ไปเที่ยว ไปกินกันนะคะ ขอบคุณสำหรับเพื่อนๆทุกท่านที่แวะชมค่ะ
 

**ตะลุยเดี่ยวสู่แดนภารตะ NEW DELHI 14-15 Nov 2006**

หลังจากสอบถามเพื่อนฝูงสมาชิกขาลุยเหมือนกัน
ประมาณ 10 คนได้ก็ไม่มีใครอยากไปอินเดียกับป้าซิ่งเลย
ด้วยว่าค่าใช้จ่ายสูง,ไม่มีเวลาต้องทำงาน ect...
อิฉานก็บอกตัวเองว่า ไม่มีใครไปเป็นเพื่อนก็ไม่เป็นไรแล้ว
เพราะตัวเราพร้อมทุกอย่าง ,สุขภาพก็ดีแข็งแรง,
อากาศในอินเดียของเดือนพฤศจิกายนก็กำลังดี
ตอนเช้าและเย็นอากาศหนาวกำลังเหมาะแค่เสื้อแขนยาวก็พอแล้ว
ส่วนกลางวันก็ร้อนพอๆกับพี่ไทย ก็หาแูขนสั้นใส่
พอตกเย็นก็สวมใส่แจ๊คเก็ตก็โอเคแล้วค่ะ.....

หลังจากวันที่ 4 - 6 พฤศจิกายนไปวันลอยกระทงและลอยโคม
ที่เชียงใหม่ผ่านไป วันรุ่งขึ้นก็รีบเบิ่งไปสถานฑูตอินเดีย
อยู่แถวซอยประสานมิตร เปิดจันทร์ - ศุกร์
เวลาขอวีซ่าเปิดทำการ 09:00 - 12:00
ส่วนมารับผลวีซ่าเวลา 15:00 - 16:30
เอกสารที่นำไปก็มี:>
- พาสปรอตพร้อมก๊อปปี้ 1 ใบ
_ใบจองตั๋วเครื่องบิน (ไปวันที่ 14 Nov กลับวันที่ 22 Nov)
- รูปถ่าย 2 นิ้ว 2 รูป
- เงินค่าวีซ่าแล้วแต่สถานะวีซ่า
ดิฉันขอแบบ single visa ท่องเที่ยวอายุวีซ่าอยู่ได้ 3เดือน
ค่าวีซ่า 1,700 บาท
P.S.*สมุดฝากเงินไม่ต้องใช้่ เพราะสถานฑูตอินเดียไม่ต้องการ

เวลาเช้าก็มายืนรอต่อคิวกันมากเหมือนกันค่ะ
ดิฉันเขียนแบบฟอร์มขอวีซ่าติดแปะรูปถ่าย
บัตรคิวคนที่ 2 ยื่นเสร็จภายในเวลา 10 นาที
เจ้าหน้าที่ตรวจความเรียบร้อยว่าเอกสารได้ครบเสร็จ
พร้อมกับขอค่าวีซ่า 1,700 บาท
บอกให้มารับวีซ่าในวันรุ่งขึ้นคือวันที่ 8 Nov.
เวลา 15:00 - 16:30

วันรุ่งขึ้นมารับ มีคนเข้าคิวมารับวีซ่ากันเยอะมาก
พอถึงเรารับวีซ่า เปิดพาสปรอตดู
เห็นหน้าวีซ่าอินเดีย ก็โล่งใจเห็นส่าหรี่อยู่รำไร555

หลังจากได้วีซ่า ก็ห้อไปถนนราชดำริ ไปหา Super rich
ขอแลกเงินรูปี ไทย 10,000 บาท แลกรูปีในเวลานั้นได้ 11,700 รูปี







ในการเตรียมตัวและแพ๊คกระเป๋าก็เหลือเฟือก่อนวันเดินทาง
อันการไปคนเดียวก็เริ่มแนวความคิด สมองก็เริ่มสั่งการ
เพราะการเดินทางไปอินเดีย มันก็มีอันตรายอยู่เหมือนกัน
ทำไงดีหากเกิดฉันตายไปในแดนภารตะ ใครจะสังเกตุศพได้
อย่างรวดเร็วว่าเป็นคนสัญชาติใด? (อุแม๊! คิดไปโน้น)
พอดีสร้อยที่สลักชื่อจริงตรงตามพาสปรอตก็มี
กำไลยางสีเหลือง " เรารักพระเจ้าอยู่หัว " เราก็มีใส่อยู่ 3 อัน
ส่วนตะขอที่สร้อยเราก็ห้อยพระของขวัญ
ปกติไม่ใ่ส่พระ แต่ไปคนเดียวกลัวผีประจำ
เราก็ใส่ไว้เป็นกำลังใจ
และทำให้เรามีสมาธิว่ามีพระคุ้มครองอยู่ไม่ต้องกลัวอะไร


จากนั้นคว้านหาของกินประทังชีวิตที่โหยหา
นั่นก็คือ โจ๊กสำเร็จรูป กับ บะหมี่มาม่า ที่มีช้อนอยู่ภายใน
มีไปเผื่อหิวยามคำจะได้ไม่ต้องออกมาหาอะไรกินให้เสียเวลา



และแล้ววันเดินทางไปอินเดียก็มาถึงคือ
วันที่ 14 Nov 2006
จากสนามบินสุวรรณภูิมิ จุดหมายลงที่
Indira Gandhi International Airport
บินไฟล์ท TG 315 19:50 ประมาณ 4 ชั่วโมงถึงอินเดีย
เวลาที่อินเดียจะช้ากว่าเมืองไทย 1 ชั่วโมงครึ่ง

เมื่อถึงสนามบินอินทิรา คานธี บรรยากาศที่ ตม.ค่อนข้างเก่า
เราเข้าคิวที่ช่องคนต่างชาติขดเคี้ยวเป็นงู
กว่าจะถึงคิว และรับกระเป๋าที่สายพานเสร็จเล่นเป็นชั่วโมง
มีพนักงานมารอรับเราไปโรงแรมตามสัญญาที่พักพร้อมรับ - ส่งสนามบิน
จากสนามบินไปที่พักกินเวลา 30 นาที
ที่พักอยู่ย่าน Karol bagh ชื่อ Rahul Palace Hotel
ที่พักแค่ 2 ดาว พออยู่ได้อย่างสบายคนเดียว
ย่านบริเวณที่พักก็ยังมีโรงแรมอื่นเป็น 10 กว่าโรงแรมในตรอกเดียวกัน
สถานที่อยู่ใกล้ตลาดใหญ่ เรียกว่าหาซื้อสินค้าได้ก็ย่านนี้
ตอนกลางคืนจะคึกคักผู้คนเยอะมาก เพราะฉะนั้นควรระวังกระเป๋าด้วย
ส่วนอิฉานมีกระเป๋าแบบผูกติดเอว เดินๆก็กุมไปด้วย ตาก็หาของที่อยากได้
ส่วนวันจันทร์ที่ตลาดนี้จะเป็นวันหยุด





