เที่ยวละไมไปบาหลี
อย่างที่ฉันเคยบอกค่ะ ว่า ฉันเป็นพวกเปิดหนังสือเดินทางเที่ยวเองซะเกือบทุกครั้ง เป็น backpacker มาตั้งแต่สมัยสาวๆ ค่ะ นอน Youth hostel นับครั้งไม่ถ้วน เดินทางคนเดียวก็บ่อยไป แต่ถ้าในยุโรป ความปลอดภัยจะสูงกว่า เพราะฉะนั้น ว่า ถ้าลุยเดี่ยวในยุโรปสบายมาก แต่ทริปนี้ขอคิดนิดนึง เผอิญ Yuka เพื่อนคนญี่ปุ่นเค้า รู้ว่าฉันจะไปบาหลี เค้าเลยจะบินจาก โตเกียวไปเจอกันที่บาหลี ในที่สุดเราก็มีเพื่อนเดินทางล่ะ ก่อนอื่น ต้องขอบคุณจากใจจริง ไม่มีคำพูดอะไรที่จะอธิบายมิตรภาพของเพื่อนได้ ฉันมีเพื่อนดีๆ(อีกแล้ว) Dian เป็นเพื่อนคนอินโดนีเซีย ทำงานอยู่ที่การท่องเที่ยวอินโดนีเซีย จริงๆ ฉันรู้จักYuka และ Dian ตอนได้ทุนไปอยู่ญี่ปุ่นประมาณ หนี่งเดือนในปี 2001 หลังจากนั้นก็ติดต่อกันเป็นครั้งคราว เอาล่ะค่ะ เพื่อนเดินทางมีแล้ว ที่นี้ก็คิดถึงที่พัก ฉันเลยติดต่อ Dian ไปว่าให้ช่วยหาที่พักให้หน่อย ราคาประมาณนี้นะ เค้าเลยบอกหัวหน้าเค้า ด้วยความช่วยเหลือ จากการท่องเที่ยวอินโดนีเซีย ฉันเลยได้นอนโรงแรม ห้าดาวฟรี ตลอด 3 คืนที่บาหลีและอีก 3 คืนที่จาการ์ตา แต่เราต้องโม้ๆ นิดหน่อยกับผู้จัดการโรงแรม ว่า เราเป็นนักเขียนอิสระ อยากมาหาข้อมูลเกี่ยวกับอินโดนีเซีย ว่าไปแล้วฉันเขียนทู้นี้ ก็คงเพราะไม่อยากรู้สึกตัวเองไปหลอกเค้ามานะ เราก็มาวิวแล้วไง อิ อิ ทริปนี้เลยได้ตั๋วเครื่องบินฟรี พร้อมโรงแรมฟรี มี pocket money ติดตัวไว้กิน เที่ยว ชอปปิ้ง ก็พร้อมออกเดินทางกันเลยค่ะ เริ่มเดินทางกันซะที ฉันออกเดินทางวันที่ 11 พ.ย. โดย บิน กรุงเทพ บาหลี ประมาณ 4 ชม. ได้งีบหนึ่งตื่นบนเครื่องเอาแรงเพราะตื่นเช้า โชคดีอีกแหละ เจอเพื่อนที่เป็นลูกเรือ เลยได้รับการปฏิบัติดีนิดนึงแถม เพื่อนเอาอาหารของชั้นธุรกิจมาปรนเปรอ พอมาถึงสนามบิน Denpasar อาคารมันก็เก่าๆ และระบบการจัดการยังไม่ดีนัก ป้ายอะไรก็ไม่ชัดเจน พอรับกระเป๋าแล้วก็เดินออกไปทางผู้โดยสารขาเข้า มองๆ ดูเผื่อเจอใครชูป้ายชื่อฉัน เพราะ Dian บอกไว้ว่า จะหาคนมารับ ไม่อยากให้นั่งแท็กซี่ ปรากฎว่าหาชื่อตัวเองไม่เจอในบรรดาป้ายชื่อที่เค้าชูๆ กันทั้งหลายแหล สุดท้ายนั่งแท็กซี่ไปโรงแรมเองขี้เกียจรอแล้ว โรงแรมที่พักชื่อ Inna Grand Sanur Beach Hotel