...Chansuwan Villa... ยินดีต้อนรับสู่หมู่บ้านจันทรสุวรรณวิลล่า บ้านกลางสวนมะพร้าว หาดขาวทะเลเขียว ฟ้าสีครามเมฆปุยขาว
Group Blog
 
All blogs
 

เมื่อพม่าปลอมนั่งฉิ่งฉับทัวร์ไปทอดกฐินที่ก้อนหินทอง

ขอเขียนถึงไฮไลท์เที่ยวพม่าช่วงที่ตื่นเต้นที่สุดในชีวิตนะคะ

ยังจำได้ว่าก่อนไป มีคนมักขู่เข็ญนักว่า หล่อนไปเที่ยวพม่าคนเดียว ไม่พึ่งทัวร์น่ะ ไม่สามารถไปเที่ยวพระธาตุอินทร์แขวนได้ร็อก เพราะมันยุ่งยากและแพงมาก...เอาวะ!ไม่ลองไม่รู้ หาข้อมูลท่องเที่ยวมากว่า6เดือน อยู่ๆเพื่อนๆมาล้มทัวร์เอาดื้อๆ จะให้รออะไรอีก ในเมื่อใจมันบินไปแล้ว ว่าแล้วเสิร์ชห้องพักได้คืนก่อนเดินทางส่งอีเมลล์ไปแล้วบินปร๋อแบบไม่หวังผล โชคดีเหลือเกินมีคนมารับที่สนามบินด้วยค่ะ
หลังจากถึงที่พัก ซึ่งก็ตามระเบียบ หานาทีสุดท้ายได้ห้องมุมเชียว(มุมอับ)ว่าแล้วก็หมายมาดว่าจะไปหาทัวร์ไปไจ้ก์ทีโย (พระธาตุอินทร์แขวน)เสียให้ได้ มิฉะนั้นคืนนี้จะนอนไม่หลับ เมื่อไกด์ที่เป็นคนไปรับแจ้งในข้อนี้ พี่ก็ตามติดไม่ยอมห่าง
เดินหาเที่ยวชมตลาดสก๊อตก็แล้ว (ไปแลกตังค์ค่ะ) ไปถามทัวร์ที่โรงแรมก็แล้ว ไปหาคนไทยที่เปิดร้านซุปเปอร์มาร์เก็ต (เพื่อนญี่ปุ่นเธอเคยไปแล้วรู้จักคนนี้ค่ะ เลยยัดชื่อใส่มือให้เผื่อฉุกเฉินจะได้อ้างว่ารู้จักคนไทยตั้งคนนึงแน่ะ แหะๆ) ปรากฎว่าไปเจอร้านแต่เค้าเพิ่งไปกฐินที่ตจว.ค่ะ เจอแต่ลูกชาย เฮ้อ พี่ไกด์ที่ตามต้อยๆก็เลยต้อนเราไปนิ่มๆหมดหวังหาทัวร์แล้ว ขอต่อรองถึงขีดสุด จากสองวันหนึ่งคืน100 ยูเอส กลายเป็นเงินจ๊าดสำหรับค่าเดินทางกินอยู่ที่พี่แกจะพาไปเอง ฮือๆ
ถือเป็นบทเรียนค่ะ ไกด์บุ๊คเล่มหลังๆบอกว่า ไม่ต้องหาโรงแรมไปก่อนก็ได้ แค่ไปลงที่ เจดีย์สุเหล่ ซึ่งคล้ายอนุสาวรีย์ชัยบ้านเรา เป็นวงเวียนขนาดใหญ่ที่มีโรงแรม ร้านค้ากินอยู่กระจุกรายล้อม เดินหาโรงแรมก็ง๊ายง่าย เหงื่อไม่ทันออกก็ลงมานั่งจิบน้ำชาดูคนพม่าชิลล์ๆตามถนนแล้วค่ะ (จำไว้เป็นบทเรียน)
อารัมภบทมามากแล้ว ต่อไปนี้คือแผนการค่ะ พี่ไกด์บอกว่าจะให้ถูกสุดๆ ยูต้องปลอมเป็นคนพม่าเสียด้วย แกจะพาไปนั่งรถทัวร์ เพราะระยะทางไกล ช่วงนี้มีคนไปทอดกฐินมากอยู่ พอเนียนๆได้อ่ะนะ ว่าแล้วก็จัดแจงจดที่อยู่โรงแรมให้เราเอาไว้กลับกะแท๊กซี่แล้วพาเดินไปส่งที่เจดีย์ชเวดากองต่อ
เช้าวันรุ่งขึ้น ออกเดินทางตอน 8 โมงเช้าค่ะ ไปนั่งที่ท่ารถ เกือบ11โมงก็เพิ่งได้ตั๋ว คนพม่าเวลาช่างเหลือเฟือจริง แถมเรายังต้องนั่งใบ้ๆ เอากล้องมายกถ่ายรูปก็ไม่ได้ เพราะพม่าที่ไหนจะมีกล้องดิจิตอลดูหรูหราเตะตาคนขายตั๋วยิ่งนัก จนแอบถ่ายได้ตอนขึ้นไปนั่งปร๋อบนรถแน่ะค่ะ
นั่งฟังอิริค แคลปตันเอย แอโร่วสมิธเอย พากันครวญเพลงเวอร์ชั่นพม่ากันเพลิดเพลิน เย็นย่ำโพล้เพล้แล้วจึงได้ถึงหมู่บ้านขิ่นปุ้น เมืองไจ้ก์โถ่ อันเป็นฐานในการเดินขึ้นเขาค่ะ
พาเดินตลาดและกินโมฮิงก่าไปแล้วในบล็อกเก่า มาหนนี้พามาดูที่่พักนะคะ ดีนะเนี่ยที่ตาไกด์แกจองคนละหลัง ไม่งั้นเห็นทีต้องหนีเสียแล้ว ห้องพักเป็นหลังๆ ราคาถูกสุด ณ ยามนี้ก็โดนไป 15 ยูเอสค่ะ อย่าไปหวังเลยโรงแรมคนไทยที่บนยอดเขา หรือแม้แต่รีสอร์ทหรูกลางทาง เพราะเกิน 25 ยูเอสไปแล้วค่ะ
สภาพห้องพักกว้างมาก มีราวตากผ้าด้วยแน่ะ ได้ซักผ้าซะเลย

รุ่งเช้าตื่นเช้ามากๆตีห้ากินข้าวเช้าเสร็จก็รีบไปเข้าแถวเตรียมซื้อตั๋วขึ้นรถกระบะเลยค่ะ รถกระบะเอาไม้กระดานพาดขวางๆถี่ๆพอให้นั่งเข่าชนหลังกันไปได้ คันนึงไปได้ร่วมยี่สิบสามสิบคนแน่ะ ตอนต้นทางไม่ได้ถ่ายรูปค่ะ ต้องเป็นใบ้ด้วย ไม่งั้นถูกโขก คนไทยส่วนใหญ่เค้ามาทัวร์กันค่ะ ทัวร์จะจองโรงแรมกลางเขา รึไม่ก็บนเขาหน้าทางเข้าไว้แล้ว ไม่ต้องมานั่งหวาดเสียวชวนตกเขาเยี่ยงนี้ค่ะ ใครจะมาเที่ยวกับทัวร์ไม่ต้องตกใจไป แต่ถึงตอนรถออก รถเหวี่ยงไปมา หนุ่มสาวพม่าหวีดหวาดพอสนุกสนาน ไม่กล้าถ่ายรูปอยู่ดีเพราะกลัวกล้องหลุดกระเด็น
รูปที่ปลายทางสถานีขนส่ง แสงกำลังสวยค่ะ 6-7 โมงเช้าได้แล้ว


หลังจากนี้ก็เดิน เดิน เดิน ค่ะ ระยะทางไกลคดเคี้ยวนั้นไม่เท่าไหร่ แต่ความชันเกือบ45องศานี่สิ เดินทีก็ต้องขอพักที มีร้านน้ำอ้อยให้แวะกินรายทางค่ะ นั่งดูคนไทยคนญี่ปุ่นนั่งเสลี่ยงเป็นคุณท้าวนางในกันเพลินตาดีค่ะ มีลูกหาบรับแบกคนใส่กระบุงหลังด้วย เสียดายชักภาพไม่ทัน


นี่ค่ะโรงแรมหรูกลางป่า ราคา25-40 ยูเอสต่อคืนเชียวนะ ใครจะมาเที่ยวพระธาตุอินทร์แขวน อาจเห็นราคาแอบโหดก็ต้องทำใจนะคะ ความสะดวกสบายต่างกันลิบลับ เดินขึ้นไปถึงตีนเขา สบตากับฉิ่นตีแล้วจึงได้รู้ว่า มีรถกระบะขึ้นมาส่งนักท่องเทียวถึงปากประตูด้วยแน่ะ หันขวับไปมองอีตาไกด์อย่างเจ็บแค้น พี่แกบอกว่าเดินขึ้นเขาน่ะดีแล้ว บุญเยอะดี

เอาป้ายโรงแรมไปด้วยนะจ๊ะ จะได้เช็คราคากับทัวร์ที่จะจัดได้ เพราะที่นี่ มีโรงแรมที่สะดวกสบายแค่สองแห่งเท่านั้นเองค่ะ เจ้าของน่าจะเป็นคนไทยนะ อีกอันแพงกว่าเพราะอยู่ติดประตูทางเข้าเลยค่ะ วิวยามเช้าสวยมากๆ(แอบไปเดินดูวิวด้วยค่ะ)ดีอีกอย่างตรงที่กลางคืนจะเดินมาเที่ยวชมพระธาตุได้บ่อยเท่าที่ต้องการด้วยค่ะ ซึ่งถ้ามาแบบปอนๆอย่างเราคงเป็นไปไม่ได้เพราะเค้าห้ามชาวต่างชาติพักอ้างแรมปุบปับโดยไม่แจ้งทางการค่ะ

โรงแรมแสนสบายใกล้ประตูทางเข้า เสียดายไม่ได้ถ่ายรูปแต่ถ้าเช็คโรงแรมกับทัวร์ก่อนมา ก็คงเป็นอีกโรงแรมหนึ่งนั่นแหละค่ะ

เดินลัดเลาะไปตามหมู่บ้าน เห็นเขาใส่บาตรพอดี อนุโมทนาบุญด้วยค่ะ (ตอนนี้หอบแฮ่กๆอยู่ พี่ไกด์แกบอกว่าใกล้ถึงแล้ว ไม่ให้พักแล้วหง่ะ)

