"Okamesan(โอคะเมะซัง)"โชคดี กิน & เกมส์ ตรึมประจำปี 15 ธันวาคมที่ญี่ปุ่น
วันที่ 15 ธันวาคมเป็นงานประจำปีแถวบ้านเราคือคาวากุจิใกล้ๆบ้านจะมีศาลเจ้าของท้องถิ่นเรียกว่า Kawaguchi Jinja บ้านเราอยู่ไม่ไกลโตเกียวงานนี้มีคนหลั่งไหลกันเข้ามาซื้อโอคะเมะซัง ไปประดับที่บริษัทและร้านค้าเพื่อให้เงินทองไหลมาเทมา, กิจการร้านค้าเจริญก้าวหน้ารุ่งเรือง ซื้อกันปีละอันเท่านั้น เพราะมีราคาแพงมากใครที่มีของเก่าปีที่แล้ว ก็จะแบกกันมาจากร้านหรือบริษัท มาที่ร้านเดิม เพื่อซื้ออันใหม่เพราะจะได้ลดราคา สิ่งของที่ประดับบนบ้องไม้ไผ่ ก็จะประดับด้วยใบหน้าผู้หญิงขาว,มีรวงข้าวอุดมสมบูรณ์ ,มีเทพเจ้าที่เอื้ออำนวยความเจริญรุ่งเรือง,มีเหรียญทองเก่าญี่ปุ่น บอกถึง เรียกเงิน เรียกทองเข้าร้าน,มีแมวนางกวักเรียกลูกค้า, มีปลาและเรือสินค้า,ดอกไม้บานบริเวณงานมีอาหารคาว หวาน อยู่หลายร้านด้วยกันของเล่น และ เกมส์ก็มี//Update Pics 2008Darumaขนมโมจิทอดสปาเก๊ตตี้ทอด รสเค็ม กับ รสหวานอมยิ้มการ์ตูนการ์ตูนน้ำตาลปั้น ระบายสีสรรค์คุณยายพนอจัน กับ ป้าซิ่ง
ร้านอาหารนานาชาติ"ORANGERY" ชั้น 4 สยามพารากอน
ไปขี่อูฐที่ไจเปอร์ 19/11/2006...India....
กลับจากทริปฃชุราโหเมื่อวาน ได้เวลาไปขี่อูฐ ตามใจที่ฝักใฝ่ว่า มาถึงอินเดีย อิฉานจะต้องขี่อูฐให้ได้เพราะในชีวิตยังไม่เคยสัมผัสกับการขี่อูฐกะว่าจะฝันอยากขี่นกกระจอกเทศเป็นรายต่อไป555และแล้วเช้าวันที่ 19 ก็มาถึง ตื่นตอนตีห้า รีบอาบน้า อาบท่าเตรียมตัวลงไปรอที่ล๊อบบี้ราหุล เพราะเดี๋ยวรถยนต์จากโรงแรมไฮแอทซึ่งเป็นรถที่อิฉานจะต้องไปเที่ยวเมืองไจเปอร์คนเดียว จะมารับเพราะโปรแกรมไปไจเปอร์มีแบบแพ็คเกจ 3 วัน 2 คืน เลยไม่เอาอ่ะอิฉานจะไปแบบ ไป - กลับ วันเดียว ก็ทำได้เหมือนกันแต่แพงน่าดูเลยล่ะอิฉานเชื่อใจบริษัททัวร์นี้มาตลอดทริปแล้ว ยังไงเสียก็ต้องดูแลฉันดีแน่ พนักงานขับรถมารับตอนหกโมงเช้าตามสัญญาสภาพรถยนต์สีขาวใหม่เอี่ยม ไม่มีรอยบุบส่วนใหญ่รถในเดลีมีรอยบุบแทบทุกคันเพราะการจราจรรีบเร่งแบบจะไปตายกันอยู่ทุกวันแบบว่ารถข้ามาอยู่ข้างหลัง บีบแตรปู๊ดๆปร๊าดๆให้เจ้าคันหน้าหลีกทางออกไปซะเพราะฉะนั้นบนท้องถนนจะมีเสียงแตรรถกันอยู่ทุกลมหายใจเลยทีเดียวส่วนโซเฟอร์แต่งกายด้วยแบบฟอร์มสีขาวไปทั้งตัวมีบั้งสีทองบนไหล่เสื้อ ส่วนอิฉานก็นั่งคนเดียวอยู่เบาะหลังเสื้อผ้าแบบเซอร์แหลก (เพราะซำไปซำมา)+ รองเท้าบู๊ทคู่ชีพการไปเมืองชัยปุระ หรือคนอินเดียเรียกเมืองนี้ว่า ไจปูร์ หรือ ไจเปอร์กินเวลาการเดินทางประมาณ 4 -5 ชั่วโมงสถานที่สำคัญก็คือ พระราชวังแอมเบอร์ ( Amber Fort )พระราช้วังสายลม ( Palace of the wind )ส่วนการขี่อูฐต้องไปที่ไจซาลเมอร์ ซึ่งเนื้อที่จะเป็นทะเลทรายสำหรับเรื่องขี่อูฐของอิฉานคือไปไม่ถึงไจซาลเมอร์หรอกค่ะขี่มันแถวท้องถนนเมืองไจเปอร์เนี่ยก้อ พอแล้วจากเวลา 6 โมงเช้า แวะกินอาหารเช้าตอน 8 โมงเช้าที่โรงแรมหนึ่งระหว่างทางค่าอาหาร 100 รูปีและที่ขาดไม่ได้คือ Masala Teaส่วนโซเฟอร์รออยู่ด้านนอกตามมารยาทรถมาถึงเมืองไจเปอร์ มารับไกด์หนุ่ม (ต่อไปนี้จะเรียกว่า ปุนจาญ นะคะ)หน้าพระราชวังสายลม บ้านเมืองทาสีเป็นสีชมพู(อมส้ม)ปุนจาญแนะนำตัว พร้อมกระตือลือล้น บอกข้ามถนนไปฝั่งตรงข้ามเพื่อถ่ายรูปพระราชวังและจะได้เห็นเต็มตาอธิบายว่า ส่วนที่เห็นตามช่องหน้าต่างลายฉลุเป็นที่นางสนมกำนัลสมัยก่อนนั้น พวกหล่อนชอบมองมาเบื้องล่างอยู่ทุกวันเพราะไม่สามารถออกมาเดินเล่นด้านนอกได้จากนั้นก็พาเราข้ามถนนกลับมาที่รถเพื่อพาเราไปป้อมปราการแอมเบอร์ ซึ่งเป็นสถานที่ที่ พระมหาราชาและมหารานี พร้อมด้วยเหล่านางสนมกำนัล พำนักอยู่อาศัยในสมัยก่อนภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้า ช่างวิจิตร ประณีตบรรจงเหลือเกินเรียกว่างดงามอร่ามตาไปเสียทุกทีการแกะสลักลวดลายเครือเถาและการฝังกระจกเงาชิ้นเล็กๆลงในเนื้อหิน กระจกเหล่านี้ เป็นตัวเสริมแต่งความงามของห้องเช่นเมื่อจุดโคมประทีป กระจกจะสะท้อมแสงไฟน่าดูมากถ้าพรมปูพื้นพรมแดง เพดานห้องที่ประดับกระจกก็จะสะท้อนเป็นสีแดงทั้งห้องปุนจาญบอกว่า แม้แต่เครื่องแต่งกายของพระมหารานีก็ประดับเป็นกระจก หนักถึง 18 กิโลกรัมบางทีเดินไม่ไหว ต้องมีรถลาก เข็นกันตามท้องพระโรงทางเดินแคบๆที่พระมหารานีจำเป็นต้องมีรถลากเพราะชุดแต่งกายประดับกระจำเงาหนักถึง 18 กิโลกรัมพระนางเดินไปไม่ไหว/มีบริการขี่ช้างขึ้นมาที่ป้อมแอมเบอร์ด้วยปุนจาญถามจะขึ่ช้างไหม อิฉานบอกไม่ขี่หรอกฉันอยากขี่อูฐมากกว่า เพราะฉันขี่ช้างที่เมืองไทยมามากพอแล้วเดี๋ยวเธอพาไปขี่อูฐจะขอบคุณมากเลย เพราะไม่เคยขี่อูฐว่าไปแล้วตลอดเวลาที่ไกด์ปุนจาญเนี่ยปากหวานมากเลยบอกเราว่า อิฉานสวย แต่งตัวเท่ห์ ดูแล้วสมาร์ทดีเวลาเดินก็ทะมัดทะแมง สุดท้ายก็บอกว่า "ผมนึกรักคุณแล้วซิ"ในใจอิฉันก็ (กูนึกแล้ว เอ็งต้องมีคำนี้ออกมาจากปากแน่เห็นลูกนัยน์ตาอ้นแสนเจ้าชู้ของเอ็งแล้ว กูต้องระวังตัวให้ดีแล้วแหละ)จากนั้นก็ตอบไปว่า "โอ๊ย ! ไม่ต้องมารักฉันหรอก เพราะฉันมีลูกมีปั๊วแล้วทางที่ดีนะ เธอเป็นได้แค่น้องชายฉันดีกว่า"( ใจดีสู้เสือ ยิ้มไว้ เพราะปุนจาญจะต้องบริการเราอยู่ถึงเย็น เราต้องทำใจดีเอาไว้)ดูท่าทางเธอประมาณแค่ 30 ปี ปุนจาญตกตะลึงว่าทำไมดูปุนจาญแก่ไป5 ปี เพราะเขาแค่ 25 ปีเท่านั้นแต่สำหรับฉันเธอรู้ไว้ ฉันน่ะ 42 แล้วนะเฟ้ย อิฉานก็บอกไปตาปุนจาญ ทำตาตะลึงอีกว่า ไม่อยากเชื่อเร้ยยยยหลังจากดูป้อมแอมเบอร์เสร็จ ก็นั่งรถไปขี่อูฐก่อนขี่อูฐนี่ ปุนจาญแวะพาเราไปซื้อสินค้าสินค้าที่พาไปซื้อเป็นพรมเปอร์เซียมีคนมาต้อนรับ โปรโมทแรกย้อมใจเราโดยการพาไปพิมพ์ผ้าอิฉานก็เลือกแป้นพิมพ์เป็นรูปอูฐ คือในหัวสมองฉันเวลานี้มีแต่ camal...camal คนต้อนรับบอกเดี๋ยวไปชมสินค้าด้านในก่อนค่อยมารับผ้าที่พิมพ์นะจากนั้นก็พาเราไปนั่งบนเก้าอี้บุนวมอย่างดีพร้อมถามอยากดื่มน้าอะไร ที่นี่มีทุกอย่างฉันเลือกเอาน้าดื่มสะอาด 1 ขวดพอมือแล้วกันมองรอบๆบริเวณมีแต่พรมเปอร์เซีย มีหลายขนาดด้วยกันมีนักท่องเที่ยวหัวแดงอยู่กลุ่มหนึ่ง มาก่อนหน้านี้แล้วซึ่งก็ทำหน้าเซ็งๆพร้อมดื่มน้าไปด้วยทำไมพวกเขาถึงหน้าเซ็งๆกัน