Group Blog All Blog
|
Love and Monsters Review : เมื่อหนังสัตว์ประหลาดวันสิ้นโลกทำเป็นหนังเด็ก
วันก่อนนั่งเปิด Netflix ดูไปเรื่อย ๆ ก็เห็นตัวอย่างของเรื่องนี้เล่นขึ้นมา Love and Monsters ดู Trailer แล้วก็เห็นว่าเป็นหนังเกี่ยวกับวันสิ้นโลกที่ดูไม่เครียดดี ฉันก็เลยนั่งดูสักหน่อย เพราะไม่ได้ดูหนังแนวนี้มาสักพักแล้ว
ความรู้สึกหลังดู (ไม่สปอย) ฉันคิดว่าตัวหนังทำ World Setting ออกมาได้น่าสนใจมาก และเล่าผ่านมุมมองของเด็กวัยรุ่นมันก็เลยไม่ได้ดูเครียดซีเรียสอะไร ด้วยความที่เรทของหนังอยู่ที่ PG-13 เราก็จะไม่ได้เห็นอะไรแบบในหนังซอมบี้อื่น ๆ เช่น ต้องฆ่าคนเพื่อให้มีอาหารเพิ่มขึ้น ตัวละครที่เป็นมนุษย์ในเรื่องส่วนใหญ่จะเป็นคนดีมีจิตใจช่วยเหลือเกื้อกูลกันและกัน ในหนังมีการใส่มุขเข้ามาเป็นระยะ ๆ แต่ฉันไม่ขำกับมุขที่เขาใส่มาเลยสักมุข ไม่รู้ทำไม อาจจะเพราะมันเป็นมุขฝรั่งก็ได้ ฝรั่งอาจจะขำก็ได้นะ สัตว์ประหลาดในเรื่องดูเหมือนจะน่ากลัว แต่เอาเข้าจริงค่อนข้างกากด๋อยนะ แรก ๆ คือทำไมมันโหดจังวะ คือเหมือนพยายามจะทำให้คนดูกลัว แต่พอเจอพระเอกเท่านั้นแหล่ะ ... คิดว่าหนังอยากจะให้คนดูได้เห็นการพัฒนาของตัวละครพระเอก ซึ่งก็ทำได้ดีพอสมควรนะตามความเห็นของฉัน (ในแง่อื่นที่นอกเหนือไปจากสกิลสู้สัตว์ประหลาดนะ) ตัวหนังน่าจะทำออกมาเพื่อหยั่งกระแส ถ้าประสบความสำเร็จสามารถปูทางไปภาคต่อได้ หรือจะจบตรงนี้เลยก็ไม่ได้ดูน่าเกลียดเหมือนกัน สำหรับฉัน พล็อตของหนังค่อนข้างดี ขอให้คะแนนตามความรู้สึกไว้ที่ 7/10 คะแนน ดูได้เรื่อย ๆ ในวันหยุดพักผ่อนน่ะ ดูได้ทั้งครอบครัวเด็ก ๆ ก็ดูได้ ถ้าไม่กลัวอะไรหยีแหวะ (สัตว์ประหลาดค่อนข้างน่ากลัวพอสมควร แต่มันไม่ได้เก่งอะไรขนาดนั้น บางตัวออกจะน่ารักด้วย แล้วก็ไม่ได้ออกมาบ่อยขนาดนั้น ที่จริงถ้านับจำนวนสัตว์เลือดเย็นทั้งโลกแล้วทำให้มันเป็นตัวใหญ่ ฉันคิดว่ามันน่าจะมีเยอะและถี่กว่านี้นะ อันนี้มีฉากที่พระเอกกับหมาและผองเพื่อนเดินกันชิว ๆ ไม่มีสัตว์ประหลาดค่อนข้างเยอะเลย) วิเคราะห์องค์ประกอบ (สปอยนะคะ) องก์ที่ 1 : World Setting Introduction & Protagonist introduction องก์นี้ครอบคลุมตั้งแต่ช่วงที่หนังแนะนำให้ฟังว่าโลกนี้มันเกิดอะไรขึ้น จนถึงตอนที่พระเอกออกเดินทาง พระเอกมีหน้าที่ทำอาหารกับซ่อมวิทยุ ความฝันคือตามหาแฟนที่แยกกันไปตั้งแต่เด็ก ซึ่งทุกคนดูสบายดีมากถ้ามองว่าโลกล่มสลายมา 7 ปีแล้ว มีอาหารอยู่ครบด้วย ดูเหมือนว่าพระเอกเราจะเป็นน้องเล็กที่สุดในบังเกอร์ที่พระเอกอยู่ เห็นบังเกอร์แล้วฉันก็อดคิดไม่ได้ว่า