เดินผ่านร้านยาดองด้วย เจอยาดองสูตรป๊าป่า....มีหัวแพะโชว์ด้วยค่ะ มุดๆหลังคาเต้นท์มืดๆมาตามทาง เงยมาเห็นแพะแค่หัวกับกีบ เหวอไปเล็กน้อย
ไม่ได้ถ่ายรูปนะคะ กลัวคนขายเสือกหัวแพะปรี๊ดมาให้เหมือนถาดห่านย่างในบล็อกที่แล้ว ใครจะตุ๋นยาโป๊วยาจีน เห็นทีจะมาหาเครื่องเคราใส่หม้อได้ครบกันเลยเชียว ดีหน่อยที่เป็นของแห้งทั้งนั้น ไม่มีกลิ่นเหม็นคาวค่ะ แค่อับๆเพราะฝนเพิ่งหมาดๆเอง
ทำใจลำบากมากตอนที่เดินผ่านร้านโมฮิงก่าน่ากิ๊นน่ากิน พี่ไกด์ไม่ยอมแวะให้เติมพลังกันเลย(ของเช้าย่อยไปหมดแล้วอ่ะ)
อิ่มบุญไปเลย นึกว่าถึงแล้ว เจอพระธาตุองค์เล็กนี่แทนค่ะ

ไม่เป็นไร เดินต่ออีกนิด ไหนๆก็มาจนขนาดนี้แล้ว เดินอีกเกือบครึ่งชั่วโมงก็เจอประตูทางเข้าหน้าวัดแล้วค่ะ

มีช่องขายตั๋วด้วยค่ะ ตั้งใจไปซื้อจริงๆนะ แต่คนขายไม่อยู่ เลยเนียนๆเดินตามเขาเข้าไป

คนเยอะมาก วันนี้เค้ามาปูเสื่อจองที่ไว้นอนตอนค่ำด้วยค่ะ จะมีสวดมนต์กันตอนกลางคืนด้วย

พระธาตุอินทร์แขวน ที่คนพม่าเรียกขานกันว่า ไจ้ก์ทีโย ก้อนหินทอง สวยงาม อะเมซซิ่งทุกมุมมอง มีข้อห้ามสำหรับสตรีนะคะ ไม่สามารถเข้าไปยืนปิดทองได้เอง เลยต้องฝากพี่ไกด์ไปแปะให้ค่ะ ส่วนเราต้องออกมายืนตรงนี้ที่มีผู้ญิงนั่งกันแถวนี้ เพราะเป็นมุมที่ใกล้ที่สุดแล้วค่ะ



พี่ไกด์แกยืนสู้กล้องเต็มที่ หารู้ไม่ว่าเราตั้งใจจะถ่ายรูปช่องว่างใต้ก้อนหินที่สามารถโยกได้ไหวได้อีกด้วยแน่ะ จะเห็นว่าจุดที่วางแตะกัน มีพื้นที่นิดเดียวจริงๆ

มุมนี้ไปยืนที่ทางเดินรอบใต้ก้อนหินค่ะ หวาดเสียวมากๆ เกิดว่าท่านจะร่วงผล็อยตอนที่ฉันยืนอยู่ตรงนี้พอดี จะทำยังไงหล่ะเนี่ย?

ทางเดินโดยรอบชมวิวสวยงามจริงๆค่ะ ทางเดินกว้างขวางจริงๆ อากาศดีๆอย่างเช้านี้ สามารถมองได้ไกลไปถึงฝั่งไทยเลยค่ะ



ประวัติความเป็นมา ของพระธาตุอินทร์แขวน หรือไจ้ก์ทีโย สมัยก่อนเจ้าเมืองท่านมีโอรสสององค์ค่ะ ต่างไม่อยากครองราชย์ทั้งสององค์ หนีไปบวชกับฤาษีเสียทั้งคู่ในป่าชานเมือง ต่อมานางนาคตนหนึ่งที่อยู่กินกับมนุษย์มาออกไข่สองฟองทิ้งไว้ใกล้ๆ สองฤาษีมาพบเข้าก็แบ่งกันไปเลี้ยงคนละฟอง ต่างก็เป็นเด็กชายทั้งคู่ค่ะ เด็กคนน้องตาย เกิดใหม่เป็นเป็นศิษย์เรียนธรรมกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ระลึกชาติได้จึงกราบนิมนต์พระพุทธองค์ขอให้เสด็จมาโปรดฤาษีผู้ชุบเลี้ยงทั้งสอง เมื่อจะเสด็จกลับจึ่งประทานพระเกศาให้ตนละเส้น ฤาษีผู้น้อง เอาไปบรรจุเจดีย์ให้คนบูชา ส่วนผู้พี่เก็บไว้ในหมวกตน เด็กชายคนพี่ ต่อมาได้ครองราชย์เป็นกษัตริย์เมืองนี้ มีผู้คนอยากกราบไหว้พระเกศา มาร้องเรียนขอให้ท่าน มาขอร้องให้ฤาษีท่านนำมาบรรจุด้วยกันไว้ในเจดีย์ แต่ฤาษีผู้พี่ก็ไม่ยอมและบอกว่าจะบรรจุแต่ในเจดีย์ที่ตั้งบนก้อนหินที่มีรูปร่างเหมือนหมวกของตนเท่านั้น ทราบถึงพระอินทร์จึงเหาะไปเสาะหาก้อนหินที่ว่าจากใต้ทะเล นำขึ้นมาวางไว้บนยอดเขา จึงได้บรรจุเป็นพระธาตุอินทร์แขวนด้วยประการ ฉะนี้ มีอีกตำนานเกี่ยวกับพระธาตุค่ะ เรื่องของนางชเวนันจิน บุตรนางนาคกับมนุษย์ ที่ฤาษีฝากชาวบ้านเลี้ยงจนโตเป็นสาว ออกเรือนแล้วป่วยหนัก จึงจะไปกราบฤาษีและองค์พระธาตุ ระหว่างทางถูกเสือไล่กัด ก่อนจะสิ้นได้อธิษฐานว่าหากไม่รอดจะขอเป็นวิญญาณดูแลและช่วยเหลือผู้คนที่เดินทางมานมัสการพระธาตุค่ะ เสียดายตอนที่ไปเที่ยวไม่ทราบประวัติส่วนนี้ จึงไม่ได้เน้นไปกราบไหว้รูปปั้นนางชเวนันจินที่อาคารใกล้ๆบันไดค่ะ คนเยอะมากๆด้วย เชื่อกันว่าถ้าเจ็บไข้ส่วนใดในร่างกาย ก็ไปลูบส่วนนั้นที่รูปปั้นแล้วอธิษฐานขอพร จะทำให้หายป่วยได้ค่ะ แต่นอกจากนางชเวนันจิน ก็ยังมีนัตองค์อื่นๆให้บูชาอยู่รายรอบค่ะ มีรูปปั้นประวัติฤาษีอยู่ด้วยค่ะ ปั้นให้สีสวยสดงดงามดีแท้


อยู่ในรัฐมอญ แน่นอนค่ะ ต้องมีเสาหงส์ อันเป็นเอกลักษณ์ของชาติ

เดินไปชมวิวด้านใน เรื่อยๆจะเจอวัดและหมู่บ้าน ร้านค้าค่ะ กำลังเตรียมตัวรับคนที่กำลังทะยอยกันมาทอดกฐิน อยากอยู่ถึงกลางคืนจริงๆค่ะ เสียดายมากที่อยู่ได้แค่ถึงเที่ยง หนหน้ายอมเสียเงินนอนโรงแรมหน้าประตูวัดดีกว่านะ แต่ถ้าจะให้ดี เราอยากพักที่โรงเตี๊ยมในหมู่บ้านมากกว่า (รูปอยู่ในบล็อกเก่าค่ะ) น่าอยู่ กระทัดรัดมากๆ ถูกใจสไตล์โฮมสเตย์เลยเชียว



ป้ายเก๋ๆภาษาพม่า จำไม่ได้แล้วว่าเขียนว่าอะไร (ไม่กล้าแปลเดี๋ยวเผื่อมีใครอ่านออกจะมาแย้งให้หน้าแตกได้ค่ะ >)
ถึงเวลากลับแล้วค่ะ ขากลับลงมาเก็บกระเป๋าที่ฝากไว้ที่โรงแรม ได้นั่งรถแอร์ขากลับแล้วค่ะ ไม่ต้องปลอมตัวแล้ว เสร็จสิ้นภารกิจแล้ว นั่งชิลล์ๆริมหน้าต่างได้แอบถ่ายรูปเมืองมอญด้วยค่ะ แต่พี่ไกด์รีบห้ามตอนหันมาเห็นจะถ่ายตรงสะพานข้ามแม่น้ำค่ะ กลัวทหารเห็นแล้วจะถูกจับ ภาพเลือนๆหน่อยเพราะถ่ายผ่านกระจกรถนะคะ

หน้าบ้านนี้ ทำแปลงปลูกผักบุ้งด้วยค่ะ น่ารักดี

สะพานข้ามรัฐค่ะ เห็นทหารเดินอยู่ใกล้สะพานด้านล่าง มีเรียกตรวจบัตรคนขับด้วยเป็นระยะค่ะ (โชคดีนะเนี่ยเอากล้องลงทัน)

ปิดท้ายก่อนจบบล็อค ได้แวะวัดกลางทางค่ะ ใกล้เข้าเขตเมืองพะโค หรือ หงสาวดี แล้วค่ะ รูปแบบวัดชาวบ้านที่สวยแปลกตาไปจากบ้านเรา มีพระพุทธรูปประธานปางแปลกตาดีค่ะ เหมือนท่านนั่งเอกขเนกอยู่เลยค่ะ



แวะอุดหนุน ข้าวโพดต้ม สักมัดสองมัดด้วยนะคะ

จบตะลอนทัวร์พระธาตุอินทร์แขวนภายในหนึ่งวันกับหนึ่งคืนแล้วค่ะ ไว้จะปิดท้ายเที่ยวพม่าหนนี้ที่เมืองหลวงเก่า ย่างกุ้ง วันกลับเมืองไทยค่ะ




 

Create Date : 28 พฤษภาคม 2555    
Last Update : 29 พฤษภาคม 2555 0:57:30 น.
Counter : 2964 Pageviews.  

