กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว
 
เงินตราสยาม


โรงกระษาปณ์สิทธิการ ในพระบรมมหาราชวัง



........................................................................................................................................................



เรื่อง เงินตราสยาม


เหตุ ที่จะเกิดปัญหาเรื่องนี้มาจากอยากจะทราบถึงเรื่องเงินตราของไทยในสมัยโบราณ

ปัญหา เงินตราของไทยนั้น แต่โบราณมีเรื่องราวเป็นมาอย่างไร

ตอบ เรื่องเงินตรานั้นเป็นปัญหาแก่ฉันมาตั้งแต่สร้างเมืองนครปฐมเป็นที่ว่าการมณฑลในรัชกาลที่ ๕ ด้วยขุดพบเงินตราที่นั้นเนืองๆ เป็นเงินเหรียญขนาดสักเท่าเงินครึ่งบาท มีตราด้านหนึ่งเป็นรูปสังข์ อีกด้านหนึ่งเป็นรูปคล้ายมณฑป มีรูปปลาอยู่ข้างล่าง ให้สืบถามดูว่าพบเงินอย่างนั้นที่ไหนอีกบ้าง ได้ความว่าพบที่เมืองอู่ทองคือเมืองสุพรรณภูมิ อยู่ทางเหนือเมืองนครปฐมขึ้นไป อีกแห่งเดียว จึงอยากรู้ว่าเป็นเงินตราของเมืองนครปฐมครั้งเป็นราชธานีหรือมาจากประเทศอื่น จึงได้ฉายรูปส่งไปถามพิพิธภัณฑ์สถานในลอนดอนว่า เงินตราอย่างนี้เป็นของประเทศไหนกัน รับตอบว่าเงินอย่างนี้พบแต่ที่เมืองพุกามแห่งเดียว

ต่อมาได้เงินเหรียญตราโบราณที่ดงศรีมหาโพธิ จังหวัดปราจีนบุรีมาอีกอย่างหนึ่ง ขนาดเท่าเงินบาทแต่บางกว่า ตราข้างหนึ่งคล้ายพระจันทร์ครึ่งซีกอยู่กลางรัศมี อีกข้าหนึ่งลายคล้ายมณฑปเช่นเงินเมืองนครปฐม สันนิษฐานว่าเป็นเงินของพวกขอม เพราะเมื่อพบเงินชนิดนี้ในเมืองเราแล้ว ไม่ช้านักปราชญ์ฝรั่งเศสก็ขุดพบเงินอย่างเดียวกันที่ในแผ่นดินระหว่างเมืองไซง่อนกับกรุงกัมพูชา เขาถามมาว่าในประเทศสยามพบเงินเหรียญอย่างนั้นบ้างหรือไม่ เงินโบราณทั้งสองอย่างที่ว่ามา ยังรักษาไว้ ณ พิพิธภัณฑ์สถานในกรุงเทพฯ เมื่อฉันไปเมืองพะม่าไปเห็นหนังสือแต่งเรื่องเมืองพะม่าเล่มหนึ่ง เขาจำลองรูปเงินโบราณต่างๆ ที่พบในเมืองพะม่าพิมพ์ไว้ในนั้น มีทั้งเงินตราอย่างที่พบที่นครปฐมและที่ดงศรีมหาโพธิ และยังมีตราอย่างอื่นอีก สอบหลักฐานได้ว่าเป็นเงินอินเดียทั้งนั้น คือเงินตราที่พวกชาวอินเดียเอาเข้ามาใช้ในทางการค้าขายตามประเทศเหล่านี้ ไม่ใช้ทำใช้ในเมืองนครปฐมหรือที่เมืองพุกาม

แต่โบราณประเพณีการใช้เงินซื้อขาย กำหนดราคาเงินด้วยน้ำหนัก เวลาใช้ต้องชั่งเสมอไป ตราต่างๆ ที่ตีไว้กับเงินเป็นเครื่องหมายชื่อของพ่อค้าที่ทำหรือแห่งที่ทำเงินนั้น กับบอกน้ำเงินและน้ำหนักอย่างรับประกันความบริสุทธิ์ของเงินตราที่ทำขายนั้น ใช้ประเพณีนี้กันทุกประเทศทางตะวันออกตั้งแต่อินเดียตลอดจนถึงเมืองจีน เมื่อพวกฝรั่งชาวโยนก (กรีก) มาได้ครองเมืองอินเดียเข้าทางฝ่ายเหนือ จึงนำวิธีทำเงินเหรียญตีกราของพระเจ้าแผ่นดินมาใช้ แต่ก็ใช้อยู่เพียงชั่วคราว ยังใช้น้ำหนักเป็นมาตรฐานเป็นพื้น จนถึงสมัยเมื่ออังกฤษได้อินเดีย จึงเอาการทำเงินตราการผูกขาดเป็นของรัฐบาลและทำเหรียญรูปีใช้ต่อมา พวกพะม่ากับพวกอินเดียมีการไปมาค้าขายติดต่อกันอยู่เสมอ พะม่าจึงใช้เงินรูปีจากอังกฤษ ถือเป็นเงินตราของบ้านเมืองมาช้านาน ทางเมืองจีนก็เป็นทำนองเดียวกัน เดิมจีนก็ใช้ราคาเงินด้วยน้ำหนัก ครั้นเมื่อยอมให้ฝรั่งมาค้าขาย พวกฝรั่งเอาเงินเหรียญตราที่ทำในประเทศแมกซิโกมาซื้อสินค้า พวกจีนชอบ ด้วยเงินแมกซิโกเป็นเนื้อเงินดีและน้ำหนักเท่ากันไม่ต้องชั่งให้ลำบาก ก็รับใช้เงินแมกซิโกเป็นอย่างเงินของจีน

