kruaun
Location :
สุรินทร์ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]




“อาจารย์ของพระอรหันต์ ยังไม่จำเป็นต้องเป็นพระอรหันต์เลย ดังนั้น อย่ากังวลเลย หากเราคิดว่าเราเก่งไม่พอที่สร้างลูกศิษย์เก่งๆ ขอเพียงแต่เรามีกระบวนการพัฒนา ส่งเสริม และให้โอกาสเขาอย่างเหมาะสม และถูกวิธี ให้เขาเติบโตเต็มศักยภาพที่ดี”---รศ. ดร.คุณหญิงสุมณฑา พรหมบุญ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ จากหนังสือแด่เมล็ดพันธุ์แห่งอนาคต

****************************

No one can make you feel inferior without your consent. by Eleanor Roosevelt.

ไม่มีใครสามารถทำให้คุณรู้สึกต้อยต่ำได้...
ถ้าคุณไม่ยินยอม (เอลานอร์ รูสเวลต์)

**************************

ครูอั๋น สอนคณิตศาสตร์ จังหวัดสุรินทร์
--------------------------------

"ชีวิตนี้ลูกยกให้พวกเขา...แต่ชีวิตหน้าทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาและพวกมันทำไว้กับลูก ลูกขอเอาคืน!"
---วรดา/ด้วยแรงอธิษฐาน/กิ่งฉัตร

รู้นะว่าถ้าเอาความแค้นนำทางมันไม่ดี...
แต่บางทีถ้าตั้งใจว่าจะต้องดีกว่า ดีกว่า...
มันก็เหมือนเป็นแรงขับให้เราก้าวหน้าได้เช่นกัน

แค่ตั้งใจทำดีก็แล้วกัน

+++++++++++++++++++++++++++++

มีคนเคยถามว่า "ทำไมมาเป็นครู"
คำตอบที่ผมภูมิใจและตอบได้อย่างเต็มปากที่สุด คือ
"ผมอยากเป็นครู เลยเลือกมาเป็นครู"


* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

"เจ้าเป็นคนพูดเองนะว่า อำนาจมันมาแล้วมันก็ไป แล้วเจ้ายังจะแสวงหามันทำไมเล่า"
---เศกขรเทวี เพลิงพระนาง

๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗

สัจธรรมง่ายๆ ที่ใครๆ ก็พากันทำไม่ได้

ถ้าอยากมีชีวิตที่เลวลงอย่างคิดไม่ถึง
คุณแค่หมั่นทำเลวที่ไม่เคยแม้จะอยู่ใรความคิด

หากปรารถนาชีวิตที่ดีขึ้นอย่างคิดไม่ถึง
คุณต้องทำดีมากกว่าที่คิดว่าตัวเองจะทำได้

มีชีวิตที่คิดไม่ถึง/ดังตฤณ
----------------เริ่มนับ 30 เม.ย.53----------------- free counters ===== Creative Commons License
This work is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-ShareAlike 3.0 Thailand License.
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add kruaun's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 

งานบุญบ้านเก่า ๕๔

วันนี้ได้รับข่าวสารเกี่ยวกับงานบุญบ้านเก่า ของชาวบ้านแดงหม้อ กันนะครับ

เขาว่า...อย่างนี้ครับ...

งานบุญบ้านเก่าบอกบุญต่อๆกันไป


พระเจ้าใหญ่ พระคู่บ้านแดงหม้อแต่ก่อนเก่า


ขอเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพทอดผ้าป่าสามัคคี กรุงเทพ – อุบลราชธานี
ทอด ณ วัดศิริมังคลาราม บ้านแดงหม้อ ต.แดงหม้อ อ.เขื่องใน จ.อุบลราชธานี
วันที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๕๓