อยู่ที่หาด Sanur ค่าแท็กซี่ 10 เหรียญ ก็ประมาณ 350 บาทไทยได้ สกุลเงินที่นี่คือ รูเปียะ โดยคร่าวๆ 10000 RP เท่ากับ 35 บาท เท่ากับ 1 ดอลลาร์ ทริปนี้ฉันไม่ได้เตรียมตัวมาก ก็อ่านหนังสือนำเที่ยวนิดหน่อยว่ามีอะไรน่าดูน่าชมบ้าง วันแรกรู้สึกสบายๆ ความรู้สึกเหมือนไปภูเก็ตเลยค่ะ อากาศก็ใกล้เคียงกัน มาเจอ Yuka ที่โรงแรม หลังจากเช็คอินเสร็จ ก็ประมาณ 5 โมงเย็นแล้ว เวลาที่บาหลี เร็วกว่าบ้านเรา 1 ชั่วโมง หลังจากนั้นก็ไปหาร้านอาหารเย็น ฉันไม่มีร้านอะไรแนะนำ แต่ ใน คู่มือท่องเที่ยวของญี่ปุ่น เค้า แนะนำไว้อยู่ร้านนึงชื่อ Bonsai restaurant ก็ไปตามญี่ปุ่นชวนชิมนะคะ ตอนเดินๆ ไปหาร้านไม่เจอ เจอคนแถวนั้น เกือบถามทางเป็นภาษาไทย เพราะคนที่โน่น หน้าตา รูปร่างเหมือนคนไทยมาก มาดูเมนูแรก กันดีกว่า ฉันสั่ง Kalamali มันก็คือปลาหมึกชุบแป้งทอด Yuka สั่งอะโวคาโด จานหลัก ก็เป็น sate lalah manis อาหารพื้นเมืองหลักๆ ก็คือสะเต๊ะนั่นเอง กับน้ำจิ้มถั่วลิสงหวานๆ อิ่มแล้วก็เดินเลาะชายหาด ฉันจะย้อยรอยประวัติศาสตร์ เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย ของที่นี่ให้ฟังช่วงเดินย่อยอาหารกลับโรมแรมก็แล้วกันค่ะ ถ้าฉันเล่าอะไรที่ผิดพลาดก็เข้ามาแก้ไขเลยนะคะ อันนี้จะเล่าทบทวนจากความทรงจำสมัยเรียนวิชาเพื่อนบ้านของเรานะคะ ใครจำอะไรได้มั่งมาเพิ่มเติมเลยค่ะ ถ้ามาท่องเที่ยวกับฉัน อาจจะเหมือนน่าเบื่อที่ต้องมาฟังความหลัง แต่ฉันเชื่ออยู่เสมอว่า อดีต คือสิ่งที่สำคัญที่จะทำให้เข้าใจความเป็นมาในปัจจุบัน รวมทั้งคาดเดาถึงอนาคตได้ รู้เขารู้เราค่ะ อย่างที่รู้กันว่า อินโดนีเซียเป็นประเทศที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ (South East Asia) และเป็นประเทศที่มีหมู่เกาะ นับไม่ถ้วนมากถึง 13,000 เกาะ มี ภาษาถึง 350 ภาษา ประชากรประมาณ 200 ล้านคน จากประวัติศาสตร์ อินโดนีเซียเคยเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษช่วงศตวรรษที่ 16 ประมาณ 1-2 ปี ต่อมาโปรตุเกส 1-2 ปี และฮอลแลนด์อีก 350 ปี และญี่ปุ่น 3 ปี ช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง จะเห็นได้ว่า ประเทศถูกปกครองภายใต้ระบบอาณานิคมมานาน โดยเฉพาะจากพวกดัทซ์ สำหรับฉัน