจะร่วงผล็อยตอนที่ฉันยืนอยู่ตรงนี้พอดี จะทำยังไงหล่ะเนี่ย?ทางเดินโดยรอบชมวิวสวยงามจริงๆค่ะ ทางเดินกว้างขวางจริงๆ อากาศดีๆอย่างเช้านี้ สามารถมองได้ไกลไปถึงฝั่งไทยเลยค่ะ ประวัติความเป็นมา ของพระธาตุอินทร์แขวน หรือไจ้ก์ทีโย สมัยก่อนเจ้าเมืองท่านมีโอรสสององค์ค่ะ ต่างไม่อยากครองราชย์ทั้งสององค์ หนีไปบวชกับฤาษีเสียทั้งคู่ในป่าชานเมือง ต่อมานางนาคตนหนึ่งที่อยู่กินกับมนุษย์มาออกไข่สองฟองทิ้งไว้ใกล้ๆ สองฤาษีมาพบเข้าก็แบ่งกันไปเลี้ยงคนละฟอง ต่างก็เป็นเด็กชายทั้งคู่ค่ะ เด็กคนน้องตาย เกิดใหม่เป็นเป็นศิษย์เรียนธรรมกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ระลึกชาติได้จึงกราบนิมนต์พระพุทธองค์ขอให้เสด็จมาโปรดฤาษีผู้ชุบเลี้ยงทั้งสอง เมื่อจะเสด็จกลับจึ่งประทานพระเกศาให้ตนละเส้น ฤาษีผู้น้อง เอาไปบรรจุเจดีย์ให้คนบูชา ส่วนผู้พี่เก็บไว้ในหมวกตน เด็กชายคนพี่ ต่อมาได้ครองราชย์เป็นกษัตริย์เมืองนี้ มีผู้คนอยากกราบไหว้พระเกศา มาร้องเรียนขอให้ท่าน มาขอร้องให้ฤาษีท่านนำมาบรรจุด้วยกันไว้ในเจดีย์ แต่ฤาษีผู้พี่ก็ไม่ยอมและบอกว่าจะบรรจุแต่ในเจดีย์ที่ตั้งบนก้อนหินที่มีรูปร่างเหมือนหมวกของตนเท่านั้น ทราบถึงพระอินทร์จึงเหาะไปเสาะหาก้อนหินที่ว่าจากใต้ทะเล นำขึ้นมาวางไว้บนยอดเขา จึงได้บรรจุเป็นพระธาตุอินทร์แขวนด้วยประการ ฉะนี้ มีอีกตำนานเกี่ยวกับพระธาตุค่ะ เรื่องของนางชเวนันจิน บุตรนางนาคกับมนุษย์ ที่ฤาษีฝากชาวบ้านเลี้ยงจนโตเป็นสาว ออกเรือนแล้วป่วยหนัก จึงจะไปกราบฤาษีและองค์พระธาตุ ระหว่างทางถูกเสือไล่กัด ก่อนจะสิ้นได้อธิษฐานว่าหากไม่รอดจะขอเป็นวิญญาณดูแลและช่วยเหลือผู้คนที่เดินทางมานมัสการพระธาตุค่ะ เสียดายตอนที่ไปเที่ยวไม่ทราบประวัติส่วนนี้ จึงไม่ได้เน้นไปกราบไหว้รูปปั้นนางชเวนันจินที่อาคารใกล้ๆบันไดค่ะ คนเยอะมากๆด้วย เชื่อกันว่าถ้าเจ็บไข้ส่วนใดในร่างกาย ก็ไปลูบส่วนนั้นที่รูปปั้นแล้วอธิษฐานขอพร จะทำให้หายป่วยได้ค่ะ แต่นอกจากนางชเวนันจิน ก็ยังมีนัตองค์อื่นๆให้บูชาอยู่รายรอบค่ะ มีรูปปั้นประวัติฤาษีอยู่ด้วยค่ะ ปั้นให้สีสวยสดงดงามดีแท้อยู่ในรัฐมอญ แน่นอนค่ะ ต้องมีเสาหงส์ อันเป็นเอกลักษณ์ของชาติเดินไปชมวิวด้านใน เรื่อยๆจะเจอวัดและหมู่บ้าน ร้านค้าค่ะ กำลังเตรียมตัวรับคนที่กำลังทะยอยกันมาทอดกฐิน อยากอยู่ถึงกลางคืนจริงๆค่ะ เสียดายมากที่อยู่ได้แค่ถึงเที่ยง หนหน้ายอมเสียเงินนอนโรงแรมหน้าประตูวัดดีกว่านะ แต่ถ้าจะให้ดี เราอยากพักที่โรงเตี๊ยมในหมู่บ้านมากกว่า (รูปอยู่ในบล็อกเก่าค่ะ) น่าอยู่ กระทัดรัดมากๆ ถูกใจสไตล์โฮมสเตย์เลยเชียวป้ายเก๋ๆภาษาพม่า จำไม่ได้แล้วว่าเขียนว่าอะไร (ไม่กล้าแปลเดี๋ยวเผื่อมีใครอ่านออกจะมาแย้งให้หน้าแตกได้ค่ะ >)ถึงเวลากลับแล้วค่ะ ขากลับลงมาเก็บกระเป๋าที่ฝากไว้ที่โรงแรม ได้นั่งรถแอร์ขากลับแล้วค่ะ ไม่ต้องปลอมตัวแล้ว เสร็จสิ้นภารกิจแล้ว นั่งชิลล์ๆริมหน้าต่างได้แอบถ่ายรูปเมืองมอญด้วยค่ะ แต่พี่ไกด์รีบห้ามตอนหันมาเห็นจะถ่ายตรงสะพานข้ามแม่น้ำค่ะ กลัวทหารเห็นแล้วจะถูกจับ ภาพเลือนๆหน่อยเพราะถ่ายผ่านกระจกรถนะคะหน้าบ้านนี้ ทำแปลงปลูกผักบุ้งด้วยค่ะ น่ารักดีสะพานข้ามรัฐค่ะ เห็นทหารเดินอยู่ใกล้สะพานด้านล่าง มีเรียกตรวจบัตรคนขับด้วยเป็นระยะค่ะ (โชคดีนะเนี่ยเอากล้องลงทัน)ปิดท้ายก่อนจบบล็อค ได้แวะวัดกลางทางค่ะ ใกล้เข้าเขตเมืองพะโค หรือ หงสาวดี แล้วค่ะ รูปแบบวัดชาวบ้านที่สวยแปลกตาไปจากบ้านเรา มีพระพุทธรูปประธานปางแปลกตาดีค่ะ เหมือนท่านนั่งเอกขเนกอยู่เลยค่ะแวะอุดหนุน ข้าวโพดต้ม สักมัดสองมัดด้วยนะคะ จบตะลอนทัวร์พระธาตุอินทร์แขวนภายในหนึ่งวันกับหนึ่งคืนแล้วค่ะ ไว้จะปิดท้ายเที่ยวพม่าหนนี้ที่เมืองหลวงเก่า ย่างกุ้ง วันกลับเมืองไทยค่ะ
หนึ่งทัชมาฮาล สองยอดเขา สามที่สุดในโลก ทุกอย่างนี้รวมอยู่ที่เมียนม่าร์
จั่วหัวเสียน่าตื่นตาตื่นใจ ขอเริ่มต้นที่หนึ่งยอดเขาก่อนค่ะ นั่นคือ เขามัณฑะเลย์น่ะเอง ในหนนี้ย้อนเวลาก่อนไปเมืองบะกั่นด้วยการเดินทางแบบแอบหรู สายการบินเมียนม่าร์แอร์พาเราบินปรู๊ดจากย่างกุ้งมาจอดที่เมืองมัณฑะเลย์ภายในเวลาราวสามสี่ชั่วโมงจากการสอบถามไกด์ถึงที่พักและการเที่ยวรอบเมืองมัณฑะเลย์ ได้ความว่าโรงแรมใจกลางเมืองที่แสนสะดวกและสะอาดสะอ้านนั้นอยู่ที่ ตลาดเซโจ ชื่อโรงแรมเซโจ เช่นกัน สนนราคาที่พี่ไกด์จากย่างกุ้งช่วยต่อรองให้ ทำให้เราได้ห้องพักดีๆในราคา $15ต่อคืน ออกจะแพงหน่อยแต่หลังจากเคล็ดขัดยอกด้วยการเดินเท้าขึ้นไจ้ก์ทีโย ฉันเลยยอมจ่ายราคานี้แบบไม่คิดอะไรอีกแล้วขอแนะนำนะคะ โรงแรมนี้ใช้ได้จริงๆและหาทางกลับมาที่พักได้ง่ายมากๆเลย