วันที่ 15 Nov. ตื่นนอนตอนหกโมงเช้า อาบน้าแต่งตัว
จุดหมายไปโรงแรมระดับ 5 ดาว เพื่อหาทัวร์ท่องเที่ยวที่ไว้ใจและเชื่อถือได้
ถามคนในโรงแรมที่พักบอกไปที่ Hyatt Hotel เท่าไหร่
พนักงานขับรถแท๊กซี่ที่อาศัยทำการบริการอยู่ที่ราหุลที่เราพักบอก
ราคา 350 รูปี แต่คนขับมองหน้าหลุบๆชอบกลกับคนบริการแูขกที่เข้าพัก
เหมือนมีซิกแนล อิฉานก็ต่อ 200 รูปี คนขับบอกไม่ได้
อิฉานก็บอก งั้นไม่ไปหรอก ไปหาแท๊กซี่ ข้างนอกเอาก็ได้

พอออกมาข้างนอกเท่านั้นแหละ ที่นอกโรงแรมอาบังที่รอด้านนอกจะเยอะมาก
เขาจะมองอิฉานเหมือนเหยื่ออันโอชะ ไม่ได้มองซิ เขาจ้องเลยแหละ
ดูว่าิอิสาวคนนี้จะไปไหน ทำอะไร พอเดินไปถามแท๊กซี่ที่จอดอยู่ข้างทางเท่านั้น
อาบังอื่นๆที่จ้องเขมือบเหยื่อ ก็มารุมกัน 4 - 5 คนได้
ถามจะไปไหน บอกจะไปไอแอท เท่าไหร่
แท๊กซี่บอก 250 รูปี อิฉานต่อ 200 รูปี ไปเปล่าล่ะ (อิ๊ ! แท๊กซี่กี้นี้มันบอกเรา 350 )
แท๊กซี่ก็โอเค เปิดประตูให้เราเข้าไปนั่งในรถ
ระยะทางไปโรงแรมไฮแอทประมาณ 20 - 25 นาทีก็ถึง
เราเริ่มหาคอนเซียส ในโรงแรม จะรอรับแขกด้านหน้าประตูทางเข้า
เขาเห็นเรา ก็จะเอ่ยปากถามว่า "มีอะไรให้รับใช้ครับมาดาม"
เราก็บอกอยากรู้ว่าเคาน์เตอร์ทัวร์ที่โรงแรมนี้อยู่ตรงไหนค่ะ
เท่านั้นแหละคอนเซียสก็พาเราเดินไปที่เคาน์เตอร์ทัวร์
(แหม ! มาหลบอยู่มุมตึกหลังๆแบบนี้ ใครจะมองเห็นล่ะเนี่ย)

"อรุณสวัสดิ์ค่ะ ฉันอยากไปทัชมาฮาลค่ะ เท่าไหร่คะ?"
(นั่นคือคำทักทายที่บอกไปกับพนักงานขายทัวร์)
คือในหัวอิฉานอยากไปทัชมาฮาลเป็นอันดับแรก

คนขายทัวร์บอก "รถไปทัชมาฮาลและอัคระ ออกไปแล้วครับ"
"ตอนนี้มาดามอาจจะต้องไปเที่ยวรอบๆเมือง New Delhi & Old Delhi ก่อนไหม?"

อิฉานบอก " เอาก็ได้ค่ะ เท่าไหร่คะ? "

คนขายทัวร์ " เที่ยวทั้งวัน 8:30 - 18:00 ราคา 525 รูปี"

อิฉานก้มดูนาฬิกา บอกเวลาอยู่ที่ 07:40 เวลาเหลือเฟือ ถามโปรแกรมอื่นๆต่อน่าจะดีกว่า
เจอะโปรแกรมดูระบำอินเดียมีเวลาทุ่มตรงด้วย น่าสนแห๊ะ อยากดู
เลยถาม "ไปดูระบำอินเดียเท่าไหร่?"

คนขายทัวร์ "ค่ารถไป 1,360 รูปี ค่าผ่านประตู 200 รูปีไปจ่ายเองหน้างาน"
"ถ้ามาดามจะไปเที่ยวรอบเมือง แล้วจะมาดูระบำอินเดีย น่ากลัวว่าจะไม่ทันดูระบำ
ไปทัวร์นิวเดลีตอนนี้ จนถึง บ่าย 2 กลับมาที่โรงแรมถึงจะทัน
ถ้าไปทั้งวันรวมโอลเดลี รถบัสท่องเที่ยวอาจเร็ทเพราะมีนักท่องเที่ยว
ที่ต้องไปส่งกลับโรงแรมอีกหลายคนและต่างโรงแรม"
"รถออก 8:30 กลับมาโรงแรมไฮแอทตอนบ่าย 2 คิด 400 รูปีครับ
ส่วนทริปไปทัชมาฮาล เดี๋ยวกลับมาถึงแล้วค่อยมาจองก็ได้
พรุ่งนี้ได้ไปรถออก 06:45 น."