เมื่อไทยเราเดิมก็ใช้เงินด้วยน้ำหนัก เหมือนอย่างเงินตราขาคีมที่ตีตราและอักษรไทยบอกนามเมืองก็ดี เงินพดด้วงขนาดใหญ่ตีตราช้างและตราอื่นๆ ก็ดี เงินลาดตีตราใช้ทางมณฑลอุดรแต่ก่อนก็ดี ว่าตามพิจารณาตัวอย่าง เงินที่มีอยู่ดูก็จะเป็นเงินที่พ่อค้าทำขาย อย่างประเพณีโบราณในอินเดียและเมืองจีนดังกล่าวแล้ว จนถึงสมัยกรุงศรีอยุธยาจึงเอาการทำเงินตรามาเป็นการหลวง และห้ามมิให้ผู้อื่นทำเงินตราขายอย่างแต่ก่อน แต่นั้นจึงมีตรารูปพดด้วง ขนาดหนักบาทหนึ่ง สองสลึง สลึงหนึ่ง และเฟื้องหนึ่ง เนื้อเงินและน้ำหนักเสอมกันตามจำพวก และมีตราหลวงตราสำคัญเป็นสองดวง คือตราจักรหมายว่าเป็นของพระเจ้าแผ่นดินโปรดให้ทำดวง ๑ ตรารูปอื่นที่สำคัญของสมัยที่ทำดวง ๑ เช่นเดียวกันทุกขนาด



พดด้วง



เรื่องตำนานการใช้เงินตราในประเทศสยามนี้ผิดกับประเทศพะม่าและประเทศจีนเป็นข้อสำคัญอย่างหนึ่งที่ปรากฏในรัชกาลที่ ๔ กรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อทำหนังสือสัญญาทางไมตรีกับฝรั่งต่างประเทศแล้ว มีฝรั่งเข้ามาค้าขายในกรุงเทพฯ มากขึ้น พวกฝรั่งเอาเงินเหรียญแมกซิโกที่ใช้ในเมืองจีนมาซื้อสินค้า แต่ราษฎรไทยไม่ยอมรับเงินอย่างอื่นนอกจากเงินบาท พวกพ่อค้าฝรั่งต้องเอาเงินเหรียญแมกซิโกมาขอแลกเงินบาทที่พระคลังมหาสมบัติ ไปแลกเปลี่ยนสินค้า สมัยนั้นมีเตาสำหรับทำเงินตราที่พระคลังมหาสมบัติ ๑๐ เตา แม้ให้คนผลัดกันทำทั้งกลางวันกลางคืนก็ทำได้เพียงวันละ ๒,๐๐๐ บาทเป็นอย่างมาก ไม่พอกับพวกพ่อค้าต้องการ เป็นเหตุให้พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดสั่งเครื่องจักรเข้ามาตั้งโรงกระษาปณ์ทำเงินตราเป็นเหรียญแทนพดด้วง และให้เลิกใช้เบี้ยหอย ใช้เหรียญทองแดงและดีบุกแทนเบี้ยต่อมา