หนึ่งทัชมาฮาล สองยอดเขา สามที่สุดในโลก ทุกอย่างนี้รวมอยู่ที่เมียนม่าร์

จั่วหัวเสียน่าตื่นตาตื่นใจ ขอเริ่มต้นที่หนึ่งยอดเขาก่อนค่ะ นั่นคือ เขามัณฑะเลย์น่ะเอง ในหนนี้ย้อนเวลาก่อนไปเมืองบะกั่นด้วยการเดินทางแบบแอบหรู สายการบินเมียนม่าร์แอร์พาเราบินปรู๊ดจากย่างกุ้งมาจอดที่เมืองมัณฑะเลย์ภายในเวลาราวสามสี่ชั่วโมง
จากการสอบถามไกด์ถึงที่พักและการเที่ยวรอบเมืองมัณฑะเลย์ ได้ความว่าโรงแรมใจกลางเมืองที่แสนสะดวกและสะอาดสะอ้านนั้นอยู่ที่ ตลาดเซโจ ชื่อโรงแรมเซโจ เช่นกัน สนนราคาที่พี่ไกด์จากย่างกุ้งช่วยต่อรองให้ ทำให้เราได้ห้องพักดีๆในราคา $15ต่อคืน ออกจะแพงหน่อยแต่หลังจากเคล็ดขัดยอกด้วยการเดินเท้าขึ้นไจ้ก์ทีโย ฉันเลยยอมจ่ายราคานี้แบบไม่คิดอะไรอีกแล้ว
ขอแนะนำนะคะ โรงแรมนี้ใช้ได้จริงๆและหาทางกลับมาที่พักได้ง่ายมากๆเลย เพราะตลาดเซโจเป็นตลาดใหญ่ ตกกลางคืนก็เป็นตลาดโต้รุ่งด้วย แม้ว่าทางเข้าโรงแรมอาจหายาก เพราะต้องแหงนมองดูจั่วโรงแรมที่ชั้นสอง ทางขึ้นก็บรรยากาศเหมือนเดินเข้าโรงแรมอินทรายุคก่อนปรับปรุงเลยค่ะ
ไปถึงมีเวลาครึ่งวันบ่ายเลยเลือกเรียกกระป๊อมาพาเที่ยววัดในเมืองมัณฑะเลย์ซะเลย
ที่เที่ยวในตัวเมืองมัณฑะเลย์ สามารถเที่ยวแบบสบายๆแค่ครึ่งวันก็หมดแล้วค่ะเพราะกระจุกอยู่ที่บริเวณเขามัณฑะเลย์นั่นเอง หนนี้ พระราชวังมัณฑะเลย์ปิดปรับปรุงหลายส่วน เกรงว่าค่าตั๋วชมจะไม่คุ้มจ่ายเลยงดเที่ยว ที่แรกที่กระป๊อมัณฑะเลย์พาไปเที่ยวคือ วิหารทองคำหรือ ชเวนันดอ จาวน์ ค่ะ เป็นพระราชตำหนักของพระเจ้ามินดง ที่ภายหลังพระเจ้าสีป่อราชบุตรได้ถวายให้แก่วัด มีประตูรั้วทาสีแดงสวยงามปิดกั้นจากถนน


แลเห็นวัดสวยงามขนาดใหญ่อยู่ฝั่งตรงข้ามถนน(วงเวียน)นั่นคือ วัดอะตุ๊มาชี

เข้ามาด้านใน สองฝั่งถนนจะมีรั้วไม้แดง ฝั่งหนึ่งคือวิหารทองคำ อีกฝั่งคือร้านค้าขายของที่ระลึก ถ้าคำร่ำลือถึงความวิจิตรตระการตาของงานไม้แกะสลักพม่าเป็นสิ่งที่นักท่องเที่ยวต้องการพิสูจน์ละก้อ วิหารทองคำแห่งนี้เป็นเครื่องการันตีถึงฝีมือครูช่างพม่าได้เป็นอย่างดี





งานแกะสลักอิริยาบทต่างๆของมนุษย์ ยักษ์ ลิง และเหล่าสิงสาราสัตว์ ทั้งผสมผสานตามจินตนาการ ประดับบนบานประตู ถ่ายภาพในแดดบ่ายได้บรรยากาศราวกับมีชีวิต

ภายใน มีงานไม้แกะสลักประดับประดามากมาย มีบุษบกประดิษฐานพระพุทธรูปตรงกลางแท่น ทำเลียนแบบสีหาสนบัลลังก์ขององค์กษัตริย์แห่งพระราชวังมัณฑะเลย์ งานไม้ต่างๆปิดทองอย่างวิจิตร ดูเรื่อเรืองแม้ยามแดดบ่ายก็ยังดูสว่างไสว กล่าวกันว่าแต่เดิมได้ปิดทองทั้งวิหาร จึงเป็นที่มาของชื่อวัดนี้ แต่ปัจจุบันทองกร่อนไปเกือบหมดแล้ว จึงเห็นเนื้อไม้และลายแกะสลักอย่างชัดเจน
ข้ามฝั่งไปเที่ยวชมวัดอะตุ๊มาชีกันต่อ ถ้าจะกล่าวว่างานไม้แกะสลักที่วิหารทองคำ ถือเป็นงานศิลป์ขั้นเทพของครูช่างพม่า งานปูนปั้นประดับรอบอาคารวัดแห่งนี้ ก็อลังการขั้นเทวดาอยู่มิใช่น้อย แดดบ่ายคล้อยลงไปมาก แลเห็นมิติความลึกของงานปูนปั้นที่ดูสมบูรณ์แบบไปแทบทุกมุม




ด้านใน เพดานประดับประดาด้วยไม้สักทองเต็มขนาดพื้นที่ สวยงามมาก

วัดถัดมา อยู่ในบริเวณใกล้เคียงกันค่ะ นั่นคือ วัดกุโสดอ ที่นี่มีแผ่นหินอ่อนแกะสลักข้อความในพระไตรปิฎกภายหลังการสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ 5 อยู่รายรอบ มีการสร้างซุ้มสำหรับแผ่นหินเหล่านี้พร้อมประตูรั้วปิดอย่างดี
เจดีย์ประธาน สร้างเลียนแบบ เจดีย์ชเวสิกองของบะกั่นค่ะ


เจอสาวพม่าขายโปสการ์ดที่นี่ เธอเลยพาไปนั่งคุยกับคุณลุงที่มานั่งอยู่ในวัด ลุงแกเคยมาทำงานที่เมืองไทยตอนหนุ่มๆ เลยพูดไทยได้ ทำให้ได้รู้ว่า คนพม่าเรียกคนไทยว่า โยเดีย กร่อนเสียงมาจาก อยุธยาค่ะ

ต้นพิกุลโบราณ อายุราว 250 ปี เขาติดป้ายไว้ เรียกว่าต้น STAR FLOWER TREEค่ะ

ถัดมา ก่อนขึ้นไปดูพระอาทิตย์ตกที่ยอดเขามัณฑะเลย์ ไปต่อกันที่ เจดีย์เจ้าต่อจี๋ ที่นี่ สร้างตามแบบวัดอนันดาของเมืองบะกั่น รายรอบไปด้วยเจดีย์สีขาวเป็นร้อยๆองค์ เห็นยอดเขามัณฑะเลย์โดดเด่นแต่ไกล



ถึงเวลาขึ้นเขาซะที บอกให้กระป๊อมารับ แต่คนขับไม่สามารถพูดอังกฤษได้ เงาแห่งความยากลำบากทาบทับตัวเราอีกแล้วหนอ นึกถึงทางเดินลาดชันของไจ้ก์ทีโย(พระธาตุอินทร์แขวน)แล้ว ที่นี่ยังจิบๆนัก ทำใจได้แล้วก็เดินชิลล์ๆเก็บบรรยากาศตามกลุ่มแม่ชีไปเรยย์

เจอ ฉิ่นตี (สิงห์คู่) ที่ตีนบันได ลังเลอยู่สักพัก เพราะไม่เห็นมีใครขึ้นเลย ไต่บันไดขึ้นพอพักเหนื่อยสามยกก็ถึงลานวัดด้านบนเวลาโพล้เพล้พอดี





ถึงเวลากลับโรงแรมนี่สิซวยของแท้เลย มาเที่ยวคนเดียว เปลี่ยวใจก็ตอนนี้แหละจ้ะ หาคนขับไม่เจอเพราะสื่อสารกันไม่รู้เรื่อง แถมปากหนักกว่าจะโบกรถเค้าลงมาได้ก็มืดแล้ว นักท่องเที่ยวเค้ามากันเป็นกรุ๊ปทัวร์มีรถรับกลับ ความที่เข้าใจไปเองว่าคงจะมีรถเมล์ลงเขา ปรากฏว่าชาวบ้านที่เขาขึ้นมา เขามานอนค้างกันที่นี่ คนต่างชาติถ้าจะนอนค้างอ้างแรมนอกสถานที่ เป็นเรื่องใหญ่ต้องรายงานทางการ หากชาวบ้านรับโดยไม่แจ้งก่อน มีโทษถึงโดนจับได้ค่ะ เจอชาวบ้านขับปิคอัพลงเขา ติดรถเขามาที่ลานข้างบันไดฉิ่นตี นึกว่าเขาเมตตาให้ติดรถฟรีๆ ที่ไหนได้โดนโขกไป$10ฮือๆ ....ซึ้งน้ำใจคนเมืองหลวงเก่าจริงๆ ถือซะว่าโชคดีที่ไม่มีอันตรายละกัน
กลับถึงโรงแรม คนขับรถยืนเด๋ออยู่ข้างพนักงานโรงแรม ได้ความว่า แกเข้าใจว่าฉันจะมารอขึ้นรถที่ตีนบันไดฉิ่นตี แถมยังจำหน้าเขาไม่ได้ รถก็จำสีไม่ได้ เฮ้อ!
เดินเที่ยวตลาดกลางคืนไม่มีอะไรน่าซื้อ เพราะเสียตังค์ไปแล้ว $10 เลยอิ่มใจขึ้นนอนดีกว่า
ตื่นเช้าตามนัดกับแท๊กซี่ตอนตีสามค่ะ ที่ต้องเช้ามากๆอย่างนี้เพราะอยากไปให้ทันพิธีล้างพระพักตร์พระมหามัยมุนี พระพุทธรูปที่เชื่อว่าได้รับลมหายใจของพระพุทธองค์เพียงหนึ่งเดียว เป็นพิธีกรรมโบราณที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนาน สะลึมสะลือบนแท๊กซี่จนถึงวัดราวตีห้า (วัดอยู่นอกเมืองค่ะ) ชาวบ้านนั่งรอเต็มไปหมดเลยค่ะ เป็นผู้หญิงปิดทององค์พระเองไม่ได้ จึงต้องฝากพี่คนขับแท๊กซี่ช่วยปิดทองให้แทน

