Group Blog
All Blog
|
แกงจืดหัวไชเท้ากระดูกอ่อน
อยากซดอะไรร้อน ๆ มีประโยชน์ โดยเฉพาะในด้านช่วยล้างพิษก็ต้องแกงจืดหัวไชเท้าเลย ทำง่าย ๆ ไม่ยุ่งยากอะไร
เครื่องปรุง หัวไชเท้าขาวอวบเลือกเนื้อแน่น ๆ หัวกลาง ๆ สัก 2 หัว (ประมาณ 8 ขีด) ซี่โครงหมู กระดูกอ่อน กระดูกแก้ว เลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่งแล้วแต่ชอบ (เราชอบกระดูกแก้วล่ะค่ะเนื้อเยอะดีขี้เกียจแทะ ^^) 3 ขีด กุ้งแห้งสัก 1 ช้อนโต๊ะ ล้างน้ำให้สะอาด ปลาหมึกแห้ง เห็ดหอม วันนี้ในตู้เย็นมีกุ้งแห้งอย่างเดียวก็จัดไป ถ้าจะให้ครบเครื่องแบบตู้ม ๆ ก็ใส่ปลาหมึกแห้ง เห็ดหอมลงไปเพิ่มความหอมหวานของน้ำซุป กระเทียม พริกไทย ต้นผักชีไว้โรยหน้าส่วนรากผักชีก็เก็บไว้ใส่น้ำซุป เกลือ ซีอิ้วขาว คนอร์สูตรไม่ใส่ผงชูรสสักครึ่งก้อน น้ำเปล่ากะเอาปริมาณตามชอบ วิธีทำ วิธีทำ 1. ล้างกระดูกหมูให้สะอาดแล้วหั่นเป็นชิ้นๆ ปอกเปลือกหัวไชเท้า ล้างให้สะอาด แล้วหั่นเฉียง ๆ ไม่ต้องหนามากเดี๋ยวสุกช้ากะเอาขนาดพอประมาณ 2. ปอกเปลือกกระเทียมล้างให้สะอาดและนำไปโขลกรวมกับพริกไทยเม็ดจนละเอียด ทุบรากผักชีพอให้แตกจะได้หอม ๆ 3. นำน้ำใส่หม้อตั้งบนเตาใช้ไฟแรง (ถ้ามีเห็ดหอมก็ใส่ไปในตอนนี้เลยค่ะน้ำจากเห็ดหอมจะออกมาเป็นชูรสในตัว) รอจนน้ำเดือด ใส่กระดูกหมู คนอร์ เกลือ ซีอิ้วขาว กุ้งแห้ง (มีปลาหมึกแห้งก็ใส่ไปตอนนี้เลย)ต้มต่อประมาณ 15 นาที ระหว่างต้มให้คอยช้อนฟองออกด้วย น้ำซุปจะใส หลังจากนั้นใส่หัวไชเท้า พริกไทย กระเทียม รากผักชี ต้มจนหัวไชเท้าสุก (สังเกตดูเนื้อหัวไชเท้าจะใสหากสุกแล้ว) ยกลงจากเตา ตักใส่ชามพร้อมเสริฟ ร้อนๆ โรยด้วยใบผักชีและพริกไทย @@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@ เขาบอกว่า...หัวไชเท้าเป็นอีกหนึ่งพืชผักตามท้องตลาดที่มีคุณค่า เพราะ "หัวไชเท้า" เป็นผักที่นำมาทำอาหารได้หลายอย่าง ไม่ว่าจะทำเป็น แกงจืดหรือแกงส้ม และที่เห็นส่วนมากก็คือนิยมใส่หัวไชเท้าลงไปต้มในหม้อน้ำซุปก๋วยเตี๋ยว เพราะจำทำให้น้ำซุปหวานหอมน่ารับประทาน หัวไชเท้ายังมีคุณค่าทางอาหารอีกมาก เพราะมีทั้งวิตามินซี วิตามินเอ และแร่ธาตุ อย่างแคลเซียม ฟอสฟอรัส และไนอาซิน ซึ่งเป็นแร่ธาตุอย่างแคลเซียม ฟอสฟอรัส และไนอาซิน ซึ่งเป็นแร่ธาตุสำคัญที่ร่างกายต้องการ นอกจากนั้น หัวไชเท้าดิบยังมีกลิ่นฉุน ซึ่งชาวญี่ปุ่นเชื่อว่ากลิ่นนี้จะช่วยกระตุ้นน้ำย่อยได้ ดังนั้นในอาหารญี่ปุ่นหลายชนิดจึงใส่หัวไชเท้าขูดฝอยลงในน้ำจิ้มซีอิ้วหรือหั่นฝอยกินคู่กับปลาดิบ เป็นผักเครื่องเคียง ได้อย่างเอร็ดอร่อยทีเดียวนองจากนั้นแล้ว หัวไชเท้าก็ยังช่วยล้างพิษ ล้างผนังกระเพาะอาหารและลำไส้ ช่วยละลายเสมหะ บำรุงไต ขับปัสสาวะ และละลายนิ่ว รวมทั้งเชื่อว่าหากกินเป็นประจำก็จะทำให้ผิวพรรณสดใสด้วยอีกต่างหาก ผัดถั่วงอกเต้าหู้ปลา : สลายความแก่ด้วยถั่วงอก
จานด่วนง่าย ๆ ที่อุดมด้วยโปรตีนและกากใยอีกหนึ่งเมนู เครื่องปรุง เต้าหู้ปลา 8 ชิ้น (มากน้อยตามชอบเลยค่ะ) หั่นครึ่ง ถั่วงอก 3-4 ขีด ต้นหอมหั่นท่อนหยาบ ๆ กระเทียม น้ำมันพืช เครื่องปรุงรส น้ำตาลทราย ซีอิ้วขาว น้ำมันหอย วิธีทำ เจียวกระเทียมกับน้ำมันให้เหลืองหอม ใส่เต้าหู้ปลาลงไปผัด แล้วตามด้วยถั่วงอก ซีอิ้วขาว น้ำตาลทราย น้ำมันหอย ชิมรสตามชอบผัดเร็ว ๆ พอสุกแบบถั่วงอกยังเคี้ยวกรอบ ๆ เวลาผัดเราไม่ได้เติมน้ำค่ะเพราะเดี๋ยวน้ำจากถั่วงอกจะออกมาเอง อร่อยง่ายในเวลาไม่เกิน 10 นาที ประโยชน์ของถั่วงอก (สลายความแก่ด้วยถั่วงอก) ข้อมูลจากนิตยาสาร Lisa คุณค่าทางอาหาร เมื่อนำถั่วเหลืองมาเพาะเป็นถั่วงอกจะมีวิตามินซีสูง (ถั่วงอก 100 กรัม มีวิตามินซี 5 มิลลิกรัม) ส่วนโปรตีนในถั่วงอกมีมากกว่าถั่วธรรมดาเล็กน้อยนอกจากนั้นการงอกยังทำให้เกิดวิตามินบี 12 ซึ่งจำเป็นสำหรับการเติบโตและซ่อมแซมเซลล์ ถั่วงอกมีธาตุเหล็กที่ร่างกายย่อยได้ง่ายกว่าผักอื่นๆ มีวิตามินบี 17 และมีสารเลซิธิน (Lecithin) ช่วยบำรุงประสาทและการทำงานของสมอง ที่สำคัญและน่าสนใจสุดๆ สำหรับหนุ่มสาวที่ไม่อยากแก่ ขอบอกว่าถั่วงอกสดๆ มีพลังชีวิตซึ่งทำให้ร่างกายสดชื่น ไม่แก่เร็ว เนื่องจากในถั่วงอกมีสารต้านความแก่ชื่อ ออซินอน (auxinon) มีคุณสมบัติช่วงให้ร่างกายเป็นหนุ่มสาวได้นาน ไม่แก่เกินวัยไปก่อนจะถึงเวลาอันควร ประโยชน์ทางยา ถั่วงอกเป็นแหล่งวิตามิน การแพทย์จีนจึงนำถั่วงอกหัวโตไปต้มแกงจืดกิน ช่วยขับเสมหะ ทำให้ปอดโล่ง และขับปัสสาวะ และเนื่องจากโมเลกุลของสารอาหารในเมล็ดของถั่วที่งอกได้เปลี่ยนแปลงไปอยู่ในลักษณะที่ร่างกายเราสามารถย่อยได้ง่าย โปรตีนถูกย่อยเป็นกรดอะมิโน แป้งเป็นคารโบไฮเดรตธรรมดาหรือกลูโคส และไขมันเป็นกรดไขมันเรียบร้อยแล้วถั่วงอกจึงเป็นอาหารที่ยอ่ยง่ายมากๆ เมื่อเรารับประทานจึงเท่ากับช่วยประหยัดการทำงานให้กับระบบย่อยอาหาร ลดของเสียและสิ่งตกค้าง (toxin)ในร่างกาย เมื่อระบบร่างกายไม่ต้องทำงานหนักเกินไป ร่างกายจึงเสื่อมช้า ไม่แก่เร็ว ฉะนั้นใครไม่อยากแก่ ก็หมั่นกินถั่วงอกที่ล้างสะอาดแล้วไว้เยอะๆ นะจ๊ะ เกลียดตัวกินไข่ เกลียดปลาไหลกินน้ำแกง : ตับหมูทอดกระเทียมพริกไทย