เพราะไม่อยากซื้อพรมด้วยราคาแพงนั่นเองส่วนอิฉานก็เซ็งเหมือนกัน เมื่อไหร่กูจะได้ออกจากตรงนี้ไปซะทีตะล่อมให้ซื้ออยู่ได้ ไม่มีอารมณ์เลย แต่ก็ยิ้มบอกว่า "บ้านฉันไม่เหมาะกับพรมเปอร์เซียเลยค่ะ เสียใจด้วยนะคะ "ปุนจาญมากระซิบ นี่เป็นหน้าที่ของเขาที่ต้องพานักท่องเที่ยวมาดูสินค้าพื้นเมืองถ้าอิฉานไม่ซื้อไม่เป็นไร ถ้าอยากซื้อบอกนะ เขาจะช่วยต่อราคาให้ บอกคนพวกนั้นไปว่า อิฉานเป็นเพื่อนกับปุนจาญเจอะกันที่เมืองไทยแล้วกันอิฉานก็ยิ้มอยู่ในใจ และบอกว่า "ขอบใจมากๆ"จากด่านพรมเปอร์เซีย ก็ต้องผ่านด่านสินค้าจิปาถะอีกแบบว่าอยากได้อูฐไม้ฉลุลาย ราคา 2,000 รูปีคนขายลดได้แค่ 1500 รูปี ฉันต่อ 1,000 เขาก็ไม่ให้ปุนจาญมากระซิบ ไม่ได้เราก็ออกจากที่นี่ ไปที่อื่นเดี๋ยวพาไปซื้อ ที่นั่นก็มีเหมือนกันคนขายหาผ้าคลุมไหล่มาทาบๆ อีก เพื่อที่จะได้ขายอะไรให้เราสักอย่างแต่อิฉานก็ไม่เอาล่ะค่ะ ผ้าคลุมไหล่ที่บ้านเพียบแล้วปุนจาญทำซิกแนลว่า ออกจากที่นี่ดีกว่าขาออกจะขึ้นรถ พนักงานพิมพ์ผ้านำผ้าพิมพ์ที่อิฉันพิมพ์อูฐไว้มาให้จากนั้นปุนจาญพาไปซื้อสินค้าอีกที่หนึ่งที่นั่นมีอูฐอยู่หนึ่งตัวรออยู่ด้วยพร้อมคนจูงอูฐเห็นแล้ว อิฉานก็บอกขอขี่อูฐก่อนนะ ก่อนที่จะซื้อสินค้าเราบอกขี่สัก 20 นาทีก็พอ คิดเท่าไหร่ล่ะปุนจาญบอกว่าคนจูงอูฐอาจคิดกับนักท่องเที่ยว 500 รูปีแต่สำหรับอิฉานเป็นเพื่อนเขา จะให้คนจูงอูฐแค่ 100 รูปีเท่านั้นว่าแล้วก็ขึ้นบันไดเพื่อขี่อูฐเพราะอูฐตัวสูงเขามีบันไดให้ขึ้นไปส่วนปุนจาญขอนั่งซ้อนท้ายไปด้วยการขี่อูฐก็ต้องโยกหน้าโยกหลัง ไปตามจังหวะการเดินของอูฐ ขี่เสร็จไปล้างมือเสียหน่อยเพราะไม่ไว้ใจในความสกปรกก่อนที่จะไปดูสินค้า พอย่างเท้าเข้าไปก็พบกับผ้าส่าหรี่สีสวยๆมีการมาห่มส่าหรี่แบบลวกๆให้ดูพร้อมถ่ายรูปด้วยก็ได้แต่จะให้ฉันถอดเสื้อผ้าเพื่อจะได้ใส่ชุดส่าหรี่ อิฉานก็ไม่เอาล่ะค่ะเพราะในใจไม่ต้องการซื้อส่าหรี่ แต่ได้ผ้าคลุมหัวสีสวยมาผืนหนึ่งขึ้นชั้นบนไปเป็นแกลอรี่ ก็ได้รูปมา 2 รูป ปุนจาญรู้ว่าเราอยากได้เขาก็บอกกับคนขายว่าเราเป็นเพื่อนกัน มาเที่ยวอินเดียไม่ใช่นักท่องเที่ยวเหมือนทุกครั้งนะ คนขายก็ลดราคาให้ครึ่งต่อครึ่งส่วนอูฐนั้นได้แบบจ๊าปกว่าไม้ฉลุลาย คือ ตัวอูฐประดับด้วยกระจกชิ้นเล็กๆเต็มตัว ตัวสูงประมาณฟุตกว่าๆราคา 2,000 รูปีแต่ลดได้ 900 รูปี อิฉานดีใจมากๆเลยอูฐตัวนี้สวยงามมาก สมใจเราจริ๊ง จริงบอกแพ็คให้ดีด้วยนะเพราะจะต้องนำขึ้นเครื่องคนขายก็บอกรับรองได้ แล้วก็พาไปดูว่า เขาแพ็คด้วยพลาสติกกันกระแทก พันหลายรอบให้เลยล่ะ หลังจากซื้อของและขี่อูฐเป็นที่น่าพอใจอิฉานก็บอกปุนจาญว่า หิวอยากกินข้าวพาไปกินอาหารที่อร่อยๆหน่อยซิฉันจะเลี้ยงเองในฐานะที่เธอถ่ายรูปให้ฉันฉันดีใจที่ได้รูปเยอะกว่าทุกทริปที่ผ่านมารถจอดที่ร้านอาหารหนึ่งอิฉานก็บอกโซเฟอร์ว่ามากินด้วยกันนะ(เพราะโซเฟอร์เหมือนเพื่อนตาย ทีอยู่กับฉันตลอดตั้งแต่รับจากโรงแรมที่ฉันพักและพาไปเที่ยวจนกว่าจะส่งกลับโรงแรมจะไม่เรียกมากินด้วยกันก็อย่างไรอยู่เพราะการที่เขาทำตัวเหมือนฉันเป็นเจ้านายเนี่ยแหละฉันจึงเรียกเขามากินด้วย)พอถึงเวลาโซเฟอร์ก็บอกปฏิเสธฉันเลยบอกกับบ๋อยว่า "จัดน้าดื่มหรืออาหารอะไรก็ได้ให้โซเฟอร์ด้วยแล้วจดลงไปในบิลอาหารมื้อนี้ด้วยแล้วกันนะ"ภายในร้านอาหารมีแขกเต้นโฟล๊คแด๊นซ์พร้อมถือเครื่องสีเดินอยู่ไปมาส่วนปุนจาญแวะเข้าห้องน้าไปนานสักครู่พอออกมา เห็นผมบนหัวหวีแซกตรงซะเรียบเป็นมันแววเหมือนในใจเขาจะถามว่า ผมหล่อรึเปล่าครับส่วนอิฉานนึกขำอยู่ในใจ ปุนจาญจะมาไม้ไหนล่ะนี่อิฉานบอกปุนจาญ สั่งอาหารอะไรก็ได้ตามใจเธอแล้วกันส่วนฉันเอาข้าวผัดไก่ และสลัดผักสดกับ น้ามะนาวโซดาช่วงที่รออาหารอยู่ ปุนจาญบอก รูปที่ถ่ายไป ที่รูปเขากับเราน่ะส่งมาทาง E-mail ได้ไหม อยากได้เก็บไว้ดูเราก็บอกได้ซิ จะส่งไปให้ แต่รอเดือนหน้าแล้วกันนะเพราะฉันยังต้องเที่ยวและกลับไปทำงานอีกคงไม่มีเวลาหรอกแล้วเขาก็ยื่นนามบัตรส่งให้มา เราก็รับไว้ปุนจาญชอบเรามาก บอกว่า ให้ผมบอกใครๆได้ไหมว่าคุณเป็นแฟนผมพอดีอาหารที่สั่งมาขัดจังหวะพอดี อิฉานก็เริ่มกินก่อนล่ะค่ะส่วนปุนจาญไม่กินตาม มีแต่พูดว่า ต้องบอกมาก่อนว่าให้เขาไปบอกใครได้ไหมว่าอิฉานเป็นแฟนปุนจาญก่อน ถึงจะกินอิฉานก็ตอบไปว่า นี่เธอ ฉันมีสามี มีลูก แล้วนะ จะมาคิดอะไรกะฉันดูท่าจะตลกมากเกินไปแล้วล่ะ อยากกินก็กิน ไม่กินก็ไม่ต้องฉันเป็นได้แค่เพื่อนเธอเท่านั้นแหละเอาไหมเล่าปุนจาญเห็นท่าไม่ดี ก็เริ่มกิน เลยพูดเรื่องอื่น ถามถึงทริปนี้เรามีความสุขไหมเราก็บอกทริปนี้เหรอดีมากๆ สนุกดี ได้ขี่อูฐ ซื้อของได้ถูกเพราะมีเธอช่วยต่อราคาให้ว่าแล้วปุนจาญ ก็เริ่มกินจนหมดเกลี้ยง ส่วนจากข้าวผัดไก่ของอิฉานก็อร่อยนะแต่มันกินไม่ลง เพราะอีตาปุนจาญมานั่งขอความรักอยู่ได้ กินไปได้แค่ครึ่งจานก็อิ่มแล้ว สลัดกินแค่แตงกวาไป 2 - 3 ชิ้นพอถึงตอนเช็คบิล ปุนจาญบอกขอให้เขาเป็นคนจ่ายเถอะเราบอกไม่ต้องหรอกเพราะเราเป็นคนอยากกินเองฉันจะจ่ายเองจ่ายเสร็จ มีสมุนไพรหลังอาหารสำหรับเคี้ยวดูบ้างว่ารสชาดเป็นไงเคยเห็นแต่ในหนังสือ เลยบอกปุนจาญอยากกิน เธอทำให้ฉันดูก่อนฉันถึงจะกล้ากิน พอเข้ากินแค่พอคำ เราก็ตักกินบ้างเวลาเคี้ยวกลิ่นหอมดี ทำให้ปากสะอาดมีกลิ่นหอม ดับอาหารที่คาวปากดีได้เหมือนกันบอกปุนจาญเดี๋ยวหาซื้อสมุนไพรแบบนี้ให้หน่อยซิ อยากได้ปุนจาญบอกได้ซิ เด๋วซื้อให้เป็นของขวัญแล้วกันและแล้วก็ขึ้นรถพาไปซื้อให้ทันทีจากนั้นแวะซื้อของข้างทางตรงพระราชวังสายลมได้มาเป็นโมบายประมาณหนึ่งเมตร มีอูฐห้อยระย้าหลายตัวได้มา 4 เส้นพอขึ้นนั่งในรถ โซเฟอร์กระซิบบอก"ไม่ให้ทิปไกด์หน่อยเหรอเขาบริการคุณดีมากเลยนะ" อิฉานก็รีบบอกทันทีเหมือนกัน "ฉันก็อยากให้อยู่เหมือนกันแหละ""ตอนกินข้าวตะกี้นะ เขาอยากจะจ่ายค่าอาหารให้ฉันนะ ""ถ้าฉันไปให้ทิปเขา เขาคงไม่เอาหรอกค่ะโซเฟอร์"โซเฟอร์ทำหน้าเอ๋อไปเลย (แกคงงงน่าดู)จากตรงนี้ได้เวลาห้าโมงเย็น ก็แยกทางกลับสู่เดลีถึงเดลีตอนห้าทุ่ม ง่วงมากๆเลย ก่อนนอนขอกินบะหมี่กระป๋องก่อนเพราะเมื่อตอนบ่ายกินข้าวไปนิดเดียวเองP.S.เรื่องรูปที่จะส่งให้ทาง E-mail จากวันนั้นจนวันนี้ก็ไม่ส่งให้หรอกนะปุนจาญ...
