|
|
เช้าไปเย็นกลับกรุงเทพฯ-เขาใหญ่ ดื่มไวน์ที่ภูภัทรา & ดื่มนมและสเต็กค์โชคชัยเฮ้าท์(24.Sep.2011)
วันเสาร์ที่ 24 กันยายน 2011 วันนี้มีนัดกับบริษัทพ่อบ้าน บริษัทพาไปเที่ยวเขาใหญ่กันหลายครอบครัว จำนวนคนเกือบร้อยคน ต้องใช้รถนำเที่ยว 2 คัน รถได้เวลา9:00 น.พาเราไปเที่ยวที่เขาใหญ่ เป้าหมายแรกคือ ดื่มไวน์และรู้วิธีการผลิตไวน์ที่ภูภัทรา
ถึงภูภัทราตอนเที่ยงวัน มีรถพาคณะเราท่องเที่ยวภายในฟาร์มองุ่น แต่ช่วงนี้มีแต่ช่อหรือเถาว์องุ่น ผลองุ่นจะออกช่วงเดือนธันวาคม
พนักงานพาเข้าไปดูวิธีการทำไวน์ถึงที่ โซนที่มีรูปถังเรียงซ้อนกัน กลิ่นเหล้าองุ่นแรง เล่นเอาเด็กๆที่ไปกับทริปด้วย มึนๆต่างพากันปิดจมูก
เครื่องคัดผลองุ่นและก้าน แยกออกจากกัน
โรงบ่มน้ำองุ่น ซึ่งใช้เวลาบ่มอย่างน้อย 12-18 เดือน อย่างมากของเขาคือ 3 ปี
ขั้นตอนการทำนำขวดและปิดฉลาก
ดูเสร็จมีการทดสอบดื่ม ป้าซิ่งไม่ได้ดื่ม รู้ว่ายี่ห้อนี้ไม่อร่อย มาดื่มน้ำองุ่นของเด็กดีกว่า
ลูกก็แอ๊คชั่นไป ส่วนแม่ก็ดูต้นไม้ ดอกไม้แถวบริเวณนั้น เพราะเราออกมาก่อนต้องรอพวกผู้ใหญ่เขาชิมไวน์
หมากอ่อน กับ หมากแก่
ลำต้นลีลาวดี
ได้เวลากลับไปทางอาหารมื้อกลางวันกันแล้ว เป็นบุฟเฟ่ย์ ใครอยากสั่งเพิ่มเป็นพิซซ่า, ไอศครีม ,กาแฟ ก็ได้อีก
ชอบการตกแต่งตรงเพดานจัง น่าระ อะ
มีอะไรบ้างนะ
ชอบอาหารเมนูนี้มีองุ่นม่วงกับองุ่นเขียว รวมอยู่ด้วย
แกงนี้ก็เหมือนกันมีผลองุ่นรวมอยูด้วยนะ
พิซซ่า
อิ่มแล้วได้เวลาเดินเล่นชิลล์ๆตามสไตส์ของเรา เดี๋ยวเราจะไปที่มียอดโดมสีขาว เป็นบ้านพัก ก็ได้แต่มองไปรอบๆเท่านั่นค่ะ
แตงไทย น่าขโมยกลับบ้านจัง
เข้าร้านซื้อของฝากกลับบ้าน
พายองุ่น
กะหรี่พั้ฟ
ก่อนออกจากภูภัทราไปฟาร์มโชคชัย ขอเข้าห้องน้ำก่อน
หัวก๊อกน้ำ น่าระ อีกแร๊ะอะ
ออกจากภูภัทราประมาณ บ่ายสามโมง มาถึงฟาร์มโชคชัยประมาณเกือบสี่โมง
พนักงานบริษัทเตรียมบัตรค่าผ่านประตูและบัตรเกมส์เล่นหรือกิจกรรมต่างๆภายในไว้ให้เรียบร้อยแล้ว
พาไปดูการผลิตนมจากวัว
ตัวอย่างไอศครีมนมสด มีให้ทดลองชิม
เนื้อที่ใหม่ๆที่จะมีอะไรให้ชมในไม่ช้าค่ะ
กลุ่มทัวร์จะแบ่งแยกกันในแต่ละสี กรุ๊ปของเราได้สีม่วง ก็มีกระเป๋าคล้องคอเพื่อให้เป็นที่สังเกตุได้ง่าย กรุ๊ปอื่นๆที่นั่งรถเกวียนมา ก็จะมีอีกสีอื่น เพื่อง่ายต่อการเรียกสีจากพนักงานของฟาร์มโชคชัยค่ะ
นั่งรถเกวียนกันไปเล่นกิจกรรม
วัวที่ฟาร์มโชคชัยมีอยู่ด้วยกันเกือบ 3,000 ตัว
ภายในฟาร์มก็มีกิจกรรมให้เล่นพอสมควร มียิงปืน ,ปาเป้า, ขี่ม้า, นั่งเกวียนมีม้าลากไป นั่งได้ 4 คน, รถATV กิจกรรม สามอย่างหลัง เจอะยกเลิกไปเพราะอยู่ในที่แจ้ง พอดีฝนตกเลยอดเล่นเลย
มีโชว์ให้ดูด้วย อันนี้โชว์การล่าวัว และ ใช้เหล็กไฟจี้ที่ตัวถือการครอบครองเป็นกรรมสิทธิ์ แต่เขาไม่จี้เหล็กไฟลงบนตัววัวจริงๆให้ดู ไปจี้ที่บนไม้แทน ควันขึ้นโขมงเชียวเวลาจี้ คิดถึงวัวถ้าโดนจริงๆมันจะร้องขนาดไหน
มีการแสดงควงปืนแบบว่องไว, การสบัดแส้ ป้าซิ่งชอบแส้ เอ๊ย..... ชอบดูเขาสบัดแส้ มันมีเสียงดัง เปรี๊ยะๆๆ น่ากลัวค่ะ ซาดิสไง ไม่รุ๊
ต่อจากนั้นก็นั่งรถเกวียนไปให้อาหารสัตว์ และ ดูโชว์ความน่ารักของสัตว์