เนื่อง ด้วยศาลาการเปรียญที่วัดบ้านแดงหม้อ ซึ่งมีอายุกว่า ๔๐ ปี มีการชำรุดทรุดโทรมลงตามกาลเวลา ดังนั้นชาวบ้านแดงหม้อทุกคนที่มาประกอบอาชีพอยู่ต่างถิ่นฐานบ้านเกิด จึงได้พร้อมใจกันจัดผ้าป่าสามัคคีขึ้น เพื่อจัดหาทุนทรัพย์ในการบูรณะซ่อมแซม และขอบอกบุญมายังสาธุชนผู้มีจิตศรัทธา ร่วมเป็นเจ้าภาพทอดผ้าป่าในครั้งนี้ ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย และบุญกุศลที่บำเพ็ญนี้ จงดลบันดาลให้ท่านและครอบครัวเจริญด้วย อายุ วรรณะ สุขะ พละ ปฏิภาณธนสารสมบัติและประสพสิ่งอันพึงปรารถนา ทุกทิพาราตรีกาล เทอญฯ

กำหนดการ
วันพุธ ที่ ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๕๓
๑๙.๐๐ น. รถออกจากเคหะบางชัน ๒๑.๐๐ น. รถออกจากสนามกีฬาไทย – ญี่ปุ่นดินแดง

วันพุธ ที่ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๕๓๐๘.๐๐ น. คณะผ้าป่าเดินทางถึงบ้านแดงหม้อ พักผ่อนตามอัธยาศัย

วันพุธ ที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๕๓
ร่วมงานบุญบ้านเก่า บูชาองค์พระเจ้าใหญ่ ร่วมงานบุญบั้งไฟ
พร้อมถวายผ้าป่ากลางวัน ชมหมอลำซิ่ง
“หมอลำทรหด พรพจน์ ศิริปี – อินตรา ดวงดาว"

บอกบุญทุกท่านครับ ถ้าว่างก็กลับบ้านกันนะครับ

หวังว่าปีนี้จะได้ไปเช่นกัน




 

Create Date : 01 ธันวาคม 2553    
Last Update : 1 ธันวาคม 2553 20:59:06 น.
Counter : 1369 Pageviews.  

ธนภัทร สายเสมา : : : ลุงบุญมีระลึกชาติ

ความจริงไม่ได้ใส่ใจกับหนังเรื่อง "ลุงบุญมีระลึกชาติ" เท่าไหร่
ได้ดูตัวอย่างในยูทูบ แล้วก็คิดแต่ว่า เรื่องนี้ก็คงเป็นหนังอาร์ตที่จะได้รางวัลจากต่างประเทศ
แต่คงไม่ค่อยได้ฉายในเมืองไทย...เหมือนกับหนังไทยอีกหลายๆ เรื่อง





แล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร จนกระทั่งเมื่อเช้านี้...

เมื่อท่านรองทักทายประโยคแรกด้วยการพูดว่า "ญาติโตน่ะได้ัรางวัลเมืองคานส์"
ผมก็งงๆ ท่านก็ตอบต่อว่า "หนังอีกหยังน่า...???"
ผมตอบว่า "ลุงบุญมีระลึกชาติหรอ" แปลกหนังชื่อนี้ก็เข้ามาในสมอง
รองว่า "ใช่ๆ...ชื่ออะไรน้า...แต่นามสกุลสายเสมา อยู่เมืองกาญจน์"

คืนนี้เลยลองมาค้นดู...เออจริงของรองแฮะ

ไม่ได้จะนับญาติกับคนดังหรอกครับ
เพียงแต่ผมกำลังตามหาคน "สายเสมา" ทั่วประเทศว่า "สายเสมา แห่งบ้านแดงหม้อ" กระจัดกระจายไปอยู่ที่ไหนกันบ้าง



