|
การวินิจฉัยเมืองโบราณ
พระมหาธาตุเมืองไชยา
.........................................................................................................................................................
เรื่อง การวินิจฉัยเมืองโบราณ
เหตุ เนื่องจากพระภิกษุรูปหนึ่งมาจากไชยา ทูลถามถึงวิธีการที่จะวินิจฉัยเมืองโบราณ ว่าควรจะประกอบหลักฐานอย่างไร ทรงอธิบายตามเหตุผลที่บันทึกไว้นี้
การวินิจฉัยเมืองโบราณนั้นมีหลักที่จะยึดถืออยู่บ้าง และหลักนี่มักแน่นอนเสมอ ข้อสำคัญนั้นต้องยึดภูมิประเทศเห็นหลัก เมืองเป็นที่อยู่ของมนุษย์ ป่าไม่ใช่เมือง หรือหมู่บ้านเพียง ๓ ๔ สิบหลังคาเรือนไม่ใช่เมือง
ที่อันจะสร้างเมืองได้มีหลักสองอย่าง ถ้าขาดสองอย่างนี้เป็นเมืองไม่ได้ หรือได้ก็ไม่ใช่เมืองใหญ่เมืองเจริญ ประการที่ ๑ ก็คือที่ทำกิน ประการที่ ๒ คือลำน้ำสำหรับอาศัยไปมาแวะอาบกินใช้เพาะปลูกหาปลา ไปที่ไหนพบเมือง พึงพิจารณาด้วยหลักสองประการนี้ไว้ เท่าที่ได้เห็นมา มีเมืองที่ไม่มีหลักเช่นว่าอยู่สองเมืองในเมืองไทยนี้ คือเมืองเติ่น เหนือแก่งเชียงใหม่ กับที่บ้านระแหงคือเมืองตากเดี๋ยวนี้ ที่ไร่นาไม่มี เจดีย์มี วัดใหญ่ๆพระพุทธรูปก็มีมาก ทำให้เกิดสงสัย เพราะที่มนุษย์อยู่มีไม่เท่าไร ที่ทำนาก็ไม่มี ทำไมมาสร้างขึ้น พิเคราะห์ดูอยู่นานจึงจับได้ คือ ระหว่างเมืองตากกับเมืองเชียงใหม่นั้นมีเทือกเขาใหญ่ ดูเหมือนจะเรียกว่าเขาแก่งเชียงใหม่ จะยกทัพจากเหนือมาได้ก็ต้องข้ามเขานี้ หรือจะยกใต้สู่เหนือก็ต้องข้ามเขาเทือกนี้ จะขึ้นก็ข้าม จะลงก็ข้าม วัดใหญ่ทั้งสองหมู่นี้เป็นอนุสรณ์ ถ้าพระเจ้าแผ่นดินเชียงใหม่ยกทัพลงมารบได้ชัยชนะสร้างวัดไว้ที่ชายแดนเมืองเติ่นเมื่อกลับไป ทำนองฉลองชัยชนะนั้น ฝ่ายไทยก็เช่นเดียวกัน เมืองชนะศึกก็ลงมาสร้างไว้ที่เมืองระแหงเมื่อจะกลับ สร้างกันตามทางเดินที่จะขึ้นจะลงนั้น วัดเหล่านี้มีกระทั่งขุนหลวงตากสร้าง ที่ไปได้ความเพราะไปค้นหาวัดที่ขุนหลวงตากมาเสี่ยงระฆังแก้ว ว่าวัดนั้นเป็นวัดหลวง ท่านสมภารว่าวัดทางแถบนี้มีมาก ตลอดจนวัดพระชัยราชาก็มี