ถ้าเรื่องมันเกิดในประเทศแถว ๆ นี้ คงตายกันหมดเพราะไม่มีใครสร้างบังเกอร์ไว้แบบหนังฝรั่ง ๕๕๕ ฉันว่าจริง ๆ หนังสามารถเล่นเรื่องปมที่ทำให้พระเอกอยากออกเดินทางได้มากกว่านี้ เพราะยังรู้สึกว่าพระเอกไม่ได้มีความจำเป็นจะต้องออกเดินทางไปเสี่ยงอันตรายขนาดนั้นเพื่อนางเอก มันดู Puppy Love ไปหน่อย ทำให้พระเอกดู Innocence มาก ๆ ส่วนสัตว์ประหลาดก็แนะนำตัวได้น่ากลัวมาก คือจู่ ๆ ก็มาเจาะรัง(?)ของพวกพระเอก แล้วพระเอกก็จะขยับตัวไม่ได้ถ้ากลัวมาก ๆ สัตว์ประหลาดที่มาเจาะรังก็ทำให้เพื่อน ๆ พระเอกตายไปสองสามคน โหดจัด ๆ มาก ๆ ทุกคนที่ดูคงคิดว่ามันออกไปคนเดียวตายแน่ และใช่ พระเอกก็เลือกที่จะออกเดินทาง องก์ที่ 2: The Journey พระเอกออกเดินทางจากบังก์เกอร์ของตัวเอง แล้วไปเจอกับเพื่อนร่วมทางเป็นหมาหนึ่งตัว ที่เจ้าของฝึกไว้ดีมาก ๆ น้องมาช่วยชีวิตพระเอกตอนเจอกันครั้งแรกด้วย แล้วพระเอกก็ได้น้องมาเป็นเพื่อนร่วมทาง จากนั้นพระเอกก็ไปเจอเพื่อนร่วมทางอีกสองคน ที่ช่วยให้พระเอกได้เรียนสกิลเอาตัวรอดต่าง ๆ ที่พระเอกไม่รู้ เดินทางกับเพื่อนสองคนนั้นเป็นระยะเวลาหนึ่ง พระเอกก็ได้รับสกิลมากมายมา พร้อมกับทิปส์ต่าง ๆ ที่ช่วยให้พระเอกตัวรอดได้ในภายหลัง เช่น การสำรวจพื้นที่จากที่สูงก่อน, การกินอาหารและการนอนต้องทำแยกกัน, การฝึกซ้อมวิชาต่อสู้กับสัตว์ประหลาด เช่นยิงธนู อะไรแบบนั้น หลังจากแยกกัน เขาก็มีฉากแอคชั่นให้พระเอกแสดงสกิลพระเอกสักหน่อย ก่อนจะเดินทางไปถึงโคโลนีของนางเอก แล้วตอนเจอกันคือพระเอกโดนพิษปลิง ก็เลยเบลอ ๆ เมา ๆ เกือบตาย แต่กินหญ้าถอนพิษได้ทัน แล้วนางเอกก็เดินมาเจอพอดี ฉันว่าตรงนี้เนื้อเรื่องมันเร่งไปหน่อย แต่อย่าไปคิดอะไรมากเลยหนังเด็ก เอาเป็นว่าพระเอกปลอดภัยได้เข้าไปในโคโลนีของนางเอก ซึ่งนางเอกเป็นเหมือนผู้นำของโคโลนี เพราะเด็กที่สุด บรรยากาศเหมือนบ้านพักคนชราที่มีนางเอกเป็นพยาบาลอยู่คนเดียวเลยแหล่ะ องก์ 3 : The Climax and The end สิ่งแรกที่พระเอกค้นพบเมื่อมาถึงก็คือ นางเอกที่เขาอุตส่าห์ดั้นด้นมาหานั้นไม่ได้มีใจให้เขาอีกต่อไปแล้ว เพราะเวลามันผ่านมาตั้งแต่วันสิ้นโลกแล้วตั้ง 7 ปี นางก็ไปมีแฟนใหม่แล้วแฟนใหม่ก็ตายไปแล้วด้วย ตอนนี้พระเอกก็เลยคิดถึงเพื่อน ๆ ที่โคโลนีของตัวเอง เลยติดต่อกลับไปบอกว่าตัวเองปลอดภัยดี ส่วนคนที่โคโลนีของพระเอกก็ส่งข่าวมาบอกว่า ตอนนี้บังเกอร์กำลังจะพังแล้ว มีสัตว์ประหลาดบุกเข้ามาทุกวันและรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้พระเอกเป็นห่วงมาก ต่อมาโคโลนีของนางเอกเจอกลุ่มโจรที่ปลอมตัวมาเป็นคนดีน่าไว้ใจ แต่ความจริงมันจะมาปล้นเอาอาหารและยาของพวกนางเอกไปใช้กันเอง ที่จริงเดาไม่ค่อยยาก เพราะมันดูขี้โม้เกินไปหน่อย ๕๕๕ พระเอกกับนางเอกก็ได้มีซีนบู๊ สู้กับโจร และแน่นอนว่าต้องชนะ แล้วสุดท้ายพระเอกก็ค้นพบว่าตัวเองอยากจะเดินทางกลับไปโคโลนีของตัวเองเพื่อช่วยเพื่อนๆ ออกมาจากบังเกอร์ พระเอกให้ไดอารี่ที่ตัวเองจดความรู้เกี่ยวกับสัตว์ประหลาดและพวกวิธีการเอาตัวรอดไว้กับนางเอก เผื่อว่าวันไหนนางเอกจะต้องออกเดินทางไปที่ ๆ ปลอดภัยมากขึ้น แล้วกลับไปที่โคโลนีตัวเอง พร้อมกับเชิญชวนให้ทุกคนออกมาสู้สัตว์ประหลาด พร้อมกับบอกว่า อ่อนด๋อยอย่างเขายังสู้ได้เลย ทุกคนก็ต้องสู้ได้ ออกมาสู้กันเถอะ! จบ ปล.หมาในเรื่องก็น่ารักและรู้เรื่องมากกก อยากเทรนหมาที่บ้านให้รู้เรื่องได้เท่านี้บ้าง บางทีฉันก็สงสัยนะว่าหมาบ้านฉันมันปัญญาอ่อนหรือเปล่า ๕๕๕ ทำไมมันติงต๊องจัง 210429 ชีวิตช่วงนี้
ตอนนี้ฉันกลับมาอยู่อุบลกับพ่อแม่เพื่อลี้ภัย Covid-19 แล้วก็เพื่อจะเรียนรู้ระบบงานของที่บ้านกับคุณแม่ด้วย แล้วก็ให้คำปรึกษาด้านบัญชีกับอะป๊า ซึ่งก็ไม่ได้ความคืบหน้าเท่าไหร่ เพราะฉันยังต้องศึกษากฏหมายอีกเยอะ ต่อไปถ้าฉันแก้ปัญหาของทางบ้านได้ครบหมด ฉันจะเปิดรับให้คำปรึกษาบริษัทที่ทำร้านทองอื่น ๆ บ้างแล้วนะ กฏระเบียบมันเยอะเหลือเกินธุรกิจนี้
ฉันเป็นคนประเภทที่ว่า ถ้าวันไหนนั่งเล่นเกมทั้งวัน หรือนั่งดูซีรีย์ทั้งวัน ฉันจะรู้สึกไม่ดีกับตัวเองมาก ๆ ถึงขั้นพูดจากับตัวเองไม่ดีในใจเลยแหล่ะ ฉันไม่ค่อยชอบความรู้สึกแบบนั้น มันก็เลยเป็นสาเหตุให้ฉันต้องพยายามทำอะไรก็ได้ให้ตัวเองโตในทางใดทางหนึ่งอยู่ตลอดเวลา เป้าหมายตอนนี้ก็มีการพัฒนาตัวเองให้ไปในอีก Level นึง เพราะฉันรู้สึกว่าตั้งแต่เริ่มทำงานฉันแทบไม่ได้พัฒนาสกิลอะไรใหม่ ๆ ให้ตัวเองเลย ตอนนี้สกิลที่กำลังพัฒนาก็มี
จริง ๆ CPA นี่ฉันก็จะถอดใจอยู่แล้วนะ เพราะคนรอบตัวก็บอกว่า ไม่ต้องไปสอบแล้วล่ะ สอบไปก็เอาไปใช้อะไรในอนาคตไม่ได้ ที่ฉันยังสอบอยู่เพราะฉันไม่อยากจะยอมแพ้ ฉันอยากจะจบสิ่งที่ฉันได้เริ่มไว้ ไหน ๆ ก็สอบผ่านไปแล้วตั้ง 2 ตัว เราต้องพยายามกับอีก 4 ตัวที่เหลือให้ได้ เพื่อแก้ปมในใจด้วยว่าฉันเป็นคนไม่รู้เรื่องอะไรเลย ทำงานไม่ได้เลย ถ้าฉันแม่นกฏหมายมาก ๆ ฉันจะได้ให้คำปรึกษาพ่อแม่ได้ดีขึ้นด้วย หรือต่อไปให้คำปรึกษาใครถ้ามีใบ CPA สักหน่อยมันก็จะดูน่าเชื่อถือมากขึ้นนะ
พอดีเดือนที่แล้ว Coursera เปิดให้ลงเรียนคอร์สฟรีประมาณ 7-8 คอร์ส ฉลองครบรอบวันก่อตั้งของ Coursera ซึ่งฉันก็โชคดีไปเห็นโพสต์พอดี ก็เลยสมัครเรียนคอร์สที่ชื่อว่า Problem Solving using Computational Thinking เรียนจบจะได้ Certificate ฟรีด้วยนะ ^^ โชคดีจริง ๆ