ข่าวจาก Nation Chanel ครับ



เมื่อเวลา 12.30 น.ของวันที่ 6 มิ.ย. 2553 ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปที่ ไร่นารายณ์ บ้านเลขที่ 75 หมู่ 16 ต.พังตรุ อ.พนมทวน จ.กาญจนบุรี ซึ่งเป็นบ้านของเสี่ยนารายณ์ และเจ้ผึ้ง หลังจากทราบว่า บ้านหลังดังกล่าวเป็นสถานที่ทำงาน และเป็นที่พักอาศัยของ นายธนภัทร สายเสมา อายุ 42 ปี ซึ่งเป็นที่รู้จักกันทั่วโลก ในฐานะนักแสดงภาพยนต์ชื่อดังในเรื่อง “ ลุงบุญมีระลึกชาติ ” หรือ( Uncle Boonmee Who Can Recall His Past Lives ) ซึ่งเป็นภาพยนต์นอกกระแส ออกฉายครั้งแรกเมื่อวันที 21 พ.ค.ที่ผ่านมา ในงานเทศกาลภาพยนต์เมืองคานส์ กำกับโดย อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล และได้รับรางวัลปาล์มทองคำ จากงานเทศกาลภาพยนต์เมืองคานส์ ครั้งที่ 63 นับเป็นภาพยนต์จากภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ได้รับรางวัลนี้ ซึ่งเพื่อนคนงานที่ทำงานและพักอาศัยอยู่ด้วยกันต่างทึ่งเนื่องจากไม่เคยรู้ มาก่อนว่าเป็นดารานักแสดงชื่อดังเนื่องจากมีนิสัยสมถะเหมือนคนงานทั่วไป
นาย ธนภัทร หรือ ลุงบุญมี ดาราชื่อดัง เปิดเผยว่า เมื่อก่อนตนเคยถ่ายโฆษณาสินค้าชื่อดังมาแล้วหลายชิ้น ส่วนน้องชายก็เป็นนักแสดงเช่นกัน แต่เพื่อนคนงานที่ทำงานรับจ้างหว่านปุ๋ยอยู่ด้วยกัน ไม่มีใครรู้เรื่องมาก่อน จนกระทั่งภาพยนต์ที่ตนเล่นเป็นตัวเอก เรื่อง “ ลุงบุญมีระลึกชาติ ” ซึ่งเวลาที่ตนถ่ายทำเป็นเวลา 1 เดือนเต็ม หลังจากภาพยนต์ตัดต่อสำเร็จผู้กำกับได้นำภาพยนต์ไปฉายในงานเทศกาลภาพยนต์ เมืองคานส์ ประเทศฝรั่งเศส และในที่สุดได้รับรางวัลสูงสุดคือ รางวัลปาล์มทองคำ จนเป็นที่รู้จักของคนทั่วโลก ในฐานะที่ตนเป็นนักแสดงคนหนึ่งจึงมีความดีใจ ภาคภูมิใจ และปลื้มใจเป็นอย่างมากที่ภาพยนต์เรื่อง บุญมีระลึกชาติ ประสบผลสำเร็จ เป็นที่รู้จักของคนทั้งโลก และดีใจกับ คุณ อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล ซึ่งเป็นผู้กำกับ ที่มีนิสัยเป็นที่รักใคร่ของนักแสดงทุกคน
นายธนภัทร เปิดเผยต่อว่า หลังจากที่ภาพยนต์ประสบผลสำเร็จช่วงแรกก็ยังไม่มีใครรู้จักมากนัก แต่ตอนนี้เริ่มมีเพื่อนๆเริ่มโทรมาหาแล้ว และก็มีคนรู้จักมากขึ้นเรื่อยๆ ส่วนงานแสดงภาพยนต์เรื่องต่อไปนั้นขึ้นอยูกับผู้กำกับ จะให้แสดงเรื่องอะไร และเล่นเป็นตัวอะไรตนก็ไม่เกี่ยง ส่วนการทำตัวหลังจากที่มีคนรู้จักมากขึ้นนั้น เนื่องจากตนมีนิสัยเป็นคนสมถะ เป็นคนประหยัดและอดออม เงินที่ได้มาก็เก็บไว้ไม่ใช้อย่างฟุ่มเฟือย ส่วนช่วงที่ไม่มีงานแสดงตนก็มารับจ้างหว่านปุ๋ยที่ไร่นารายณ์ ตำบลพังตรุ ซึ่งก็พอจะมีรายได้มาจุนเจือครอบครัวอย่างไม่เดือดร้อน
นายธนภัทร สายเสมา หรือลุงบุญมีระลึกชาติ เปิดเผยท้ายสุดว่า ปัจจุบันตนอาศัยอยู่ห้องแถวเล็กๆ ซึ่งเป็นบ้านพักคนงานของไร่นารายณ์ อาศัยอยู่กับภรรยาชื่อ นางอธิรญา และน้องทิพย์ ลูกสาววัย 3 เดือนเศษ ซึ่งตนเป็นคนตำบลขุสูง อำเภอวังหิน จังหวัดศรีสะเกษ สุดท้ายขอฝากถึงคนไทยทุกคน มาให้กำลังใจภาพยนต์เรื่อง ลุงบุญมีระลึกชาติ ซึ่งหนังเรื่องนี้ผู้กำกับ และทีมงาน รวมทั้งนักแสดงทุกคนภูมิใจที่ได้สร้างขึ้นมา ก็หวังว่าคนไทยทุกคน คงจะยินดีด้วยกับหนังเรื่องนี้ ลุงบุญมีเป็นชีวิตหนึ่งที่ทุกคนต้องรู้จัก ครับ





