ไปเที่ยว ไปกินกันนะคะ ขอบคุณสำหรับเพื่อนๆทุกท่านที่แวะชมค่ะ
 

"Okamesan(โอคะเมะซัง)"โชคดี กิน & เกมส์ ตรึมประจำปี 15 ธันวาคมที่ญี่ปุ่น



วันที่ 15 ธันวาคมเป็นงานประจำปีแถวบ้านเราคือคาวากุจิ
ใกล้ๆบ้านจะมีศาลเจ้าของท้องถิ่นเรียกว่า Kawaguchi Jinja บ้านเราอยู่ไม่ไกลโตเกียว
งานนี้มีคนหลั่งไหลกันเข้ามาซื้อโอคะเมะซัง ไปประดับที่บริษัทและร้านค้า
เพื่อให้เงินทองไหลมาเทมา, กิจการร้านค้าเจริญก้าวหน้ารุ่งเรือง
ซื้อกันปีละอันเท่านั้น เพราะมีราคาแพงมาก
ใครที่มีของเก่าปีที่แล้ว ก็จะแบกกันมาจากร้านหรือบริษัท มาที่ร้านเดิม
เพื่อซื้ออันใหม่เพราะจะได้ลดราคา
สิ่งของที่ประดับบนบ้องไม้ไผ่ ก็จะประดับด้วยใบหน้าผู้หญิงขาว,
มีรวงข้าวอุดมสมบูรณ์ ,มีเทพเจ้าที่เอื้ออำนวยความเจริญรุ่งเรือง,
มีเหรียญทองเก่าญี่ปุ่น บอกถึง เรียกเงิน เรียกทองเข้าร้าน,
มีแมวนางกวักเรียกลูกค้า, มีปลาและเรือสินค้า,ดอกไม้บาน










บริเวณงานมีอาหารคาว หวาน อยู่หลายร้านด้วยกัน



























ของเล่น และ เกมส์ก็มี
/
/















Update Pics 2008







Daruma



ขนมโมจิทอด



สปาเก๊ตตี้ทอด รสเค็ม กับ รสหวาน



อมยิ้มการ์ตูน



การ์ตูนน้ำตาลปั้น ระบายสีสรรค์







คุณยายพนอจัน กับ ป้าซิ่ง








 

Create Date : 16 ธันวาคม 2549    
Last Update : 16 ธันวาคม 2551 14:31:17 น.
Counter : 3966 Pageviews.  

ร้านอาหารนานาชาติ"ORANGERY" ชั้น 4 สยามพารากอน

























 

Create Date : 12 ธันวาคม 2549    
Last Update : 14 ธันวาคม 2551 7:44:25 น.
Counter : 2541 Pageviews.  

ไปขี่อูฐที่ไจเปอร์ 19/11/2006...India....

กลับจากทริปฃชุราโหเมื่อวาน
ได้เวลาไปขี่อูฐ ตามใจที่ฝักใฝ่ว่า มาถึงอินเดีย อิฉานจะต้องขี่อูฐให้ได้
เพราะในชีวิตยังไม่เคยสัมผัสกับการขี่อูฐ
กะว่าจะฝันอยากขี่นกกระจอกเทศเป็นรายต่อไป555

และแล้วเช้าวันที่ 19 ก็มาถึง ตื่นตอนตีห้า รีบอาบน้า อาบท่า
เตรียมตัวลงไปรอที่ล๊อบบี้ราหุล เพราะเดี๋ยวรถยนต์จากโรงแรมไฮแอท
ซึ่งเป็นรถที่อิฉานจะต้องไปเที่ยวเมืองไจเปอร์คนเดียว จะมารับ
เพราะโปรแกรมไปไจเปอร์มีแบบแพ็คเกจ 3 วัน 2 คืน เลยไม่เอาอ่ะ
อิฉานจะไปแบบ ไป - กลับ วันเดียว ก็ทำได้เหมือนกันแต่แพงน่าดูเลยล่ะ
อิฉานเชื่อใจบริษัททัวร์นี้มาตลอดทริปแล้ว ยังไงเสียก็ต้องดูแลฉันดีแน่


พนักงานขับรถมารับตอนหกโมงเช้าตามสัญญา
สภาพรถยนต์สีขาวใหม่เอี่ยม ไม่มีรอยบุบ
ส่วนใหญ่รถในเดลีมีรอยบุบแทบทุกคัน
เพราะการจราจรรีบเร่งแบบจะไปตายกันอยู่ทุกวัน
แบบว่ารถข้ามาอยู่ข้างหลัง บีบแตรปู๊ดๆปร๊าดๆให้เจ้าคันหน้าหลีกทางออกไปซะ
เพราะฉะนั้นบนท้องถนนจะมีเสียงแตรรถกันอยู่ทุกลมหายใจเลยทีเดียว
ส่วนโซเฟอร์แต่งกายด้วยแบบฟอร์มสีขาวไปทั้งตัว
มีบั้งสีทองบนไหล่เสื้อ
ส่วนอิฉานก็นั่งคนเดียวอยู่เบาะหลัง
เสื้อผ้าแบบเซอร์แหลก (เพราะซำไปซำมา)+ รองเท้าบู๊ทคู่ชีพ

การไปเมืองชัยปุระ หรือคนอินเดียเรียกเมืองนี้ว่า ไจปูร์ หรือ ไจเปอร์
กินเวลาการเดินทางประมาณ 4 -5 ชั่วโมง
สถานที่สำคัญก็คือ
พระราชวังแอมเบอร์ ( Amber Fort )
พระราช้วังสายลม ( Palace of the wind )
ส่วนการขี่อูฐต้องไปที่ไจซาลเมอร์ ซึ่งเนื้อที่จะเป็นทะเลทราย
สำหรับเรื่องขี่อูฐของอิฉานคือไปไม่ถึงไจซาลเมอร์หรอกค่ะ
ขี่มันแถวท้องถนนเมืองไจเปอร์เนี่ยก้อ พอแล้ว


จากเวลา 6 โมงเช้า แวะกินอาหารเช้าตอน 8 โมงเช้าที่โรงแรมหนึ่งระหว่างทาง
ค่าอาหาร 100 รูปีและที่ขาดไม่ได้คือ Masala Tea
ส่วนโซเฟอร์รออยู่ด้านนอกตามมารยาท





