kruaun
Location :
สุรินทร์ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]




“อาจารย์ของพระอรหันต์ ยังไม่จำเป็นต้องเป็นพระอรหันต์เลย ดังนั้น อย่ากังวลเลย หากเราคิดว่าเราเก่งไม่พอที่สร้างลูกศิษย์เก่งๆ ขอเพียงแต่เรามีกระบวนการพัฒนา ส่งเสริม และให้โอกาสเขาอย่างเหมาะสม และถูกวิธี ให้เขาเติบโตเต็มศักยภาพที่ดี”---รศ. ดร.คุณหญิงสุมณฑา พรหมบุญ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ จากหนังสือแด่เมล็ดพันธุ์แห่งอนาคต

****************************

No one can make you feel inferior without your consent. by Eleanor Roosevelt.

ไม่มีใครสามารถทำให้คุณรู้สึกต้อยต่ำได้...
ถ้าคุณไม่ยินยอม (เอลานอร์ รูสเวลต์)

**************************

ครูอั๋น สอนคณิตศาสตร์ จังหวัดสุรินทร์
--------------------------------

"ชีวิตนี้ลูกยกให้พวกเขา...แต่ชีวิตหน้าทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาและพวกมันทำไว้กับลูก ลูกขอเอาคืน!"
---วรดา/ด้วยแรงอธิษฐาน/กิ่งฉัตร

รู้นะว่าถ้าเอาความแค้นนำทางมันไม่ดี...
แต่บางทีถ้าตั้งใจว่าจะต้องดีกว่า ดีกว่า...
มันก็เหมือนเป็นแรงขับให้เราก้าวหน้าได้เช่นกัน

แค่ตั้งใจทำดีก็แล้วกัน

+++++++++++++++++++++++++++++

มีคนเคยถามว่า "ทำไมมาเป็นครู"
คำตอบที่ผมภูมิใจและตอบได้อย่างเต็มปากที่สุด คือ
"ผมอยากเป็นครู เลยเลือกมาเป็นครู"


* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

"เจ้าเป็นคนพูดเองนะว่า อำนาจมันมาแล้วมันก็ไป แล้วเจ้ายังจะแสวงหามันทำไมเล่า"
---เศกขรเทวี เพลิงพระนาง

๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗

สัจธรรมง่ายๆ ที่ใครๆ ก็พากันทำไม่ได้

ถ้าอยากมีชีวิตที่เลวลงอย่างคิดไม่ถึง
คุณแค่หมั่นทำเลวที่ไม่เคยแม้จะอยู่ใรความคิด

หากปรารถนาชีวิตที่ดีขึ้นอย่างคิดไม่ถึง
คุณต้องทำดีมากกว่าที่คิดว่าตัวเองจะทำได้

มีชีวิตที่คิดไม่ถึง/ดังตฤณ
----------------เริ่มนับ 30 เม.ย.53----------------- free counters ===== Creative Commons License
This work is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-ShareAlike 3.0 Thailand License.
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add kruaun's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 

อรุณรุ่งของหัวใจ

แสงจากดวงอาทิตย์ลับหายจากขอบฟ้าไปนานแล้ว ความมืดแห่งรัตติกาลยังคงคลอบคลุมไปทั่วทุกพื้นที่ ดูราวกับว่า มันจะไม่มีวันกลับมาสว่างอีกครั้ง กลางคืน…ดูช่างเป็นเวลาที่ดูจะอ้างว้าง เงียบเหงาเสียเหลือเกิน อย่างนี้เองกระมัง ที่ทำให้มีคนทั้งชอบ และไม่ชอบเวลากลางคืน แต่ไม่ว่าจะเป็นเหตุผลใดก็ตาม ผมยังคงต้องใช้เวลาผ่านคืนอันเงียบเหงานี้ไปให้ได้ แม้ว่ามันจะยากเต็มที