พูดถึงเมืองไชยา เมืองไชยาเป็นเมืองใหญ่มาก ใหญ่กว่าเมืองไหนๆในแหลมมลายู เพราะมีแหล่งน้ำหลางไหลมาออกที่นั่น สืบตามลำแม่น้ำที่ขึ้นไปได้ถึงศรีรัตน์ มีทางข้ามไปตะกั่วป่าได้สบาย ทางสายนี้เป็นทางพวกอินเดียลงมา เมื่อพิจารณาเมืองไชยาเทียบเมืองนครแล้ว จะเห็นได้ว่าเมืองนครมีหาดทรายยาวอันเดียวเป็นหาดทรายแก้ว ทางตะวันออกเป็นชายเฟือยจนจดทะเล ทางตะวันตกก็เป็นลุ่มแม่น้ำก็เป็นแม่น้ำน้อย ที่ทำกินก็เพียงแต่พอมี ฉะนั้น จะเป็นเมืองใหญ่ไม่ได้ ด้วยเหตุนี้จึงกล้ารับรองได้ด้วยวิชาโบราณคดีว่า เมืองนครนั้นไม่มีอะไรนอกจากพระมหาธาตุซึ่งเป็นของภายหลัง ตำนานเมืองนครศรีธรรมราชก็ปะปนกับตำนานเมืองแขกมากเต็มที พวกแขกเอาพงศาวดารลังกามาแต่งให้ก็มี เชื่อได้ยาก พระมหาธาตุเมืองนครศรีธรรมราชนั้นมีกำหนดแน่นอนค้นได้
ส่วนที่ไชยานั้นมีมาก มีที่ทำกิน มีลำน้ำใหญ่ พระมหาธาตุก็มี วัดแก้วก็มี วัดเวียงก็มี ได้เคยค้นต่อมายังชุมพร ท่าแซะ ฯลฯ ไม่พบเมืองเก่า เมืองเก่าคงมีเมืองไชยาไม่มีที่สงสัย ส่วนเมืองนครนั้นตั้งขึ้นเป็นเมืองทันสมัยที่ไชยาเจริญเป็นของแน่ ที่พระมหาธาตุเมืองนครนั้น มีมหาธาตุภายในองค์หนึ่ง เข้าใจว่าคงเป็นมณฑปองค์เดิมอย่างพระธาตุไชยา แต่เล็กกว่า หากลังกาที่มาตั้งเมืองนครทำขึ้นไว้ พอจะจับศักราชได้ พวกที่มาตั้งไชยาเป็นพวกมหายาน พวกที่มาจากอินเดียมาตั้งอาณาจักรศรีวิชัยขึ้นนั้นเรียกว่าพวกไสเลนทร์ พวกนี้แผ่เข้ามาในแหลมมลายู ถือลัทธิศาสนาฝ่ายมหายาน เพราะฉะนั้นจึงไปพบรูปพระโพธิสัตว์ที่ไชยา เหนือชุมพรขึ้นมาไม่พบอะไรที่เก่า ที่ไชยามีมากกระทั่งตามป่าตามเขาก็ยังมี พระพุทธศาสนาที่เราถืออยู่เดี๋ยวนี้มาอยู่ที่ไชยาก่อน แต่เป็นแบบมหายาน
มีเรื่องราวประกอบทางด้านเขมรว่า พวกมาตั้งที่ไชยาขึ้นมาแผ่ศาสนามหายาน ว่าพวกนี้มาครองเมืองลพบุรี และวงศ์นี้เองได้เลยไปเขมร ไปถาม ม. ปาติเอร์ นักปราชญ์ฝรั่งเศสว่ามหายานไปเขมรทางทะเลที่ไชยา จารึกทั้งหมดคงอยู่ที่นั่น แต่ที่มีผู้ไปพบจารึกที่เมืองนครนั้นคงเป็นเพราะเหตุใดเหตุหนึ่ง นครเจริญขึ้น อำนาจทั้งหมดไปตกแก่พวกลังกา อาจเก็บข้าวของจามทางไชยาไป เพราะฉะนั้นจารึกจะพบที่ไหนไม่สำคัญ มีหลักสังเกตว่า ถ้าศิลาจารึกเป็นซุ้มประตูปรับเข้ากับของที่เหลือได้ พึงรู้ว่าอยู่ที่นั่นแน่ ถ้าเป็นอย่างอื่นไม่เที่ยง จะอยู่ที่ไหนก็ได้
พระพุทธรูปห้อยพระบาทวัดหน้าพระเมรุกรุงเก่า พระยาไชยวิชิตว่ามาจากลังกา มองดูก็เห็นได้ทันที ที่หินข้างเรือนแก้วหัวเป็นนาค พระพุทธรูปเช่นนี้เหมือนของชะวา คงเอาไปจากนครปฐม