รถมาถึงเมืองไจเปอร์ มารับไกด์หนุ่ม (ต่อไปนี้จะเรียกว่า ปุนจาญ นะคะ)
หน้าพระราชวังสายลม บ้านเมืองทาสีเป็นสีชมพู(อมส้ม)
ปุนจาญแนะนำตัว พร้อมกระตือลือล้น บอกข้ามถนนไปฝั่งตรงข้าม
เพื่อถ่ายรูปพระราชวังและจะได้เห็นเต็มตา
อธิบายว่า ส่วนที่เห็นตามช่องหน้าต่างลายฉลุเป็นที่นางสนมกำนัล
สมัยก่อนนั้น พวกหล่อนชอบมองมาเบื้องล่างอยู่ทุกวัน
เพราะไม่สามารถออกมาเดินเล่นด้านนอกได้



จากนั้นก็พาเราข้ามถนนกลับมาที่รถ
เพื่อพาเราไปป้อมปราการแอมเบอร์ ซึ่งเป็น
สถานที่ที่ พระมหาราชาและมหารานี พร้อมด้วย
เหล่านางสนมกำนัล พำนักอยู่อาศัยในสมัยก่อน

ภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้า ช่างวิจิตร ประณีตบรรจงเหลือเกิน
เรียกว่างดงามอร่ามตาไปเสียทุกที
การแกะสลักลวดลายเครือเถาและการฝังกระจกเงา
ชิ้นเล็กๆลงในเนื้อหิน กระจกเหล่านี้
เป็นตัวเสริมแต่งความงามของห้อง
เช่นเมื่อจุดโคมประทีป กระจกจะสะท้อมแสงไฟน่าดูมาก
ถ้าพรมปูพื้นพรมแดง เพดานห้องที่ประดับกระจกก็จะสะท้อน
เป็นสีแดงทั้งห้อง
ปุนจาญบอกว่า แม้แต่เครื่องแต่งกายของพระมหารานี
ก็ประดับเป็นกระจก หนักถึง 18 กิโลกรัม
บางทีเดินไม่ไหว ต้องมีรถลาก เข็นกันตามท้องพระโรง















ทางเดินแคบๆที่พระมหารานีจำเป็นต้องมีรถลาก
เพราะชุดแต่งกายประดับกระจำเงาหนักถึง 18 กิโลกรัม
พระนางเดินไปไม่ไหว
/





มีบริการขี่ช้างขึ้นมาที่ป้อมแอมเบอร์ด้วย
ปุนจาญถามจะขึ่ช้างไหม อิฉานบอกไม่ขี่หรอก
ฉันอยากขี่อูฐมากกว่า เพราะฉันขี่ช้างที่เมืองไทยมามากพอแล้ว
เดี๋ยวเธอพาไปขี่อูฐจะขอบคุณมากเลย เพราะไม่เคยขี่อูฐ




ว่าไปแล้วตลอดเวลาที่ไกด์ปุนจาญเนี่ยปากหวานมากเลย
บอกเราว่า อิฉานสวย แต่งตัวเท่ห์ ดูแล้วสมาร์ทดี
เวลาเดินก็ทะมัดทะแมง สุดท้ายก็บอกว่า "ผมนึกรักคุณแล้วซิ"
ในใจอิฉันก็ (กูนึกแล้ว เอ็งต้องมีคำนี้ออกมาจากปากแน่
เห็นลูกนัยน์ตาอ้นแสนเจ้าชู้ของเอ็งแล้ว กูต้องระวังตัวให้ดีแล้วแหละ)
จากนั้นก็ตอบไปว่า "โอ๊ย ! ไม่ต้องมารักฉันหรอก เพราะฉันมีลูกมีปั๊วแล้ว
ทางที่ดีนะ เธอเป็นได้แค่น้องชายฉันดีกว่า"( ใจดีสู้เสือ ยิ้มไว้ เพราะปุนจาญจะต้องบริการเราอยู่ถึงเย็น เราต้องทำใจดีเอาไว้)
ดูท่าทางเธอประมาณแค่ 30 ปี ปุนจาญตกตะลึงว่าทำไมดูปุนจาญแก่ไป
5 ปี เพราะเขาแค่ 25 ปีเท่านั้น
แต่สำหรับฉันเธอรู้ไว้ ฉันน่ะ 42 แล้วนะเฟ้ย อิฉานก็บอกไป
ตาปุนจาญ ทำตาตะลึงอีกว่า ไม่อยากเชื่อเร้ยยยย


หลังจากดูป้อมแอมเบอร์เสร็จ ก็นั่งรถไปขี่อูฐ
ก่อนขี่อูฐนี่ ปุนจาญแวะพาเราไปซื้อสินค้า
สินค้าที่พาไปซื้อเป็นพรมเปอร์เซีย

มีคนมาต้อนรับ โปรโมทแรกย้อมใจเราโดยการพาไปพิมพ์ผ้า



อิฉานก็เลือกแป้นพิมพ์เป็นรูปอูฐ คือในหัวสมองฉันเวลานี้
มีแต่ camal...camal คนต้อนรับบอกเดี๋ยวไปชมสินค้าด้านในก่อน
ค่อยมารับผ้าที่พิมพ์นะ