สำหรับจานนี้ที่ว่าเกลียดตัวกินไข่ ก็เพราะว่าตอนทำพาลจะแหวะหลายครั้งอีตอนเอาส้อมจิ้ม ๆ แล้วบีบเลือดจากตับมันให้ทะลักออกมาน่ะ ไม่ได้กระแดะนะคะ 555 แต่เพราะมันคาวมาก ๆ แต่พอเอาไปคลุกเคล้าเข้ากับสามสหาย (กระเทียม พริกไทย รากผักชี) ใส่ซีอิ้วขาว ซอสปรุงรส น้ำตาลตัดรสนิดหน่อยตามที่เราชอบ ทอดสุกกำลังนุ่มกินคู่กับน้ำปลาพริกบีบมะนาว อื่ม...แทบจะลืมกลืน อิอิ ที่เราเอาส้อมจิ้มแล้วบีบเลือดจากตับออกมาก็เพราะได้เคล็ดลับมาจากกระทู้แนะนำห้องก้นครัวกระทู้นี้ล่ะค่ะ //www.pantip.com/cafe/food/topic/D8729980/D8729980.html << ชายกางเข้าครัว ... ตับหมูทอดกระเทียมพริกไทย >> ใน คห.ของคุณชายกางบอกว่า " ซึ่งถ้าเรามาวิเคราะห์ดูแล้ว เลือดที่อยู่ในเนื้อตับนี่แหละ เป็นตัวทำให้เนื้อตับแข็ง เวลาที่ตับสุกแล้ว เพราะเลือด เมื่อสุก จะแข็งตัว เคี้ยวแล้วกระด้าง ... กุ๊กชาวจีน ใช้หลักการนี้ เป็นเคล็ดในการทำตับทอด ตับลวกจิ้มน้ำส้มพริกตำ โดยที่เค้าหั่นหนา แต่ตับนั้นนุ่ม ไม่มีรสขม จนกระทั่งมีร้านอาหารที่เค้าดัง เรื่องตับทอดกระเทียมนี้ ขายกันจานละ 400 600 บาทกันทีเดียว ซึ่งผมเคยไปชิมมาแล้ว ก็กลับมาทำตามแบบนี้ดู ก็ไม่ต้องไปที่ร้านนั้นอีกเลย ..." พอพิสูจน์เองแล้วก็อื่มหอม นุ่ม อร่อยมากเลยค่ะ ^^ ลาบเต้าหู้
เมนูเพื่อสุขภาพยามเบื่อเนื้อสัตว์ อร่อยได้คุณค่าเหมือนกัน ^^
เครื่องปรุง เต้าหู้แข็งสีขาว เห็ดนางฟ้าหรือเห็ดนางรมหลวงแล้วแต่ว่ามีอะไรเหลือในตู้เย็น เห็ดหูหนู หอมแดง หอมผักชี ข้าวคั่ว (ใส่ข่ากับตะไคร้ที่หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ คั่วตำละเอียดลงไปผสมในข้าวคั่วด้วยเล็กน้อย จะหอมน่าทานยิ่งขึ้น) พริกป่น น้ำปลาหรือซีอิ้วขาว มะนาว วิธีทำ 1.หั่นเห็ดเป็นชิ้นบาง ๆ และยีเต้าหู้ให้ละเอียด 2.นำเห็ดพร้อมเต้าหู้ไปคั่วในกะทะ จนเต้าหู้แห้งดี 3.ใส่ข้าวคั่ว กับหอมแดงและหอมผักชีที่ซอยละเอียดลงไปคลุกเคล้าให้เข้ากัน 4.เติมน้ำปลาหรือซีอิ้วขาว (เจ้าของ blog ใส่ผสมกันไปทั้งสองอย่างเลยค่ะ) บีบมะนาวลงไป ชิมรสตามชอบแล้วโรยพริกป่น เสริฟพร้อมเครื่องเคียงกะหล่ำปลีกับถั่วฝักยาว เท่านี้ก็จะได้ลาบเต้าหู้รสแซ่บ อิ่มแบบแคลอรี่ต่ำและได้ประโยชน์ ^^ Tip เต้าหู้นั้นมีสารอาหารที่เป็นประโยชน์มากมาย เช่น วิตามินบี ธาตุเหล็ก แคลเซียม และกรดอะมิโน เรียกได้ว่าให้โปรตีนครบถ้วน และย่อยง่ายกว่าเนื้อสัตว์ สปาเก็ตตี้ไก่สับ