ตี ๒ กว่าแล้ว ผมยังนั่งอยู่บนโต๊ะอ่านหนังสือตัวเก่า กาแฟที่ดูจะเย็นหมดแล้ววางอยู่ข้าง ๆ ผมนั่งมองออกไปนอกหน้าต่าง มองไกลออกไป ผ่านขึ้นไปยังท้องฟ้า เห็นดวงดาวมากมายกระพริบระยิบระยับเต็มท้องฟ้า และทุกครั้งที่ผมมีปัญหา ผิดหวัง หรือคิดอะไรไม่ออก ผมมักจะทำอย่างนี้เสมอ ๆ

ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมผมต้องทำอย่างนี้ ทั้ง ๆ ที่ดวงดาวก็ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาหรือช่วยให้ผมสมหวังได้เลยสักครั้งเดียว

ผมละสายตาจากท้องฟ้า จดปากกาหมึกแห้งลงบนสมุดบันทึกอีกครั้ง ขีด ๆ เขียน ๆ อะไรไปเรื่อยเปื่อย ตามแต่อารมณ์จะพาไป แล้วความคิดหนึ่งก็ผ่านเข้ามาในสมอง

ทำไมเราต้องทุกข์ทรมานมากมายขนาดนี้ด้วย กับแค่ความผิดหวังครั้งเดียว นี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกเลยที่ผิดหวัง แต่ทุกครั้ง เราก็สามารถผ่านมันมาได้ ลองมองดูคนที่อยู่รอบข้างเราซิ ยังมีคนที่ต้องทนทุกข์ทรมานมากกว่าเราอีกเยอะ ที่สำคัญ เรายังดีกว่าที่มีโอกาสหวังและยังมีโอกาสสมหวังอีกด้วย กับคนอื่นอีกหลายร้อยหลายพันคน เขาไม่มีโอกาสแม้แต่จะคิดว่า วันพรุ่งนี้ชีวิตจะดีขึ้นหรือเปล่า ถึงเราจะผิดหวัง เราก็ยังมีโอกาสหวังอีกไม่มีสิ้นสุด
คิดได้อย่างนี้แล้ว ผมก็จดปากกาลงบนสมุดบันทึกอีกครั้ง ตั้งใจว่าจะเขียนเป็นเรื่องเป็นราวจนจบเสียที ไม่ปล่อยให้อารมณ์พาไปอีกแล้ว…
ตั้งใจว่าจะจิบกาแฟสักหน่อย แต่มันคงเย็นเกินไปแล้ว ปล่อยมันไว้อย่างนั้นแหละ

ผมเดินออกไปที่ระเบียงห้อง มองออกไปยังท้องฟ้า ทันใดนั้นก็พลันปรากฏแสงสว่างลากเป็นทางยาวจากฟากฟ้าก่อนจะดับลง เสียงใครคนหนึ่งดังก้องมาจาที่อันแสนไกล เข้ามาในโสตประสาท ย้ำเตือนความทรงจำ มันเป็นคำพูดที่ใครคนหนึ่งเคยบอกผมเอาไว้ แต่มันก็นานมาก นานจนเกือบจะลืมไปแล้ว

“ดูซิ! ดาวตกลงมาอีกแล้ว แต่แปลก ดาวตกลงมาทุกคืน คืนละหลายดวง แต่ดาวก็ไม่เคยหมดไปจากฟ้า… ก็เหมือนกับความหวังของคนเราไง ที่ถึงแม้จะผิดหวังสักกี่ครั้ง เราก็ไม่เคยหยุดที่จะหวัง ไม่เคยหมดหวัง ยังมีความหวังอยู่มากมาย เหมือนดาวบนฟ้าไง…”

ผมล้มตัวลงนอนก็เมื่อเวลาที่นาฬิกาบอกเวลาใกล้จะตี 4 แล้ว ตั้งใจว่า พรุ่งนี้จะออกไปหาอะไรให้ชีวิต บางทีอาจจะมีความหวังอะไรสักอย่างที่หวังไว้จะสำเร็จบ้างก็ได้ หรืออาจจะมีความหวังใหม่ ๆ เกิดขึ้นอีก ตราบใดที่ผมยังมีลมหายใจ และดาวยังคงมีอยู่เต็มท้องฟ้า ผมจะไม่หยุดหวัง
…