จากนั้นก็พาเราไปนั่งบนเก้าอี้บุนวมอย่างดี
พร้อมถามอยากดื่มน้าอะไร ที่นี่มีทุกอย่าง
ฉันเลือกเอาน้าดื่มสะอาด 1 ขวดพอมือแล้วกัน
มองรอบๆบริเวณมีแต่พรมเปอร์เซีย มีหลายขนาดด้วยกัน
มีนักท่องเที่ยวหัวแดงอยู่กลุ่มหนึ่ง มาก่อนหน้านี้แล้ว
ซึ่งก็ทำหน้าเซ็งๆพร้อมดื่มน้าไปด้วย
ทำไมพวกเขาถึงหน้าเซ็งๆกัน
เพราะไม่อยากซื้อพรมด้วยราคาแพงนั่นเอง
ส่วนอิฉานก็เซ็งเหมือนกัน เมื่อไหร่กูจะได้ออกจากตรงนี้ไปซะที
ตะล่อมให้ซื้ออยู่ได้ ไม่มีอารมณ์เลย แต่ก็ยิ้มบอกว่า
"บ้านฉันไม่เหมาะกับพรมเปอร์เซียเลยค่ะ เสียใจด้วยนะคะ "
ปุนจาญมากระซิบ นี่เป็นหน้าที่ของเขาที่ต้องพานักท่องเที่ยวมาดูสินค้าพื้นเมือง
ถ้าอิฉานไม่ซื้อไม่เป็นไร ถ้าอยากซื้อบอกนะ
เขาจะช่วยต่อราคาให้ บอกคนพวกนั้นไปว่า
อิฉานเป็นเพื่อนกับปุนจาญเจอะกันที่เมืองไทยแล้วกัน
อิฉานก็ยิ้มอยู่ในใจ และบอกว่า "ขอบใจมากๆ"

จากด่านพรมเปอร์เซีย ก็ต้องผ่านด่านสินค้าจิปาถะอีก
แบบว่าอยากได้อูฐไม้ฉลุลาย ราคา 2,000 รูปี
คนขายลดได้แค่ 1500 รูปี ฉันต่อ 1,000 เขาก็ไม่ให้
ปุนจาญมากระซิบ ไม่ได้เราก็ออกจากที่นี่ ไปที่อื่น
เดี๋ยวพาไปซื้อ ที่นั่นก็มีเหมือนกัน
คนขายหาผ้าคลุมไหล่มาทาบๆ อีก เพื่อที่จะได้ขายอะไรให้เราสักอย่าง
แต่อิฉานก็ไม่เอาล่ะค่ะ ผ้าคลุมไหล่ที่บ้านเพียบแล้ว
ปุนจาญทำซิกแนลว่า ออกจากที่นี่ดีกว่า
ขาออกจะขึ้นรถ พนักงานพิมพ์ผ้านำผ้าพิมพ์ที่อิฉันพิมพ์อูฐไว้มาให้

จากนั้นปุนจาญพาไปซื้อสินค้าอีกที่หนึ่ง
ที่นั่นมีอูฐอยู่หนึ่งตัวรออยู่ด้วยพร้อมคนจูงอูฐ
เห็นแล้ว อิฉานก็บอกขอขี่อูฐก่อนนะ ก่อนที่จะซื้อสินค้า
เราบอกขี่สัก 20 นาทีก็พอ คิดเท่าไหร่ล่ะ
ปุนจาญบอกว่าคนจูงอูฐอาจคิดกับนักท่องเที่ยว 500 รูปี
แต่สำหรับอิฉานเป็นเพื่อนเขา จะให้คนจูงอูฐแค่ 100 รูปีเท่านั้น
ว่าแล้วก็ขึ้นบันไดเพื่อขี่อูฐเพราะอูฐตัวสูงเขามีบันไดให้ขึ้นไป
ส่วนปุนจาญขอนั่งซ้อนท้ายไปด้วย
การขี่อูฐก็ต้องโยกหน้าโยกหลัง ไปตามจังหวะการเดินของอูฐ




ขี่เสร็จไปล้างมือเสียหน่อยเพราะไม่ไว้ใจในความสกปรก
ก่อนที่จะไปดูสินค้า พอย่างเท้าเข้าไปก็พบกับผ้าส่าหรี่สีสวยๆ
มีการมาห่มส่าหรี่แบบลวกๆให้ดูพร้อมถ่ายรูปด้วยก็ได้
แต่จะให้ฉันถอดเสื้อผ้าเพื่อจะได้ใส่ชุดส่าหรี่ อิฉานก็ไม่เอาล่ะค่ะ
เพราะในใจไม่ต้องการซื้อส่าหรี่ แต่ได้ผ้าคลุมหัวสีสวยมาผืนหนึ่ง
ขึ้นชั้นบนไปเป็นแกลอรี่ ก็ได้รูปมา 2 รูป ปุนจาญรู้ว่าเราอยากได้
เขาก็บอกกับคนขายว่าเราเป็นเพื่อนกัน มาเที่ยวอินเดีย
ไม่ใช่นักท่องเที่ยวเหมือนทุกครั้งนะ คนขายก็ลดราคาให้ครึ่งต่อครึ่ง
ส่วนอูฐนั้นได้แบบจ๊าปกว่าไม้ฉลุลาย คือ
ตัวอูฐประดับด้วยกระจกชิ้นเล็กๆเต็มตัว ตัวสูงประมาณฟุตกว่าๆ
ราคา 2,000 รูปีแต่ลดได้ 900 รูปี อิฉานดีใจมากๆเลย
อูฐตัวนี้สวยงามมาก สมใจเราจริ๊ง จริง
บอกแพ็คให้ดีด้วยนะเพราะจะต้องนำขึ้นเครื่อง
คนขายก็บอกรับรองได้ แล้วก็พาไปดูว่า
เขาแพ็คด้วยพลาสติกกันกระแทก พันหลายรอบให้เลยล่ะ





หลังจากซื้อของและขี่อูฐเป็นที่น่าพอใจ
อิฉานก็บอกปุนจาญว่า หิวอยากกินข้าว
พาไปกินอาหารที่อร่อยๆหน่อยซิ
ฉันจะเลี้ยงเองในฐานะที่เธอถ่ายรูปให้ฉัน
ฉันดีใจที่ได้รูปเยอะกว่าทุกทริปที่ผ่านมา

รถจอดที่ร้านอาหารหนึ่ง
อิฉานก็บอกโซเฟอร์ว่ามากินด้วยกันนะ
(เพราะโซเฟอร์เหมือนเพื่อนตาย ทีอยู่
กับฉันตลอดตั้งแต่รับจากโรงแรมที่ฉันพัก
และพาไปเที่ยวจนกว่าจะส่งกลับโรงแรม
จะไม่เรียกมากินด้วยกันก็อย่างไรอยู่
เพราะการที่เขาทำตัวเหมือนฉันเป็นเจ้านายเนี่ยแหละ
ฉันจึงเรียกเขามากินด้วย)
พอถึงเวลาโซเฟอร์ก็บอกปฏิเสธ
ฉันเลยบอกกับบ๋อยว่า "จัดน้าดื่มหรืออาหารอะไรก็ได้ให้โซเฟอร์ด้วย
แล้วจดลงไปในบิลอาหารมื้อนี้ด้วยแล้วกันนะ"