อิฉานก็เลยตกลง ได้เวลาก็ขึ้นรถบัสนำเที่ยวพร้อมกับ
คนต่างชาติอื่นๆ ที่รถบัสต้องไปรับทั่วโรงแรม
จุดสุดท้ายก็ไปรับไกด์ขึ้นรถบัส เพื่อเป็นคนสาธยายประวัติศาสตร์
ภาษาอังกฤษฟังง่ายๆ สำเนียงเสียงแขกก็จะมีกระดกลิ้นเป็น ร.หรือ r.
ฟังดูแปลกแต่ก็เข้าใจอ่ะค่ะ





ทัวร์พาไป New Delhi ดังนี้
- Humayun's Tomb
- QutabMinar
- India Gate
- Jantar Mantar
- Lakshmi Narayan Temple

Old Delhi ดังนี้
- Ferozshan Kotla
- Raj Ghat
- Shantivana
- Jama Masjid
- Red Fort















วัดพระลักษมี อิฉานชอบเป็นพิเศษเลยค่ะ
สถานที่โอ่อ่า สีทรายแดงตัดสีขาว
ไกด์บอกสามารถถ่ายรูปวัดนี้ได้นอกบริเวณเท่านั้น
พอเข้าไปด้านใน เจ้าหน้าที่เขาจะไม่ให้ถ่ายรูป
ด้านนอกบริเวณวัด จะมีดอกไม้บูชาขาย






บ่าย 2 โมงรถมาส่งที่หน้าโรงแรมไฮแอทดังเดิม
ก็ได้เวลาท้องร้องพอดี เลยเดินหาร้านอาหารในโรงแรมไฮแอท
ก็เลยกินที่นี่ จะเป็นบุฟเฟย์ ราคา 900 รูปีต่อคน









กินอิ่มหนำสำราญ ก็เดินมาต่อที่เคาน์เตอร์ขายทัวร์
เพื่อบุ๊คไปทัชมาฮาลในวันพรุ่งนี้ และจะจองดูระบำอินเดียในคืนนี้ด้วย

คนขายทัวร์แนะนำว่า"วันนี้จ่ายค่าไปทัชมาฮาล ก็ราคาอยู่ที่ 1,800 รูปี
ส่วนค่าผ่านประตูทั้ง Taj Maha และ Agra Fort ไปจ่ายอีกที่ไกด์"

"ส่วนระบำอินเดีย มาดามไปเองดีกว่าครับ
เพราะสถานที่อยู่ใกล้ๆที่พักมาดามมากกว่า
นั่งแท๊กซี่ประมาณ 70 -80 รูปีเท่านั้น
ที่นี่คิด 1,360 รูปีแน่ะ"

เราก็ตกลงจ่ายแค่ 1,800 รูปี กับเวลาไปเมืองอัคระตั้งแต่
06:45 - 21:30 น. ของวันรุ่ง (ไกลไม่ใช่เล่นวุ้ย)

นั่งแท๊กซี่กลับโรงแรมราหุลพร้อมโซเฟอร์ถูกใจ
เพราะได้แท๊กซี่ที่บริการที่โรงแรมไฮแอทพอดี
คิดราคาไปราหุล 250 รูปีก็ตกลง
โซเฟอร์ถาม "พรุ่งนี้มาดามจะให้มารับที่โรงแรมไหม?"

เราก็บอก "มาก็ได้นะแต่เวลา หกโมงตรง
โซเฟอร์มารับที่หน้าโรงแรมให้ตรงเวลาแล้วกัน
ถ้าไม่ตรงเวลา ฉันจะไปรถคันอื่นแทน โอเคเธอเข้าใจนะ

ถึงที่พักตรงดิ่งดูข้าวของตรูหายไปบ้างเปล่า
กระเป๋าโดนงัดเปล่าว่ะ ปรากฏว่าเรียบร้อยดีไม่มีอะไรหาย
ผ้าปูที่นอนโดนจัดให้สวยเหมือนเดิม
อิฉานก็สบายใจ เลยกระโดดขึ้นเตียงนอน
ทำปลุกนาฬิกาไว้ที่ หกโมงเย็น เพื่ออาบน้าแต่งตัวสักครึ่งชั่วโมง
อีกครึ่งชั่วโมง หาแท๊กซี่ไปดูระบำอินเดียตามแผนที่ๆได้มา
อ้าว แค่ 15 นาทีก็ถึงที่ จ่ายค่าดูไป 200 รูปี
เราเข้าไปเป็นคนแรก แถวหน้าเลย
หันไปดูทำไมมันโล่งแบบนี้หว่า ไม่มีคนเลย
พอทุ่มหนึ่งฝรั่งมากันตรึม คือ
เล่นมาหลายโรงแรมก็เลยเต็มห้องโดยปริยาย






@@โปรดติดตามทริปทัชมาฮาทในวันต่อไปนะคะ

รูปแม่น้าคงคา จากทีวี
/
/






 

Create Date : 02 ธันวาคม 2549    
Last Update : 14 ธันวาคม 2551 7:42:20 น.
Counter : 3737 Pageviews.  

HYATT Regency Hua - Hin 21 - 24 Oct 2006

ที่พักผ่อนใกล้กรุงเทพฯสำหรับครอบครัวก็ที่เดิมๆคือหัวหิน
ครั้งนี้มาพักที่ HYATT โดยพัก 4 วัน 3 คืน
ห้องเราอยู่ชั้นล่างติดสระว่ายน้าและอยู่ใกล้ทะเล
เวลาเช็คอินท์ก็ต้องเดินมาเช็คอินท์ที่เคาน์เตอร์ Regency Club
ไม่ได้เช็คอินท์และเช็คเอาท์ที่ล็อบบี้แต่อย่างใด




วันนั้นได้ welcome drink เป็นน้ามะตูม



ได้คีย์การ์ด พร้อม ข้อความมีปาร์ตี้เด็กทุกสุดสัปดาห์
แต่อะไรๆที่จะเข้าสังคมเด็กคิดเป็นเงินหมด




ภายในห้องพักอาศัย ถือว่าเหมือนๆกับโรงแรมทั่วๆไป
ดีตรงที่พนักงานนำผ้าขนหนูมาเปลี่ยนทุกเวลา
ทั้งเช้า, กลางวัน ,เย็น ( บริการสิ้นเปลื้องก็บ่นอีกนะเรา )
เวลาคำๆหากพวกเราออกไปข้างนอก
กลับเข้าห้องมาก็เห็นผ้าขนหนูมาใหม่อีกแร๊ะ
วันๆเปลี่ยนให้คิดเป็น 4 รอบได้นะเนี่ยะ

ส่วนใหญ่ไปที่อื่น
จะได้ใช้แค่เซ็ทเดียวต่อวัน วันรุ่งขึ้นพนักงานมาทำความสะอาดห้อง
ถึงได้เซ็ทใหม่มา ถ้าเราอยากได้ใหม่ก็โทรเรียกหาได้