8.00 น. แล้ว แสดงแห่งอรุณรุ่ง ทอดผ่านของฟ้ามาแทนที่ความมืดมิดแห่งรัตติกาล แต่แสงสว่างแห่งอรุณรุ่งนี้ ก็ไม่สว่างเท่า แสงแห่งอรุณรุ่งที่ปรากฏขึ้น แทนที่รัตติการอันยาวนานในจิตใจของผมเอง…


****************************

เป็นงานในวิชาภาษาไทย ตอนเรียนปีหนึ่ง ที่ประสานมิตร จำได้ว่าตอนเขียนนึกถึงตัวเองเวลาเครียดๆ และคิดมาก แต่ต้องทำงานไปด้วย เลยเขียนออกมาได้ประมาณเนี้ยะครับ

ข้อความที่ว่า "ดาวตกจากฟ้าทุกค้น..." ผมจำได้เลาๆ ว่าได้อ่านมาจากรวมเรื่องสั้นของ "รมย์ ระติวัน" ในเรื่อง "ปุยนุ่นกับดวงตา"

ได้อ่านตั้งแต่เรียนที่มวกเหล็กวิทยา
กะว่าจะหามาอ่านอีก...จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้อ่าน




 

Create Date : 20 มิถุนายน 2552    
Last Update : 20 มิถุนายน 2552 23:48:19 น.
Counter : 2774 Pageviews.  

พวกเราเหล่า ร.พ.ค. รุ่นสุดท้าย


รูปหมู่ทั้งเอกถ่ายรวมกันที่องครักษ์ ตอนซ้อมพิธีเปิดกีฬามหาวิทยาลัย (น่าจะ) ครั้งที่ 27 องครักษ์เกมส์



เมื่อผมสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี (การศึกษาบัณฑิต) วิชาเอกคณิตศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ และได้บรรจุเป็นข้าราชการครู (โดยไม่ได้สอบบรรจุ) เพราะว่าตอนเรียนปริญญาตรีได้รับทุนการศึกษา คนโดยทั่วไปที่อยู่ในแวดวงการศึกษามักจะเข้าใจว่าผมเป็น...

...นักเรียนทุน สควค. (ทุนส่งเสริมครูผู้มีความสามารถด้านวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์) บ้างล่ะ โดยผู้รับทุนจะเรียนวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และคอมพิวเตอร์ในระดับปริญญาตรี และจากนั้นจะเรียนประกาศนียบัตรบัณฑิตวิชาชีพครู อีก 1 ปี เมื่อบรรจุจะได้รับเงินเดือนสูงกว่าพวกผมและคนจบปริญญาตรี 4 ปี ราวๆ 3 ขั้น ผู้รับผิดชอบทุนคือสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) พวกนี้เราเรียกโดยลำลองว่า พวกครู 5 ปี)

...หรือไม่อย่างนั้นก็จะเข้าใจว่าเป็นเด็กทุนคุรุทายาท ซึ่งเป็นทุนสำหรับผลิตครูเพื่อท้องถิ่นชนบท ทุกสาขา ผู้รับผิดชอบผลิตคือวิทยาลัยครู หรือสถาบันราชภัฏในเวลาต่อมา และพัฒนาเป็นมหาวิทยาลัยราชภัฏในปัจจุบัน

เมื่อแรกผมบรรจุ ก็มักจะมีคนสงสัยว่า ครูใหม่คนนี้มาจากไหน เพราะช่วงนั้นไม่มีการเปิดสอบบรรจุ แต่ทำไมมีครูใหม่ และมักจะตั้งคำถามด้วยความสงสัยว่า “น้อง...น้องบรรจุได้ไง”
ผมก็จะตอบว่า “ผมเป็นนักเรียนทุนครับ”
“อ้อ...คุรุทายาทหรือ”
“เปล่าครับ”
“งั้น สควค. หรือเปล่า”
“เปล่าครับ”
“อ้าว...แล้วทุนอะไรล่ะ”
“ทุน ร.พ.ค. ครับ”
“หา...”