ในฐานะคนที่สนใจความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ หรือ การเมืองระหว่างประเทศ ก็อดไม่ได้ที่จะอยากรู้ว่า มีอะไรที่ยังหลงเหลือมาบ้างมั๊ย ทั้งสิ่งจับต้องได้ เช่น รูปแบบอาคารบ้านเรือน สิ่งจับต้องไม่ได้ เช่น วัฒนธรรม กระบวนการคิด การศึกษา ฉันเองมีโอกาสไปฮอลแลนด์(เนเธอร์แลนด์)บ่อยมาก เพราะ Zorn ไปเรียน ปริญญาโทอีกใบที่ Amsterdam เลยได้รู้จัก สัมผัส พวกดัทซ์พอประมาณ ได้เห็น Museum ที่ Amsterdam มีภาพวาดสมัยประมาณศตวรรษที่ 15 ช่วงที่ชาวดัทซ์ออกเดินเรือ จำได้ว่าเค้าเรียก อินโดนีเซีย ว่า East Indies หรืออินเดียตะวันออก โดยใช้เมือง Jokjarata เป็นเมืองหลัก ในการติดต่อค้าขาย หรือที่คนไทยเรียกว่า ปัตตาเวีย คุ้นๆ กันมั๊ยคะ ภายหลังสงครามโลกสิ้นสุดลง ปี 1945 ในขณะนั้นฮอลแลนด์ก็พยายามยื้อไม่ให้อิสรภาพ แก่ อินโดนีเซีย จนกระทั่ง UN ( โฆษณาแฝง องค์กร) ต้องเข้ามามีบทบาทยุติการสู้รบ ฮอลแลนด์เลยต้องยอมให้เอกราชและสถาปนาเป็นสาธารณรัฐอินโดนีเซีย ปี 1949 โดย ซูการ์โน เป็น ประธานาธิบดีและฮีโร่ และย้ายเมืองหลวงมาที่จาการ์ตา จนถึงทุกวันนี้ ส่วนประเทศติมอร์ตะวันออก อาจสงสัยว่าทำไมถึงมีปัญหามากมายถึงทุกวันนี้ แล้วทำไมถึงเป็นเมืองขึ้นของโปรตุเกส ส่วน ติมอร์ตะวันตก ทุกวันนี้ยังเป็นส่วนหนึ่งของอินโดยนีเซีย แต่คนไม่ค่อยพูดถึง ถ้ามีเวลาจะเล่าให้ฟังเรื่องติมอร์ตะวันออก โดยส่วนตัวฉันชอบมากเพราะ เป็นผลงานชิ้นโบว์แดง ของความสำเร็จเรื่อง self determination ภาษาไทยเรียกว่าอะไรดีคะ ประมาณว่า การกำหนดอนาคตตนเอง ซึ่งประชาชนมีสิทธิ์ที่จะเลือกว่าอยากขึ้นอยู่กับอินโดนีเซีย หรือเป็นประเทศเอกราช จุดสำคัญคือว่า ติมอร์ตะวันออก เคยเป็นเมืองขึ้นของโปรตุเกส แล้วช่วงประมาณ 1975 โปรตุเกส มีสงครามภายในประเทศเอง (civil war) และคิดที่จะให้อิสรภาพแก่ ติมอร์ตะวันออก อินโดนีเซีย ภายใต้การนำของ ซูอาร์โต ถือโอกาส บุก ติมอร์ตะวันออก แล้วนับเป็นจังหวัดนึงของอินโดนีเซีย ประเทศตะวันตก แม้แต่ออสเตรเลีย ก็ทำเป็น หลับหูหลับตาข้างเดียว ไม่โวยวายในเวทีระหว่างประเทศ เพราะประเทศตะวันตกมีผลประโยชน์กับอินโดนีเซีย เนื่องจากอินโดนีเซีย เป็นประเทศที่ปกครองโดยระบอบประชาธิปไตย ค่ายเดียวกับ พี่เบิ้ม