ตามประวัติ พระเจ้าปะดุง กษัตริย์พม่าไปตีเมืองยะไข่แตก จึงชลอ พระมหามัยมุนี องค์นี้มีประดิษฐานที่เมืองอมรปุระ ซึ่งเป็นเมืองหลวงในสมัยนั้น ชาวบ้านจึงเรียกวัดนี้ว่า วัดยะไข่ แทบทุกตารางนิ้วขององค์พระ ถูกปิดทองจนหนากลมไปหมด เว้นแต่พระพักตร์เพราะมีพิธีล้างหน้าและขัดจนทองอร่ามไปทั้งวงพักตร์ พระผู้ทำพิธีคือ เจ้าอาวาสวัดสืบทอดตำแหน่งนี้ตลอดมา ทุกวันเวลาตีห้าตั้งแต่โบราณ
ชาวบ้านที่ศรัทธาจะนำผ้าขนหนูผืนใหม่มาถวายวัด เพื่อว่าเจ้าอาวาสจะได้นำผืนผ้ามาเช็ดพระพักตร์ ขั้นตอนนี้ยาวนานมาก เพราะพระต้องใช้ผ้าของชาวบ้านให้ครบทุกผืน เพื่อให้ชาวบ้านเอาลับไปบูชา ส่วนน้ำอบน้ำปรุงที่ใช้ล้างพระพักตร์นั้น ทางวัดเอามาทิ้งไว้จนตกตะกอน เอาตะกอนไปตากแห้งแล้วบดทำผงแจกจ่ายแก่ชาวบ้านไปบูชา ความที่ฉันไม่ได้ทำการบ้านในข้อนี้ จึงพลาดการเสาะหามาไว้บูชาอย่างน่าเสียดาย

เมื่อออกจากวัด ฟ้าก็เริ่มสางพอดีค่ะ เราไปเที่ยวเมือง สกายน์-มินกุน-อมรปุระ กันต่อ เสียดายที่ไปเที่ยวเมือง อังวะ ต่อไม่ทัน เพราะต้องเลี้ยวไปอีกทาง หนนี้จึงพลาดการไปเยี่ยม กรุงอังวะ อันโด่งดังในนิยายอิงประวัติศาสตร์ที่ชื่นชอบไปจนได้
ยอดเขาสกายน์ เขาแห่งที่สองของบทความนี้ เป็นสถานที่ที่เงียบสงบ มีหมู่บ้านเล็กหมู่บ้านน้อยรายรอบ เรานั่งรถขึ้นไปชมทิวทัศน์บนยอดเขาที่วัด ซวงอุ๊โป่งยาซิน ที่นี่มีพระพุทธรูปจำนวนมากเรียงรายรอบวิหารโค้ง ยังเช้าอยู่มาก ทั้งวัดจึงเงียบสงบและอากาศสดชื่นดีจริงๆ





ตอนที่ไป เขากำลังสร้างมหาวิทยาลัยสงฆ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกอยู่ค่ะ เพราะยังไม่เสร็จ อันนี้จึงยังไม่ใช่ที่สุดในโลกตามชื่อบล็อกนะคะ

ลงมาจากเขาสกายน์ เราเดินทางเลียบแม่น้ำอิระวดีผ่านหมู่บ้านหลายแห่งไป มินกุน นักท่องเที่ยวนิยมล่องเรือมาเที่ยวกันมากกว่าค่ะ แต่มาทางรถก็ได้บรรยากาศไปอีกแบบดีค่ะ ถ้ามากันสักสองสามคน แนะนำให้เหมาแท๊กซี่นำเที่ยวนะคะ สะดวกและเที่ยวได้หลายที่ในวันเดียวเลยค่ะ



ผ่านหมู่บ้านนี้ เค้ากำลังมีงานบวชลูกเณรค่ะ เรียก ฉิ่นปิ้ว คล้ายๆงานบวชลูกแก้วทางเหนือเลย เค้าหุงหาอาหารเลี้ยงแขกกันในทุ่งนาเลยเชียว โดยกั้นฟากแบ่งเป็นห้องๆอย่างนี้ค่ะ


แล้วเราก็มาถึง มินกุน แค่เมืองเดียว ที่นี่ก็มีสองที่สุดในโลกและหนึ่งทัชมาฮาลรออยู่แล้วค่ะ
เจดีย์มินกุน : กองอิฐที่ใหญ่ที่สุดในโลก


แม้แต่ ซากบั้นท้าย ฉิ่นตี ก็ยังมหึมา จริงๆ

มองจากบนยอดฐานเจดีย์ มินกุน ไปยังฝั่งซ้ายมือ(หันหน้าเข้าฝั่งแม่น้ำอิระวดี) แล้วฉันก็ได้เจอกับสถานที่ที่ต้องการเยี่ยมชมที่สุดของทัวร์พม่าหนนี้ นั่นคือ เจดีย์มยะเต่งต่าน หรือ ทัชมาฮาลแห่งพม่า น่ะเอง ที่เรียกแบบนี้ก็เพราะ สถานที่นี้ เป็นอนุสรณ์แห่งอาลัยรักที่พระเจ้า ปะจีต่อ กษัตริย์พม่า สร้างถวายเป็นพุทธบูชาเพื่อเป็นกุศลให้พระมเหสีของพระองค์ คือ พระนางฉิ่นปยูมยี (ฉิ่นปิ้วเมย์) ซึ่งเป็นอีกชื่อเรียกเจดีย์แห่งนี้ ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในเจดีย์ที่สวยที่สุดของพม่าเลยทีเดียว คติการสร้างนั้นเปรียบองค์เจดีย์คือเขาพระสุเมรุ อยู่ท่ามกลางคลื่นทะเลสีทันดร เรียงรายด้วยสวรรค์ชั้นฟ้าลดหลั่นลงมา มีเขาล้อมรอบเขาพระสุเมรุอยู่เจ็ดลูก แบบผังนี้เป็นคติเดัยวกับการสร้างโบราณสถานสำคัญๆในโลกอีกมากมาย เช่น เจดีย์บุโรพุทโธที่อินโดนีเซีย หรือแม้แต่ นครวัด อันโด่งดังของเขมร ที่แม้จะคนละศาสนาก็ตาม แม้เจดีย์มยะเต่งต่านจะมีขนาดเล็กกว่ามาก แต่ก็สวยมากจริงๆ





ระฆังมินกุน : ระฆังที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่ยังใช้ได้จริง
เดินทางออกจากเจดีย์มินกุนไปไม่ไกลนัก ที่นี่ได้เด็กน้อยเป็นนางแบบเทียบความใหญ่โตของระฆังให้ดูค่ะ ที่ใหญ่กว่านี้อยู่ที่พระราชวังเครมลิน ประเทศรัสเซีย แต่แตกใช้ตีไม่ได้แล้ว ที่นี่ ยังใช้ได้อยู่นะคะ แต่ไม่ได้ลองตีดูค่ะ เพราะกลัวเค้าจะว่าเอา




หลังจากอิ่มอกอิ่มใจกับการเที่ยวที่เงียบสงบ (นักท่องเที่ยวคนอื่นๆยังไม่มาเลยค่ะ) เราก็หันหน้าสู่เขตเมืองหลวงเก่าอีกแห่งค่ะ นั่นคือ เมืองอมรปุระ ที่นี่มีชื่อเสียงเรื่องผ้าไหมทอมือลายสวยนะคะ ที่ตัวหมู่บ้านร่มรื่นมาก มีหูกทอผ้าให้เห็นตามบ้านเรือนกันเลยค่ะ ที่ที่คนขับพาไปซื้อก็เป็นบ้านแม่เฒ่าคนหนึ่งค่ะ หน้าบ้านเปิดมุมเล็กด้านหน้าเป็นร้านขาย ด้านหลังก็มีหูกทอผ้าวางอยู่ด้วยค่ะ มัวแต่ชื่นชมผ้าที่คุณยายเอาออกมาอวด มีคุณตานั่งยิ้มอยู่ใกล้ๆ ลืมถ่ายรูปมาค่ะ แหะๆ ผ้าผืนนั้นยังเก็บไว้อยู่เลยค่ะ เสียดายไม่ได้เอามาสมุยด้วย เลยไม่ได้ถ่ายรูปให้ดูนะคะ
แล้วเราก็มาถึงวัดสวยๆอีกแห่งหนึ่งค่ะ อยู่ใกล้ๆกับสิ่งก่อสร้างที่สุดในโลกแห่งที่สามของพม่าน่ะเอง
วัดนี้มีชื่อว่า วัดมหากันดายน ถือเป็นวิทยาลัยสงฆ์ที่ใหญ่ที่สุดของพม่า ที่นี่สงบและร่มรื่นมาก ทำการบ้านไปน้อยอีกแล้ว เลยพลาดการเข้าไปถวายเพลพระภิกษุที่นี่อีกต่างหาก


ก็แหม..ถ้าใครมายืนมองสะพานอูเบ่งอยู่ไกลๆอย่างเราตอนนี้ คงลืมสิ่งอื่นๆไปได้เหมือนกันนั่นแหละ
สะพานอูเบ่ง : สะพานไม้สักที่ยาวที่สุดในโลก
เกิดจากการย้ายราชธานีจากเมือง อังวะ กลับมาที่เมือง อมรปุระ ของพระเจ้าพุกามแมง เมื่อขนย้ายเสร็จก็พบว่ายังมีเสาไม้สักเหลืออยู่เป็นจำนวนมาก มีขุนนางท่านหนึ่งชื่อ อูเบ่ง ได้รับหน้าที่ดูแลการสร้างสะพานแห่งนี้ ดังนั้นจึงได้เรียกขานสะพานนี้ตามชื่อท่านนั่นเอง ระยะทางยาวราว 1.5 กิโลเมตร เดินกำลังสบายๆค่ะ สายมากแล้วแต่อากาศยังไม่ร้อนมาก เดินๆอยู่ก็หัวทิ่มเกือบตกสะพาน ขนาดชาวบ้านเค้าสัญจรคล่องแคล่วถึงขั้นขี่จักรยานบนนี้ด้วยซ้ำ อายอยู่ไม่น้อยเลยค่ะ ฮิฮิ
มีพ่อค้าแม่ค้ามาวางของขายประปรายค่ะ มีกระเป๋าร้อยจากเมล็ดแตงโมขายด้วย ได้อุดหนุนภาพเขียนฝีมือลูกลุงพ่อค้าคนหนึ่งไปฝากพี่ที่ทำงานเก่า แพ็คเกจจิ้งเก๋มากค่ะ เขาม้วนภาพแล้วสอดใส่กระบอกไม้ไผ่กลวงๆส่งให้ รับประกันต่อให้เป้แน่นแค่ไหน ภาพก็ไม่มียับค่ะ มีศาลาแวะพักเป็นช่วงๆค่ะ ไปเที่ยวตอนหน้าหนาว น้ำเริ่มแล้งเป็นบางส่วน เห็นเขาเลี้ยงเป็ดและทำนาที่สันดอนกลางแม่น้ำต่าวตะหม่าน ด้วยค่ะ







ที่ปลายสะพาน มีหมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่งค่ะ ขณะที่ไปเที่ยวกำลังจะมีงานวัดค่ะ เสียงลำโพงประกาศงานบุญจากมัคฑายกดังแว่วมาให้ได้ยินตลอดเวลา ใครไม่อยากเดินจะมีเรือแจวพานั่งข้ามฟากด้วยค่ะ มีวัดเล็กๆที่มีภาพเขียนสีโบราณอยู่ที่หมู่บ้านด้วยค่ะ เสียดายไม่ได้เอาสมุดบันทึกกลับสมุยด้วยเลยจำชื่อไม่ได้ งานปูนปั้นเด่นๆที่นี่ คือ รูปปั้น นรสิงห์(คน+สิงห์)ที่สวยงามไม่แพ้วัดที่อื่นเลยค่ะ



โชคดีมีพระรูปหนึ่งกำลังอธิบายให้นักท่องเที่ยวฟังด้วยภาษาอังกฤษที่คล่องแคล่ว ได้ความว่ามีช่างเขียนภาพชาวโยเดียมาร่วมเขียนภาพจิตรกรรมฝาผนังที่วัดแห่งนี้ด้วย คาดว่าคงถูกกวาดต้อนมาอยู่พม่าเมื่อครั้งเกิดศึกสงครามนั่นเองค่ะ อดภูมิใจในฝีมือช่างบ้านเราไม่ได้เนอะ


ถึงเวลาเดินทางกลับโรงแรมแล้วค่ะ เดินทางโดยรถแท๊กซี่กลับไปถึงโรงแรมภายในเวลาไม่เกินบ่ายสามโมงเองค่ะ ได้นอนอิ่มๆพอหายง่วงก่อนตะลอนมัณฑะเลย์ยามค่ำอีกคืนค่ะ




 

Create Date : 14 มกราคม 2554    
Last Update : 15 มกราคม 2554 0:31:35 น.
Counter : 2947 Pageviews.  

ขโยกเขยกตะลอนไปในทะเลเจดีย์(ท่องบะกั่น ตอนจบ)

วันที่สองของการเดินทางเที่ยวบะกั่นโดยรถม้า โดยมีโกไจคนขับอาสาเป็นไกด์พาเที่ยวไปในตัว อากาศดีสดใส ฝนไม่ตกแล้ว ทำให้วันนี้เที่ยวได้หลายที่เลย

วัดนี้ไม่ขอลงชื่อดีกว่า เพราะเกรงจะจำผิดค่ะ แต่วัดนี้จะมีร้านรวงขายตลอดทางเดินเข้าวัด ผลงานชาวบ้านมาวางขาย มีหุ่นกระบอกและโมบายแขวนแบบต่างๆให้เลือกค่ะ



มหาโพธิ์เจดีย์ วัดนี้รูปทรงเจดีย์เป็นเอกลักษณ์จำได้ไม่มีผิดแน่นอนค่ะ ที่เจดีย์ชเวดากอง ย่างกุ้งเป็นงานปูนปั้นเขียนภาพสีลงในช่อง แต่สำหรับที่นี่คือ งานปูนปั้นเป็นลวดลายนูนต่ำค่ะ ไม่มีการลงสี สวยไปอีกแบบ

ช่วงบ่าย ไปแวะเที่ยวในเขตหมู่บ้าน มะยินกะบา ที่นี่เป็นเสมือนโรงงานทำเครื่องเขินของหมู่บ้าน หนุ่มๆสาวๆต่างพากันมาฝึกอาชีพและทำงานกันที่นี่ มีนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมเยียนเสมอๆ แต่เอ....เวลากดชัตเตอร์ต่างพร้อมใจกันก้มหน้าเลยค่ะ


ใกล้ๆกับหมู่บ้านแห่งนี้ คือ วัดมนูหะ ที่นี่มีประวัติกล่าวกันว่า เมื่อครั้งพระเจ้าอโนรธา กษัตริย์พม่าตีมอญแตกพ่าย ได้จับพระเจ้ามนูหะและมเหสีมาไว้ที่หมู่บ้านนี้เพื่อเป็นเชลย แม้ว่าทั้งสองพระองค์จะได้อยู่สุขสบายตามสภาพ และสามารถทำนุบำรุงพระศาสนาได้ตามศรัทธา

ดังนั้น พระองค์จึงได้สร้างวัดมนูหะโดยมีนัยยะแอบแฝงอยู่ ด้วยความคับแค้นในสถานะเชลยของตน พระองค์ได้สร้างพระประทานขนาดใหญ่คับพื้นที่อุโบสถด้านใน เป็นที่มาของชื่อที่เรียกขานพระองค์นี้ว่า 'พระอึดอัด' ขอบอก หามุมถ่ายภาพได้ยากจริงๆค่ะ กว่าจะได้ภาพมุมนี้มา แทบจะนอนราบกับพื้นอุโบสถเลยแหละ

ถัดไปยังมีพระพุทธรูปขนาดใหญ่ให้ชมอีก 2 องค์ค่ะ เป็นพระพุทธไสยาสน์ องค์นี้ก็ดูอึดอัดเหมือนกัน แต่มีข้อสังเกตว่าจะมีมุมที่ดูแล้ว พระองค์นี้ยิ้มได้ กับอีกมุมที่ดูหน้าบึ้ง ถือเป็นการแสดงฝีมือช่างของหมู่บ้านนี้ได้เป็นอย่างดีทีเดียว


มีรูปปั้นนัตผู้หญิงนั่งบนหลังหงส์ที่สวยงาม หงส์เป็นสัญลักษณ์หนึ่งของชนชาติมอญ


นัตอีกสามตน การนับถือนัต เป็นความเชื่อที่ยังคงฝังรากลึกในศาสนาพุทธแบบพม่า ผู้ที่มีคุณความดีสูง เมื่อตาย คนมักนับถือเป็นผีนัต ชาวบ้านนิยมมาบูชาขอพรแต่ละตนแตกต่างกันไป ใกล้ๆกันกับบะกั่น ยังมียอดเขาแห่งหนึ่งที่น่าไปเที่ยว นั่นคือ เขาปุ๊ปป่า (เขาบุปผา) ว่ากันว่ามีการสร้างรูปปั้น นัต ทั้งสามสิบเจ็ดตนไว้ที่นั่น เวลามีงานกฐินจะจัดงานคึกคักสนุกสนานมาก หนนี้ยังไม่ได้ไปค่ะ เสียดายเหมือนกัน
ใกล้ๆกันนี้ ยังมีวัดนันพญา ซึ่งไม่ใช่สถาปัตยกรรมแบบพม่าเพียงอย่างเดียว คงมีช่างมอญมาร่วมสร้างด้วย สังเกตจากลวดลายที่บานหน้าต่าง เก็บภาพมาให้ชมสองแบบ



ต่อมาเป็นสถานที่สำคัญ วิหารธรรมยางจี มีขนาดค่อนข้างใหญ่โตและยังสร้างไม่เสร็จดี ยังคงพบร่องรอยเครื่องมือช่างอยู่ในบริเวณวิหาร สร้างโดยพระเจ้านอระตู่ กษัตริย์ลำดับ 5ของอาณาจักรพุกาม ขึ้นชื่อว่าเคร่งครัดในการก่อสร้างเป็นยิ่งนัก อิฐต้องถูกเรียงอย่างสนิทแน่น ถ้าตรวจพบว่าช่างคนใดก่ออิฐมีช่องว่างแม้เพียงเส้นด้ายบางๆ ช่างคนนั้นจะถูกลงโทษโดยการตัดแขนทิ้ง!!!

ด้านในของวิหารนี้ค่อนข้างกว้างกว่าเจดีย์อื่นๆที่ปีน หรือเข้าไปข้างในได้ ที่แปลกตาคือ เจดีย์แห่งนี้มีโถงทางเดินสูงสองชั้น และพบบันไดขนาดค่อนข้างกว้างอยู่ด้านหนึ่งของทางเดินด้วย (ขณะที่บันไดสำหรับปีนด้านในเจดีย์องค์อื่นๆ จะมืดและแคบ บางที่ต้องเข้าไปทีละคน ทั้งลอดทั้งคลานก็มี เวลาเที่ยวบะกั่น ต้องใส่รองเท้าที่ถอดสะดวกและไม่ควรใส่ถุงเท้าเพราะจะเปื้อนฝุ่นแดงใช้ไม่ได้ไปเลยค่ะ เสื้อผ้าก็แดงเถือกไปทั้งตัว )


สองศิลปินหนุ่มพม่า สาธิตการลงโทษที่แท่นหินด้านหลังพระพุทธรูป โดยแท่นหินนี้จะเซาะร่องเป็นเบ้าให้นักโทษวางท่อนแขนลงไปแล้วผู้ลงดาบจะฟันฉับลงไปตามรอยบาก เสียดายที่ช่วงนั้นไม่ได้พกขาตั้งกล้องไป ภาพเลยหลอนๆให้บรรยากาศดีแท้

ออกจากวิหารธรรมยางจี เราก็ขโยกเขยกไปกับโกไจ เที่ยวตามทุ่งเจดีย์ ปีนขึ้นไปถ่ายรูปด้านบนอย่างสนุกสนาน บางแห่งจดชื่อไว้แต่ถ่ายภาพไปเยอะมาก เลยเบลอจนจำผิดจำถูก เพราะไม่อยาดพลาดบรรยากาศในการท่องเที่ยว ขอละเว้นการระบุชื่อเจดีย์ที่เหลือละกัน (แหะๆเดี๋ยวเขียนผิดน่ะเอง )