มักจะเป็นแบบนี้อยู่เนืองๆ ผมต้องบอกกล่าวเล่าเก้าสิบอยู่หลายต่อหลายครั้งถึงที่มาของทุนนี้

ทุน ร.พ.ค. ที่พวกผมทั้ง 50 คน (บวก 5 คนที่คณะวิทยาศาสตร์) รับที่ มศว นั้นเป็นทุนที่ให้เฉพาะคนเรียนวิชาเอกคณิตศาสตร์ หรือการสอนคณิตศาสตร์ หรือคณิตศาสตร์ศึกษา หรือสาขาที่เกี่ยวกับคณิตศาสตร์เท่านั้น เพื่อผลิต “คนคณิตศาสตร์” ที่กำลังขาดแคลนในขณะนั้น
อ้อ...ทุน ร.พ.ค. ที่พวกผมรับนั้น น้อยคนนักนะครับที่จะจำได้ว่าชื่อโครงการหรือชื่อทุนนั้นมีชื่อเต็มๆ ว่าอย่างไร ผมมักจะได้รับโทรศัพท์จากเพื่อโทรมาถามว่า “อั๋น ร.พ.ค. ย่อมาจากอะไร (ว่ะ)”
ร.พ.ค. ย่อมาจาก “โครงการเร่งรัดผลิตและพัฒนาบัณฑิตระดับปริญญาตรีสาขาวิชาคณิตศาสตร์ของประเทศ” เจ้าของทุนคือ ทบวงมหาวิทยาลัย (เดิม) ครับ

รูปนี้ถ่ายรวมกันหน้าหอนาฬิกา ตั้งใจกันว่าจะทำของที่ระทึก--ระลึกให้อาจารย์ที่ปรึกษาที่จะเกษียณอายุ (อาจารย์มยุรี บุญอาจ)


แต่ด้วยความที่พวกผม (ย้ำนะครับว่าพวกผมเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับมหาวิทยาลัยอื่น) เรียนคณิตศาสตร์กันไม่ค่อยจะรู้เรื่อง (ก็บางคนและบางวิชาเท่านั้นแหละว้า...เพื่อนเอ๋ย) พวกผมเลยพาลโทษตัวเองว่าโง่เหมือนควาย... เลยเรียนทุนนี้แบบขำๆ ว่า “ทุนเร่งรัดพัฒนาควาย” (ย้ำอีกทีนะครับว่าเฉพาะพวกผมเท่านั้นที่เรียก)

แต่เชื่อเถอะครับว่าพวกผมที่จบมา 48 คน มีงานทำทุกคน และมีมากกว่าร้อยละ 80 ของพวกผม (นับได้ 42 คน) ที่จบไปก็ไปเป็นควาย เอ้ย...เป็นแม่พิมพ์ของชาติกัน และในจำนวนนี้หลายคนจบปริญญาโทแล้ว (8 คน) หลายคนกำลังเรียนอยู่ โดยมี 1 คนที่เบนเข็มไปเรียนโทสถิติ เป็นอาจารย์ที่ภาควิชาสถิติ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ซึ่งนับว่าประกอบวิชาชีพครูด้วยเช่นกัน