ภายในร้านอาหารมีแขกเต้นโฟล๊คแด๊นซ์พร้อมถือเครื่องสีเดินอยู่ไปมา
ส่วนปุนจาญแวะเข้าห้องน้าไปนานสักครู่
พอออกมา เห็นผมบนหัวหวีแซกตรงซะเรียบเป็นมันแวว
เหมือนในใจเขาจะถามว่า ผมหล่อรึเปล่าครับ
ส่วนอิฉานนึกขำอยู่ในใจ ปุนจาญจะมาไม้ไหนล่ะนี่

อิฉานบอกปุนจาญ สั่งอาหารอะไรก็ได้ตามใจเธอแล้วกัน
ส่วนฉันเอาข้าวผัดไก่ และสลัดผักสดกับ น้ามะนาวโซดา
ช่วงที่รออาหารอยู่ ปุนจาญบอก รูปที่ถ่ายไป ที่รูปเขากับเราน่ะ
ส่งมาทาง E-mail ได้ไหม อยากได้เก็บไว้ดู
เราก็บอกได้ซิ จะส่งไปให้ แต่รอเดือนหน้าแล้วกันนะ
เพราะฉันยังต้องเที่ยวและกลับไปทำงานอีกคงไม่มีเวลาหรอก
แล้วเขาก็ยื่นนามบัตรส่งให้มา เราก็รับไว้
ปุนจาญชอบเรามาก บอกว่า ให้ผมบอกใครๆได้ไหมว่าคุณเป็นแฟนผม

พอดีอาหารที่สั่งมาขัดจังหวะพอดี อิฉานก็เริ่มกินก่อนล่ะค่ะ
ส่วนปุนจาญไม่กินตาม มีแต่พูดว่า ต้องบอกมาก่อนว่าให้เขา
ไปบอกใครได้ไหมว่าอิฉานเป็นแฟนปุนจาญก่อน ถึงจะกิน
อิฉานก็ตอบไปว่า นี่เธอ ฉันมีสามี มีลูก แล้วนะ จะมาคิดอะไรกะฉัน
ดูท่าจะตลกมากเกินไปแล้วล่ะ อยากกินก็กิน ไม่กินก็ไม่ต้อง
ฉันเป็นได้แค่เพื่อนเธอเท่านั้นแหละเอาไหมเล่า
ปุนจาญเห็นท่าไม่ดี ก็เริ่มกิน เลยพูดเรื่องอื่น ถามถึงทริปนี้เรามีความสุขไหม
เราก็บอกทริปนี้เหรอดีมากๆ สนุกดี ได้ขี่อูฐ ซื้อของได้ถูกเพราะมีเธอช่วยต่อราคาให้
ว่าแล้วปุนจาญ ก็เริ่มกินจนหมดเกลี้ยง ส่วนจากข้าวผัดไก่ของอิฉานก็อร่อยนะ
แต่มันกินไม่ลง เพราะอีตาปุนจาญมานั่งขอความรักอยู่ได้
กินไปได้แค่ครึ่งจานก็อิ่มแล้ว สลัดกินแค่แตงกวาไป 2 - 3 ชิ้น
พอถึงตอนเช็คบิล ปุนจาญบอกขอให้เขาเป็นคนจ่ายเถอะ
เราบอกไม่ต้องหรอกเพราะเราเป็นคนอยากกินเอง
ฉันจะจ่ายเอง
จ่ายเสร็จ มีสมุนไพรหลังอาหารสำหรับเคี้ยวดูบ้างว่ารสชาดเป็นไง
เคยเห็นแต่ในหนังสือ เลยบอกปุนจาญอยากกิน เธอทำให้ฉันดูก่อน
ฉันถึงจะกล้ากิน พอเข้ากินแค่พอคำ เราก็ตักกินบ้าง
เวลาเคี้ยวกลิ่นหอมดี ทำให้ปากสะอาดมีกลิ่นหอม ดับอาหารที่คาวปากดีได้เหมือนกัน




บอกปุนจาญเดี๋ยวหาซื้อสมุนไพรแบบนี้ให้หน่อยซิ อยากได้
ปุนจาญบอกได้ซิ เด๋วซื้อให้เป็นของขวัญแล้วกัน
และแล้วก็ขึ้นรถพาไปซื้อให้ทันที



จากนั้นแวะซื้อของข้างทางตรงพระราชวังสายลม
ได้มาเป็นโมบายประมาณหนึ่งเมตร
มีอูฐห้อยระย้าหลายตัวได้มา 4 เส้น
พอขึ้นนั่งในรถ โซเฟอร์กระซิบบอก
"ไม่ให้ทิปไกด์หน่อยเหรอเขาบริการคุณดีมากเลยนะ"
อิฉานก็รีบบอกทันทีเหมือนกัน "ฉันก็อยากให้อยู่เหมือนกันแหละ"
"ตอนกินข้าวตะกี้นะ เขาอยากจะจ่ายค่าอาหารให้ฉันนะ "
"ถ้าฉันไปให้ทิปเขา เขาคงไม่เอาหรอกค่ะโซเฟอร์"
โซเฟอร์ทำหน้าเอ๋อไปเลย (แกคงงงน่าดู)

จากตรงนี้ได้เวลาห้าโมงเย็น ก็แยกทางกลับสู่เดลี
ถึงเดลีตอนห้าทุ่ม ง่วงมากๆเลย ก่อนนอนขอกินบะหมี่กระป๋องก่อน
เพราะเมื่อตอนบ่ายกินข้าวไปนิดเดียวเอง

P.S.เรื่องรูปที่จะส่งให้ทาง E-mail
จากวันนั้นจนวันนี้ก็ไม่ส่งให้หรอกนะปุนจาญ...




 

Create Date : 06 ธันวาคม 2549    
Last Update : 14 ธันวาคม 2551 7:41:52 น.
Counter : 3821 Pageviews.  