ฃชุราโห(Khajuraho)17-18 Nov.2006/INDIA
โทรหาแท๊กซี่อาบังโพกหัวไว้เมื่อคืนวาน บอกให้มารับที่โรงแรมราหุลตอน 9:00 เช้า เพื่อบินภายในประเทศไป Khajuraho โดยสายการบิน Indian Airlines ไฟล์ทบิน 11:35 ก็ตามระเบียบนิยามแม่สายบัว กว่าจะระเห็ดออกได้ก็ปาเข้าไปบ่ายโมง กว่าจะถึงฃชุราโหก็บ่ายสองโมง พอถึงสนามบินก็รีบเดินอยากว่องไว เพราะไม่มีกระเป๋าเช้คอิน มีแต่เป้ติดตัวอยู่แค่หนึ่งใบออกมาก็โดนอาบังเข้ามารุมหลายคนถามไปแท๊กซี่ไหม ไปโรงแรมไหนพร้อมกับมีตารางราคาค่าแท๊กซี่ให้ดูเสร็จด้วยฉานก็หาคนหน้าตาที่น่าไว้ใจได้ พูดจาดีหน่อยก็ได้รถมา 1 คันพร้อมคนขับและเพื่อนคนขับอีกหนึ่งดีที่เคยเจอะสภาพมีคนขับพร้อมเพื่อนคนขับจากเดลีมาบ้างแล้วก็เลยไม่ตกใจว่า จะโดนรุมสองหรือเปล่า ด้วยราคา 600 รูปีแล้วแต่เราจะไปที่ไหน กลับเวลาไหนก็ได้ตามใจเราก็ตกลงใจ พอขึ้นรถก็บอกว่า พาฉันไปโรงแรมที่สะอาดและดูดีราคาไม่แพงหน่อยแล้วกัน เพราะฉันไม่ได้บุ๊คโรงแรมมาเจ้าคนเป็นเพื่อนจะเป็นคนคุยกับอิฉานเป็นส่วนใหญ่ส่วนคนขับมีหน้าที่ขับอย่างเดียวขับมาไม่ถึง 10 นาทีก็แวะดูโรงแรมหนึ่งชื่อว่าUSHA BUNDELA สอบถามคืนหนึ่งราคาอยู่ที่ 1,950 รูปีเห็นห้องก็สะอาดน่าอยู่ เลยตกลงค้างที่นี่บอกอาบังที่เป็นเพื่อนคนขับว่า รอ 5 นาทีนะฉันจะเอากระเป๋าไปเก็บก่อน อิฉานรับกุญแจห้อง รีบทำธุระส่วนตัวแล้วก็ล๊อคห้องเพื่อไปวิหารกันทาริยา มหาเทพ ตามใจฝันอาบังบอกว่าเมืองนี้เป็นเมืองเล็กๆมีถนนที่อำนวยความสะดวกเพียงเท่านี้และมีวัดอยู่แค่ 3 วัด ส่วนที่อื่นๆก็มีวัดอีก แต่ไม่มีถนนเข้าไป ส่วนใหญ่จะเป็นป่า ที่ยังไม่มีถนนให้รถวิ่งเข้าไปได้ก็เข้าล๊อคตามที่อิฉานศึกษามาก่อน ที่จะมาฃชุราโหอยู่เหมือนกันมองรอบบริเวณมีแต่ฝุ่นดินแดง แม่น้า และ ป้าเขาสักพักก็ถึงวิหารกันทาริยา เสียค่าผ่านประตูคนละ 250 รูปีวันเวลาเปิดและปิดไม่มีกำหนดเวลาเมื่อไหร่ให้ดูพระอาทิตย์ขึ้น จะเปิดทำการ พระอาทิตย์ตก ก็จะปิดประตูภายในบริเวณรอบวิหารดูสะอาดตามีสวนหญ้าอันกว้างใหญ่ ต้นไม้ใหญ่ก็มีอยู่บ้างส่วนนักท่องเที่ยวมีเยอะทุกวันเพราะหมู่วิหารที่เมืองฃชุราโห ได้รับการยกย่องว่าเป็นเลิศในลักษณะเด่น 3 ประการคือด้านสถาปัตยกรรม, ด้านประติมากรรม ,และภาพแกะสลักกามาวิจิตรรอบวิหารและได้รับการยกย่องจากองค์การยูเนสโกของสหประชาชาิติให้เป็นมรดกโลกคือฃชุราโหเป็นที่ตั้งของหมู่วิหารของศาสนาเชนและฮินดูทีสร้างด้วยหินทรายมีอายุมากกว่า 1,000 ปีเศษสวยงามเป็นเลิศด้วยสถาปัตยกรรมอินเดียแบบอินโด - อารยันภาพแกะสลักภายนอกวิหารด้านนอก ส่วนใหญ่จะเป็นภาพอิโรติกที่เรารู้จักกันดีแล้วทั้งนั้นบางคนอาจสงสัยว่า สถานที่สำคัญทางศาสนาเช่นนี้เหตุใดเขาจึงเอาภาพที่ดูเหมือนจะสร้างกิเลสและตัณหาของมนุษย์เขามาเกี่ยวข้องเพราะเจตนาที่กษัตริย์ราชวงศ์จันเดลละสร้างวิหารถวายเทพเจ้าประการแรกคือเป็นอนุสรณ์แห่งชัยชนะ และเหตุผลที่สร้างภาพประติมากรรมกามสูตรมาประดับรอบวิหาร ก็เป็นหนึ่งเครื่องบวงสรวงเทพเจ้าที่พวกเขานับถือศรัทธา ตามความเชื่อในยุคสมัยจันเดลละซึ่งมีอยู่ 4 ประการคือ ได้กินเนื้อสัตว์ ,ได้กินปลา,ได้ดื่มสุรา, และได้เสพเมถุนเครื่องบวงสรวงจึงประกอบด้วยสิ่งเหล่านี้ส่วนภาพกิจกรรมต่างๆที่มีภาพการร่วมประเวณีระหว่างคนกับสัตว์ก็เป็นเรื่องปกติระหว่างสงคราม กองทัพไม่มีผู้หญิงและเมื่อทหารเกิดอารมณ์เพศขึ้นมาจึงหันไปปลดเปลื้องกับสัตว์ที่อยู่ในกองทัพ ออกจากหมู่วิหาร คนขับรถที่รออยู่แล้ว ก็รับไปเที่ยวอีกวัดของศาสนาเชนศาสดาของเชนมีชื่อว่า มหาวีระการปฏิบัติเหมือนศาสนาพุทธคือถือศีลห้าเหมือนกันเพียงแต่ว่าบางคนเคร่งมากจะไม่นุ่งผ้าผ้าผ่อนนั้นผลิตมาจากพืช ซึ่งถือว่าเป็นการเบียดเบียนกินผลไม้ก็ต้องรอให้หล่นถึงจะกินได้เจอะมด ก็ต้องปัดไปห้ามฆ่า จบจากวัดมหาวีระ อาบังพาไปอีกที่มีลักษณะเหมือนสถูปดูแล้วคล้ายๆที่เคยดูผ่านมา ก็เลยดูได้นิดหน่อยจากนั้นอาบังก็ขับรถพาไปดูสินค้าที่ลือชื่อของเมืองนี้เลยได้หินแกะสลักเป็นที่ระลึกของเมืองนี้มาหนึ่งอันส่วนสถานที่ซื้อสินค้านี้ ตกเย็นมีการแสดงระบำแขกด้วยเป็นHall เล็กๆที่นั่งเป็นกำมะหยี่สีแดง น่านั่งดูเหมือนกันแต่ไม่ได้ไปดู เลยกลับเข้าที่พักดีกว่าถึงห้องก็อาบน้าไปด้วย และจุดเทียนในห้องน้าด้วยเผื่อกันไฟดับ จะได้มีเทียนไว้เป็นที่พึ่ง จะได้ไม่กลัวปรากฏว่้าพออาบเสร็จ ไฟดับไป 2 ครั้งแต่ก็ไม่กี่นาทีเท่านั้น ดูทีวี หนังอินเดียก็เพลินดีเหมือนกันพระเอก นางเอก เต้นสนุกดี เพลงเดียวเสื้อผ้าเปลี่ยนไปแล้ว 4 - 5 ชุดแดนเซอร์ชาย หญิง เต้นได้พร้อมเพรียงดีจริงๆค่ะดูไปก็กินสปาเก็ตตี้กับชามาซาลา 1 กาไปด้วยสปาเก็ตตี้ก็ลองแบบอินเดีย จานอย่างกับกาละมังกินไปได้แค่ครึ่งเดียวก็อิ่มแล้ว นอนดีกว่าวันรุ่งขึ้นวันที่ 18 ไม่มีอะไรทำ ออกไปดูวิหารกันทาริยา อีกรอบเพราะเวลาบินกลับเข้าเดลีคือเวลาสี่โมงเย็นเจอะนักท่องเที่ยวที่มาคนเดียวเหมือนกันแต่เป็นผู้ชายมาชวนคุยด้วย เลยคุยกันถูกคอ เลยให้ถ่ายรูปเราให้หน่อยโพสท่าซะรอบวิหารเลย คิดว่าได้รูปเยอะก็คราวนี้แหละค่ะ*โอกาสหน้าติดตามไปเที่ยวชัยปุระและป้อมปราการแอมเบอร์เตียงนวดที่โรงแรม USHA BUNDELA/
Taj Mahal and Agra fort / India(16 Nov 2006)
เช้าวันที่ 16 Nov.ตื่นตอนตี 5 เพื่ออาบน้าแต่งตัวแบบง่ายๆหน้าทาด้วยโลชั่น และครีมกันแดดทับอีกที วันนี้ต้องเจอะแดดแน่ๆ แป้งเด็กโปะเข้าไปนิด ทาลิปสติกเข้าไปหน่อยลงมาชั้นล่างตอน 6 โมงเช้าเพื่อรอรถแท๊กซี่ที่มาส่งเมื่อวานว่าจะมารอรับไปไฮแอท เพื่อให้ทันรถพาไปทัชมาฮาล รถออกเวลา 6:45 น.ก้นยังไม่ทันแตะเบาะชั้นล่างโรงแรม อาบังโซเฟอร์โพกหัวคนเมื่อวานก็เข้ามาบอก "ผมมาตามนัดแล้วครับมาดาม ผมมาคอยตั้งแต่ตีห้าสี่สิบนาทีแล้วครับ"ว่าแล้วก็ยื่นมือมาขอเป้น้อยของเรา อิฉานก็ยิ้มหน้าบานซิคะ ไม่ต้องวุ่นวายใจว่าจะมาตามนัดไหมแถมท่าทางกุลีกุจอเป็นพิเศษ ทำให้จิตใจสบายแต่เช้าขับมาถึงโรงแรมไม่ถึงหกโมงครึ่งนั่งรอแป๊บก็ได้เวลา มีพนักงานทัวร์บอกขึ้นรถได้แล้วครับรถเป็นรถตู้ขนาดนั่งได้ประมาณ 15 คนเบาะสะอาดตาหน้านั่งเหมาะสมกับราคา รถเริ่มเคลื่อนไปรับนักท่องเที่ยวต่ออีก4 จุดก็คบคนเพราะเต็มรถพอดี (ถ้าขึ้นมาอีกต้องไปอยู่บนหลังคา)อิฉานขาประจำ จะสะเร่ออยู่ทางขึ้นบันไดรถตลอดศกเพราะจะได้ยินไกด์พูดอะไรได้ถนัดๆหน่อยแต่ไกด์ยังไม่มีในตอนนี้หรอกนะคะไกด์น่ะอยู่รอที่เมืองอัคระ ซึ่งเป็นถิ่นของไกด์เขาค่ะ คนขับรถน่าจะเรียกว่า อับดุล เพราะร่างแกอ้วนท้วม ก้นเลยเบาะ ส่วนนักท่องเที่ยวก็มีอิฉานคนเดียวเป็นสาวไทยในหมู่ฝรั่ง และ คนเกาหลีเมื่อครบคนก็เริ่มทะยานสู่จุดหมาย......