คงต้องงัดเอาคำพูดเก่าๆ ที่พูดกับนักเรียนมาใช้

ึถึงผมไม่ดัง ไม่เก่ง ก็ไม่เป็นไร
คนนามสกุลเดียวกับผมดัง เก่ง ก็พอแล้ว

ยินดีด้วยครับคุณธนภัทร...ที่ได้เป็นพระเอกดังไปทั่วโลก
ยินดีักับคุณอภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล ด้วยครับ








(ภาพจาก //movie.kapook.com/view13155.html---ขอบคุณครับ)




 

Create Date : 09 มิถุนายน 2553    
Last Update : 9 มิถุนายน 2553 22:45:35 น.
Counter : 1428 Pageviews.  

เรื่องเล่าจากปากผม ภาค ๕: วัดเกษแก้ว/วังจำปี



เรียนหนังสือที่วัดเกษแก้ว (๒๕๒๙ – ๒๕๓๐)


แม้จะได้รับการยืนยันว่าเคยเรียนอนุบาลที่โรงเรียนวัดมวกเหล็กนอก แต่นั่นผมจำไม่ค่อยได้เลยว่าเรียนอะไรบ้าง จำได้แต่ว่าเคยร้องไห้กลับบ้าน และเคยนั่งตักพี่คนหนึ่งในงานไหว้ครูบนศาลาการเปรียญวัดมวกเหล็กนอก ส่วนรายละเอียดอื่นๆ จำแทบไม่ได้เลย มาจำรายละเอียดมากๆ ก็เรียนที่โรงเรียนวัดเกษแก้ว เมื่อปี ๒๕๒๙


ต้นปี 2529 ครอบครัวก็ย้ายจากมวกเหล็กไปประกอบอาชีพที่ อ.วังน้ำเย็น จ.ปราจีนบุรี (ขณะนั้น) โดยคุณแม่ประกอบอาชีพทำขนมขายที่ตลาด ขนมก็จะเป็นขนมแห้ง เช่น นางเล็ด กล้วยฉาบ ต่อมาก็จะมีพวกเผือกฉาบ มันรังนก ข้าวแตน (ข้าวตัง หรือข้าวแต๋น) ครองแครง ส่วนคุณพ่อนั้นก็ขายไอติมตัดอยู่พักหนึ่ง แล้วก็ไปทำงานรับเหมาก่อสร้างเช่นเดิม


ตอนแรกก็อาศัยอยู่กับตาคิดตั้งบ้านอยู่ที่บ้านวังจำปี ด้วยความที่ไม่มีคนเลี้ยง คนพ่อเลยตัดสินใจส่งเข้าโรงเรียนแถวบ้าน คือ โรงเรียนวัดเกษแก้ว เพราะค่าใช้จ่ายถูกกว่า วันที่คุณพ่อพาไปสมัคร คุณพ่อเล่าว่าผมเคยเรียนอนุบาลมาแล้วสองปี และ (น่าจะ) มีความพร้อมแล้วในการเรียนชั้น ป.1 ขณะนั้นผมอายุ 6 ขวบกว่าแล้ว แต่โรงเรียนบอกว่าต้องอายุ 7 ขวบถึงจะเรียน ป.1 ได้ ผมจึงต้องเรียนอนุบาลต่ออีกปี