เมกา ดังนั้นผู้พี่ ไม่อยากมีเรื่องกับ น้องเบิ้มอินโดนีเซีย และใช้ อินโดนีเซีย เป็น รัฐกันชน ใน ช่วงสงครามเย็น เพื่อดุลอำนาจกับโซเวียต ( balance of power) จะเห็นได้ว่าในเวทีการเมืองระหว่างประเทศ ทุกๆ ประเทศต้องคิดถึงผลประโยชน์ตัวเองเป็นหลัก ภายหลังสงครามเย็นสิ้นสุดลง เมกากลับเรียกร้องอินโดนีเซียให้อิสรภาพกับติมอร์ตะวันออก เพราะ เมกา ไม่มีผลประโยชน์มากนักในบริเวณนี้ และอยากทำตัวเป็นผู้สนับสนุนการประชาธิปไตย ถ้าสงครามเย็นไม่สิ้นสุดลง ติมอร์ตะวันออกไม่มีโอกาสจะได้เป็นอิสรภาพเหมือนทุกวันนี้แน่นอน อีกอย่างฉันได้มีโอกาสรู้จักกับผู้นำประเทศติมอร์ตะวันออก Horta Ramos โดยไม่ได้ตั้งใจ ตอนเค้ามาประชุมที่นิวยอร์ค ก็นึกๆ อยู่ว่าลุงคนนี้เป็นใครเนี่ย ได้มีโอกาสคุยกับเค้า โดยที่ไม่รู้ว่าเค้าเป็นใครมาก่อน แต่เป็นคนที่เรียบง่าย ประทับใจ มาก เป็นผู้ใหญ่ที่มีเมตตา ขณะนี้เค้า(ท่าน)ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ของ ติมอร์ตะวันออก มารู้ทีหลังว่าเค้า(ท่าน)ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพเหมือน ออง ซาน ซูจี เลย ดีใจที่ได้กระทบไหล่คนดัง ประวัติชิวิตการต่อสู้ของเค้า(ท่าน)น่าสนใจมาก เลยทำให้ฉันติดตามความเป็นไปของติมอร์ตะวันออกมากขึ้น ออกนอกลู่นอกทางมามากแล้วค่ะ เดินกลับมาถึงที่พักซักทีค่ะ ก็คุยๆ กับ Yuka ว่าจะไปเที่ยวไหนดี ใน 2-3 นี่ที่บาหลี Yuka เคยมาบาหลีแล้ว สองครั้ง แล้วแต่ฉัน งั้นจากหนังสือ(อีกหล่ะ) ฉันจะนำเที่ยวนะ นักท่องเที่ยวที่นีส่วนใหญ่มาจาก ออสเตรเลีย และญี่ปุ่น และชอบเช่ามอเตอร์ไซค์ขับรอบเกาะ เหมือนภูเก็ตเลย แต่ฉันไม่เอาดีกว่า เพราะถ้าเกิดอุบัติเหตุจากมอเตอร์ไซค์ ประกันไม่คุ้มครอง ไม่คุ้มกับความเสี่ยง เลยเช่ารถพร้อมคนขับหนึ่งวันในราคา 350,000 RP( 1,300 บาท) อยู่นี่เหมือนเป็นเศรษฐีเงินล้าน คล้ายในลาว หรือพม่า รีบเข้านอน เพราะอยากเริ่มวันใหม่แต่เช้า นึกแล้วก็ขำดี พอรู้สึกตัวตื่นตอนเช้า ความรู้สึกแรกเหมือนงง แล้วถามตัวเองว่า เอ๊ะ เราอยู่ไหนเนี่ย เตียงไม่คุ้นเลย กรุงเทพ หรือโคเปนฮาเกน พอมีสตินิดนึง นึกได้มาเที่ยวบาหลีนี่ ฉันจะเป็นบ่อยเหมือนกัน ถ้าเวลาเดินทางเยอะๆ เริ่มหลง วันนี้ เรานำเที่ยวเกาะบาหลี บาหลีกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงเพราะว่า เมื่อรัฐบาลอินโดนีเซียใช้เงินค่าปฏิกรรมสงครามจากญี่ปุ่น (อย่างที่บอก ว่าญี่ปุ่นยึดอินโดนีเซียประมาณ 3 ปี) มาพัฒนาประเทศครั้งใหญ่ โดยพลิกจากแหล่งไข้มาลาเลีย ให้กลายเป็นรีสอร์ตระดับโลก โดยเฉพาะ Sanur beach หาดที่ฉันพัก ทำให้ใครๆ ก็รู้จักและอยากมาบาหลี จริงๆ คนที่นี่ 95 % เป็นฮินดู ซึ่งแตกต่างจากคนที่จาการ์ตาที่ส่วนใหญ่เป็นมุสลิม เกือบทุกมุมถนนที่บาหลีจะเห็นเหมือนรูปปั้นที่คลุมด้วยผ้าลาย ขาว ดำ คุยกับชาวบ้านได้ความรู้มาว่า สีขาว ดำ เป็นสัญลักษณ์ของความดี กับความชั่วที่อยู่คู่กัน คง เหมือน หยิน-หยาง ด้วยค่ะ ส่วนสีเหลือง คือสีของเทพยดา อันนี้ความเห็นส่วนตัวนะคะว่า บาหลีเป็นเกาะ เพราะฉะนั้น ชาวบ้านน่าจะเคร่งมากในเรื่องศาสนา อย่างน้อย เค้าจะได้มีหลักยึดเหนี่ยวทางจิตใจ การที่เราอยู่บนเกาะ ความกลัวต้องมีมากกว่าคนที่อยู่บนแผ่นดิน ทั้งภัยธรรมชาติ ต่างๆ ทุกๆวันชาวบ้านจะมีการถวายอาหาร หรือเครื่องหอมแก่เทวดาในทะเล ภูเขา และด้วย กลิ่นอาย ของ ธรรมชาติ พร้อมกับ ความเชื่อ ความศรัทธาของชาวบาหลี มีให้เห็นได้เสมอ ตลอดจนศิลปวัฒนธรรม ศาสนาฮินดู ทำให้ บาหลีมีเสน่ห์ในตัวเองมาก ฉันเริ่มต้นทัวร์จากการไปภูเขา Kintamani นั่งรถไปสักพักจะเริ่มรู้สึกถึงความเย็น เหมือนเริ่มขึ้นเขา จากโรงแรมประมาณ ชั่วโมงนึง เราก็ดูวิวไปเรื่อยๆ จุดแรกที่แวะคือ ร้านกาแฟ เราแวะที่นี่ประมาณ 20 นาที บริเวณนี้เค้าปลูกไร่ชา ผลิตกาแฟและโกโก้เป็นรายได้หลัก สามารถ ชิมชา กาแฟ ได้ฟรี หากอยากซื้อผงกาแฟกลับบ้านค่อยจ่ายตังค์ค่ะ จากนั้นเราก็ไปต่อ อีกประมาณ 15 นาทีก็ถึงเขต Kintamani อากาศสบายมากๆ เย็นๆ ใครๆมานี่ก็เพราะอยากชมวิวของ ภูเขาไฟที่ยังคุกรุ่นอยู่ ชื่อ Gunung -A- bang และทะเลสาบข้างๆ ที่ชื่อ Lake Bater ใครอยากจะชมวิวต้องกินบุฟเฟต์ แต่ฉันยังไม่หิว เลยสั่งแค่น้ำอโวคาโดปั่น ที่มีชื่อเสียงมาก นะคะ ใครๆ ต้องชิม Yuka สั่วโกโก้ร้อน ขาลงจากเขา เห็นร้านขายผลไม้ข้างทาง อยากลองชิม หน้าตาก็คล้ายผลไม้บ้านเรา แต่มี 2-3 อย่างที่บ้านเราไม่มี ขำคนขายมากเหมือนบ้านเราเลย ถ้าหากขายของได้ ต้องเอาเงินของลูกค้ารายแรกมาตบๆ ที่สินค้า เฮงๆ ต่อไปเราก็จะไปดูนาขั้นบันได แวะจอดข้างทางเป็นบางจุด พบเห็นได้ทั่วเกาะ ก็สวยดีค่ะ แต่ที่ไม่ค่อยชอบนิดนึง ก็ตรงที่จะมีคนมาคอยรุมขายของ ตลอดเวลา ถึงเมืองที่มีชื่อเสียงอีกเมืองค่ะ คือ Ubud ฉันชอบเมืองนี้เหมือนกัน ก็น่ารักดี เดินเล่น ถนนหลักๆ ชื่อ Monkey Forrest Street ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ามีใครอยู่เยอะ หลักๆ เป็นงานหัตถกรรม งานแกะสลักไม้ และ Art Gallery เป็นเมือง hip hip เมืองนึง เดินๆไป เห็นร้านขายไอติม งงเพิ่งรู้ว่าไอติมจากเดนมาร์กดัง เดินเล่นที่ Ubud จนสี่โมงเย็น แล้วต้องรีบออกเดินทางไปดูพระอาทิตย์ตกที่วิหาร Tanah Lot ถึงแล้วจ้า วิหารแห่งนี้สร้างโดยนักบวชชาวฮินดู ตั้งอยู่บนเนินหินเตี้ยๆ ในทะเล เป็น 1 ใน 6 ของเทวสถานที่เชื่อกันว่าเพื่อปกปักรักษาเกาะบาหลี วิหารนี้สร้างเพื่ออุทิศแก่เทพเจ้าและปีศาจแห่งท้องทะเล คนนิยมมาดูพระอาทิตย์ตกดินที่นี่จ้า ปิดท้ายด้วยการไปกินข้าวเย็นที่ Jimbalan เป็นชายหาดนึงที่ร้านอาหารต่งๆ จะเอาโต๊ะมาตั้งริมทะเล กลับที่พักสลบเหมือด เพราะวันนี้ยาวจริงๆ เริ่มวันใหม่อีกวัน วันนี้ไม่อยากทำอะไร ไปนอนเล่นริมชายหาด ฟังเสียงคลื่น เสียงลมจนบ่ายสามโมง แล้วก็ต้องไปสนามบินเพื่อ confirm ตั๋วเครื่องบินที่จะบินไป จาการ์ตาพรุ่งนี้ เสร็จธุระที่สนามบินก็ไปเดินเล่นที่ Kuta beach/Legian beach จริงๆ 2 หาดนี้ คือหาดที่มีชื่อเสียง เหมือนหาดป่าตองที่ภูเก็ต ร้านค้าเยอะแยะ ธุรกิจจะอยู่ที่หาดนี้เป็นหลัก ร้านดังๆ ทั้งหลายรวมทั้ง star buck ก็มี แต่ทำไมเราต้องอุดหนุน ไปกินกาแฟเย็นที่ Black Canyon ของพี่ไทยเราดีกว่า Kuta beach คือหาดที่โดนบอมบ์เมือ ปีที่แล้ว กับปีก่อน เค้ามีอนุสรณสถานด้วย ผ่านร้านนึงที่ชอบถ้าใครได้ดูหนังรื่อง Forrest Gump ร้านมีที่ NYC and Tokyo หาข้าวเย็นกิน กะจะเดินเล่นสักหน่อย ฝนดันตกลงมาแค่ 30 นาที แต่ทำให้น้ำท่วมได้ ภาพรวมของบาหลี ถ้าเรื่องศิลปวัฒนธรรม วิถีชีวิต ฉันชอบนะ แต่ถ้าถามถึงอาหาร ก็ไม่ถูกปากซักเท่าไหร่ ธรรมชาติเหรอ ทะเลไทยสวยกว่าเยอะ ชอปปิ้งก็ไม่เด็ด ก็มีพวก spa product ประมาณเนี่ย เหมือนๆ บ้านเราเลย แต่ที่สังเกตุได้ว่าทำไมคนญี่ปุ่นถึงชอบที่นี่ เพราะ คนบาหลีเกือบทุกคน พูดภาษาญี่ปุ่นได้ แม้แต่ beach boy ร้านค้าทุกร้านมีภาษาญี่ปุ่นเต็มไปหมด คงง่ายสำหรับคนญีปุ่นมากๆ เหมือนบ้านที่สอง วันนั้วันที่สามและเป็นวันสุดท้ายที่บาหลี บ่ายๆ จะบินไปจาการ์ตาแล้วจ้า คนที่นี่เองเวลาเดินทางไปไหนจะนิยมใช้เครื่องบิน เพราะราคาพอๆ กับ รถไฟ แล้วก็สะดวกกว่า เป็นไหนๆ มี low cost airline ประมาณ เกือบสิบสาย Dian เลือกให้เราบิน Mandala air กลับมาที่พัก นั่งคิดตั้งนาน สรุปว่า ฉันอาจจะเอา backpack ตัวเองมามากไป หมายถึงว่า เราเอาประสบการณ์ ความคิดเห็นส่วนตัว เข้าไปเปรียบเทียบกับชีวิตที่นี่ ง่ายๆ เราเป็นคนไทยมั๊งคะ เวลาเห็น วัว ควาย ท้องนา ท้องไร่ ก็เฉยๆ เพราะบ้านเราก็มี แต่ถ้าเป็นฝรั่ง ได้เห็น วัว หรือ ควาย ต้องถ่ายรูปเก็บไว้ เหมือนตื่นเต้น ตื้นตันใจ อะไรประมาณนั้น เนี่ยเป็นอย่างนึงค่ะที่นักเดินทางพึงระวัง เพราะไม่มีที่ไหนดีที่สุด ทุกๆที่มีลักษณะเฉพาะตัวที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง เราต่างหากที่ต้องเปิดใจ ยอมรับ เรียนรู้ แล้วสนุกกับมัน และต้องพยายามปรับตัวให้เข้ากับสิ่งใหม่ๆ วันนี้เป็นบทเรียนที่ดีสำหรับตัวเองที่เราไม่ควรยึดเอาความรู้ส ึกนึกคิดของตัวเองเป็นศูนย์กลางไปตัดสินใครๆ
Create Date : 24 กุมภาพันธ์ 2553
Last Update : 25 กุมภาพันธ์ 2553 9:57:47 น.
7 comments
Counter : 3254 Pageviews.
โดย: coco-wine วันที่: 24 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:14:36:43 น.
โดย: DAN_KRAB วันที่: 25 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:10:42:47 น.
โดย: suriyasun วันที่: 19 มีนาคม 2553 เวลา:0:34:08 น.
โดย: ก้อย IP: 182.52.78.58 วันที่: 18 พฤษภาคม 2554 เวลา:0:12:40 น.
โดย: ยายจิน IP: 118.174.33.226 วันที่: 26 มีนาคม 2556 เวลา:10:54:33 น.
Location :
[Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [? ]
หนึ่งใน New Year Resolutions คือความตั้งใจอยากจะเขียน เล่า เรื่องราวผ่าน Blog ส่วนหนึ่งคงเป็นการจัดระบบความคิดที่ดีของตนเอง อีกส่วนคงเป็นการได้มีโอกาสรู้จักเพื่อนใน Cyber space มากขึ้น ใช้ชีวิต กึ่ง ๆเหมือนพวก Urban living ชอบหาร้านกาแฟ หอมๆ นั่งอ่านหนังสือในวันหยุด ขออภัย เมื่อใหม่หัดใช้ Blog ด้วยจ้า