ที่มาของทุนนี้ ผมไม่ทราบอย่างแน่ชัด แต่เท่าที่ผมได้ศึกษารวบรวม (ซึ่งอาจจะไม่ถูกนัก) ก็คือ ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ประเทศขาดแคลนบุคลากรทางทางด้านคณิตศาสตร์ หรือมีความรู้ความสามารถทางด้านคณิตศาสตร์อย่างร้ายแรงมาก ทำให้ต้องมีการเร่งผลิตอย่างด่วน รุ่นพี่ๆ ที่เรียนที่ประสานมิตรเล่าว่า เมื่อก่อนบางปีมีคนเรียนคณิตศาสตร์แค่ 1 คน หรือ 2 คน เพราะเรียนไม่ได้ ไม่มีแรงจูงใจ เขาเลยให้ทุนสำหรับคนที่จะชอบคณิตศาสตร์ และอยากเรียนคณิตศาสตร์ ให้มาเรียนคณิตศาสตร์ และเมื่อเรียนจบแล้วภายใน 6 เดือนจะหางานให้ทำ ซึ่งรุ่นแรกของประเทศ (ถ้าข้อมูลผมไม่พลาด) เริ่มที่ปี 2538 ในบางมหาวิทยาลัย (ถ้าข้อมูลผมไม่พลาดอีกนะครับ คือ ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นอาทิ) จากนั้น ก็จะมีรุ่นที่ 2 แต่เป็นรุ่นที่ 1 ของ มศว เมื่อปี 2539 รุ่นละ 50 คน (เฉพาะพวก กศ.บ. นะครับ พวกนี้สังกัดคณะศึกษาศาสตร์ จะมีอีกลุ่มเป็น วท.บ. พวกนี้สังกัดคณะวิทยาศาสตร์) และพวกผมเป็นรุ่นสุดท้าย คือรุ่นที่ 4 เข้าเรียน 50 คน แต่สำเร็จการศึกษา 48 คน ในจำนวนนี้...

27 คน ได้รับการบรรจุในโรงเรียน (มัธยมศึกษา) โดยไม่ต้องสอบ (ตู๋, จิระ, กุ้ง, ฝ้าย, อั๋น, น้ำตก, นก, ปี, ปุ๊ก, ไข่มุก, เวียง, อั๊ต, จิ๋ว, เกตุ, หญิง, เบนซ์, กราน, เก๋, โอ๋-เยาว์, อุ๊, ปาน, น้อย, ดม, ดา-ลัดดาวัลย์, เปิ้ล-รุจ, พร, ปุ๊กลิก)
13 คน สอบบรรจุได้ทีหลัง (ดา-เกษมศรี, โอ๋-ณัฐ, บิ๊ก, นาถ, ป๋อม, รี่, ชัย, บาส, วรรณ, ศักดิ์, อ๊อบ, เปิ้ล-วรา, อัง)
2 คน สอนในระดับสูงกว่ามัธยมศึกษา (วันดี, เบน)
4 คนทำงานด้านธุรกิจหรือไม่อย่างนั้นก็ธุรกิจส่วนตัว (หลี, โจ, จอย, ราช)
1 คนไปทำงานด้านการศึกษา แต่ว่าก็ยังได้สอนนิสิตอยู่ (แต่ไปสอนภาษาไทยนะครับ...ฮาสุดๆ) (อ้อ)
1 คนไปทำงานธนาคาร (เปรี้ยวมากๆ) (ยศ)
ณ เวลานี้ (กันยายน 2551) ทุกคนต่างก็ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานในระดับหนึ่ง บางคนทำงานในระดับหัวหน้างานที่สำคัญๆ ของโรงเรียนแล้ว บางคนก็เป็นหัวหน้ากลุ่มสาระแล้ว บางคนก็ทำหน้าที่สำคัญบางอย่างของโรงเรียน/หน่วยงาน และ (พวกที่เป็นครู และบรรจุก่อน) กำลังจะได้ทำวิทยฐานะชำนาญการพร้อมๆ กันในเร็ววันนี้ (น่าจะตุลาคม 2552 นะเพื่อนๆ)

แม้ว่าการทำงานจะมีอุปสรรคบ้าง เหนื่อยบ้าง ท้อบ้าง แต่ก็คิดว่าพวกเราทุกคนน่าจะผ่านไปได้ด้วยดีนะ

รักและคิดถึง เพื่อนๆ ทุกคน (รวมพวกเด็กเอ็นท์ด้วยนะ แม้ว่าจะไม่ได้พูดถึงในความเรียงนี้ก็ตาม)




 

Create Date : 26 กันยายน 2551    
Last Update : 12 กรกฎาคม 2552 14:59:30 น.
Counter : 2651 Pageviews.  

Good morning teacher...