การได้มีเวลามาทบทวนตัวเองมากขึ้นในแต่ละวันก็เป็นประโยชน์เหมือนกัน มันทำให้ฉันกลับมาคิดได้ว่า ความจริงแล้วเรามีความฝันอยู่นี่หว่า ความฝันที่เราลืมเลือนไปเพราะเรื่องอื่น ๆ ในชีวิตที่เข้ามาตอนนี้ถึงเวลาหรือยังที่เราจะกลับมาทำตามความฝันของเรา พยายามสร้างสิ่งที่จะนำไปสู่ความฝันของเราไม่ให้มันจางหายไป เหมือนความฝันของใครหลาย ๆ คนที่มันหายไปตอนที่เขาโตเป็นผู้ใหญ่ ความจริงฉันก็พอจะมองเห็นว่าชีวิตของฉันค่อนข้างจะไปในทางที่จะทำให้ความฝันของฉันเป็นจริงอยู่เหมือนกันนะ หลาย ๆ เรื่องเลย ถ้าไปเปิดสมุดที่เคยเขียนไว้เรื่องสิ่งที่เราอยากได้ มันก็เป็นจริงขึ้นมาทีละเรื่องสองเรื่อง หรือบางเรื่องก็มีแนวโน้มว่าจะไปทางนั้น แค่นี้ชีวิตฉันก็มีความสุขมาก ๆ แล้วล่ะนะ ประสบการณ์ฉีดวัคซีนโควิด 19
ฉันฉีดวัคซีคโควิด 19 ครบสองเข็มแล้ว น่าจะเป็นคนกลุ่มแรก ๆ ในไทยที่ได้ฉีดเลย หลายคนก็มาถามว่าทำไมได้ฉีดเร็ว คงต้องบอกว่าเป็นความเฮงของฉันล้วน ๆ
เนื่องจากฉันแต่งงานเมื่อเดือนธันวาคมปี 2020 กับสามีที่เป็นคนสมุทรสาครโดยกำเนิด ทำให้หลังแต่งงานฉันได้ย้ายบ้านไปอยู่กับสามีที่สมุทรสาคร หลังจากงานแต่งงานของฉันไม่ถึงหนึ่งอาทิตย์ ก็มีข่าวว่าโควิด 19 แพร่กระจายในสมุทรสาครอย่างน่าตกใจ ทำให้จังหวัดสมุทรสาครกลายเป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุดทันที หลังจากนั้นไม่นาน ประเทศไทยก็นำเข้าวัคซีนเซ็ทแรก คงด้วยสาเหตุว่าสมุทรสาครในเวลานั้นเป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุดที่ใคร ๆ ก็เป็นห่วง วัคซีนเซ็ทแรกก็เลยเดินทางมาที่นี่ก่อน ตอนที่ฉันทราบข่าวว่าไปจองคิวฉีดวัคซีนได้ก็เป็นช่วงต้นเดือนมีนาคมแล้ว แม่ยายของฉันเป็นข้าราชการพยาบาลเกษียณอายุ ท่านก็เลยได้ข่าววงในเร็วกว่าใคร และได้สิทธิ์ในการฉีดวัคซีน (น่าจะเพราะเป็นคนสูงอายุด้วย ถือว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงมาก) ท่านได้ฉีดก่อนเพื่อนเลย ในวันเดียวกันนั้นฉันก็ไปจองคิวฉีดวัคซีนกับสามี เพราะเขาให้จองคิวที่โรงพยาบาลสมุทรสาคร เดินทางไปถึงโรงพยาบาลสมุทรสาครประมาณบ่ายสองโมง ตรงจุดที่จองคิวไม่มีคนอยู่เลยยกเว้นเจ้าหน้าที่สองคน ฉันกับสามีก็แปลกใจ เพราะคิดว่าจะมีคนมาจองคิวเยอะกว่านี้ แต่กลับเงียบเชียบ หรืออาจเป็นได้ว่าคนที่ทราบข่าวคงมาจองคิวกันตั้งแต่เช้าไปจนหมดแล้ว เวลาบ่ายสองโมงก็เลยไม่มีคน เจ้าหน้าที่ขอให้ฉันเขียนใบนัด เป็นรายละเอียดทั่ว