หลายปีต่อมาผมโวยวายกับพ่อว่าทำไมไม่ส่งไปเรียนที่โรงเรียนอีกแห่งที่เขาให้หกขวบที่พร้อมเรียนได้ เพราะมันทำให้ผมช้าไปปีหนึ่ง พ่อตอบว่า “สมัยนั้นได้เรียนก็บุญแล้ว” ทำเอาพูดไม่ออก


ถ้าผมจำไม่ผิด ในห้องมีนักเรียนราว 30 คน มีอายุต่างกันหลายคน เท่าที่ผมจำได้นั้นเป็นเพื่อนผู้ชาย ซึ่งมีชื่อตามบัญชีเรียกชื่อของครู คือ สู้ สมบูรณ์, ณรงค์ฤทธิ์ วงรี, พงษ์พันธ์ พรานดง, พรศักดิ์ เทพรักษา, นาวิน ราคายิ่ง, มานพ เพ็ญศรี, อนุวัติ …, สมชาย ปัก...ชัย, ศราวุฒิ วงรี, นฤพนธ์ สายเสมา, อาทร นาทาม, ตามด้วยนักเรียนหญิง ซึ่งจบคนสุดท้ายด้วย สมหมาย แม่นปืน โดยมีณรงค์ฤทธิ์ เป็นหัวหน้าห้อง ซึ่งกับผมนับว่าสนิทกันพอสมควร


ผมได้มีโอกาสเจอกับเขาอีกครั้งตอน ป.5 เมื่อตอนเข้าค่ายปีนั้นที่วัดเกษแก้ว แต่เขาจำผมไม่ได้เสียแล้วครับ


ครูประจำชั้นเป็นผู้หญิงครับ จำไม่ได้แล้วว่าท่านชื่ออะไร แต่ท่านมีบทบาทอย่างมากในการพัฒนาความสามารถทางคณิตศาสตร์ และภาษาไทยของผม


คุณครูประจำชั้นท่านนี้ ค้นพบว่า ผมมีความสามารถทางด้านคณิตศาสตร์ มากกว่าเด็กในห้อง ท่านจึงมีการบ้านให้ผมเป็นพิเศษนอกเหนือจากที่เพื่อนเรียนกันตามปกติ คือ คณิตศาสตร์ ท่านจะมีโจทย์การบวกลบจำนวนนับให้ผมทำทุกวัน ซึ่งมีการทดเลขด้วย การบวกลบนั้นไปถึงจำนวนที่มี 3 หลักแล้ว ซึ่งผมก็สามารถทำได้ดีมาก ส่วนภาษาไทยนั้น ท่านก็พบว่าผมอ่านหนังสือได้แล้ว ท่านจึงให้ผมอ่านหนังสือให้เพื่อนฟังทุกวัน ก่อนเวลาพักเที่ยง


ถ้าคิดในแง่ของเด็กปัญญาดี (ไม่กล้าใช้คำว่าเด็กปัญญาเลิศ) ผมควรจะได้รับการส่งต่อ หรือสนับสนุนในเรื่องการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง หรืออาจจะได้เลื่อนชั้นไปเรียน ป.๑ ด้วยซ้ำ แต่ก็ไม่มีการส่งต่อ ทำให้ผมเป็นเด็กอนุบาลที่เก่งกว่าเด็กอนุบาลด้วยกัน และความเก่งนี้ส่งผลให้ผมมีปัญหาในการเรียน ตอน ป.๑ ซึ่งจะได้เล่าต่อไป


ในช่วงท้ายๆ ของปีการศึกษานั้น ผมจำได้ว่าคุณครูท่านจะสอนการคูณให้ผมด้วย แต่ว่าสมองผมตอนนั้นคงยังรับไม่ได้ จึงไม่ได้สานต่อ ประกอบกับสิ้นปีการศึกษา และผมก็ย้ายโรงเรียนพอดี




ไม่มีภาพประกอบในส่วนนี้นะครับ




 

Create Date : 04 เมษายน 2553    
Last Update : 4 เมษายน 2553 0:16:14 น.
Counter : 670 Pageviews.  