ธรรมเนียมทำเงินบาทเดิมนั้น ในโรงทำเงินชั่งเงินส่งไปเท่าไรต้องลดนำหนักลง น้ำหนักที่ลดเรียกว่า “สูบไป” หรือ “สูบเพลิง” เพราะไฟจะต้องกินเนื้อเงินไป ในรัชกาลที่ ๔ เมื่อคิดตั้งโรงกระษาปณ์ทำเงินเหรียญขึ้นนั้น ได้สั่งเครื่องจักรจากห้างยอห์นเทเล่อร์มา ห้างฝรั่งส่งช่างมาตั้งเครื่อง ตั้งไม่ทันแล้ว ช่างเล่นจมน้ำตายในแม่น้ำเจ้าพระยา เครื่องทิ้งค้างอยู่จนมีผู้รับอาสาจัดตั้งขึ้น และเมื่อทำได้สำเร็จก็ได้รับตำแหน่งเป็นเจ้ากรมทำเงิน ครั้งนั้นเจ้ากรมพระคลังมหาสมบัติจ่ายเงินไปให้เจ้ากรมทำเงินเป็นเงินแท่งด้วยนำหนักเงินเป็นประมาณ เจ้ากดรมรับเงินไปหนักเท่าใดต้องทำเงินส่งเท่านั้น และยอมให้ค่าระเหยเมื่อหล่อหลอมเรียกว่าค่าสูญเพลิง ซึ่งถือกันว่าจำเป็นอีกด้วย เจ้ากรมทำเงินจะส่งเงินที่ทำเป็นบาทแล้ว เบากว่าน้ำหนักเงินแท่งเกินกว่าอัตราที่กำหนดไม่ได้ ถ้าเป็นเช่นนั้นต้องออกทุนของตนเองใช้ คล้ายกับเป็นการแลกได้แลกเสีย ถ้าเจ้ากรมทำเงินพยายามจัดการละเอียดลออให้เนื้อเงินสูญไฟน้อยลงกว่าอัตราก็เป็นกำไร กำไรก็ได้แก่เจ้ากรมทำเงินนั้น เป็นประเพณีอย่างนั้นมาแต่บรมโบราณ

เมื่อตั้งโรงกระษาปณ์ก็ทำการระหว่างพระคลังกับโรงกระษาปณ์ตามวิธีทำเงินบาทแต่เดิม อาศัยวิธีหลอมอย่างฝรั่ง เนื้อเงินสูญเพลิงน้อยลงกว่าตามวิธีหลอมอย่างไทยมาก พนักงานทำโรงงานกระษาปณ์ ซึ่งขึ้นอยู่ในเจ้ากรมทำเงินจึงร่ำรวยขึ้นมาอย่างไร ต่อมาเจ้าพระยานรรัตน์ได้รับตำแหน่งโรงกระษาปณ์ ไปดิสโคเวอร์เข้าว่า รายได้จากการสูญเพลิงนั้นมีมาก และเนื่องด้วยไม่ปรารถนาจะได้เงินนั้นมาเป็นของตน จึงนำความกราบบังคมทูล สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงตรัสว่า เมื่อกินกันอยู่แล้วก็กินกันต่อไปเถิด ทำให้ผู้ที่มั่งมีอยู่แล้วนั้นกลับมั่งมีขึ้นอีก ความดีที่ได้ดิสโคเวอร์เรื่องนี้ก็มีอยู่ แต่ท่านมาเล็งเห็นว่าการได้ครั้งนี้ไม่ใช่ได้ด้วยน้ำพักน้ำแรง รวยก็รวยขึ้น เงินก็มีพอกินพออยู่ ประจวบกับมีการสร้างวัดเทพศิรินทราวาส ถวายสมเด็จพระเทพศิรินทร์ฯ เจ้าพระยานรรัตน์ระลึกถึงพระคุณ จึงสนองพระเดชพระคุณด้วยการเอาเงินไปจ้างถมดินวัดเทพศิรินทร์เป็นจำนวนเงินนับด้วยหมื่นด้วยแสน ลงทุนทำอยู่คนเดียว


เจ้าพระยานรรัตนราชมานิต (โต)


การสร้างโรงกระษาปณ์นี้ปรากฏเมื่อไปเมืองพะม่า ว่าพระเจ้ามินดงทรงชอบวิธีการของไทย จึงสั่งเครื่องจักรไปยังเมืองพะม่าตั้งโรงกระษาปณ์ขึ้นที่เมืองมัณฑเล ทำเงินรูปีของพะม่าขึ้นบ้าง แต่ไม่สำเร็จประโยชน์ เพราะราษฎรพะม่าชอบใช้เงินรูปีของอังกฤษมาเสียช้านานทั่วทั้งประเทศแล้ว ไม่เหมือนราษฎรไทย ที่ไม่ชอบใช้เงินต่างประเทศ จึงได้ใช้เงินบาทสืบมาจนทุกวันนี้.


.........................................................................................................................................................

คัดจาก
บันทึกรับสั่งสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ
ประทาน หม่อมราชวงศ์ สุมนชาติ สวัสดิกุล





Create Date : 10 พฤษภาคม 2550
Last Update : 10 พฤษภาคม 2550 16:51:04 น. 0 comments
Counter : 2608 Pageviews.  
 
Name
* blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Opinion
*ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet

กัมม์
 
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 41 คน [?]




วิชา ความรู้จะมีค่าเมื่อถูกถ่ายทอด
[Add กัมม์'s blog to your web]

MY VIP Friend

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com