ๆ ไป ชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ และเอาบัตรประชาชนไปลงทะเบียนให้ เขาแจ้งว่าคิวที่โรงพยาบาลสมุทรสาครเต็มแล้ว ณ ขณะนี้ เหลือแค่คิวที่โรงพยาบาลท่าฉลอม ที่อยู่ห่างไปจากที่นี่ราว ๆ 20 นาที ฉันกับสามีไม่มีปัญหา ได้นัดเป็นอาทิตย์ถัดไปวันธรรมดา ในใบนัดไม่ได้เขียนชื่อวัคซีนไว้ว่าจะได้ฉีดวัคซีนอะไร สำหรับแม่สามีท่านได้ฉีด Astra Zeneca ฉีดเข็มแรก วันที่นัดฉีดวัคซีนเข็มแรกฉันลางาน เพราะฉันต้องเดินทางเข้าไปทำงานที่กรุงเทพ หากต้องเดินทางเข้าออกโดยได้ไปทำงานแค่ครึ่งวันฉันคิดว่าไม่คุ้มค่าทางด่วนไปกลับ 100 บาท ไหนจะเรื่องอาการป่วยหลังฉีดวัคซีนอีก ฉันไม่แน่ใจว่าฉันจะป่วยแบบไหน หนักหรือเบาอย่างไร ขอดูอาการอยู่ที่บ้านดีกว่า ฉันกับสามีไปถึงโรงพยาบาลท่าฉลอมประมาณ 10 โมงเช้า เจ้าหน้าที่ให้ต่อคิวรอด้านนอก คนมาเยอะพอสมควร ราว ๆ 100 – 200 คนได้ รอสักพักก็มีเจ้าหน้าที่เดินเข้ามาแจกกระดาษบัตรคิว แล้วก็รอเข้าไปข้างในตามคิวที่เขาเรียก ก่อนเข้าไปในอาคารเขาจะให้เราวัดอุณหภูมิก่อน แล้วก็จดลงในใบนัดด้วย พอเข้าไปข้างในเขาก็ให้พวกเราโชว์ใบนัดและแจ้งชื่อทีละคน แล้วก็ส่งไปยังจุดลงทะเบียน เจ้าหน้าที่ที่จุดลงทะเบียนจะถามชื่อ กับเบอร์ ว่ายังเป็นปัจจุบันตามข้อมูลในบัตรประชาชนหรือเปล่า ไม่แน่ใจว่าถ้าบัตรไม่ใช่บัตรรุ่นใหม่ที่มีข้อมูลเก็บไว้จะต้องกรอกเอกสารอะไรเพิ่มเติมหรือเปล่านะ เสร็จจากขั้นตอนนี้ก็ไปชั่งน้ำหนัก วัดความดัน ตอนชั่งน้ำหนักนี่เจ็บใจมาก น้ำหนักขึ้น ฮือ ๆ T-T รู้สึกการ Work from home ทำให้เราอ้วนขึ้นเยอะเลย แถม Life style หลังจากแต่งงานก็มีแต่นั่ง ๆ นอน ๆ ไปไหนมาไหนก็นั่งรถส่วนตัว ไม่ได้ขึ้นรถไฟฟ้าทุกวันเหมือนสมัยก่อน อ้วนขึ้นไม่รู้ตัวเลยสักนิด ขั้นตอนวัดความดันก็ต้องรอเรียกตามคิว ใครความดันสูงต้องรอให้ความดันต่ำลงก่อน (เช่นสามีฉัน) แล้วเขาก็จะให้ไปยังสเตชั่นต่อไป ซึ่งเป็นจุดเซ็นใบยินยอมรับวัคซีน แล้วก็เช็คสุขภาพ เขาจะถามว่าก่อนหน้านี้เราติดโควิดมาแล้วหายแล้วหรือเปล่า มีนอนโรงพยาบาลมาก่อนไหม ตั้งครรภ์หรือให้นมบุตรอยู่หรือเปล่า ฯลฯ ถ้าไม่มีปัญหาอะไรก็เซ็นยินยอมรับวัคซีนได้เลย ฉันได้ฉีด Zinovac T-T วัคซีนของจีน ที่จริงฉันกลัวนิดหน่อย เพราะเห็นว่าหัวหน้าที่ทำงานไม่อยากให้ฉีดวัคซีนตัวนี้ ฉันก็เลยลังเล เพราะบอกหัวหน้าว่าน่าจะได้ฉีด Astra Zeneca ที่ไหนได้ Astra Zeneca เขากันไว้ฉีดให้กับคนที่อายุมากกว่า 62 ปีขึ้นไป ส่วนอายุน้อยกว่านั้นต้องฉีด Zinovac หมดงืออออ ฉันก็มีความลังเลว่าจะเซ็นยินยอมดีไหม