ความพิเศษของRegency Club คือมีสระว่ายน้าขนาดหย่อม
ดูแล้วเงียบสงบ บางห้องก็ออกไปเล่นสระว่ายน้าใหญ่
คนเยอะดีมีสไลเดอร์ ส่วนตัวเราชอบแบบเนี่ย เงียบดี
ตอนกลางวันมีพนักงานเสริฟเครื่องดื่มฟรีทุกอย่าง
( ยกเว้นเครื่องดื่มพวกค็อกเทล )
พวกไอศครีมหรือไม่ก็พวกผลไม้เสียบไม้ใส่บนถาดน้าแข็ง
มีพนักงานเดินแจกไปทั่วเตียงสระว่ายน้า







ส่วนบริเวณด้านนอกสระว่ายน้าติดทะเล มีคนเยอะมาก
มีสไลเดอร์พญานาคพ่นน้า สระมีหลายมุมให้เลือกเล่น






ส่วนอาหารมื้อเช้า และ มื้อเย็น รวมอยู่เสร็จเรียบร้อย
ก็ดีเหมือนกันมื้อเย็นไม่ต้องออกไปไหนเพราะดิฉันก็เริ่มเบื่อ
กินอะไรก็ได้นิดหน่อยในบุฟเฟ่ย์ที่สระว่ายน้านี่ก็พอแล้ว

อาหารมื้อเช้าสั่งไปเสริฟที่ห้องก็ได้
โดยเราต้องสั่งอาหารและเอาป้ายไปแขวนไว้ที่หน้าประตูก่อนตี 3
ส่วนครอบครัวเราคิดว่าเดินไปกินเองสบายรมณ์กว่า
ไม่ชอบสั่งอาหารมาที่ห้อง เพราะกว่าพนักงานจะเดินมาเสิรฟ
อาหารก็เย็นชืดหมด ไม่น่าอร่อย






รอบดินเนอร์เครื่องดื่มสั่งได้ตามความพอใจ
ส่วนอาหารมีให้เลือกหยิบและตักกันเอง






พาลูกไปเข้าปาร์ตี้เด็กๆ


ส่วนกลางวันมีระบายสีน้าบนผืนผ้า
ใกล้บริเวณสระว่ายน้าด้านนอก
ขอบๆตัวการ์ตูนจะลงด้วยน้ามันเทียนไว้ก่อน



รอบๆบริเวณที่พักด้านนอก
/








ส่วนสปามีเนื้อที่ใกล้ห้องยิม
เข้าไปใช้บริการนวดน้ามันหอมระเหย
รู้สึกได้ถึงสถานที่แคบไป
ไม่เหมาะสมกับรูปลักษณ์ของโรงแรม
ภายในห้องมีล๊อคเกอร์และห้องน้าแยก





พ่อกับลูกยามใกล้รุ่ง


====== บ๊าย บาย ========






 

Create Date : 02 พฤศจิกายน 2549    
Last Update : 14 ธันวาคม 2551 8:11:59 น.
Counter : 3857 Pageviews.  

เที่ยว Universal Studios กับน้องเกด(Osaka/Japan)

ได้ที่ซุกหัวนอนที่บ้านน้องเกด และใช้น้า ใช้ไฟเป็นที่น่าพอใจ แหะๆ
แถมให้น้องเกดถ่ายรูปให้และไปเที่ยวด้วยกันที่ Universal อีกด้วย
ต้องขอขอบคุณน้องเกดมา ณ .ที่นี้ด้วยค่ะ
จากสถานที่ๆกว้างๆก็เลยดูแคบไป เพราะน้องเขารู้ทิศทางไปหมดทุกที่
แทบหลับตาเดินก็ยังไม่หวั่นไหว
เริ่มกันที่สถานีรถไฟโอซาก้า เป็นจุดเริ่มแล้วกัน
เราจะไปลงกันที่ สถานีชื่อ Universal City
เสียค่าตั๋ว 170 yen



ผ่านร้านค้ามากมายก่อนถึง Universal






เราลากกระเป๋าออกจากบ้านมาด้วย
กะว่าเที่ยวจนเย็นแล้วก็กลับโตเกียวเลย
จะได้ไม่เสียเวลาย้อนกลับเข้าบ้านน้องเกด
ก็เลยต้องเอากระเป๋าไปเข้าล๊อคเกอร์ตามเคย
เสียค่าฝากหย่อนไป 500 yen บริเวณหน้าซื้อตั๋วผ่านประตู







ซื้อตั๋วผ่านประตู 2 ใบ





ประตูทางเข้ายูนิเวอร์แชล
พอดีวันที่ไปเป็นเทศกาลวันฮาโลวีนพอดี
ส่วนวันต่อไปวันที่ 3 พฤศจิกายน ถึง วันที่ 25 ธันวาคม
ก็จะเปลี่ยนไปเป็นเทศกาลคริสต์มาส

















สถานที่การแสดงมีให้เลือกชมอยู่มากมาย
แต่แปะรูปมาได้น้อยนิด






ได้เวลาเที่ยงก็แวะกินอาหารแบบเลือกซื้อสะดวก
ใส่ถาด แล้วก็ไปที่เช็คบิลเพื่อจ่ายเงิน
และหาที่นั่งแบบตัวใครตัวมัน








เสร็จสิ้นการกินก็เดินเล่นย่อยอาหาร
เดินผ่านมาเจอะ Spider-Man
น้องเกดบอกว่าอันนี้มาใหม่ยังไม่เคยก็เลยเข้าไปเข้าแถว
เพื่อรอเล่นกัน ป้ายบอกรอคิวกว่าจะได้เล่น 90 นาที
เราก็ไปเข้าคิวกับเขา รอนานเกือบ 2 ชั่วโมงนานมากเลย
แต่ก็คุ้มค่าที่ได้เล่น เพราะมันส์มากๆ
ได้นั่งยานอวกาศไปดูหนัง 3 มิติ เหวี่ยงไปเหวี่ยงมา
เหมือนว่าสไปเดอร์แมนเป็นผู้นำพาเราไปผจญภัย
มาเจอะน้าก็โดนน้ากระเซ็นไปด้วย
มาเจอะต่อสู้กับผู้ร้ายพ่นไฟ หน้าเราก็ร้อนไปด้วย
วุ๊ย!มันส์เหมือนได้เหาะเหิร เดินอากาศ
ขึ้นๆลงๆหวาดเสียวลูกกะตา สนุกดี

หมายเหตุ:~ น้องเกดเล่าว่าเมื่อก่อนมีบัตร fastpass ฟรี
แต่เดี๋ยวนี้เล่นขายเป็นชุดด้วยราคาแพงพอสมควร
ใครถือฟาสพาสก็ได้เข้าไปเล่นเร็วหน่อย ไม่เสียเวลารอคิวนาน
เราเข้าคิวกันก็ได้เพราะเราไม่ได้เล่นอะไรมากนัก
แค่เจ้าสไปเดอร์แมนของเล่นใหม่ คนเลยมาเล่นกันเยอะ






เล่นเสร็จก็ออกมากินขนมหวานและน้าดื่มข้างถนน
เจ้าสนุ๊ปปี้ที่เห็นคือกระติกน้า ซื้อกลับมาบ้านด้วยน่ารักดี



มีของที่ระลึกอีกมากมาย










น้องเกดพามาส่งหน้าประตูทางเข้า Jurassic Park
บอกเคยเล่นแล้วหัวใจจะวาย พี่เข้าไปคนเดียวแล้วกัน
อิฉานก็เดินเข้าไปค่ะเพราะเป็นสิ่งหวาดเสียวที่โปรดปราน
มีทางพิเศษสำหรับมาคนเดียวด้วย ยิ่งเพิ่มความเร็วเข้าไปใหญ่
ไม่ต้องรอคิวซึ่งเขาประกาศว่าต้องรอนาน 70 นาทีกว่าจะได้เล่น
ส่วนเราพอได้เวลาลงเรือ เพื่อดิ่งลงจากที่สูงก็โทรด้วยมือถือ
บอกว่าน้องเกดเตรียมถ่ายรูปพี่ได้แล้วค่ะ
เพราะน้องเกดจะรออยู่ด้านนอกเพื่อถ่ายรูปให้





JAW ที่เดินผ่านไม่ได้เล่นเพราะมืดเดี๋ยวกลับบ้านไม่ทัน



เดินออกจากประตู ก็มาเจอะลูกโลกอันเดิม
ตกกลางคืนก็สวยไปอีกแบบ



เดินออกจากยูนิเวอร์แชล มากินอาหารเย็นด้านนอก
ร้านที่เรากินเป็นร้านอาหารเกาหลีอยู่ชั้น 5
อร่อยดีค่ะ







กินเสร็จก็เดินทางออกจากสถานี Universal City ด้วยกัน
เพื่อไปลงสถานีโอซาก้า แล้วเราก็จากกันตรงนี้
รำลากันด้วยความเร็วเพราะรถไฟจะออกแล้ว



มาลงสถานีรถไฟโอซาก้า เพื่อนั่งรถบัสกลับโตเกียวเที่ยวสี่ทุ่ม
ตามตั๋วและสถานที่ขึ้นรถ คือจุดเดียวกันกับที่เรามาเกียวโตเมื่อวันก่อน



ถึงสถานีโตเกียวในวันรุ่งขึ้นตอนหกโมงเช้า
========จบแล้วจ้าาา=======




 

Create Date : 01 พฤศจิกายน 2549    
Last Update : 14 ธันวาคม 2551 8:11:22 น.
Counter : 2738 Pageviews.  

ต๊อกแต๊กคนเดียว 1 วันในเกียวโต/Kyoto 28 Oct 2006





ก่อนกลับไทยวันที่ 19 - 25 ตุลาคม ได้คุยกับน้องคนหนึ่งชื่อ น้องเกด
รู้จักเธอมานานไม่กี่ปี และรู้ว่าน้องเขาอยู่โอซาก้า เราก็เลยมีโปรแกรมว่าง
วันที่ 27 ตุลาคม ที่อยากจะไปเที่ยวเกียวโต และ โอซาก้า ขึ้นมารำไร
เลยโทรไปรบกวนน้องสาวคนสวยน่ารัก เพื่อถามเรื่องพอจะมีโรงแรมที่อยู่ใกล้สถานีรถไฟไหม
น้องเขาก็ใจดีมากๆเลยค่ะ ดีใจที่เราจะไปเที่ยว อุตส่าห์แว๊บไปดูเว็ปและสถานที่ๆอยู่ใกล้ว่าพอมีไหม
ปรากฎว่าน้องโทรมาบอกว่้าเต็มหมดแล้วค่ะพี่จ๋า ถ้ายังไงมาพักกับหนูก็ได้ค่ะ
แหะๆเข้าล๊อคในใจดิฉันพอดีเลยค่ะ (ขอบอก)
ดิฉันก็เลยบอกว่า งั้นพี่ออกค่าตั๋วผ่านประตู Universal Studios ให้แล้วกันค่ะ
คุณน้องเธอก็รีบตอบทันควันเหมือนกันค่ะ "ดีค่ะของฟรีหนูชอบๆ "
เรารู้เพราะน้องเขามาเรียน เงินทองต้องใช้จ่ายอย่างประหยัด

คำถามต่อมาก็ แล้วพี่มาอย่างไงคะ เราก็ตอบว่า
กะว่านั่ง Night Bus จากสถานีโตเกียวไปเกียวโตค่ะ มันถูกดี ฮี่ๆ
แต่นั่งน่ะกินเวลา 8 ชั่วโมง ไปถึงก็เข้าวันรุ่งขึ้นที่เกียวโต

@ และแล้วเหตุการณ์ก็ผ่านไป ถือเป็นขั้นตอนการเตรียมตัว@

วันที่ 25 ตุลาคม เดินทางขึ้นเครื่องตอนห้าทุ่มจากสนามบินสุวรรณภูมิ
ถึงนาริตะวันที่ 26 ตุลาเช้าเวลา 7:30 น.
นั่งรถไฟ Keisei Line จากนาริตะ T.1 ค่าตั๋ว 1,000 yen
มาลงที่สถานี Nippori ความจริงสถานีนี้ใกล้บ้านเราแค่ 10 นาที
แต่ด้วยมีโปรแกรมจะไปเกียวโตในอนาคต เลยไปจองตั๋วรถบัสที่สถานีโตเกียว ก่อนดีกว่า
แล้วค่อยกลับบ้าน อาบน้านอนให้ยาวสบายไปเลย
เป็นครั้งแรกที่จะไปเกียวโต เราก็มองหาที่ขายตั๋วรถบัส
ดีที่ว่าเราพูดภาษาญี่ปุ่นได้ ก็สอบถามนายสถานีที่เคาเตอร์ Information
เขาก็บอกให้เดินไป ทางนี้นะ แล้วก็จะถึง