ในหลายๆที่ จะพบศิลปินขายผลงานภาพเขียนเลียนแบบภาพเขียนสีด้านในเจดีย์เหล่านี้ประปราย คนนี้พบตั้งแต่เมื่อวาน เป็นเพื่อนของโกไจ งานเขียนฝีมือไม่แตกต่างกันมาก ราคาภาพจะขึ้นกับขนาดและเทคนิค มีตั้งแต่ 5 - 25 ดอลล่าร์ ต่อรองเก่งก็ลดได้เยอะ ภาพเขียนสีลงบนผ้าขาว บ้างก็เป็นขาว-ดำ แบบที่แพงคือภาพเขียนสีและลงทรายประดับ สวยและละเอียดลออมาก ราคาเกิน 10 ดอลล่าร์ต่อผืน ม้วนได้เหมือนกัน เพราะเขาบอกว่าซักได้ เผลอไปซักแบบทราย เพราะขอบผ้าดำเปื้อน ผืนลงทรายสองชิ้นที่เอามาเลยกร่อนไปบางส่วน แต่มองโลกในแง่ดี ก็ดูขลังเหมือนของเก่าบนผนังเจดีย์เลยนะคะ ตอนนี้เอาสองภาพนี้ไปใส่กรอบแล้วค่ะ ป้องกันความเสียหายใดๆโดยประมาทอีก อ้อ! ศิลปินแต่ละคนจะมีอาณาเขตของตัวเอง คือจองเจดีย์ใครเจดีย์คนนั้น ดังนั้น ภาพก็ขึ้นกับว่าพบเขาที่เจดีย์ไหนน่ะเอง แต่ภาพพุทธศิลป์หลักๆ อย่างรูปมงคล 108 ประการบนฝ่าพระบาทของพระพุทธเจ้าจะพบเห็นได้แทบทุกศิลปิน

เริ่มบ่ายคล้อยแล้ว การปีนเจดีย์โดยไม่สนใจจำชื่อเป็นเรื่องสนุกสนานมากค่ะ เริ่มสนใจแต่ทิวทัศน์มุมสูงมากกว่า ลมเย็นๆพัดพอให้เหงื่อระเหย เราก็ย้ายไปปีนเจดีย์อื่นต่อ จนช่วงเย็น โกไจก็พาไปดูจุดชมวิวพระอาทิตย์ตกที่ขึ้นชื่อที่สุดตอนนี้ นั่นคือ เจดีย์ชเวสันต่อ แต่ก่อนจะมีจุดชมวิวอยู่ที่อาคารที่สูงที่สุดในบะกั่น นั่นคือ เจดีย์ตั๊ดปะหยิ่นยู(สัพพัญญู) แต่เค้าห้ามปีนขึ้นชั้นสองอีกต่อไปแล้ว เพราะองค์เจดีย์แตกร้าว ภาพล่างนี้ ถ่ายลอดซุ้มหน้าต่างอีกเจดีย์หนึ่งขึ้นไป

รูปเงาสวยๆมองผ่านซุ้มทางเดินโค้งก่อนถึงองค์เจดีย์

มุมมองยามท้องฟ้าเริ่มโพล้เพล้


เจดีย์ตั๊ดปะหยิ่นยู (สัพพัญญู) อาคารสูงสุดในบะกั่น แต่ตอนนี้คงไม่ใช่แล้ว เพราะเขาสร้างหอคอยสำหรับชมวิวขึ้นใหม่เป็นทรงกระบอกแดงๆ น่าเกลียดๆ ทำลายบรรยากาศทะเลเจดีย์ไปอักโข

มองไปที่ฐานเจดีย์ เจอต้นไม้เก่าแก่ แผ่กิ่งก้านประหลาดดูแปลกตาดี

วิหารธรรมยางจี ยามอาทิตย์อัสดง แลดูขลังมลังเมลือง


เมื่อได้เวลากลับโรงแรม คืนนี้ตั้งใจว่าจะไปชมหุ่นกระบอกพม่า เสียดายที่มาไม่ตรงวันแสดง รุ่งเช้าเลยเดินมาถ่ายภาพหน้าร้านอาหารที่มีโชว์หุ่นกระบอกเก็บเอาไว้ดู เผื่อมีโอกาสได้ไปเที่ยวอีก จะได้หาเจอ จะเห็นว่าอยู่ข้างๆเจดีย์เลยทีเดียว ภาพนี้ถ่ายจากริมถนน

เช้านี้จะเดินทางกลับย่างกุ้งทางเครื่องบิน ระหว่างทางโกไจพาไปกิน โมฮิงก่า อร่อยๆพร้อมกับซื้อ กะละแปจ่อถุงใหญ่ให้เป็นของฝาก เมื่อเวลาไม่เร่งรีบ พี่ไจก็เลยพาเที่ยวหมู่บ้านที่แกอยู่เลย ผ่านโรงหนังของหมู่บ้าน เป็นโรงไม้ไผ่ที่ฝาสานทึบๆ เหมือนยุ้งฉางบ้านเราเลยค่ะ โกไจเช่าม้าสาวมาจากบ้านนายทุนคนหนึ่ง ถึงเวลาต้องให้หญ้าม้า ก็ไปเอาที่บ้านเจ้าของม้ามาให้กิน เลยได้ตามมาดูเขาเตรียมหญ้าให้ม้าด้วยเครื่องมือที่แปลกตาจากบ้านเราค่ะ

เจอละครลิงกำลังแสดงที่ลานหมู่บ้าน เด็กๆสนใจมาล้อมวงดูเจ้าจ๋อแสนรู้กันใหญ่ พอแสดงจบ เจ้าจ๋อก็ถือขันเดินไปรอบวงรับค่าชมน่ารักมากค่ะ เขาเจาะหูมันด้วย ดูๆไปก็เหมือนเด็กตัวเล็กๆมากกว่าลิงธรรมดาซะอีก ดูท่าทางจะรอนแรมกับเจ้านายไปตามหมู่บ้านกันมานาน เพราะดูเขาจะรู้ใจกันมากเลยค่ะ


ภาพโกไจ (ภาษาพม่า โก แปลว่าพี่ชาย) พี่ชายที่พาตะลอนเที่ยวกับเจ้าม้าคู่ใจ พี่ไจแก่กว่าเราแค่สองสามปีเอง แต่กินหมากซะฟันดำปี๋ เห็นนุ่งโลงจี (โสร่ง) อย่างนี้ แกปีนเจดีย์คล่องแคล่วไม่หลุดเลย อิอิอิ

แหะๆ รูปนี้ จขบ. เองค่ะ น้องนางแบบผ้าพันคอเป็นสาวน้อยข้างบ้านที่น่ารักมาเป็นแบบให้นะคะ แหม ทำคนอ่านเข้าใจผิดไปหลายคนเรยย์

สุขสันต์รับปีกระต่ายกันทุกคนนะคะ




 

Create Date : 10 มกราคม 2554    
Last Update : 11 มกราคม 2554 11:15:28 น.
Counter : 2875 Pageviews.  

หวนระลึกถึงปะกั่นในสายฝน

นั่งอ่านนิตยสารทริปเล่มล่าสุด เลยทำให้นึกอยากเขียนถึงการท่องเที่ยวของเราที่เมืองปะกั่นบ้าง ไปมาหลายปีแล้ว ไม่รู้ว่าตอนนี้ทิวทัศน์ของปะกั่นจะเปลี่ยนไปบ้างไหมหนอ?

หลังจากลงเรือเดินทางจากมัณฑะเลย์มาขึ้นที่ท่าเรือปะกั่น ใช้เวลาทั้งสิ้นจากตีสี่ถึงก็เกือบหกโมงแน่ะ
แล้วเราก็ได้เจอกับ โกไจ พี่ชายใจดีคนขับรถม้าพาเราเที่ยวตลอดสามวัน โกไจไปส่งโรงแรมเล็กๆ คิดค่าเหยียบเมืองซึ่งนักท่องเที่ยวทุกคนต้องจ่ายเมื่อมาถึงปะกั่นราวสิบดอลล่าร์ เพราะมาถึงค่ำแล้ว เราจึงต้องจ่ายที่โรงแรม เงินนี้รัฐจะเก็บเข้าหน่วยงานบำรุงโบราณสถานประจำเมืองเต็มจำนวน ทำให้ปะกั่นสามารถคงสภาพบรรยากาศดั้งเดิมได้ถึงทุกวันนี้

รุ่งเช้าฝนตกพรำระหว่างเดินทาง มีโกไจเป็นไกด์ไปในตัว วัดสำคัญๆได้แก่
วัดชเวสิกอง


พระพุทธรูปยืนด้านในวัด

พระพุทธรูปประทับนั่งกับฉากหลังแบบสามมิติสไตล์พม่า

ตามซุ้มทางเดินเข้าวัดจะมีร้านค้ามากมาย แม่ค้าทะนะคากำลังสาธิตวิธีฝนแท่งทะนะคามาใช้ให้ดูด้วยความเต็มใจ อยากซื้อโม่หินมาเหมือนกัน แต่ออกจะหนักหนาไปสักหน่อยสำหรับการตะลอนเที่ยว เลยต้องตัดใจด้วยความเสียดายก็ขนาดกระทัดรัดน่าเอามาใช้ป่นแป้งทำขนมซะจริงๆ แถมของแบบนี้บ้านเราก็หาซื้อยากเหลือเกิน

วัดต่อมา ไปแวะกินค่า-แซว่ จ่อที่เจดีย์ติโลมินโย ฝนยังไม่หยุดเลยค่ะ

เคล็ก ศิลปะปูนปั้นที่ซุ้มประตู เป็นเอกลักษณ์ของโบราณสถานเกือบทุกแห่งในปะกั่น

แวะพักยามฝนซาที่ อุปาลิเต่ง เป็นโบราณสถานขนาดเล็ก ด้านในมีภาพเขียนสีประดับทั่วทั้งผนังถึงเพดาน ต้องเปิดไฟฉายดูเลยไม่ได้ถ่ายภาพ ส่วนใหญ่จะเป็นลวดลายแบบที่พบในงานเขียนสีบนผ้าที่ศิลปินปะกั่นเอามาวางขายนั่นเองค่ะ

หอธรรมาภิบาล นี่ก็มีภาพเขียนสีสวยๆด้านใน ต้องใช้ไฟฉายส่องเหมือนกัน ขนาดเล็กมาก เพดานแทบจะชนหัวเลย แต่รูปทรงอาคารสวยงามกระทัดรัดจริงๆ โดยเฉพาะหลังคาปูนปั้นสวยคมและค่อนข้างสมบูรณ์

มุมมองทะเลเจดีย์ในอวลหมอกที่เบาบาง

ฟ้าเริ่มแจ่มขึ้นมาหน่อย สีสันอิฐที่ตัวเจดีย์ก็เจิดขึ้นมาทันตา

ความที่มีเจดีย์เยอะมาก องค์เล็กองค์น้อยเยอะไปหมด บางแห่งก็จำชื่อไม่ได้ คัดมาแต่รูปที่สวยพอลงได้



วัดสุดท้ายของวัน คือวัดที่ถือได้ว่าเป็นสถาปัตยกรรมชิ้นเอกของเมืองปะกั่นค่ะ วัดอนันดา นั่นเอง ด้วยรูปทรงเจดีย์ทรงเหลี่ยมแปลกตา แต่งแต้มสีทองอร่ามตลอดองค์ แม้ท้องฟ้าจะเริ่มโพล้เพล้ แต่ก็ยังสวยเด่นจริงๆ ที่ปะกั่นมีเจดีย์องค์ทองทรงนี้อยู่สองแห่ง นัยว่าอีกแห่งสร้างเลียนแบบที่นี่ เวลามองหาทีไร มักสับสนเสมอ ต้องให้โกไจชี้บอกวัดอนันดาทุกที

ชัดๆอีกรูปค่ะ ตรงสบชายคามีงานแกะสลักที่สวยงามประดับอยู่

ด้วยรูปทรงขนาดใหญ่ที่ฐาน ในการสร้างเจดีย์ให้มีความสูงมากๆตามความเชื่อและบารมีขององค์กษัตริย์ ทำให้ได้ฐานที่หนักและมหึมา การก่อสร้างจึงมีโครงสร้างแตกต่างกันไปสองแบบหลักๆ คือแบบมีแกนกลางรับน้ำหนักและมีช่องโพรงโดยรอบแกน กับแบบที่ไม่มีแกนกลางค่ะ วัดนี้เป็นตัวอย่างแบบแรก ซึ่งที่แกนกลางนี้ เขาประดับประดาพระพุทธรูปยืนทั้งสี่ทิศตามคติความเชื่อชาวพุทธถึงพระพุทธเจ้าทั้งสี่ พระทางด้านทิศใต้นั้นถือเป็นศิลปะแบบพุกามแท้เพียงองค์เดียวในนี้ สังเกตจากรอยยิ้มขณะที่องค์อื่นไม่มี




ทวารบาลที่ซุ้มประตู

ภาพเต็มๆของซุ้มทางเดินเข้าไปสักการะพระพุทธรูปยืนด้านในค่ะ แลเห็นพระพักต์มลังเมลืองด้วยแสงทอง

ปิดท้ายด้วยงานปูนปั้น ฉิ่นตี หรือ สิงห์เฝ้าวัด ประจำวัดอนันดาค่ะ คราบดำๆที่เกาะตามร่องช่วยให้ลวดลายดูสวยสมบูรณ์ขึ้นมากมาย

เขียนจบช่วงแรกก่อนนะคะ ที่เที่ยวในปะกั่นยังมีอีกหลายแห่ง แล้วค่อยพบกันใหม่




 

Create Date : 07 มกราคม 2554    
Last Update : 8 มกราคม 2554 11:36:43 น.
Counter : 1137 Pageviews.  

สรรหามากิน อาหารพื้นเมืองพม่าตอนที่2 กินดะจากท่ารถหวานเย็นไปถึงตีนเขาที่ไจ้ก์ทีโย

หนนี้ ขอเขียนถึงของกินเมื่อตอนปลอมตัวเป็นคนพม่านั่งรถบัสข้ามเขตย่างกุ้งไปไจ้ก์ทีโยซะเลย


ระหว่างที่อยู่เมืองย่างกุ้ง ได้ติดสอยห้อยตามไกด์คนนึงไปเที่ยวไจ้ก์ทีโย(พระธาตุอินทร์แขวน) บอกเขาเอาแบบประหยัดสุดๆ (ตอนแรกกะจะไปเอง แต่คิดสะระตะแล้วผู้หญิงคนเดียวเดินทางข้ามเขตแถมไปเมืองที่เขายังรบกัน เห็นทีจะไม่ได้นำชีวิตกลับมาด้วยเลยยอมตัดใจใช้บริการไกด์นะเนี่ย) พี่ไกด์ก็เลยให้ปลอมตัวเป็นสาวพม่าแล้วพาไปขึ้นรถบัสด้วยราคาแบบพม๊าพม่า นั่งรอเงกที่ท่ารถจาก 8.00น. กว่าจะได้ขึ้นรถก็เกือบเที่ยง เวลาของคนที่นี่ช่างเหลือเฟือจริงๆ
ตอนนั่งเซ้งที่ม้านั่งท่ารถไม่ได้เก็บภาพไว้ เพราะชาวพม่าคงไม่มีใครบ้ามายกกล้องถ่ายดะหรอก เดี๋ยวจะดูไม่เนียนแล้วก็คิดค่าโดยสารแพงก็เลยไม่ได้ชักภาพไว้ มาได้ถ่ายรูปก็ตอนนั่งบนรถทัวร์หวานเย็น (ไม่ได้ขึ้นรถแอร์เลย โธ่!ลืมไปชาวบ้านทั่วไปไหนเลยจะนั่งรถแพงหล่ะเนอะ)แอบถ่ายรูปพ่อค้าซาละเปานั่งหลบแดดรอลูกค้ามาได้สองแชะ



เห็นพ่อค้าไอติมโคนแว๊บๆแต่ว่าถ่ายไม่ได้เพราะต้องให้ พกง.เขาครีเอทเก้าอี้เสริมตรงกลาง ทางเดินรถเป็นอันถูกปิดโดยปริยายเมื่อ พกง.รถขึ้นมาเรียงเก้าอี้พลาสติกตั้งเพิ่มอีกหนึ่งแถว โอ้!ขอแค่อย่าเกิดปวดฉี่ขึ้นมากลางทางเลยนะ เพราะคงไม่ได้แวะจอดง่ายๆแน่เลย
เสียดายที่พออยู่บนรถก็แออัดสุดๆ ไอ้จะถ่ายรูปก็เกรงว่าจะล่อตาล่อใจมิจฉาชีพ เพราะมองไปทางไหนก็มีแต่กลุ่มวัยรุ่นทั้งนั้น ไกด์บอกว่าเขาจะไปทอดกฐินกัน เห็นแล้วน่าชื่นใจจัง เด็กวัยรุ่นบ้านเราคงนิยมทอดหุ่ยมากกว่าจะเข้าวัดกัน
เมื่อรถเดินทางไปได้ไม่ไกลนักก็แวะซื้อน้ำมัน โอ้!อเมซซิ่งมั่กๆ ฝาน้ำมันอยู่ตรงเราพอดี เห็นชัดๆเลยเขาเอาเหล็กข้ออ้อยมาเชื่อมเป็นสามขา แล้วเอาผ้ากรองมากรุในกรวย จากนั้นก็ลากสายยางมาแยงเข้าที่ฝารถ แล้วเอาน้ำมันมาเททีละแกลลอน นองไปเป็นวงกว้าง ไม่อยากคิดเรยหากใครเอื้อเฟื้อก้นบุหรี่ซํกมวน เราคงเกรียมได้ที่เลยหล่ะ
การซื้อขายเสร็จสิ้นในเวลาไม่นานนัก เราก็ออกเดินทางกันต่อ บนรถมีการเปิดเพลงและละคร(คาดว่าน้ำเน่าเหมือนบ้านเรา สังเกตจากท่าทางนักแสดง ประมาณแม่ผัวลูกสะใภ้ราวีกัน)ให้ดูด้วย ขอบอกเพลงที่นี่ทันสมัยมาก แบบเพลงร็อกยุค 80-90 ทั้งอีริก แคลบตัน , ไบรอัน อดัมส์ ต่างพากันร้องเพลงของตนในเวอร์ชั่นพม่ากันหมด ที่ทันสมัยมากๆก็เห็นจะเป็นภาพคอนเสิร์ตฮิปฮอปของศิลปินพม่านี่แหละ ดูหน่วยก้านแล้วคงพอๆกะไทเทเนี่ยมบ้านเราได้เลย สุดยอดจริงๆ ไม่มีเพลงก๊อบพี่เบิร์ดที่นี่เลย แบบว่าตลาดบ้านเขาแข็งแรงมาก เจาะเข้ามาขายไม่ได้เลยจริงๆ

นั่งดูวิวก็แล้ว งีบก็บ่อย แหมกว่าจะถึงจุดพักรถก่อนเข้าเขตเมืองพะโค(หงสาวดี)เวลาก็ปาไปบ่ายสามแล้ว เค้าปล่อยให้ลงหาอะไรกินกันเองก็เลยเจอเมนูเด็ดที่อร่อยจนทุกวันนี้ยังคิดถึงอยู่เลย

เมนูนี้ เรียกว่า -น่านจีโต๊ก- คำว่า โต๊ก ไกด์บอกแปลว่า คลุกด้วยมือ เป็นก๋วยเตี๋ยวยำอีกแบบหนึ่ง ใช้เส้นคล้ายเส้นเล็กโรยไก่ต้ม กับไข่ต้มครึ่งใบพร้อมผักลวก ราดน้ำซอสรสชาติหวานๆคล้ายน้ำสะเต๊ะมา เสิร์ฟพร้อมมะนาวซีกใหญ่และน้ำแกงขุ่นๆอีกหนึ่งถ้วย ตอนแรกคิดว่าน้ำแกงท่าทางจะเค็มน่าดู เพราะสีเหมือนต้มส้ม แต่พอตักกินก็ติดใจ น้ำซุปโครงไก่แท้แบบไม่ต้องพึ่งคนอร์เลยเชียว ค่าเสียหายมื้อนี้ถูกพี่ไกด์รวบยอดจ่ายไปก่อน ก้อเลยไม่รู้ว่าจานละกี่จ๊าต น่าเสียดายที่ไม่เจอเมนูนี้อีกที่เมืองอื่นๆเลย รสชาตกลมกล่อมหอมกลิ่นมะนาวจริงๆ