หรือไม่ฉีดดี แต่สามีก็เกลี้ยกล่อมให้ฉีดไปเลย พร้อมกับหารีเสิร์ชอะไรมาให้ฉันดูเยอะแยะไปหมด (หน้างานนั่นแหล่ะ) ฉันก็เอาวะ ไหน ๆ ก็มาแล้ว จะเป็นวัคซีนจีนก็วัคซีนเหมือนกันล่ะว้า ตายเป็นตาย ยังไงคนเราก็ต้องตายทุกคนอยู่แล้ว ก็เซ็นยินยอม แล้วก็เข้าไปฉีดเลย ตอนฉีดเร็วมาก แทบไม่รู้สึกอะไรเลย เจ้าหน้าที่ที่ฉีดวัคซีนให้บอกว่าฉีดแล้วจะมีอาการไข้ขึ้นเล็กน้อย แล้วก็ปวดตรงจุดที่ฉีดนะคะ ถ้าหากว่าเป็นหนัก ๆ ก็ให้ไปพบแพทย์ได้ แต่ถ้าไข้ขึ้นก็กินพาราได้ หลังจากขั้นตอนฉีดวัคซีนเขายังไม่ให้เรากลับบ้านทันที แต่เจ้าหน้าที่จะเขียนเวลาที่เราฉีด กับเวลาที่เลยไปอีก 30 นาที (ต้องคอยดูอาการก่อนกลับบ้าน 30 นาที) แล้วหลังจากนั้นเขาก็จะให้ไปที่จุดรับใบนัดฉีดครั้งที่สอง เขาให้ฉันเลือกสองวัน 15 เมษากับ 16 เมษา แล้วก็นั่งรอจนครบ 30 นาที ระหว่างรอ เจ้าหน้าที่ก็ให้ใบ A4 เคลือบให้อ่าน เป็นรายละเอียดระบุว่าวัคซีนตัวนี้อาจจะทำให้เราเกิดอาการอะไรได้บ้าง (วิงเวียนศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน ไข้ขึ้น ปวดเมื่อยเนื้อตัว) และก็ให้แอดไลน์หมอพร้อม เขาบอกว่าจะมีแบบประเมินส่งไปให้ทำเพื่อประเมินว่าอาการหลังฉีดเราเป็นยังไงบ้าง พอครบ 30 นาทีทุกคนจะถูกส่งเข้าไปวัดความดันอีกรอบหนึ่ง พอวัดความดันเสร็จก็กลับบ้านได้ อาการหลังฉีดของฉัน ฉันมีอาการวิงเวียนศีรษะ หน้าเหมือนจะมืด แล้วก็มีไข้ขึ้นไป 37.6 องศา ปวดเมื่อยตามเนื้อตามตัว ส่วนอาการสามีของฉันคือรู้สึกขมคอเหมือนจะอาเจียน แล้วก็ปวด ๆ ตรงจุดที่ฉีดวัคซีน นอกนั้นก็ไม่มีอาการอะไร ฉีดเข็มที่ 2 ฉันไปฉีดวัคซีนเข็มที่สองมาเมื่อวานนี้ 16 เมษายน คนเยอะพอ ๆ กับครั้งแรก และรายละเอียดของการเข้ารับวัคซีนก็เหมือนกัน แต่ฉันแปลกใจเพราะว่าทางเจ้าหน้าที่ไม่ได้แยกแถว หรือวัน ของคนที่มาฉีดครั้งที่ 1 กับครั้งที่ 2 เพราะตอนที่รอคิวอยู่ มีเจ้าหน้าที่เดินเข้ามาถามว่าใครฉีดเข็มที่ 1 บ้าง ขอให้แอดไลน์หมอพร้อมด้วย แล้วก็มีเจ้าหน้าที่เข้ามาเช็คว่าไลน์หมอพร้อมมียิงแบบประเมินสุขภาพไปให้หรือเปล่า แต่เขาก็ไม่ได้เข้ามาเช็คที่แอพเราว่าเราทำแบบประเมินแล้วหรือยัง (ฉันทำไปแล้วแหล่ะ) ถ้าใครที่ไม่มีแบบสอบถามเด้งไป จะต้องติดต่อไปทำแบบสอบถามอีกที (ยุ่งยากชะมัด) แล้วก็ทุกสเตชั่นเจ้าหน้าที่จะถามว่าฉีดเข็มแรกไปมีอาการอะไรบ้าง ฉันก็ตอบอาการของฉันไปตามจริง ที่จริงรอบนี้ฉันวัดความดัน ความดันฉันต่ำ (109 เองมั้ง) เจ้าหน้าที่บอกว่าให้กินน้ำเยอะ ๆ พักผ่อนให้เพียงพอ จริง ๆ เรื่องความดันต่ำนี่อยู่คู่ฉันมานานแสนนานแล้วแหล่ะนะ เวลาไปบริจาคเลือดทีก็จะโดนให้ไปเดินรอบสภากาชาดก่อนทุกที เพราะความดันต่ำมาก หน้ามืดง่าย เวลานอน ๆ อยู่แล้วลุกทันทีนี่วูบหลายครั้งละ นอกนั้นก็ไม่มีอะไร ฉีดเสร็จฉันก็เวียนหัวเล็กน้อยเหมือนเดิม สามีก็ขมคอ อาการเหมือนเดิมทุกอย่าง สามีฉันเล่าให้ฟังว่าเขาเห็นคนที่ฉีดแล้วอาเจียนด้วย เจ้าหน้าที่ก็หามขึ้นเตียงไปนอนพักเลย ความรู้สึก สำหรับโรงพยาบาลนี้ฉันคิดว่าเขาพยายามบริหารพื้นที่ที่มีอยู่ให้ดีที่สุดสำหรับรับผู้มาฉีดวัคซีนเป็นจำนวนมากแล้วล่ะ แต่การบริหารแถวยังทำได้ไม่ดีนัก ด้วยความจำกัดของพื้นที่ ทำให้บางสเตชั่นต้องเดินย้อนไปย้อนมา บางทีก็มีลัดคิวกันบ้างด้วยความไม่รู้ แต่ฉันคิดว่าเจ้าหน้าที่พยาบาลที่นี่ สุภาพกันทุกคนเลย เขาอาจจะทำตามหน้าที่ แต่เขาก็พยายามเข้าอกเข้าใจเราดีจริง ๆ นะ ค่อนข้างประทับใจ แต่ที่จอดรถของที่นี่จะน้อยหน่อย ถ้าต้องไปจอดรถใต้ดินก็จะงงหาทางไปฉีดวัคซีนไม่เจอ T-T เพราะไม่มีป้ายเขียนบอกจากจุดจอดรถเลยว่าจุดฉีดวัคซีนอยู่ที่ไหน ต้องถามเจ้าหน้าที่ตามทางไปเรื่อย ๆ ตรงนี้น่าจะปรับปรุงได้นะ คิดว่าถ้าติดป้ายตรงทางออกที่จอดรถชั้นใต้ดินน่าจะทำให้คนหลงน้อยกว่านี้ ไม่งั้นอาจจะมีคนหลงไปต่อแถวแรงงานต่างด้าวที่มาตรวจโควิดได้นะ งือ สำหรับวัคซีนโควิด19 ตามที่ได้รับข้อมูลมา มันไม่ได้ป้องกันการติดเชื้อโควิด 19 แต่มันจะทำให้อาการทุเลาลง ซึ่งผลของวัคซีนก็ไม่ได้มีทันทีนะ หลังจากฉีดไปก่อนสัก 2-3 อาทิตย์ถึงจะมี Effect เพราะฉะนั้นระหว่างนี้ก็ต้องระวังตัวเองไปก่อน แล้วคนที่ฉีดวัคซีนแล้วก็ยังสามารถแพร่เชื้อโควิด19 ให้คนอื่นต่อไปได้ด้วย (คือเราไม่ตายแต่อาจจะไปทำให้คนอื่นตายได้นะ ระวังด้วย) แถมผลของวัคซีนก็คงอยู่แค่ 6 เดือน ดังนั้นต้องฉีดซ้ำทุก ๆ ครึ่งปี อารมณ์เดียวกันกับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ โรคนี้มันแย่จริง ๆ ทำให้ชีวิตหลาย ๆ คนพังไปหมดแล้ว ช่วงนี้เห็นแต่ข่าววิจารณ์การทำงานของรัฐว่าทำไมแจกจายวัคซีนช้า เราเห็นด้วยว่าช้าจริง ๆ ถึงแม้เราจะอยู่ในกลุ่มผู้ได้ฉีดเร็ว แต่เราก็หวังว่าทั้งประเทศจะได้มีโอกาสฉีดวัคซีนเร็ว ๆ เหมือนกัน ไม่ใช่กระจุกอยู่แค่บางพื้นที่ มันมีปัญหาที่การบริหารจัดการจริง ๆ นะ ขอให้ทุกคนได้ฉีดวัคซีนเร็ว ๆ ด้วยนะคะ ขอบคุณที่อ่านจนจบค่ะ บล้อกหาย
เมื่อเช้าเขียนบล้อกยาวมาก กดผิดปุ่มเดียว หายหมดเลย
จริง ๆ น่าจะเรียนรู้ได้แล้วนะว่าการเขียนใส่บล้อกเลยมันอันตราย กลับมาผิดพลาดเหมือนสมัยเด็ก ๆ เลย เพราะไม่ได้เขียนนานอ่ะนะ T-T ขอไปทำใจนิดนึง เดี๋ยวกลับมาเขียนใหม่ จิตฮึบ!