ฃชุราโห(Khajuraho)17-18 Nov.2006/INDIA






โทรหาแท๊กซี่อาบังโพกหัวไว้เมื่อคืนวาน บอกให้มารับที่โรงแรมราหุล
ตอน 9:00 เช้า เพื่อบินภายในประเทศไป Khajuraho
โดยสายการบิน Indian Airlines ไฟล์ทบิน 11:35
ก็ตามระเบียบนิยามแม่สายบัว กว่าจะระเห็ดออกได้
ก็ปาเข้าไปบ่ายโมง กว่าจะถึงฃชุราโหก็บ่ายสองโมง







พอถึงสนามบินก็รีบเดินอยากว่องไว
เพราะไม่มีกระเป๋าเช้คอิน มีแต่เป้ติดตัวอยู่แค่หนึ่งใบ
ออกมาก็โดนอาบังเข้ามารุมหลายคน
ถามไปแท๊กซี่ไหม ไปโรงแรมไหน
พร้อมกับมีตารางราคาค่าแท๊กซี่ให้ดูเสร็จด้วย
ฉานก็หาคนหน้าตาที่น่าไว้ใจได้ พูดจาดีหน่อย
ก็ได้รถมา 1 คันพร้อมคนขับและเพื่อนคนขับอีกหนึ่ง
ดีที่เคยเจอะสภาพมีคนขับพร้อมเพื่อนคนขับจากเดลีมาบ้างแล้ว
ก็เลยไม่ตกใจว่า จะโดนรุมสองหรือเปล่า
ด้วยราคา 600 รูปีแล้วแต่เราจะไปที่ไหน กลับเวลาไหนก็ได้ตามใจ
เราก็ตกลงใจ พอขึ้นรถก็บอกว่า พาฉันไปโรงแรมที่สะอาดและดูดี
ราคาไม่แพงหน่อยแล้วกัน เพราะฉันไม่ได้บุ๊คโรงแรมมา
เจ้าคนเป็นเพื่อนจะเป็นคนคุยกับอิฉานเป็นส่วนใหญ่
ส่วนคนขับมีหน้าที่ขับอย่างเดียว
ขับมาไม่ถึง 10 นาทีก็แวะดูโรงแรมหนึ่งชื่อว่า
USHA BUNDELA สอบถามคืนหนึ่งราคาอยู่ที่ 1,950 รูปี
เห็นห้องก็สะอาดน่าอยู่ เลยตกลงค้างที่นี่
บอกอาบังที่เป็นเพื่อนคนขับว่า รอ 5 นาทีนะ
ฉันจะเอากระเป๋าไปเก็บก่อน
อิฉานรับกุญแจห้อง รีบทำธุระส่วนตัวแล้วก็ล๊อคห้อง
เพื่อไปวิหารกันทาริยา มหาเทพ ตามใจฝัน






อาบังบอกว่าเมืองนี้เป็นเมืองเล็กๆมีถนนที่อำนวยความสะดวกเพียงเท่านี้
และมีวัดอยู่แค่ 3 วัด ส่วนที่อื่นๆก็มีวัดอีก แต่ไม่มีถนนเข้าไป
ส่วนใหญ่จะเป็นป่า ที่ยังไม่มีถนนให้รถวิ่งเข้าไปได้
ก็เข้าล๊อคตามที่อิฉานศึกษามาก่อน ที่จะมาฃชุราโหอยู่เหมือนกัน

มองรอบบริเวณมีแต่ฝุ่นดินแดง แม่น้า และ ป้าเขา
สักพักก็ถึงวิหารกันทาริยา เสียค่าผ่านประตูคนละ 250 รูปี
วันเวลาเปิดและปิดไม่มีกำหนดเวลาเมื่อไหร่
ให้ดูพระอาทิตย์ขึ้น จะเปิดทำการ
พระอาทิตย์ตก ก็จะปิดประตู
ภายในบริเวณรอบวิหารดูสะอาดตา
มีสวนหญ้าอันกว้างใหญ่ ต้นไม้ใหญ่ก็มีอยู่บ้าง
ส่วนนักท่องเที่ยวมีเยอะทุกวัน
เพราะหมู่วิหารที่เมืองฃชุราโห ได้รับการยกย่องว่า
เป็นเลิศในลักษณะเด่น 3 ประการคือ
ด้านสถาปัตยกรรม, ด้านประติมากรรม ,
และภาพแกะสลักกามาวิจิตรรอบวิหาร
และได้รับการยกย่องจากองค์การยูเนสโกของ
สหประชาชาิติให้เป็นมรดกโลกคือ
ฃชุราโหเป็นที่ตั้งของหมู่วิหารของศาสนาเชนและฮินดู
ทีสร้างด้วยหินทรายมีอายุมากกว่า 1,000 ปีเศษ
สวยงามเป็นเลิศด้วยสถาปัตยกรรมอินเดียแบบอินโด - อารยัน














ภาพแกะสลักภายนอกวิหารด้านนอก ส่วนใหญ่
จะเป็นภาพอิโรติกที่เรารู้จักกันดีแล้วทั้งนั้น
บางคนอาจสงสัยว่า สถานที่สำคัญทางศาสนาเช่นนี้
เหตุใดเขาจึงเอาภาพที่ดูเหมือนจะสร้างกิเลส
และตัณหาของมนุษย์เขามาเกี่ยวข้อง
เพราะเจตนาที่กษัตริย์ราชวงศ์จันเดลละ
สร้างวิหารถวายเทพเจ้าประการแรกคือ
เป็นอนุสรณ์แห่งชัยชนะ และเหตุผลที่สร้างภาพประติมากรรม
กามสูตรมาประดับรอบวิหาร ก็เป็นหนึ่งเครื่องบวงสรวงเทพเจ้า
ที่พวกเขานับถือศรัทธา ตามความเชื่อในยุคสมัยจันเดลละ
ซึ่งมีอยู่ 4 ประการคือ ได้กินเนื้อสัตว์ ,ได้กินปลา,
ได้ดื่มสุรา, และได้เสพเมถุน
เครื่องบวงสรวงจึงประกอบด้วยสิ่งเหล่านี้
ส่วนภาพกิจกรรมต่างๆที่มีภาพการร่วมประเวณีระหว่างคนกับสัตว์
ก็เป็นเรื่องปกติระหว่างสงคราม กองทัพไม่มีผู้หญิง
และเมื่อทหารเกิดอารมณ์เพศขึ้นมา
จึงหันไปปลดเปลื้องกับสัตว์ที่อยู่ในกองทัพ