แอบถ่ายแม่ครัวตอนรออาหาร ท่าทางจะขายดีอย่างนี้ทุกวันเพราะลูกมือเยอะจริงๆ
กลับขึ้นรถเที่ยวนี้ เขาบอกว่าใกล้จะถึงเมืองพะโคแล้ว ที่นั่นมีสถานที่น่าแวะเที่ยวชมมากมาย โดยเฉพาะ พระเจดีย์มุเตา หนึ่งในห้าสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทางพุทธศาสนาของเมียนม่าร์ที่ต้องมาสักการะให้ครบ จึงจะได้มหากุศลยิ่ง แถมยังเป็นเมืองสำคัญเพราะมีวังบุเรงนองอยู่ที่นี่ด้วย แต่เราตั้งใจแล้วว่าจะต้องไปไจ้ก์ทีโยให้ได้ แล้วค่อยมาเก็บตกขากลับ เมื่อถึงเมืองพะโคก็เลยไม่ได้ลงเที่ยวแต่ประการใด ขณะที่รถแวะจอดให้ผู้โดยสารลงบางส่วน บรรดาพ่อค้าแม่ค้าก็กระเดียดกระจาดบ้าง ทูนถาดบ้างมาขายของกินตามหน้าต่างรถ มีทั้งข้าวโพดข้าวเหนียวต้มมัดเป็นจุก ถั่วต้ม ลูกมะยมดอง องุ่นดอง เป็นต้น แต่ที่น่าตื่นตาตื่นใจสำรับเราคือ พ่อค้าห่านย่างจ้ะ เล่นทูนถาดห่านย่างตัวสีแดงๆเท่าที่เห็นบนถาด มีห่านทั้งตัวนอนเกยกันไม่ต่ำกว่าห้าตัว! ทุกตัวต่างห้อยคอลงมาระใบหน้าพ่อค้าอย่างสวยงาม สงสัยจริงๆว่าถ้าขอแบ่งซื้อเนี่ย เขาจะขายไหม เพราะท่าทางจะขายยกตัวเลยทีเดียว แหม ห่านตัวนึงก็ใหญ่เบ้อเริ่ม แต่ไม่มีผู้โดยสารคนไหนอุดหนุน ก็เลยไม่ได้คำตอบ (เราไม่ได้ถ่ายเพราะกลัวพ่อค้าจะปราดเข้ามาเสยห่านให้ที่หน้าต่าง แค่เห็นไกลๆก็กลัวน้องห่านเต็มทีแล้ว น่าสงสารมันน่ะ)

เฮ้อ!แล้วก็ถึงหมู่บ้านขิ่นปุ้นเอาเมื่อตอนพลบค่ำพอดี รถทุกคันจะจอดส่งคนทั้งหมดตรงหมู่บ้านนี้ แล้วผู้คนก็กระจายกันไปหาที่พัก เพื่อเดินทางขึ้นเขาด้วยรถบรรทุกดัดแปลงที่ทางการจัดไว้ให้เท่านั้น ไม่อนุญาตให้ขับขึ้นไปเอง เพราะทางลาดชันมาก เมื่อเข้าพักที่บังกะโลหน้าตาดี มีสวนสวยงามโดยรอบแล้ว เมื่อแยกย้ายกันเข้าที่พักแล้วอาบน้ำเสร็จ เราก็ออกมาหาของกินและเดินชมตลาดยามเย็นดูของกัน อารมณ์เหมือนตอนเดินเที่ยวกินโน่นนี่ตอนรอขึ้นเขาคิชกูฏที่จันทบุรียังไงยังงั้นเลย ดีหน่อยที่ขิ่นปุ้นไม่ได้จำกัดเวลาเที่ยวเหมือนที่เขาคิชกูฏ คนเลยไม่แออัดเท่าไหร่ อากาศเมื่อหัวค่ำเย็นลงเร็วมาก แป๊บเดียวก็หนาวแล้ว พิกัดที่เดินๆอยู่นี่ น่าจะใกล้เคียงแถบสวนผึ้งของราชบุรีได้กระมัง พี่ไกด์บอกว่า มีนักเดินทางขึ้นเขากันตอนค่ำด้วย

มีร้านขายของอยู่ใกล้ๆ ดูได้บรรยากาศโบราณๆดี


ต้องเดินราวๆ6 ชม.แน่ะกว่าจะถึงบนโน้นก็รับอรุณพอดี ถือว่าศรัทธาแรงกล้าเพราะเท่าที่ดูตอนมืดๆนี่ทางรกและมืดมาก กลัวถูกเสือคาบไปกินซะก่อนนะ แถมถ้าไม่รู้ทางอาจหลงเดินเข้าไปในพื้นที่ของกองกำลังกู้ชาติกะเหรี่ยงได้อีกแน่ะ เค้าว่าถ้าอยุ่ในดงกะเหรี่ยงก็จะอันตรายมากๆ เราเลยปฏิบัติตามความเห็นของพี่ไกด์อย่างเคร่งครัด
ตลาดยามเย็น ทีนี่มี โมฮิงก่าให้กินด้วย เป็นชามแรกของเราเลย ร้านชาวบ้านมี้ข้าวของอุปกรณ์ประกอบการขายแบบพอเพียงจริงๆ นั่งดูแม่ค้าขายก็เพลินแล้ว รสชาตโมฮิงก่าที่นี่ก็อร่อยนะ แต่ด้อยกว่าที่บะกั่นเล็กน้อย ที่พิเศษก็คือ ผักชุบทอดของร้านนี้เขาใช้ หยวกกล้วยหั่นฝอยทอด กินไปตั้งหลายคำถึงจำได้ อร่อยใช้ได้เลย



ที่ตลาดมีของขายจำพวกงานหัตถกรรมเยอะมาก โดยเฉพาะไม้ไผ่ ไผ่ที่นี่ลำสีเขียวเข้ม ขนาดพอๆกับข้อเท้าผู้ชายได้เลย ที่เห็นมากก็คือปืนยาวของเล่นเด็กที่ท่าทางจะเท่าขนาดจริงเลยแฮะ คงจะเป็นที่นิยมมากเพราะมีขายทุกร้านเลย



เดินผ่านร้านขายบาร์บีคิวเล็กๆร้านนึง มีลูกค้าที่มานั่งกินไปเม้าท์ไป เอามือผิงไฟไล่หนาวไปในตัวด้วย บาร์บีคิวที่นี่มีทั้งเนื้อหมูและสารพัดเครื่องใน น่าแปลกที่ทุกอย่างล้วนถูกเคลือบด้วยสีแดงเหมือนใช้ซอสเยนตาโฟมาหมักเลยทีเดียว เห็นสีแล้วไม่ได้ลองเสี่ยงกินดู แต่ท่าทางจะเหนียวอยู่ไม่น้อยจากการสังเกต

แหมลำพังแค่โมฮิงก่ายังไม่ถึงครึ่งกระเพาะเลย แล้วเราก็ได้มาเติมพลังอีกรอบด้วยเมนูอาหารฉานครั้งแรกที่นี่เอง เขาบอกว่าคนรัฐฉานมีเชื้อสายจีนอยู่มาก อาหารก็เลยดูคล้ายอาหารจีน เมนูข้าวผัดไก่ที่กินนี่ก็รสชาตช่างเหมือนบ้านเราเลย

ตกดึกแล้ว กลับไปนอนเอาแรง พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้ามืดเลย
สำหรับการเดินทาง ค่อยเขียนวันหลังดีกว่าบอกได้เลยว่าโหดมากกว่าตอนขึ้นเขาคิชกูฏหลายเท่านัก รถมาส่งแค่ตีนเขา ยังต้องเดินเท้าขึ้นไปอีกหลายกิโล ระยะทางนี้ จะมีชาวบ้านเอาของป่ามาขายมากมาย มีร้านโมฮิงก่าด้วย แต่เสียดายไม่ได้แวะ เพราะพี่ไกด์เร่งให้ขึ้นไปถึงไจ้ก์ทีโยซะก่อน

บริเวณลานวัดหน้าไจ้ก์ทีโย(ก้อนหินทอง)มีระบียงชมวิวรอบด้านเลย
ในส่วนนี้ เราจะเขียนแยกออกไปทีหลังละกัน ขอเน้นถึงบรรดาร้านค้าที่อยู่ด้านหลังก่อนนะ เขาจะมีหมู่บ้านเล็กๆที่ด้านหลังไจ้ก์ทีโย โชคดีช่วงที่ไปกำลังจะจัดงานวัด ก็เลยมีของมาเตรียมขายมากมายเลย แว่บแรกที่เห็นทางเดินเข้าสู่บริเวณหมู่บ้าน จะพบเหล่าแม่ค้าขายของทอดที่เรียกว่า -อะจ่อสู่น-เรียงรายไปอย่างมีระเบียบเท่าที่เห็น มีทั้ง ปะสู่น-จ่อ(กุ้งชุบแป้งทอด) , ง่ะ-จ่อ(ปลาชุบแป้งทอด) , ปะสู่นง่ะป่าว-จ่อ(กุ้ง+หอมใหญ่ชุบแป้งทอด) , ง่ะป่าว-จ่อ(ถั่วงอกกับปลาชุบแป้งทอด) เป็นต้น โดยจะขายข้าวเหนียวนึ่งใส่สีขมิ้นคู่กันด้วย

อ๊ะๆ มีพ่อค้ากำลังเลื่อยท่อนทะนาคาด้วยนะ

บรรดาร้านกาแฟที่นี่ ล้วนโอ่โถงน่านั่ง แต่มีแค่เมนู coffee mixed กะ tea mixed ให้เลือกจ้า

แอบเห็นโรงเตี๊ยมเล็กๆบนนี้ด้วย แต่พี่ไกด์บอกว่าให้เข้าพักเฉพาะคนพม่า เพราะถ้ามีชาวต่างชาติมาพักต้องแจ้งทางการ ไม่รู้เห็นในบล็อกเพื่อนๆที่ไปไจ้ก์ทีโยกันได้พักที่นี่กันบ้างไหม เพราะเราไม่ค่อยอยากเชื่อตาไกด์เท่าไหร่ แต่หนนี้พอไหว้เสร็จก็ไม่ได้ค้างที่นี่ต่อ ต้องรีบลงเขากลับเข้าย่างกุ้งเลย

ไม่เป็นไร เราตั้งใจว่าต้องมาอีกให้ได้ แม่ค้าที่ตีนเขาบอกว่า เขาเชื่อกันว่านอกจากจะเดินทางไปสักการะสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทั้งห้าของเมียนม่าร์(เจดีย์ชเวดากอง-ชเวสิกอง-มุเตา-พระมหามัยมุนี-ไจ้ก์ทีโย)ให้ครบแล้ว เฉพาะที่ไจ้ก์ทีโยนี้ ถ้าสามารถมาสักการะได้ 3ถึงครั้งจะได้มหากุศลยิ่ง ว่าแล้วก็เลยแปะโป้งไว้ว่าจะต้องดั้นด้นมาอีกให้ได้จ้า




 

Create Date : 24 เมษายน 2553    
Last Update : 24 เมษายน 2553 20:51:23 น.
Counter : 1867 Pageviews.  

1  2  

noksamui
Location :
สุราษฏร์ธานี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add noksamui's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.