เห็นสถานที่ซื้อตั๋วรถบัสมีคิวรออยู่สัก 10 คนได้
พอถึงคิวเรา สังเกตุด้านหลังเราก็มีคนต่อจากเรายาวเหมือนกัน
ไม่เสียแรงที่รีบมาจองไว้ก่อน
ได้เวลาซื้อ เราก็บอกอยากซื้อตั๋วไปเกียวโตทั้งไปและกลับโตเกียวค่ะ
อยากขึ้นไนซ์บัสออกจากโตเกียวตอนประมาณ 23:00 น.วันที่ 27 Oct
พนักงานขายก็บอกเอา night bus ชื่อ Ladies Dream แล้วกัน
มีแต่ผู้หญิงทั้งคัน แต่ออกเวลา 23:10 นะเอาไหม?
เอาซิค่ะ แค่เกินไป 10 นาทีเอง
พนักงานก็จองที่นั่งขากลับจากเกียวโตวันที่ 29 Oct ตอน 22:00 ให้
(ที่จองเวลานี้เพราะเราอยากถึงโตเกียววันรุ่งขึ้นอีกเหมือนกัน)

ตั๋วไป - กลับ โตเกียว >> เกียวโต >> โตเกียว
ราคา 14,480 yen





ซื้อเสร็จกลับบ้าน มานอนพักผ่อนเอาแรงซักหนึ่งวัน
และแล้ววันที่ 27 ตุลาคม เวลารถบัส 23:10 น.ก็มาถึง
ดูจากรถที่ออกแต่ละคัน เวลาออกต่างกันแค่ 10 นาที
และก็ต่างสถานที่กันไปของแต่ละจุดหมายปลายทาง
พอไฟที่ป้ายบอกเวลาและรถตรงตั๋วเราก็ไปจ่อคิว
เรามีกระเป๋าไปแค่ใบเดียวก็ฝากไว้ใต้ท้องรถ
พนักงานก็ประทับตรายางให้ผ่านขึ้นรถไปได้
ดีที่เราถ่ายรูปตั๋วเก็บไว้ก่อนแล้ว
เพราะพอไปถึงจุดหมายปลายทางที่เกียวโต
เขาก็ขอบัตรเก็บไป เลยมีมาให้เห็นตามรูปบน



ภายในรถ Ladies Dream


ที่นั่งมีผ้าห่มเตรียมไว้ให้
ส่วนเราก็มีหมอนรองคอส่วนตัวมีมาเหมือนกัน
จะได้นอนหลับสบาย คอไม่เคล็ด



ทุกคนนอนหลับกันหมด พอเข้าตัวเมืองเกียวโต
ในรถจะเปิดไฟและมีโฟนบอกว่า ถึงเกียวโตแล้ว
อย่าลืมสัมภาระที่อยู่ในรถ
รถบัสเรามาถึงสถานีเกียวโตในเวลา 6:30 น.
เราก็ลากกระเป๋าไปหาห้องน้าในสถานี มีอยู่บนสถานี
และ ใต้ถุนสถานี เราเลือกไปใต้ถุนดีกว่า คนไม่จอแจดีค่ะ
เจอะคนเต็มหน้ากระจก แปรงฟัน, ล้างหน้า, แต่งหน้า
เราก็รอให้คนเขาเสร็จและมีช่องว่าง
เพื่อที่เราจะได้ปฏิบัติการณ์เหมือนสาวยุ่นบ้าง
เสร็จแล้วก็เข้าห้องน้า เพื่อที่ได้เตรียมตัวผจญภัยในเกียวโต
เพราะเราต้องเที่ยวในเกียวโตอยู่คนเดียว
เพราะน้องเกดบอกมาล่วงหน้าแล้วว่า
ให้เราเที่ยวคนเดียวในเกียวโตไปก่อน
ตกเย็นค่อยมาเจอะกันที่โอซาก้า

หลังจากทำธุระห้องน้าเสร็จ
นอกห้องน้ามีตู้ล๊อคเกอร์เก็บกระเป๋า
เราก็ฝากกระเป๋า หยอดเหรียญไป 400 yen
ลูกกุญแจกระเด้งออกมา
เราก็เก็บไว้ในกระเป๋าสะพายที่ติดตัวเรา
เก็บกุญแจไว้ให้ดีๆอย่าให้หายเชียว
เที่ยวเสร็จแล้วค่อยกลับมาเอากระเป๋าจะได้ไม่มีปัญหา

ขึ้นมาบนสถานี หาบัสทัวร์ 500 yen
ที่เที่ยวได้ทุกที่ในเกียวโต
ถามนายสถานีว่าที่ขายบัตรอยู่ตรงไหนคะ
นายสถานีชี้มือบอกอยู่ด้านนอก ตรงนั้นไง
/
/





ซื้อตั๋วจะเป็นการ์ดไว้เพื่อลงจากรถบัส
แล้วหย่อนการ์ดจะกลับคืน
เพื่อที่จะใช้ต่อรถบัสไปที่อื่นได้เรื่อยๆ
เที่ยวเสร็จก็เก็บไว้เป็นที่ระลึกได้
ซื้อด้วยราคา 500 yen
ได้การ์ดและแผนที่เที่ยวเมืองเกียวโต







ดูแผนที่แล้ว ก็เห็น Kinkakuji Temple
เป็นวัดแรกที่อยากไปมาก เหมือนคนอื่นๆเขา
เราก็เลยต้องไปขึ้นรถบัสที่ B3 ด้วยการที่เรานึกว่า
B3 คืออยู่ใต้ดินลงไป ก็เดินลงไป ฮิๆ เซ่อฉิบเป็ง
พอเดินๆไป มีป้ายบอก B3 ให้ขึ้นไปข้างบน
อ้าวพอเห็นมันเป็นป้ายรถบัส บอกแต่ละล๊อคว่า
A1,A2,A3,B1,B2,B3 ไปถึง D หรือเปล่าไม่แน่ใจ
เพราะล๊อครถแต่ละที่มันตีเป็นวงกว้าง
ส่วนเราจะไป Kinkakuji Temple ขึ้นรถที่ B3
โดยนั่งสาย 205เริ่มเวลา 8:00 น.