มีสภาวะจิตนึงที่ฉันตั้งชื่อเองว่า จิตฮึบ
มันจะเป็นสภาวะของจิตใจที่เกิดขึ้นเวลาที่เราลุกออกจากเตียงตอนเช้ามืด ตอนที่เราต้องอาบน้ำเย็น ตอนที่เราต้องออกกำลังกายตามที่ตั้งใจไว้ทั้ง ๆ ที่ขี้เกียจแทบตาย จิตฮึบ เป็นสิ่งที่จำเป็นมากสำหรับการสร้างวินัยให้อยู่ได้ถาวร เพราะคนเราไม่ได้มีแรงบรรดาลใจมาผลักดันเหมือนกับตอนที่วางแผนครั้งแรกหรอก ตอนที่เริ่มฝึกวินัยใหม่ ๆ จิตฮึบจะอ่อนแรงมาก ต้องใช้ความพยายามพอสมควร แต่พอผ่านเวลาไปพอสมควร เราจะสามารถบังคับจิตฮึบได้ และมันก็จะเข้มแข็งขึ้น ฉันคิดว่ามันคือความเข้มแข็งของจิตใจรูปแบบนึงนะ ที่น่าสนใจคือ เราสามารถฝึกจิตฮึบได้จากกิจกรรมง่าย ๆ ที่เป็น Level 1 ก่อน แล้วค่อยเลื่อนไปเป็นกิจกรรมที่ยากขึ้น Level 2, Level 3 กิจกรรม Level 1 จัดเตียงตอนเช้า กินวิตามินหลังอาหาร รดน้ำต้นไม้ กิจกรรม Level 2 ลุกออกจากเตียงตรงเวลาทุกเช้า อ่านหนังสือให้จบ เล่นเกมให้จบ เข้านอนตรงเวลา ทำ IF สองสามวันแรก ทำงานง่าย ๆ ใน Todo list ให้เสร็จตามเวลาที่วางไว้ นั่งสมาธิทุกวัน กิจกรรม Level 3 ออกกำลังกาย ทำงานยาก ๆ ใน To-do List ให้เสร็จตามเวลาที่วางไว้ สำหรับตัวฉันเองพัฒนามาได้ระยะหนึ่งแล้ว แต่ยังไม่สม่ำเสมอ ฉันพยายามฝึกวินัยให้ตัวเองตื่นตรงเวลา เข้านอนตรงเวลา ตั้งแต่อ่านหนังสือเรื่อง Why we sleep ของ ดร.แมทธิว วอร์กเกอร์ จบ เพราะก่อนหน้านี้หลายปีฉันมีปัญหานอนหลับไม่สนิทมาตลอด ซึ่งมันเรื้อรังมาก หนังสือบอกว่าการเข้านอนตื่นนอนตรงเวลาสามารถช่วยแก้ไขในจุดนี้ได้ แต่ที่น่าสนใจคือ ทุกกิจกรรมที่ List มาข้างบน ฉันคิดว่าทุกคนสามารถฝึกได้จนเราสามารถทำได้โดยใช้ จิตฮึบน้อยลงเรื่อย ๆ เหมือนพอเราอดอาหาร IF ไปได้สักสองสามวัน เราก็จะไม่รู้สึกหิว กิจกรรมอื่น ๆ ก็เหมือนกันนะ ทุกวันนี้ฉันตื่นนอนตีสี่ครึ่งทุกวันโดยไม่ได้รุ้สึกว่าลุกจากเตียงยากเย็นอะไร ที่จริงหลักการนี้ฉันผ่านหูมาเหมือนกันว่ามันคือ Will Power แต่ฉันไม่ได้ศึกษาเรื่อง Will Power เพียงพอ เลยไม่รู้ว่ามันจะเหมือนกับ จิตฮึบ ในแง่มุมใดบ้าง คิดว่ามันไม่มีจุดสิ้นสุดในการพัฒนาตัวเอง พอเราทำ A สำเร็จ เราก็อยากจะไปพัฒนา B ต่อไปเรื่อย ๆ เพื่อจะได้เป็น Best version ของตัวเองในสักวัน |
Kurobina
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?] ยินดีที่ได้รู้จัก หวังว่าเราจะได้ทำดีต่อกัน ขอสงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ห้ามมิให้ผู้ใด ทำซ้ำ คัดลอก ดัดแปลง แก้ไข หรือเผยแพร่ ไม่ว่าจะเป็นส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดใน Blog นี้ ทั้งโดยเผยแพร่ไม่ว่าจะเป็นการส่วนตัวหรือเชิงพาณิชย์โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร มิฉะนั้นจะถูกดำเนินคดีตามที่กฎหมายบัญญัติไว้สูงสุด |