ออกจากหมู่วิหาร คนขับรถที่รออยู่แล้ว
ก็รับไปเที่ยวอีกวัดของศาสนาเชน
ศาสดาของเชนมีชื่อว่า มหาวีระ
การปฏิบัติเหมือนศาสนาพุทธคือถือศีลห้าเหมือนกัน
เพียงแต่ว่าบางคนเคร่งมากจะไม่นุ่งผ้า
ผ้าผ่อนนั้นผลิตมาจากพืช ซึ่งถือว่าเป็นการเบียดเบียน
กินผลไม้ก็ต้องรอให้หล่นถึงจะกินได้
เจอะมด ก็ต้องปัดไปห้ามฆ่า








จบจากวัดมหาวีระ อาบังพาไปอีกที่มีลักษณะเหมือนสถูป
ดูแล้วคล้ายๆที่เคยดูผ่านมา ก็เลยดูได้นิดหน่อย
จากนั้นอาบังก็ขับรถพาไปดูสินค้าที่ลือชื่อของเมืองนี้
เลยได้หินแกะสลักเป็นที่ระลึกของเมืองนี้มาหนึ่งอัน
ส่วนสถานที่ซื้อสินค้านี้ ตกเย็นมีการแสดงระบำแขกด้วย
เป็นHall เล็กๆที่นั่งเป็นกำมะหยี่สีแดง น่านั่งดูเหมือนกัน
แต่ไม่ได้ไปดู เลยกลับเข้าที่พักดีกว่า






ถึงห้องก็อาบน้าไปด้วย และจุดเทียนในห้องน้าด้วย
เผื่อกันไฟดับ จะได้มีเทียนไว้เป็นที่พึ่ง จะได้ไม่กลัว
ปรากฏว่้าพออาบเสร็จ ไฟดับไป 2 ครั้ง
แต่ก็ไม่กี่นาทีเท่านั้น ดูทีวี หนังอินเดียก็เพลินดีเหมือนกัน
พระเอก นางเอก เต้นสนุกดี เพลงเดียว
เสื้อผ้าเปลี่ยนไปแล้ว 4 - 5 ชุด
แดนเซอร์ชาย หญิง เต้นได้พร้อมเพรียงดีจริงๆค่ะ
ดูไปก็กินสปาเก็ตตี้กับชามาซาลา 1 กาไปด้วย
สปาเก็ตตี้ก็ลองแบบอินเดีย จานอย่างกับกาละมัง
กินไปได้แค่ครึ่งเดียวก็อิ่มแล้ว นอนดีกว่า

วันรุ่งขึ้นวันที่ 18 ไม่มีอะไรทำ ออกไปดูวิหารกันทาริยา อีกรอบ
เพราะเวลาบินกลับเข้าเดลีคือเวลาสี่โมงเย็น
เจอะนักท่องเที่ยวที่มาคนเดียวเหมือนกันแต่เป็นผู้ชาย
มาชวนคุยด้วย เลยคุยกันถูกคอ เลยให้ถ่ายรูปเราให้หน่อย
โพสท่าซะรอบวิหารเลย คิดว่าได้รูปเยอะก็คราวนี้แหละค่ะ

*โอกาสหน้าติดตามไปเที่ยวชัยปุระและป้อมปราการแอมเบอร์

เตียงนวดที่โรงแรม USHA BUNDELA
/






 

Create Date : 05 ธันวาคม 2549    
Last Update : 14 ธันวาคม 2551 7:43:45 น.
Counter : 5855 Pageviews.  

Taj Mahal and Agra fort / India(16 Nov 2006)



เช้าวันที่ 16 Nov.ตื่นตอนตี 5 เพื่ออาบน้าแต่งตัวแบบง่ายๆ
หน้าทาด้วยโลชั่น และครีมกันแดดทับอีกที วันนี้ต้องเจอะแดดแน่ๆ แป้งเด็กโปะเข้าไปนิด ทาลิปสติกเข้าไปหน่อย
ลงมาชั้นล่างตอน 6 โมงเช้าเพื่อรอรถแท๊กซี่ที่มาส่งเมื่อวานว่าจะมารอรับไปไฮแอท เพื่อให้ทันรถพาไปทัชมาฮาล รถออกเวลา 6:45 น.
ก้นยังไม่ทันแตะเบาะชั้นล่างโรงแรม อาบังโซเฟอร์โพกหัวคนเมื่อวาน
ก็เข้ามาบอก "ผมมาตามนัดแล้วครับมาดาม
ผมมาคอยตั้งแต่ตีห้าสี่สิบนาทีแล้วครับ"
ว่าแล้วก็ยื่นมือมาขอเป้น้อยของเรา
อิฉานก็ยิ้มหน้าบานซิคะ ไม่ต้องวุ่นวายใจว่าจะมาตามนัดไหม
แถมท่าทางกุลีกุจอเป็นพิเศษ ทำให้จิตใจสบายแต่เช้า


ขับมาถึงโรงแรมไม่ถึงหกโมงครึ่ง
นั่งรอแป๊บก็ได้เวลา มีพนักงานทัวร์บอกขึ้นรถได้แล้วครับ
รถเป็นรถตู้ขนาดนั่งได้ประมาณ 15 คนเบาะสะอาดตาหน้านั่ง
เหมาะสมกับราคา รถเริ่มเคลื่อนไปรับนักท่องเที่ยวต่ออีก
4 จุดก็คบคนเพราะเต็มรถพอดี (ถ้าขึ้นมาอีกต้องไปอยู่บนหลังคา)
อิฉานขาประจำ จะสะเร่ออยู่ทางขึ้นบันไดรถตลอดศก
เพราะจะได้ยินไกด์พูดอะไรได้ถนัดๆหน่อย
แต่ไกด์ยังไม่มีในตอนนี้หรอกนะคะ
ไกด์น่ะอยู่รอที่เมืองอัคระ ซึ่งเป็นถิ่นของไกด์เขาค่ะ
คนขับรถน่าจะเรียกว่า อับดุล
เพราะร่างแกอ้วนท้วม ก้นเลยเบาะ
ส่วนนักท่องเที่ยวก็มีอิฉานคนเดียวเป็นสาวไทย
ในหมู่ฝรั่ง และ คนเกาหลี