เรื่องเล่าจากปากผม ภาค ๔: ชีวิตก่อนเรียนหนังสือ



ชีวิตก่อนเข้าเรียน (๒๕๒๓ – ๒๕๒๗)


ผมนับว่าเป็นเด็กที่น่าตาน่ารัก ถ้าไม่นับว่าคิ้วจะต่ำไปสักนิด เป็นที่รักใคร่ของชาวบ้านในละแวกนั้น ซึ่งมักจะทักคุณพ่อหรือคุณแม่เวลาอุ้มผมออกไปตลาด หรือพบปะญาติพี่น้องว่า “พาลูกไปนอนไป…” คุณพ่อคุณแม่ก็มักจะตอบว่า “มันเพิ่งตื่น”


เหตุที่เห็นเช่นนั้นเพราะว่าผมอ้วนมาก ตอนเกิดหนัก 3600 กรัม และก็อ้วนขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งประมาณ 3 ขวบ น้ำหนักจึงค่อยลดลงเรื่อยๆ จนกระทั่งกลายเป็นคนผอม


จำได้ว่าด้วยความอ้วนที่มีมาแต่กำเนิดนี้เอง ทำให้ผมได้ฉายาว่า “ไอ้หมู” และถูกเรียกเรื่อยมาจนกระทั่งอนุบาล ทางบ้านจึงเลิกเรียก เพราะว่าขัดกับรูปร่างที่ผอมมากนั่นเอง ส่วนพี่ชายผมที่รูปร่างผอมมาตั้งแต่เด็กมีฉายาว่า “ไอ้แห้ง” ปัจจุบันพ่อก็ยังเรียกอยู่เป็นบางโอกาส


พอผมโตได้ 1 ขวบเศษ น้าเพ็ญก็ลูกคนโต ชื่อ เมล์ เป็นน้องชาย (ลูกพี่ลูกน้อง) ที่ถูกเลี้ยงมาด้วยกันในช่วงเด็ก น่าจะ 1 – 2 ปี ความผูกพันนั้นยังคงอยู่เรื่องมา


คุณพ่อกับคุณแม่ต้องทำงานตลอดทั้งวัน ผมจึงถูกนำไปฝากไว้กับคุณยายจันทร์ ไม่แน่ใจว่าเป็นญาติกันอย่างไร แต่ทุกคนในบ้านก็นับถือท่านประดุจญาติผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ท่านเลี้ยงดูผม และเหมือนจะรักมากกว่าหลานของท่านก็ว่าได้ พ่อเคยแซวว่า ยายจันทร์นั่นเป็นแม่ผมเลยทีเดียว


ตอนนี้ท่านยังมีชีวิตอยู่ แต่ว่าป่วยเป็นอัมพาต หลายปีก่อนเคยไปเยี่ยมท่านครั้งแรก น้าๆ บอกว่าท่านหลงๆ แล้ว จำใครไม่ค่อยได้ วันนั้นผมไปเยี่ยมท่าน ท่านมองเห็นผมท่านก็ร้องไห้ น้าอึ่ง ซึ่งเป็นลูกสาวท่านก็ถามว่า “ร้องไห้น่ะ รู้หรือเปล่าว่าใคร” ยายจันทร์ก็บอกว่า “เป็นหยังซิจำบ่ได้ นี่หลานกู บักอั๋น” น้าอึ่งก็ยังงงๆ อยู่