เมื่อคืนเข้านอนเร็ว...วันนี้เลยตื่นเช้ากว่าปกติ...
ได้มีโอกาสมาโรงเรียนแต่เช้า...
เหมือนอย่างสมัยเรียนประถม...
(ไปซะไกล)
ได้มาเห็นบรรยากาศยามเช้าแล้วสดชื่นดี...
เหมือนกับที่ใครๆ เคยว่าไว้ว่า...
หากเราตื่นสาย...ก็เหมือนเราขาดทุนชีวิตไปวันนึง
อืม...จริงด้วยแฮะ...
เพราะเมื่อเราตื่นเช้า เราก็จะได้เห็นอะไรๆ ที่วันนึงมันเกิดขึ้นแค่ครั้งเดียว
เช่น ได้ตื่นมาฟังเสียงนกร้อง ได้ฟังความเงียบของโรงเรียน (ที่ทั้งวันไม่เคยเงียบ)
ได้เตรียมการทำงาน (สอน) ของวันนี้...
มีความสุขดี

เอ...แล้วจะตื่นแบบนี้ได้สักกี่วัน...
อืม...นั่นดิ...

555+



อ.อ.อ.




 

Create Date : 27 กันยายน 2550    
Last Update : 27 กันยายน 2550 7:09:36 น.
Counter : 946 Pageviews.  

สุดท้ายก็ถึงวันที่นาย "แพ้"

คิดอยู่นานว่าจะเขียนไว้ที่ส่วนไหน...
ตัดสินใจไว้ที่นี่แหละ...

จริงๆ รู้จักคำนี้อย่างดีพอควรนั่นแหละ...
แต่ได้มาเจอคราวนี้จังๆ... หลังจากไม่ประสบกับคำนี้มานาน
อาจเพราะหลังจากเรียนจบ ทุกอย่างในชีวิตก็ค่อนข้างจะดี
ยกเว้นเรื่องความรัก...
แต่ก็มีมาเรื่อยๆ...ไม่เงียบเหงานัก
มีเข้ามาให้ชื่นใจเรื่อยๆ

แต่เรื่องการงานนี่ดิ...
จากที่เคยรู้สึกว่าตัวเองทำงานดีในระดับหนึ่งมาตลอด...
มาปีนี้รู้สึกว่าตัวเองมีคุณภาพลดลง
อาจเพราะมีใครมาให้ที่ทำงาน...แล้วเขามีความสามารถรอบด้าน...
หลายอยางเรามี
แต่อีกหลายอย่างเราไม่มี...
ความรู้สึกที่เคยเป็นหนึ่ง...ที่เคยเป็นมาตลอด...
...ตั้งแต่เป็นลูกคนเล็ก
...เรียนเป็นที่หนึ่งของห้อง
...เป็นหัวหน้าห้อง
...เป็นลูกศิษย์ที่รักของครูโดยทั่วไป
...เป็นที่รักของผู้ใหญ่ทีได้พบเห็นและรู้จัก
...เป็นที่หนึ่งในเรื่องการขอคำปรึกษาจากเพื่อนๆ
...เป็นที่หนึ่งเวลาเพื่อนมีเรื่องสงสัยและขอคำแนะนำ
...ทำงานโดยไม่ต้องสอบ...เป็นนักเรียนทุน
...ทุกคนฟังเวลาพูด
...ทุกคนให้ความสำคัญเวลาทำงาน



แต่วันนี้...มันไม่ใช่แล้ว...
อาจด้วยเรื่องหลายๆ เรื่องเราทำไม่ได้
โดยเฉพาะอารมณ์...
วันนี้คุมมันไม่อยู่อีกแล้ว...
มีการขัดใจเล็กน้อย...ก็เลยระเบิดออก

แล้วก็พาลเหม็นขี้หน้าคนที่ทำให้เกิดอารมณ์ได้ด้วย...
ยิ่งเราเองตั้งแง่กับเขาไว้แล้ว...อคติในใจยิ่งทำให้ไม่ชอบหน้าเขาเข้าไปใหญ่
และเขาก็สามารถทำอะไรหลายๆ อย่างที่เราทำไม่ได้อีกด้วย