เมื่อครบคนก็เริ่มทะยานสู่จุดหมาย......
รถแวะที่โรงแรมหนึ่งเวลาเก้าโมงเช้า
ให้เวลา 40 นาทีในการกินอาหารเช้า
และเข้าห้องน้ากันตามอัธยาศัย
่ค่าอาหารเช้านักท่องเที่ยวจ่ายกันเอง
เพราะทริปนี้รวมแต่อาหารกลางวันเท่านั้น
รอบๆโรงแรมก็จะมีอูฐให้ขี่ (ขี่ก็เสียเงิน)
มีเด็กหนุ่ม และเด็กน้อย เต้นโฟลคแด๊นซ์แขก
เด็กหนุ่มมีเครื่องสี ส่วนเด็กน้อยเต้นยักย้าย ส่ายคอ
ภายในมีสินค้าขายแต่ก็ไม่มีผู้ใดสนใจ
เพราะมันแพงมาก (เอามาขายหรือมาโชว์นี่)
อูฐทำด้วยไม้ฉลุตัวแค่ฝ่ามือ ราคา 2,000 รูปีซื้อไม่ไหวอ่ะค่ะ









อาหารมื้อเช้าตามที่เห็นในรูป อิฉานสั่งคือ
แป้งทอดภายในมีผักคลุกกับผงกะหรี่
และ Masala Tea จ่ายไป 170 รูปี
กินเสร็จได้เวลาขึ้นรถ เห็นอูฐค่ะ
มันยืนยิ้มอยู่ น่ารักดี
เพราะทริปหน้าตั้งโปรแกรมว่าจะไปขี่อูฐอยู่พอดี
ดูหน้า ดูตัว ดูความสูงไปก่อน ดูไปดูมากลิ่นก็ตามมา
แถมมีอาบังแก่ๆ แบมือขอตังค์
แบบว่าถ่ายอูฐตรู ก็ต้องจ่ายตังค์
กดไปแค่รูปเดียวไม่กี่วินาที ไม่ให้หรอก วิ่งขึ้นรถดีกว่า

ระหว่างทางก็ผ่านวัด Jay Guru Dev เป็นวัดที่กำลังซ่อม
หรือกำลังสร้างไม่แน่ใจ อับดุลบอกถ่ายรูปได้นะ
แต่ถ่ายอยู่ในรถแล้วกัน พอดีอูฐผ่านมาพอดีเลยได้รูปสวย
และวิถีชีวิตคนบนท้องถนนที่คลุกฝุ่น



การจราจรเริ่มติดขัด รถติดกันยาวเหยียด
มีทีท่าว่าคืนนี้ถ้าไม่หนีไปทางอื่น มีหวังได้ขี้เยี่ยวกันข้างถนนแน่
อับดุลไม่รอช้า หันหัวรถว่องไวไม่เท่าลำตัว
เลี้ยวเข้าท้องนา และลัดเลาะกันเป็นขบวนพร้อมรถคันอื่นๆ
ซึ่งส่วนใหญ่เป็นรถตู้และเก๋งไปเมืองอัคระ
รถบัสหรือรถบรรทุกไปไม่ได้เพราะ ทางที่ไปเป็น
บ้านตรอกซอยแคบๆ บางถนนน้าท่วมล้นจากท้องนา
เรียกว่าเห็นน้าอยู่ตรงหน้า โซเฟอร์ทุกคันต้องแวะลงไปคลำทางก่อน
ว่าล้อรถจะตกหลุมรึเปล่า
ชาวบง ชาวบ้านในแถบนั้น ที่หากินอยู่ดีๆก็ต้องแตกตื่น
แม้แต่ควาย และวัว ก็ต้องหยุดมองเป็นทิวแถว
ทำไม่วันนี้มีรถเข้ามาเยอะหว่า


หน้าตารถบรรทุกที่ติดกันยาวเหยียด



เมื่อถึงเมืองอัคระการจราจรจะจอแจมาก
กว่าจะถึงก็เกือบเที่ยง นึกว่าจะได้กินข้าวกลางวันก่อนเที่ยวซะอีก
เพราะเห็นโรงแรมระหว่างทางอยู่มากเหมือนกัน
แต่ไม่จอดค่ะ ไปจอดให้ไกด์ขึ้นเพื่อพากรุ๊ปเราไปทัชมาฮาล
ไกด์แนะนำตัวเสร็จ ก็แนะนำว่าอย่าให้เงินขอทาน
หรือซื้อของที่คนจะวิ่งเข้ามาขาย และ
ระวังกระเป๋าตังค์ด้วย



การผ่านประตูเข้าทัชมาฮาล (หรือแม้แต่การตรวจก่อนขึ้นเครื่องบิน)
ผู้หญิงจะเดินคนละช่องกับผู้ชายอยู่ทุกที่ในอินเดีย






ที่ตั้งทัชมาฮาล เป็นอนุสรณ์สถานแห่งความรัก
ที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก ได้รับการยกย่องจากองค์การ
สหประชาชาติให้เป็นมรดกโลกด้านวัฒนธรรม
ทัชมฮาลเป็นสุสานหินอ่อนสีขาวที่ฝังพระศพพระนาง
มุมตัส มาฮาล มเหสีของพระเจ้าซาห์ จาฮาน
ซึ่งพระเจ้าซาห์ สร้างไว้เพื่อเป็นที่ฝังศพนางอันเป็นที่รักที่สุด
ก่อสร้างนานถึง 17 ปี
หินอ่อนที่ถูกแกะสลักสวยงามเลิศลำมาก
ส่วนที่เป็นหินสีต่างๆที่ฝังลงไปใช้ฝีมือจากเปอร์เซีย
สีส้มเมื่อถูกไฟส่องสีจะกระจัดกระจายงดงามตา
ส่วนสีเขียวจะหยุดอยู่บริเวณขอบๆเท่านั้น