รถแวะที่โรงแรมหนึ่งเวลาเก้าโมงเช้าให้เวลา 40 นาทีในการกินอาหารเช้าและเข้าห้องน้ากันตามอัธยาศัย่ค่าอาหารเช้านักท่องเที่ยวจ่ายกันเองเพราะทริปนี้รวมแต่อาหารกลางวันเท่านั้นรอบๆโรงแรมก็จะมีอูฐให้ขี่ (ขี่ก็เสียเงิน)มีเด็กหนุ่ม และเด็กน้อย เต้นโฟลคแด๊นซ์แขกเด็กหนุ่มมีเครื่องสี ส่วนเด็กน้อยเต้นยักย้าย ส่ายคอภายในมีสินค้าขายแต่ก็ไม่มีผู้ใดสนใจเพราะมันแพงมาก (เอามาขายหรือมาโชว์นี่) อูฐทำด้วยไม้ฉลุตัวแค่ฝ่ามือ ราคา 2,000 รูปีซื้อไม่ไหวอ่ะค่ะ อาหารมื้อเช้าตามที่เห็นในรูป อิฉานสั่งคือแป้งทอดภายในมีผักคลุกกับผงกะหรี่และ Masala Tea จ่ายไป 170 รูปีกินเสร็จได้เวลาขึ้นรถ เห็นอูฐค่ะ มันยืนยิ้มอยู่ น่ารักดี เพราะทริปหน้าตั้งโปรแกรมว่าจะไปขี่อูฐอยู่พอดีดูหน้า ดูตัว ดูความสูงไปก่อน ดูไปดูมากลิ่นก็ตามมาแถมมีอาบังแก่ๆ แบมือขอตังค์ แบบว่าถ่ายอูฐตรู ก็ต้องจ่ายตังค์กดไปแค่รูปเดียวไม่กี่วินาที ไม่ให้หรอก วิ่งขึ้นรถดีกว่าระหว่างทางก็ผ่านวัด Jay Guru Dev เป็นวัดที่กำลังซ่อมหรือกำลังสร้างไม่แน่ใจ อับดุลบอกถ่ายรูปได้นะแต่ถ่ายอยู่ในรถแล้วกัน พอดีอูฐผ่านมาพอดีเลยได้รูปสวยและวิถีชีวิตคนบนท้องถนนที่คลุกฝุ่นการจราจรเริ่มติดขัด รถติดกันยาวเหยียดมีทีท่าว่าคืนนี้ถ้าไม่หนีไปทางอื่น มีหวังได้ขี้เยี่ยวกันข้างถนนแน่อับดุลไม่รอช้า หันหัวรถว่องไวไม่เท่าลำตัวเลี้ยวเข้าท้องนา และลัดเลาะกันเป็นขบวนพร้อมรถคันอื่นๆซึ่งส่วนใหญ่เป็นรถตู้และเก๋งไปเมืองอัคระรถบัสหรือรถบรรทุกไปไม่ได้เพราะ ทางที่ไปเป็นบ้านตรอกซอยแคบๆ บางถนนน้าท่วมล้นจากท้องนาเรียกว่าเห็นน้าอยู่ตรงหน้า โซเฟอร์ทุกคันต้องแวะลงไปคลำทางก่อนว่าล้อรถจะตกหลุมรึเปล่า ชาวบง ชาวบ้านในแถบนั้น ที่หากินอยู่ดีๆก็ต้องแตกตื่นแม้แต่ควาย และวัว ก็ต้องหยุดมองเป็นทิวแถวทำไม่วันนี้มีรถเข้ามาเยอะหว่าหน้าตารถบรรทุกที่ติดกันยาวเหยียดเมื่อถึงเมืองอัคระการจราจรจะจอแจมากกว่าจะถึงก็เกือบเที่ยง นึกว่าจะได้กินข้าวกลางวันก่อนเที่ยวซะอีกเพราะเห็นโรงแรมระหว่างทางอยู่มากเหมือนกันแต่ไม่จอดค่ะ ไปจอดให้ไกด์ขึ้นเพื่อพากรุ๊ปเราไปทัชมาฮาลไกด์แนะนำตัวเสร็จ ก็แนะนำว่าอย่าให้เงินขอทานหรือซื้อของที่คนจะวิ่งเข้ามาขาย และระวังกระเป๋าตังค์ด้วยการผ่านประตูเข้าทัชมาฮาล (หรือแม้แต่การตรวจก่อนขึ้นเครื่องบิน)ผู้หญิงจะเดินคนละช่องกับผู้ชายอยู่ทุกที่ในอินเดีย ที่ตั้งทัชมาฮาล เป็นอนุสรณ์สถานแห่งความรักที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก ได้รับการยกย่องจากองค์การสหประชาชาติให้เป็นมรดกโลกด้านวัฒนธรรมทัชมฮาลเป็นสุสานหินอ่อนสีขาวที่ฝังพระศพพระนางมุมตัส มาฮาล มเหสีของพระเจ้าซาห์ จาฮานซึ่งพระเจ้าซาห์ สร้างไว้เพื่อเป็นที่ฝังศพนางอันเป็นที่รักที่สุดก่อสร้างนานถึง 17 