ผมอาศัยอยู่ที่บ้านหลังสถานีรถไฟ จนปี 2527 – 2528 ก็ย้ายไปอยู่บ้านที่สร้างใหม่บนที่เดินของคุณยาย (คุณยายเสียตั้งแต่ปี 2519 ด้วยโรคมะเร็งลำไส้ ผมจึงไม่เคยได้รู้จักคุณยายเลย รู้แต่เพียงว่าคุณยายชื่อใส เป็นคนบ้านแดงหม้อเช่นกัน อยู่ในสกุลชมภูพื้น) พอสร้างเสร็จ เป็นบ้านหลังสุดท้ายในซอยหลังอำเภอ ปัจจุบันมีชื่อว่าซอยเอกลักษณ์ หรือก่อนหน้านั้นคนแถวนั้นเรียกกันว่าซอยหมอหน่อย ตอนที่เข้าไปอยู่นั้นไฟฟ้าก็ยังเข้าไม่ถึง ที่บ้านเลยต้องใช้ตะเกียงเจ้าพายุ ตอนนั้นพี่เอกเรียนอยู่ ป.3 ที่โรงเรียนวัดมวกเหล็กนอก ซึ่งสมัยนั้นเรียนที่วัดจริงๆ พออยู่ ป.4 จึงจะได้ย้ายไปเรียนที่ที่ตั้งปัจจุบันของโรงเรียน (ปัจจุบันโรงเรียนนี้ชื่อโรงเรียนอนุบาลมวกเหล็ก) พอย้ายบ้าน พี่เอกก็ขึ้น ป.4 พอดี จำได้ว่าผมเองก็เคยไปเรียนอยู่พักหนึ่ง แต่ว่าร้องไห้กลับบ้านประจำ แต่ก็เรียนนะ ความตอนเรียนนั้นจำไม่ค่อยได้แล้ว รู้แต่ว่ามีเพื่อนร่วมห้องคนหนึ่ง ชื่อ เนย มาเจอกันอีกครั้งตอนเรียนมัธยม และมีคุณครูประจำชั้นชื่อคุณครูแต๋ว


ชีวิตช่วงอยู่บ้านหลังสถานีฯ ก็ไม่มีอะไรมากครับ ก็เพราะยังเป็นเด็กๆ จำได้ว่าตื่นนอนตอนเช้า กินข้าวเสร็จก็จะไปเล่นที่โรงกุลี ไปอยู่กับยายจันทร์ เล่นกับน้องๆ เพื่อนๆ กินข้าวเที่ยงที่นั่นเลย ช่วงบ่ายๆ ก็จะมีช่วยยายจันทร์โม่แป้งบ้าง ช่วยป้า...กรอกไส้กรอกบ้าง


เอ...อายุขนาดนั้นช่วยทำ หรือช่วยทำให้วุ่นวายกันแน่ก็ไม่รู้นะครับ


ชีวิตก็วนๆ อยู่แบบนี้ วันธรรมดาก็ไปโรงเรียน แต่ผมกลับจำเหตุการณ์การไปโรงเรียนได้แค่สองครั้ง คือ ครั้งหนึ่งไปถึงแล้วร้องไห้กลับบ้าน กับอีกครั้งหนึ่งเป็นวันไหว้ครูแล้วนั่งตักพี่คนหนึ่งเท่านั้นเอง


ต่อมาย้ายมาอยู่ที่บ้านหลังอำเภอ น้าโภชแต่งงานกับน้าผาหรือน้าตุ๋ย ที่วังน้ำเย็น คลอดลูกชายคนโตคืออ๊อฟ ประมาณปี ๒๘ ที่บ้าน จำได้ว่าเล่นกับพี่เอกอยู่หน้าบ้าน น้าผาก็ร้อง ตอนนั้นที่บ้านอยู่กันสี่คน คือ แม่ น้าผา พี่เอก และผม


การคมนาคมสมัยไม่สะดวกรถจักรยานยนต์มีนับคันได้ รถยนต์แทบไม่ต้องพูดถึง จะเอาน้าผาขึ้นรถเข็นแล้วพ่วงมอเตอร์ไซด์ก็ใช่เรื่อง แล้วก็หารถยนต์ไม่ได้ ในที่สุดก็ตามคนแก่ๆ มาแล้วก็ทำคลอดน้าผาที่บ้านเลย


ผมจำได้ว่ากำลังเขี่ยดินเล่นอยู่ข้างบ้านก็ได้ยินเสียงเด็กร้อง เหมือนในหนังในละครย้อนยุคไม่มีผิดเลยครับ


ประมาณปี ๒๙ ก็ย้ายครอบครัวไปอาศัยอยู่กับตาคิด ซึ่งเป็นพ่อน้าผาที่วังน้ำเย็น






 

Create Date : 01 เมษายน 2553    
Last Update : 1 เมษายน 2553 11:11:47 น.
Counter : 606 Pageviews.  