มีป้ายบอกให้เดินไปตามทาง
พอถึงวัดก็จ่ายค่าผ่านประตูตามรูป









Omamori แปลว่า เครื่องรางของขลังญี่ปุ่น
เชื่อว่ามีไว้ติดตัวป้องกันอันตรายและมีโชคลาภ
/



เหรียญเงิน เหรียญทอง ที่เราติดตัวอยู่
ก็ลองเสี่ยงโชคดูและตั้งจิตอธิษฐานได้สมใจ
เหรียญต้องตกอยู่ใจกลางหลุม
ดิฉันก็เสี่ยงไปหลายค่ะ ตกกลางแต่กระดอนออกมา
เลยเลิกโยนแล้ว เพราะมันส์มากจนหมดกระเป๋า อิๆ
/


ของกิน ของฝาก
/






ออกจากวัดทองเสร็จ เราเดินข้ามถนนฝั่งตรงข้าม
ขึ้นรถบัสที่ป้าย Nishinokyo En - machi สาย 203
เพื่อไปเดินที่ GION ย่านที่มี Maiko Girl
สาวแต่งชุดกิโมโน Geisha ตามท้องที่นั้น
แต่ไม่ได้เห็นตัวจริง เห็นแต่รูปโปสเตอร์ว่าจะมี
ให้เห็นกันวันที่ 1 - 10 พฤศจิกายน
และโปสเตอร์อื่นๆ ทัวร์ทุกที่ก็มีแต่ย่างเข้าเดือนพฤศจิกายนหมด
เพราะเป็นฤดูใบไม้เปลี่ยนสี สีสวยสุดๆต้องเดือนพฤศจิกายน
เรามามีแต่สีเขียว ผลิแดงก็เริ่มแต่น้อยนิด
เรารู้ว่่าเดือนพฤศจิกายน แต่ไม่มีเวลาค่ะ
เพราะต้องไปบินกลับไทยไปลอยกระทงและไปอินเดียต่ออีก
มีโอกาสก็ตุลาคมนี่แหละ มีโอกาสรีบคว้าไว้ก่อน

ที่ป้ายรถบัส เวลารออยู่มีโฟนด้วย
เพิ่งเคยได้ยิน มีตัวหนังสือบอกด้วยว่า
รถกำลังจะมาอีก 2 นาทีข้างหน้า ดีจังเลย


ถึงป้ายรถบัส GION ก็ลงมาข้ามฟากถนนไป
Yasaka Temple









สัญญลักษณ์และเป็นของที่ระลึกของเมือง GION
เป็นรองเท้าของ Maiko Girl





แล้วก็เดินเข้าตรอก Hanamikoji
เป็นย่้านบ้านเก่าๆ แต่ถนนดูสะอาดเรียบร้อย
มีร้านอาหารอยู่มากมายสนามแข่งม้า และ วัด
ได้เวลาเกือบเที่ยง
เลยมองหาที่กินซักหน่อย แต่ละร้านราคาแพงอยู่
เราเลือกได้ร้านหนึ่ง เห็นแล้วน่ากิน
เสียไป 3,000 ัำyen ตามรูป อิ่มอร่อยให้รางวัลชีวิต
ปกติกินแต่อาหารถูกกว่านี้ประมาณ 300 - 800 yen เท่านั้น









บรรยากาศภายในร้านอาหาร JUNIDANYA
มีที่นั่งแบบเสื่อตาตามิและนั่งเก้าอี้
เราเลือกนั่งบนพื้นเสื่อตาตามิค่ะ







กินเสร็จก็มาเดินเล่นซื้อของที่ระลึก
เราไม่ได้ซื้ออะไรมาก แค่การ์ด 5 ใบเท่านั้น








เดินเล่นย่อยอาหารได้สักพัก
ก็เตรียมตัวขึ้นรถเพื่อที่จะไป
Kiyomizu - Temple เป็นรายการต่อไป
รถมีหลายสายที่ผ่าน ตามรูปค่ะ
ส่วนเราขึ้นสาย 206



ทางเดินก่อนถึงวัดมีร้านค้ามากมาย
เพิ่มสีสรรค์ให้นักท่องเที่ยวมากๆ




หน้าวัด



ก่อนเข้าวัดเสียค่าบำรุงกันหน่อยค่ะ
/








คุณยายพนอจันเคยบอกว่า หากมาวัดนี้
ให้มาดื่มน้า 3 สายให้ได้ เอ้า เราก็ไปเข้าคิวดื่มกับเขา
ที่กระบอกน้าไม่ต้องกลัวโรคติดต่อ
เพราะหลังจากการดื่มเสร็จแล้ว
จะเอากระบอกเหล็กไปฆ่าเชื้อโรค โดยผ่านการ
Ultraviolet Sterilizer



พอเดินกลับเจอะ Maiko Girl เดินมา
ดีใจมากที่ได้เห็นตัวจริง สมดั่งใจหวัง
รีบถ่ายทั้งด้านหน้า ด้านหลัง
กิโมโนสีสวยสด




เจอะพระยืน


เดินออกมาย่านถนนก่อนเข้าวัด
ที่หมายตาไว้ว่าจะซื้อของที่ระลึก
และต้องกินไอศครีมร้านนี้ แปลกดีค่ะ
มีรสงาดำ และ เต้าหู้ ส่วนรสชาเขียวและวานิลาเคยลิ้มรสแล้ว
คราวนี้ขอลองรสงาดำผสมน้าเต้าหู้หน่อย
ผลปรากฏว่า พอแหลกล่าย ค่ะ
เราให้รสชาเขียวนั่นแหละ อร่อยสุดสำหรับเราแล้ว



ภาพโปสเตอร์ประกาศว่า ใครที่อยากมาดูแสงสี
พร้อมใบไม้ผลิสีสวย เริ่มกันตั้งแต่
วันที่ 11 เดือนพฤศจิกายน ถึง วันที่ 3 ธันวาคม





เสร็จจากการเที่ยววัด Kiyomizu
ก็เดินขึ้นรถบัสตรงป้ายที่เราลงจาก Gion มาลง Kiyomizu
ป้ายเดียวกัน แล้วโบกรถสาย 206 ไปลงที่สถานีเกียวโต

พอถึงสถานีเกียวโต ไปเอากระเป๋าที่ล๊อคเกอร์
เพื่อเอากระเป๋าที่ซุกไว้ เตรียมตัวไปโอซาก้าต่อ
เพราะน้องเกดสัญญาว่าเที่ยวเกียวโตเสร็จให้โทรบอก
จากเกียวโตไปสถานีโอซาก้าด้วยรถไฟเกือบชั่วโมง
ค่ารถไฟ 540 yen