แต่คิดอีกที...
เราเองก็มองในแง่ร้าย...มากไปหรือเปล่า...
เราเองก็มีดีอยู่พอสมควรนั่นแหละ
อาจจะไม่มาก...แต่ก็คิดว่ามาพอที่จะทำให้ประสบความสำเร็จมาแล้วได้
เอาจุดดีของตัวเองมาใช้แล้วกัน...
อะไรที่มันเป็นสิ่งที่ไม่ดีค่อยๆ ลดมันลง
อย่างที่เคยทำได้มาแล้ว

แล้วทุกอย่างคงจะดี

"ฟ้าอาจยังมีฝนพรำ
ปวดร้าวซ้ำๆ ยังย้ำเตือนหัวใจ
แม้...จะไกลแสนไกล (เส้นทางที่มืดมน)
แต่ยังอดทนเฝ้ารอตะวันส่องมา...เมื่อฝนจาง"

สู้สู้...

อ.อ.อ.




 

Create Date : 14 กรกฎาคม 2550    
Last Update : 14 กรกฎาคม 2550 19:09:20 น.
Counter : 841 Pageviews.  

นิยามรัก

พึ่งจะผ่านเทศการแห่งความรักมาหมาดๆ คงไม่สายไปที่จะบอกว่าขอให้ทุกคนมีความสุขสมหวังกับความรักนะครับ...

ว่าแต่ว่า...แต่ละคนมีนิยามของความรักว่าอย่างไรกันบ้างครับ

ความรักคือการให้
ความรักคือความปรารถนาดี
ความรักคือสิ่งดีๆที่มอบให้กัน
ความรักคือ...
ฯลฯ

สำหรับผม
ความรักคือคำอนิยาม

ครับ...ไม่เชื่อลองหาในพจนานุกรมดูครับ

เนื่องจากผมจบคณิตศาสตร์มานะครับผมจะอธิบายเพิ่มว่าทำไมสำหรับผม "ความรัก" ถึงเป็นคำอนิยาม

ในทางคณิตศาสตร์คำอนิยามคือคำที่เราไม่ได้สามารถให้ความหมายได้อย่างชัดเจน คือ ให้แล้วก็ยังไม่ครอบคลุมความหมายทั้งหมดของสิ่งนั้น นักคณิตศาสตร์จะกำหนดให้เป็นคำอนิยามเสีย...เพื่อไม่ต้องให้ความหมายให้มากความ เพียงแต่รู้ลักษณะสำคัญบางอย่างของมันก็พอ (ตัวอย่างคำอนิยามในคณิตศาสตร์ เช่น เซต จุด เส้น เป็นต้น) แต่ถึงแม้จะไม่มีความหมายที่ชัดเจน แต่ลักษณะสำคัญอย่างหนึ่งของคำอนิยาม คือ ถึงแม้จะไม่รู้ความหมายที่แท้จริง แต่ยิ่งเราศึกษา เรียนรู้ และนำมันมาใช้บ่อยๆ เราก็จะยิ่งมีความเข้าใจคำคำนั้นมากขึ้น

ก็เหมือนความรักไงครับ

ไม่รู้ความหมายที่ชัดเจน (เพราะความรักของแต่ละคนไม่เหมือนกัน)
แต่ถ้าเรายิ่งใช้มันมากขึ้น (ไม่ว่าจะรักพ่อแม่พี่น้อง เพื่อนฝูง หรือแม้แต่แฟน/คนรัก)
เราก็จะยิ่งเข้าใจความรักมากขึ้นเช่นกัน (และแยกได้ว่าอันไหนคือความรักจริงๆ อันไหนไม่ใช่)

ด้วยประการละชะนี้เอง...
ความรัก คือ คำอนิยาม
เราไม่สามารถบอกความหมายได้อย่างชัดเจน
แต่ยิ่งเราใช้ "ความรัก" มากเท่าไร
เราก็จะยิ่งเข้าใจ "ความรัก" มากเท่านั้น



อ.อ.อ.




 

Create Date : 19 กุมภาพันธ์ 2550    
Last Update : 19 กุมภาพันธ์ 2550 12:33:59 น.
Counter : 1134 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.