ได้เวลาทานอาหารมื้อเย็นตอน หกโมงเย็น กว่าจะได้กินสเต็กค์นานมากๆเพราะจัดสเต็กค์ให้มาเป็นเกือบร้อยถาดไม่ได้หรอก ไม่งั้นเนื้อวัว, เนื้อหมู, เนื้อไก่ ร้อนๆ มันจะเย็นไม่อร่อย เพราะฉะนั้นก็ต้องนั่งรอกันไป เพื่อการเสริฟอาหารจานร้อนมาแบบ เห็นว่าร้อนกันจริงๆ นี่ขนาดเขาเตรียมให้สั่งเมนูกันมาก่อนห้าวันก่อนมาเที่ยวแล้วนะ
กว่าจะมาถึงป้าซิ่งก็อิ่มในขณะรอๆๆๆแล้วค่ะ คราวหน้ามีทริปแบบนี้อีก จัดอาหารสเต็กค์มา จะเตรียมสั่งแฮมเบอร์เกอร์ดีกว่า
เอ้า เอา ของฟรีแบบนี้ รอแค่ไหนก็รอได้ อิๆ
ไว้เตรียมดูบล๊อคไปเที่ยวหัวหิน( อีกแร๊ะ )กับป้าซิ่งกันต่อนะคะ ไป 4 วัน 3 คืน ค้างที่...ไม่บอกดีกว่า ไว้เจอะกันปลายเดือนหน้านะจ๊ะ
Create Date : 26 กันยายน 2554 | | |
Last Update : 26 กันยายน 2554 11:16:01 น. |
Counter : 9545 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
เยี่ยมทำเนียบเอกอัครราชฑูตฝรั่งเศสประจำประเทศไทย(18,Sep.2011)
เมื่อวานไปเที่ยวชมทำเนียบเอกอัครราชฑูตฝรั่งเศส ประจำประเทศไทย มา
ปีนี้ทำเนียบอายุครบ 152 ปี ตัวบ้านกำลังจะรื้อ แล้วสร้างใหม่ แต่อาคารเก่าๆที่อยู่รอบนอกยังเก็บไว้เป็นมรดกเหมือนเดิม
ไหนๆทางราชการเขาจะรื้อแล้ว เขาเลือกเปิดให้ประชาชนเดินมาเข้าชมทำเนียบ ซึ่งเมื่อวาน(18,Sep.2022)เป็นวันสุดท้ายค่ะ
มาเปิดประตูเข้าทำเนียบกันค่ะ
ทำเนียบเอกอัครราชฑูตฝรั่งเศส
ฝรั่งเศสคืนสู่สยาม
"โรงภาษีเก่า"สร้างเมื่อต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 โดยได้รับอิทธิพลจากอาคารทรงยุโรปในยุคนั้น หลังการลงนามในสนธิสัญญามิตรภาพและการค้าระหว่างสยามกับฝรั่งเศสใน ค.ศ.1855 ตรงกับรัชสมัยพระเจ้านโปเลียนที่ 3 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ Comte de Castelnau ผู้แทนฝรั่งเศส ใช้อาคารโรงภาษีเก่าแห่งนี้ ซึ่งตั้งอยู่บนฝั่งซ้ายของแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นที่ทำการชั่วคราว จวบจนวันที่ 10 มิถุนายน ค.ศ. 1875
เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯพระราชทานตัวอาคารพร้อมที่ดินให้กับประเทศฝรั่งเศส อาคารโรงภาษีเก่าจึงเป็นทำเนียบถาวรของผู้แทน ฝรั่งเศสนับแต่นั้นมา และ ในค.ศ.1925 ทางการไทยได้จัดทำโฉนดที่ดินเพื่อยืนยันกรรมสิทธิ์ ของรัฐบาลฝรั่งเศส บนพีื้นที่ 4 ไร่ 2 งาน 86 วา หรือ 7544 ตารางเมตร
สระว่ายน้ำ
ห้องรับประทานอาหาร
ห้าสิบปีแห่งความพยายามบำรุงรักษา
ถึงแม้จะอยู่ในสภาพแวดล้อมอันงดงามและทรงเกียรติ หากแต่ทำเนียบผู้แทนฝรั่งเศสกลับต้องเผชิญ กับปัญหาหนักที่แก้ไม่ตก อันได้แก่ความชื้นซึ่งเป็นตัวเร่งให้ไม้ผุ ปูนฉาบและสีทาผนังด้านนอกตัวอาคารเสื่อมสภาพ มีการรายงานในหนังสือทางการฑูตอยู่เป็นประจำถึงความยากลำบากในการดูแลรักษา ตัวอาคารทำเนียบซึ่งอยู่ในสภาพหลังคาผุกร่อนเป็นสนิมห้องต่างๆร้อนอบอ้าว อีกทั้งยังถูกน้ำท่วมอยู่เป็นเนืองๆจนในปี ค.ศ.1908 รัฐมนตรี Pierre de Margerie ถึงกับคิดเตรียมละทิ้งทำเนียบแห่งนี้ไป แต่ในที่สุดก็ต้องเปลี่ยนใจด้วยประจักษ์ในความงดงามของสถาปัตยกรรมตัวอาคารและทิวทัศน์กรุงเทพฯที่รายล้อมทำเนียบ