ที่ตั้งพระศพจำลองทำด้วยหินอ่อนแกะลายเป็นช่อดอกไม้
แต่ห้ามถ่ายรูป โลงใหญ่เป็นของพระเจ้าซาห์
ส่วนโลงเล็ก เป็นของพระนางมุมตัส
โลงหินทั้งสองจะตั้งอยู่กลางห้อง
มีหินอ่อนฉลุลายกั้นรอบด้านเป็นรูปแปดเหลี่ยม











ดูพร้อมคำบรรยายจากไกด์และถ่ายรูปเป็นที่ระลึก
ประมาณเกือบ 2 ชั่วโมง ก็มาจุดนัดหมายคือรถที่บริการ
ออกจากทัชมาฮาท เพื่อเตรียมตัวไปกินอาหารกลางวัน
ที่โรงแรม Taj - View Hotel (เขาบอกว่าโรงแรม 5 ดาวของอัคระ)
ไกด์แจกน้าขวดขนาดเล็กให้คนละขวดในรถ
เพื่อนำไปดื่มต่อได้ในโรงแรมได้
ถ้าหากจะดื่มน้ารสชาดอื่น ก็จ่ายกันเอาเอง
ทางทัวร์มีแต่บุฟเฟ่ย์อาหารกลางวันให้เท่านั้น














กินเสร็จ ก็จะพาไป Agra Fort ต่อ
ป้อมปราการอัคระเป็นพระราชวังหลวง
ประกอบด้วยตำหนักต่างๆอันเป็นที่ประทับ
ของพระมหารานีและนางสนมกำนัล
มีสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ
มีบ่อน้าหินอ่อนไว้ลอยกุหลาบอบรำกลิ่นหอมในตำหนัก
มีสวนดอกไม้
พระเจ้าซาห์ จาฮาน ใช้เวลา 8 ปีอยู่บนหอคอยนี้
เหม่อมองดูทัชมาฮาลสุสานของนางอันเป็นที่รัก
จนวาระสุดท้ายของชีวิต















ใช้เวลาดูไม่ถึงชั่วโมงได้ ไกด์แนะนำพาขึ้นรถ
ไปดูการฝังหินสีลงบนหินอ่อน แต่ไม่มีใครซื้อเพราะแพงมาก
ขึ้นไปชั้นบนมีเสื้อผ้าสำเร็จรูป ผ้าส่าหรี่มากมาย
แต่แพงเป็นหมื่นๆรูปี ซื้อไม่ไหวหรอกค่ะ
หาเจอะแต่ชาดาจิลิง กับ ชาอัสสัม เท่านั้นที่พอจะซื้อได้บ้าง
ส่วนลูกแก้วที่มีน้าอยู่ข้างใน เขย่าจะมีกากเพชรล่องลอย
รอบๆทัชมาฮาล ที่เห็นอยู่ตอนก่อนเข้าไปชมทัชมาฮาลหาไม่ได้
ถามไกด์ตอนเดินดูทัชมาฮาล ไกด์บอกจะให้มาซื้อที่ตึกสินค้านี้
แต่ก็หาไม่เจอะ มีแต่เป็นหินอ่อนแพงเกิน
จนเดินกลับไปขึ้นรถ ก็มีนักท่องเที่ยวคนอื่นขึ้นรถกันบ้างแล้ว
สักพักจากที่คิดว่าท่าจะแห้วรับประทานเพราะไม่ได้ลูกแก้วทัชมาฮาล
ก็มีเด็กถือลูกแก้วโผล่เข้ามาที่หน้าต่างรถ (เรานึกดีใจ เจอะแล้วๆ)
มาทั้งลูกเล็ก และ ลูกใหญ่ เราสนใจลูกใหญ่
เด็กเร่ร่อนก็บอกขายลูกละ 350 รูปี (ก็ยังแพงอยู่)
เราก็ต่อรอง บอกซื้อ 2 ลูกลดหน่อย
บอกราคากลับมาก็ ไม่ถูกอยู่ดีล่ะว่ะ
ต่ออยู่นาน มีเด็กอื่นมาแย่งขาย
เลยได้มา 2 ลูกราคา 150 รูปี
เด็กอื่นนึกสนุก วิ่งเข้ามาขายอีกบอกลูกละ 10 เอารึเปล่า
นักท่องเที่ยวที่ฟังอยู่ก็เฮดังลั่นรถ บอกเอาเลย
เราก็เอาซิ ตาอิฉานลุกตั้งแต่เด็กบอกว่า 10 แล้ว
ว่าแล้วก็รีบดึงลูกแก้วที่ยื่นให้มา ส่งเงินให้ 10 รูปี
เจ้าเด็กทะเล้นนั่นรีบบอก 10 ดอลล่าร์พร้อมหัวเราะคิกคัก
อิฉานเลยรีบขว้างลูกแก้วออกไปนอกหน้าต่างทันทีเหมือนกัน
แหม ! ล้อเล่นกันสนุกไปเลยน่ะ

จากตรงหน้าตึกขายสินค้าเวลาอยู่ที่ห้าโมงเย็นกว่าๆ
คณะท่องเที่ยวก็กรนดังคร่อกๆ อิฉานก็พลอยนอนหลับสลบไปด้วย
กลับเข้าเดลีถึงที่พักก็ร่วมเข้า 4 ทุ่มกว่าๆ รีบอาบน้านอน

*พรุ่งนี้จะขึ้นเครื่องภายในประเทศ มุ่งสู่ฃชุราโห(Khajuraho)ต่ออีก
เพื่อไปดูภาพแกะสลักกามสูตรในวิหารกันทาริยา มหาเทพ
โดยพักหนึ่งคืนที่เมืองนี้*

*โปรดติดตามพร้อมชมภาพแกะสลักอิโรติกต่อเร็วๆนี้ค่ะ*




 

Create Date : 04 ธันวาคม 2549    
Last Update : 14 ธันวาคม 2551 7:42:50 น.
Counter : 2653 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  
 
 

ป้าซิ่ง Naomichan
Location :
นนทบุรี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 70 คน [?]




........หลังไมค์ถึงป้าซิ่งค่ะ.........
[Add ป้าซิ่ง Naomichan's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com
pantip.com pantipmarket.com pantown.com