แผนที่จากอินเดียมาตะกั่วป่าเป็นทางตรงกว่าทางอื่น ทั้งที่มีเขาพระทองใหญ่อยู่บังคลื่นบังลมดี มีแม่น้ำขึ้นมากระทั่งยอดเขาบรรทัด เดินไปมาสะดวกจากต้นแม่น้ำหลาง เป็นทางดีกว่าทางไหนๆ จึงไม่น่าประหลาดที่ไชยาจะเป็นเมืองเจริญกว่านคร เมืองหลวงนั้นมาจากอินเดียต้องมาขึ้นที่ตรัง แล้วยังต้องเดินทางไปอีกไกลจึงจะถึง
ในสมัยที่ไชยาเจริญนั้น เข้าใจว่าอ่าวบ้านดอนดงลึก เรือทะเลที่มาค้าขายจากเมืองจีนอาจเข้าไปจอดรับสินค้าได้ไกลฝั่ง เมืองไชยาจึงเป็นเมืองท่ารับสินค้า ค้าขายในระหว่างเมืองจีนกับอินเดียแห่งหนึ่ง จึงเจริญมากและความเจริญของเมืองไชยาอาจเสื่อมลงเพราะเหตุว่าอ่าวบ้านดอนตื้นเขินขึ้นก็เป็นได้
อันการขนส่งสินค้าส่งข้ามแหลมมลายูเช่นว่านี้ ยังมีมาจนรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราชครั้งกรุงศรีอยุธยา สินค้ามาจากยุโรปหรืออินเดีย เอามาขึ้นที่เมืองมริด ขนลงเรือลำเลียงขึ้นทางแม่น้ำตะนาวศรีจนสุดทางน้ำ แล้วขนทางบกทางด่านสิงขรข้ามมาที่เกาะหลัก แล่นขึ้นมากรุงศรีอยุธยา ถ้าเป็นเวลามีคลื่นลม ขนทางบกมาลงเรือที่เมืองเพชรบุรี มีตัวอย่างความขัดข้องของการแล่นเรืออ้อมแหลมมลายูเมื่อรัชกาลพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ พระเจ้าแผ่นดินลังกาให้ทูตมาขอพระสงฆ์ไทยออกไปอุปสมบทชาวลังกา ทูตมาด้วยเรือใบของฮอลลันดา ถึงปลายแหลมมลายูพลาดมรสุมไปหน่อยหนึ่ง ต้องรออยู่ปีหนึ่งจึงให้ทูตมาได้อีก
ทางที่ชาวอินเดียเข้ามาตั้งบ้านเมืองแล้วสอนวัฒนธรรมในเมืองไทยนี้ ยังมีทางข้างเหนืออีกทางหนึ่ง จากอินเดียมาขึ้นที่ปากน้ำสาลวินอันเป็นที่ตั้งเมืองเมาะลำเลิงหรือมะระแหม่งทุกวันนี้ เดินข้ามภูเขาบรรทัดเข้ามาทางด่านพระเจดีย์สามองค์ ลงน้ำที่ลำน้ำไทรโยค ลงมาทางเมืองกาญจนบุรี เข้าลำน้ำแยกที่พงตึกมายังเมืองหลวงอยู่ที่พระปฐมเจดีย์อันเป็นเมืองเก่ากว่า และสำคัญกว่าเมืองไหนๆ หมดที่ชาวอินเดียมาตั้งในประเทศนี้.
.........................................................................................................................................................
คัดจากบันทึกรับสั่งสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ประทาน หม่อมราชวงศ์ สุมนชาติ สวัสดิกุล
Create Date : 16 พฤษภาคม 2550 |
Last Update : 16 พฤษภาคม 2550 15:17:31 น. |
|
0 comments
|
Counter : 2437 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|
กัมม์ |
|
|
|
|