ฟื้นฟูสู่ความสง่างาม
ทำเนียบได้รับการซ่อมแซมหลายครั้ง เพื่อฟื้นฟูให้กลับมาทรงคุณค่าดังเดิม ตัวอาคารเป็นทรงคลาสสิก ส่วนด้านหน้าทีความสมมาตรกันอย่างลงตัว ผสมผสานกลมกลืนกับหลังคามุงกระเบื้องสีเคลือบเงาและไม้ฉลุปิดเชิงชายแบบสถาปัตยกรรมไทย การตกแต่งภายในเป็นแบบตะวันออกผสมตะวันตก ปัจจุบันทำเนียบเอกอัครราชฑูตฝรั่งเศสได้เผยโฉมอันสง่างามและได้ ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกแห่งชาติทางประวัติศาสตร์ของประเทศไทย
**********
La Residence de Ambassade de France
le retour de la France au Siam
Construit au de'but du XIXe'me sie'cle, le<> s 'inspire des e'difices de caracte're europeen batis a' l'epoque.En de'cembre 1858,le Roi Mongkut installe provisoirement sur la rive gauche du fleure le repre'sentant de la France, le Comte de Castelnau, suite au Traite' d' amitie' et de commerce signe' en 1855 avec Napole'on III. La re'sidence de la mission francaise devient pe'renne le 10 juin 1875 lorsque Sa Majeste' le Roi Chulalong korn fait don a' la France de la maison et du terrain. Un acte de proprie'te' est e'tabli par le cadastre thai au nom du gouvenement francais en 1925,pour <<4 rais,2 ngans,86 was>> soit 7544m.
Un de'bat de cinquante ans au sujet de entretien de la demeure
Si l'environnement de la re'sidence de France est prestigieux, un combat sans merci est livre' contre l'humidite' tropicale, qui accelere le pourrissement du bois et alte're les enduits et les peintures exte'rieures. Lacorrespondance diplomatique fait re'gulierement e'tat des difficulte's pour l'entretien de l'edifice dont les toits sont ronge's par la rouille, les pie'ces surchauffe'es et perriodiquement inonde'es. En 1908, le ministre Pierre de Margeries envisage l'abandon des locaux, mais la beaute' de l'architecture et la vue magnifique de Bangkok l'emporteront.
De la re'habilitation aux lettres de noblesse
Plusieurs campagnes de re'habilitation seront mises en oeuvre pour que la re'sidence retrouve toute sa valeur. Le classicisme et la parfaite syme'trie de sa facade sont meles aux toits en tuiles vernisse'es et colore'es, aux guipures des bordures et aux beaux de'cors en bois coupe's inspire's de l'architecture siamoise. La de'coration inte'rieure marie habilement l' Orient et l' Occident. La re'sidence a gagne' ses lettres de noblesse pour s'inscrire aujourd'hui sur la liste des Monuments historiques nationaux de Thailande.
**********
Create Date : 19 กันยายน 2554 | | |
Last Update : 19 กันยายน 2554 9:12:53 น. |
Counter : 2065 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
|
|
|
|
|