เป็นเมนูที่ไม่ยุ่งยาก ทำทีสะใจกว่าไปซื้อเค้ากินเยอะเลยค่ะ ถึงลดน้ำหนักไม่ลงซักที อิอิ เครื่องปรุง สำหรับ 4 ที่ อกไก่ 3 ขีด สับหมักด้วยเกลือกับพริกไทยทิ้งไว้ประมาณ 20-30 นาที หอมหัวใหญ่ 1 หัวครึ่ง หั่นเป็นลูกเต๋าเตรียมไว้ มะเขือเทศ 2-3 ผล หั่นเป็นลูกเต๋าเตรียมไว้ เห็ดแชมปิยองกระป๋องหั่นเป็นแผ่นบาง ๆ มากน้อยตามชอบ (อันนี้จะใส่หรือไม่ใส่ก็ได้ค่ะ) ซอสมะเขือเทศ ซอสพริก (ใส่หรือไม่ใส่ก็ได้ตามชอบ) นมข้นจืดคาร์เนชั่นกระป๋องขาว เกลือ น้ำมันมะกอก เนยสด ผงออริกาโน พริกไทยป่น น้ำเปล่า วิธีทำ 1.ละลายเนยในกะทะ หรือจะใช้น้ำมันมะกอกก็ได้ค่ะแล้วนำหอมหัวใหญ่ที่หั่นแล้วลงไปผัดจนหัวหอมมีสีใส แสดงว่าสุกได้ที่แล้วใส่ไก่สับลงไปผัดจนสุก คอยเติมน้ำเปล่าลงไปด้วยนิดหน่อยเนื้อไก่จะได้ไม่กระด้าง 2.เติมซอสมะเขือเทศลงไปคนให้เข้ากัน อาจใส่ซอสพริกผสมลงไปด้วยก็ได้ค่ะถ้าไม่อยากให้มันเลี่ยนเกิน แต่ใส่นิ๊ดดดเดียวพอนะคะ เดี๋ยวจะกลายเป็นไก่ผัดซอสพริกแทน อิอิ ถ้าน้ำแห้งเกินไปก็เติมน้ำเปล่า 3.พอน้ำเดือดแล้วก็ใส่เห็ดแชมปิยองที่หั่นเป็นแผ่นบาง ๆ ถ้าชอบน้ำข้น รสชาตินุ่มนวลก็เติมนมข้นจืดคาร์เนชั่นลงไปผสม (เจ้าของ blog ชอบแบบน้ำเข้มข้นค่ะ ^^) โรยเกลือชิมรสตามชอบ ก่อนจะใส่มะเขือเทศที่เราหั่นไว้ลงไปผัดจนสุก 4.โรยผงออริกาโน พริกไทยคน ๆ ให้เข้ากันก็เสร็จเรียบร้อยแล้วค่ะ ^^ การเตรียมเส้นสปาเก็ตตี้ ตั้งน้ำให้เดือดใส่เส้นสปาเกตตี้ลงไปโรยเกลือป่นนิดหน่อย เส้นจะได้ไม่ติดกัน ระหว่างต้มก็คอยคนเป็นพัก ๆ พอเส้นสุกดีแล้ว (ตามเวลาแนะนำหลังซองของแต่ละยี่ห้อ หรือจากการตักเส้นขึ้นมาลองกัดชิมดูก็ได้ค่ะ) นำไปแช่ในน้ำเย็นก่อนตักขึ้นพักไว้ ให้สะเด็ดน้ำ คลุกน้ำมันมะกอกให้ทั่ว (ใส่ประมาณครึ่งช้อนชาก็พอค่ะนิดเดียว) เส้นจะได้ไม่ติดกัน หมายเหตุใครจะพลิกแพลงใส่แฮมลงไปผสมหรือทอดเบคอนกรอบชิ้นเล็ก ๆ โรยหน้าด้วยก็ตามชอบเลยค่ะ แต่เจ้าของ blog ลาเบคอนตัวอ้วนชั่วคราวเพราะคุณแฟนขอร้อง อิอิ
|
ชิฟฟอนคาปูชิโน่
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 47 คน [?] ชอบน้ำหอมก็เลยเปิดร้านน้ำหอมมินิเป็นงานอดิเรก เป็นความสุขอย่างหนึ่งที่เห็นคนอื่น Happy กับกลิ่นหอมที่ถูกใจค่ะ *** สิทธิ์เป็นของผู้เขียน และผู้สร้างสรรค์ผลงานด้านต่างๆ หากนำไปใช้รบกวนให้เครดิตด้วย จะยินดีเป็นอย่างยิ่ง ขอบคุณค่ะ*** ติดต่อสอบถามข้อมูลต่างๆ เพิ่มเติมได้ที่ wisa.p@me.com @@@@@@@@@@@@@@@@@ I Am Beautiful "ไม่สำคัญว่าใครจะมองเรายังไง แต่มันสำคัญที่ว่า เรามองตัวเองยังไง" Friends Blog
|