พอถึงสถานีโอซาก้าน้องเกดมารับไปเที่ยวปราสาทโอซาก้า
เพราะยังมีเวลาเที่ยวอยู่ แต่นั่นก็ประมาณ 5 โมงเกือบ 6 โมงเย็น
ท้องฟ้ายังมีแสงสว่างอยู่ พอที่จะมองเห็นต้น Clover ได้
ส่วนเราไม่รู้จักเจ้าต้นนี้หรอก น้องเกดหาๆได้จนเจอะ
ต้น Clover มีใบ 4 แฉก แปลว่าโชคดีค่ะ
เพราะตามปกติส่วนใหญ่ต้น Clover นี้จะมีแค่ 3 แฉกเท่านั้น
แถมน้องเกดเอาสมุดบันทึกออกมาจากกระเป๋า
มีรูปใบไม้ Clover อีก เลยดูเป็นที่น่าสนใจเข้าไปกันใหญ่
เราเลยขอถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึก
จากสถานที่ตามรูป พอดีถ่ายไม่ชัดค่ะ
แต่ได้รูปมาแล้ว เหมือนรูประบายสีน้า ก็ดูแปลกอีก
เจ้าต้น Clover ก็อยู่บริเวณนี้ค่ะ







ส่วนรูปนี้เป็นดอกเบญจมาศ มีทั้งดอกเล็ก ดอกใหญ่
มาประดับกันเป็นรูปภูเขาไฟฟูจิ



เสร็จจากเที่ยวดูปราสาทโอซาก้าก็มืดแล้ว
ขากลับนั่งรถไฟเพื่อไปนอนบ้านน้องเกด
ก่อนกลับเลยกินอาหารมื้อเย็นกันก่อน






== ติดตามเที่ยวต่อไปคือ Universal Studios ==




 

Create Date : 01 พฤศจิกายน 2549    
Last Update : 14 ธันวาคม 2551 8:10:04 น.
Counter : 4272 Pageviews.  

ความหมายmanekineko (แมวนางกวัก )



อ่านมาจากหนังสือนิตยสารฉบับหนึ่ง น่าสนใจดีเลยมาเก็บไว้ในบล๊อค
ส่วนรูปที่นำมาโพส ถ่ายมาจากวัดอะสะคุสะ เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา

เพราะชอบแมวกวักมือ แต่ไำม่รู้ความหมายอันแท้จริง
พร้อมกับลูกแก้วสีต่างๆว่ามีความหมายว่าอะไรในญี่ปุ่น
เคยเข้าไปซื้อลูกแก้วที่มีแมวหรือกระต่าย ความหมายไม่ตรงกับไทยเลย
เรานึกว่าสีต่างๆคือวันที่เราเกิดประจำวันซะอีก
แต่ญี่ปุ่นมีความหมายเป็นอื่น ใครต้องการอย่างไหน เลือกหาสีกันค่ะ






จากเรื่องเล่า เกี่ยวกับความเป็นมาของแมวนางกวัก

มีเรื่องเล่ากันว่า เมื่อ 400 ปีมาแล้ว มีหญิงชราคนหนึ่งมีฐานะยากจน
แต่ถึงกระนั้นเธอก็พยายามแบ่งอาหารที่หามาได้นำไปเลี้ยงแมวที่เธอรัก
จนมาวันนึง เธอต้องนำแมวที่เธอรักไปปล่อย เพราะว่า
เธอไม่สามารถเจียดอาหารให้กับแมวได้อีกแล้ว
คืนนั้นเธอกลับมานอนร้องไห้ที่บ้านจนหลับและฝันไปว่า
เจ้าแมวเหมียวมาบอกให้เธอนำดินเหนียวมาปั้นเป็นรูปแมว
แล้วเธอจะโชคดี รุ่งขึ้นหญิงชราไม่รอช้า รีบหาดินเหนียวมาปั้น
ปรากฎว่ารูปปั้นแมวที่เธอปั้นออกมาได้นั้นเป็นที่ชื่นชอบของทุกคน
ใครๆต่างก็พากันมาซื้อรูปปั้นแมวจากเธอ
เหตุนี้จึงทำให้เธอมีเงินมากขึ้นจนสามารถเลี้ยงแมวที่เธอรักได้
จากนั้นมาชาวญี่ปุ่นจึงเชื่อถือว่า แมวเป็นสัตว์นำโชค





ทีนี้มาดูความหมายของแมวนางกวักแต่ละแบบกันค่ะ
ว่ากันว่าแมวที่กวักมือซ้ายจะเรียกลูกค้าเข้าร้าน
ยิ่งยกแูขนกวักสูงแค่ไหน ก็เรียกลูกค้าได้มากขึ้นเท่านั้น
กวักมือขวา เป็นการเรียกเงินทองและความโชคดีเข้าบ้าน
ส่วนแมวสามสีกวักมือซ้ายถือว่า โชคดีที่สุด
เงินทองไหลมาเทมาเรียกว่า รวยไม่รู้เรื่องเลยค่ะ

สำหรับแมวสีดำนั้น ผู้หญิงญี่ปุ่นมีความเชื่อว่าสามารถ
ใช้เป็นเครื่องรางป้องกันภัยอันตรายทั้งปวงได้
ส่วนแมวที่ถือลูกแก้วพนมมือนั้นใช้สำรับการขอพร
ส่วนตัวหนังสือตรงท้องแมวทุกตัวก็คือคำอวยพรค่ะ



สีของแมวแต่ละตัวก็มีความหมายเช่นกัน เช่น

สีขาวหรือสีฟ้า หมายถึง ความสุข
สีม่วง ใช้สำหรับเรื่อง สุขภาพ
สีเทา เพื่อความโชคดี
สีเหลือง สำหรับเงินทองและโชคลาภ
สีแดง เพื่อความสำเร็จ
สีชมพู เพื่อความรัก
สีเขียว เน้นเรื่องความปรารถนาและการศึกษา
สีดำ เอาไว้คุ้มครองให้แคล้วคลาดปลอดภัย








 

Create Date : 17 ตุลาคม 2549    
Last Update : 14 ธันวาคม 2551 7:33:29 น.
Counter : 3816 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  
 
 

ป้าซิ่ง Naomichan
Location :
นนทบุรี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 70 คน [?]




........หลังไมค์ถึงป้าซิ่งค่ะ.........
[Add ป้าซิ่ง Naomichan's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com
pantip.com pantipmarket.com pantown.com