ปีหินอ่อนที่ถูกแกะสลักสวยงามเลิศลำมากส่วนที่เป็นหินสีต่างๆที่ฝังลงไปใช้ฝีมือจากเปอร์เซียสีส้มเมื่อถูกไฟส่องสีจะกระจัดกระจายงดงามตาส่วนสีเขียวจะหยุดอยู่บริเวณขอบๆเท่านั้นที่ตั้งพระศพจำลองทำด้วยหินอ่อนแกะลายเป็นช่อดอกไม้แต่ห้ามถ่ายรูป โลงใหญ่เป็นของพระเจ้าซาห์ส่วนโลงเล็ก เป็นของพระนางมุมตัสโลงหินทั้งสองจะตั้งอยู่กลางห้องมีหินอ่อนฉลุลายกั้นรอบด้านเป็นรูปแปดเหลี่ยม ดูพร้อมคำบรรยายจากไกด์และถ่ายรูปเป็นที่ระลึกประมาณเกือบ 2 ชั่วโมง ก็มาจุดนัดหมายคือรถที่บริการออกจากทัชมาฮาท เพื่อเตรียมตัวไปกินอาหารกลางวันที่โรงแรม Taj - View Hotel (เขาบอกว่าโรงแรม 5 ดาวของอัคระ)ไกด์แจกน้าขวดขนาดเล็กให้คนละขวดในรถเพื่อนำไปดื่มต่อได้ในโรงแรมได้ถ้าหากจะดื่มน้ารสชาดอื่น ก็จ่ายกันเอาเองทางทัวร์มีแต่บุฟเฟ่ย์อาหารกลางวันให้เท่านั้น กินเสร็จ ก็จะพาไป Agra Fort ต่อป้อมปราการอัคระเป็นพระราชวังหลวงประกอบด้วยตำหนักต่างๆอันเป็นที่ประทับของพระมหารานีและนางสนมกำนัลมีสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆมีบ่อน้าหินอ่อนไว้ลอยกุหลาบอบรำกลิ่นหอมในตำหนักมีสวนดอกไม้ พระเจ้าซาห์ จาฮาน ใช้เวลา 8 ปีอยู่บนหอคอยนี้เหม่อมองดูทัชมาฮาลสุสานของนางอันเป็นที่รักจนวาระสุดท้ายของชีวิต ใช้เวลาดูไม่ถึงชั่วโมงได้ ไกด์แนะนำพาขึ้นรถไปดูการฝังหินสีลงบนหินอ่อน แต่ไม่มีใครซื้อเพราะแพงมากขึ้นไปชั้นบนมีเสื้อผ้าสำเร็จรูป ผ้าส่าหรี่มากมายแต่แพงเป็นหมื่นๆรูปี ซื้อไม่ไหวหรอกค่ะหาเจอะแต่ชาดาจิลิง กับ ชาอัสสัม เท่านั้นที่พอจะซื้อได้บ้างส่วนลูกแก้วที่มีน้าอยู่ข้างใน เขย่าจะมีกากเพชรล่องลอยรอบๆทัชมาฮาล ที่เห็นอยู่ตอนก่อนเข้าไปชมทัชมาฮาลหาไม่ได้ถามไกด์ตอนเดินดูทัชมาฮาล ไกด์บอกจะให้มาซื้อที่ตึกสินค้านี้แต่ก็หาไม่เจอะ มีแต่เป็นหินอ่อนแพงเกินจนเดินกลับไปขึ้นรถ ก็มีนักท่องเที่ยวคนอื่นขึ้นรถกันบ้างแล้วสักพักจากที่คิดว่าท่าจะแห้วรับประทานเพราะไม่ได้ลูกแก้วทัชมาฮาลก็มีเด็กถือลูกแก้วโผล่เข้ามาที่หน้าต่างรถ (เรานึกดีใจ เจอะแล้วๆ)มาทั้งลูกเล็ก และ ลูกใหญ่ เราสนใจลูกใหญ่เด็กเร่ร่อนก็บอกขายลูกละ 350 รูปี (ก็ยังแพงอยู่)เราก็ต่อรอง บอกซื้อ 2 ลูกลดหน่อยบอกราคากลับมาก็ ไม่ถูกอยู่ดีล่ะว่ะต่ออยู่นาน มีเด็กอื่นมาแย่งขายเลยได้มา 2 ลูกราคา 150 รูปีเด็กอื่นนึกสนุก วิ่งเข้ามาขายอีกบอกลูกละ 10 เอารึเปล่านักท่องเที่ยวที่ฟังอยู่ก็เฮดังลั่นรถ บอกเอาเลย เราก็เอาซิ ตาอิฉานลุกตั้งแต่เด็กบอกว่า 10 แล้วว่าแล้วก็รีบดึงลูกแก้วที่ยื่นให้มา ส่งเงินให้ 10 รูปีเจ้าเด็กทะเล้นนั่นรีบบอก 10 ดอลล่าร์พร้อมหัวเราะคิกคักอิฉานเลยรีบขว้างลูกแก้วออกไปนอกหน้าต่างทันทีเหมือนกันแหม ! ล้อเล่นกันสนุกไปเลยน่ะ จากตรงหน้าตึกขายสินค้าเวลาอยู่ที่ห้าโมงเย็นกว่าๆคณะท่องเที่ยวก็กรนดังคร่อกๆ อิฉานก็พลอยนอนหลับสลบไปด้วยกลับเข้าเดลีถึงที่พักก็ร่วมเข้า 4 ทุ่มกว่าๆ รีบอาบน้านอน*พรุ่งนี้จะขึ้นเครื่องภายในประเทศ มุ่งสู่ฃชุราโห(Khajuraho)ต่ออีกเพื่อไปดูภาพแกะสลักกามสูตรในวิหารกันทาริยา มหาเทพโดยพักหนึ่งคืนที่เมืองนี้* *โปรดติดตามพร้อมชมภาพแกะสลักอิโรติกต่อเร็วๆนี้ค่ะ*