เพราะตลาดเซโจเป็นตลาดใหญ่ ตกกลางคืนก็เป็นตลาดโต้รุ่งด้วย แม้ว่าทางเข้าโรงแรมอาจหายาก เพราะต้องแหงนมองดูจั่วโรงแรมที่ชั้นสอง ทางขึ้นก็บรรยากาศเหมือนเดินเข้าโรงแรมอินทรายุคก่อนปรับปรุงเลยค่ะไปถึงมีเวลาครึ่งวันบ่ายเลยเลือกเรียกกระป๊อมาพาเที่ยววัดในเมืองมัณฑะเลย์ซะเลยที่เที่ยวในตัวเมืองมัณฑะเลย์ สามารถเที่ยวแบบสบายๆแค่ครึ่งวันก็หมดแล้วค่ะเพราะกระจุกอยู่ที่บริเวณเขามัณฑะเลย์นั่นเอง หนนี้ พระราชวังมัณฑะเลย์ปิดปรับปรุงหลายส่วน เกรงว่าค่าตั๋วชมจะไม่คุ้มจ่ายเลยงดเที่ยว ที่แรกที่กระป๊อมัณฑะเลย์พาไปเที่ยวคือ วิหารทองคำหรือ ชเวนันดอ จาวน์ ค่ะ เป็นพระราชตำหนักของพระเจ้ามินดง ที่ภายหลังพระเจ้าสีป่อราชบุตรได้ถวายให้แก่วัด มีประตูรั้วทาสีแดงสวยงามปิดกั้นจากถนน
ขโยกเขยกตะลอนไปในทะเลเจดีย์(ท่องบะกั่น ตอนจบ)
วันที่สองของการเดินทางเที่ยวบะกั่นโดยรถม้า โดยมีโกไจคนขับอาสาเป็นไกด์พาเที่ยวไปในตัว อากาศดีสดใส ฝนไม่ตกแล้ว ทำให้วันนี้เที่ยวได้หลายที่เลยวัดนี้ไม่ขอลงชื่อดีกว่า เพราะเกรงจะจำผิดค่ะ แต่วัดนี้จะมีร้านรวงขายตลอดทางเดินเข้าวัด ผลงานชาวบ้านมาวางขาย มีหุ่นกระบอกและโมบายแขวนแบบต่างๆให้เลือกค่ะ
หวนระลึกถึงปะกั่นในสายฝน
นั่งอ่านนิตยสารทริปเล่มล่าสุด เลยทำให้นึกอยากเขียนถึงการท่องเที่ยวของเราที่เมืองปะกั่นบ้าง ไปมาหลายปีแล้ว ไม่รู้ว่าตอนนี้ทิวทัศน์ของปะกั่นจะเปลี่ยนไปบ้างไหมหนอ?หลังจากลงเรือเดินทางจากมัณฑะเลย์มาขึ้นที่ท่าเรือปะกั่น ใช้เวลาทั้งสิ้นจากตีสี่ถึงก็เกือบหกโมงแน่ะ แล้วเราก็ได้เจอกับ โกไจ พี่ชายใจดีคนขับรถม้าพาเราเที่ยวตลอดสามวัน โกไจไปส่งโรงแรมเล็กๆ คิดค่าเหยียบเมืองซึ่งนักท่องเที่ยวทุกคนต้องจ่ายเมื่อมาถึงปะกั่นราวสิบดอลล่าร์ เพราะมาถึงค่ำแล้ว เราจึงต้องจ่ายที่โรงแรม เงินนี้รัฐจะเก็บเข้าหน่วยงานบำรุงโบราณสถานประจำเมืองเต็มจำนวน ทำให้ปะกั่นสามารถคงสภาพบรรยากาศดั้งเดิมได้ถึงทุกวันนี้รุ่งเช้าฝนตกพรำระหว่างเดินทาง มีโกไจเป็นไกด์ไปในตัว วัดสำคัญๆได้แก่วัดชเวสิกอง
สรรหามากิน อาหารพื้นเมืองพม่าตอนที่2 กินดะจากท่ารถหวานเย็นไปถึงตีนเขาที่ไจ้ก์ทีโย
หนนี้ ขอเขียนถึงของกินเมื่อตอนปลอมตัวเป็นคนพม่านั่งรถบัสข้ามเขตย่างกุ้งไปไจ้ก์ทีโยซะเลย