เรื่องเล่าจากปากผม ภาค ๓: ผมได้เกิดสักที




อย่างที่บอกนะครับว่า คุณพ่อกับคุณแม่นามสกุลเดียวกัน คือ สายเสมา แต่คุณแม่เกิดและโตที่มวกเหล็ก แต่คุณพ่อนั้นเกิดและโตที่บ้านแดงหม้อ ทั้งสองท่านมาเจอกันที่มวกเหล็กเมื่อประมาณ พ..๒๕๑๖ ความรักของท่านทั้งสองถูกกีดกันจากคุณตา ท่านทั้งสองจึงวิวาห์เหาะ หรือหนีตามกันนั่นเอง


เหตุผลที่ท่านไม่ได้แต่งงานอย่างถูกต้องนั้น เท่าที่ทราบคือคุณตาไม่ค่อยจะชอบคุณพ่อเท่าไร จึงไม่อยากยกลูกสาวคนโตให้


แต่ในช่วงปลายชีวิตของคุณตา คุณพ่อก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าท่านเป็นดี และเป็นที่รักและไว้วางใจของคุณตามาก


ท่านไปอยู่ด้วยกันที่ปากช่อง จากนั้นจึงเข้าไปทำงานที่กรุงเทพฯ ทำงานบ้านอยู่ที่บ้าน ส.. ท่านหนึ่ง จน พ..2519
ก็ให้กำเนิดลูกชายคนโต คือ พี่ชายของผมนั่นเอง


คุณพ่อเล่าว่า ตอนนั้นกลัวว่าเมื่อลูกโตขึ้นมาจะมีปมด้อยที่เป็นลูกคนใช้ จึงได้ขอลาออก แล้วย้ายครอบครัวไปอยู่ที่สุรินทร์ จากนั้นก็ย้ายไปอยู่ที่มวกเหล็ก


นั่นเป็นเรื่องก่อนผมจะเกิด ผมไม่ทราบมากนัก แต่จำได้ว่ามีบันทึกของพ่อเรื่องนี้ เคยเห็นสมัยเด็กๆ เคยเห็นจริงๆ ครับ เพราะไม่ได้อ่าน เพราะเด็กๆ ไม่ค่อยชอบอะไรที่มีตัวหนังสือเยอะๆ เลยไม่ค่อยทราบเรื่อง เท่าที่จำได้ก็จากการบอกเล่าของพ่อกับแม่ และญาติผู้ใหญ่ท่านอื่นๆ


จนกระทั่งบ่ายสองสิบนาที ของวันศุกร์ต้นเดือนมีนาคม ๒๕๒๓




เมื่อผมเกิด (๒๕๒๓)


เมื่อเวลาราวบ่ายสองสิบนาทีของวันศุกร์ แรม 6 ค่ำ เดือน 4 ปีมะแมเอกศก จุลศักราช 1341 เปลี่ยนปีนับแบบไทย คือ เปลี่ยนปีตอนสงกรานต์ ถ้านับปีตามปกติจะเป็น ปีวอกโทศก จุลศักราช 1342 ในสูติบัตรบอกว่าผมเกิดปีมะแม แต่คนรุ่นเดียวกันที่เกิดหลังสงกรานต์จะบอกว่าเป็นปีวอกรัตนโกสินทร์ศก
199 ตรงกับวันศุกร์ที่ 7 มีนาคม พ..2523 (แบบสุริยคติ) ผมก็ลืมตาดูโลกที่โรงพยาบาลมวกเหล็ก คุณพ่อตั้งชื่อว่า นฤพนธ์ท่านบอกความหมายประมาณว่า
ผู้นำอันยิ่งใหญ่ แต่แปลความหมายตามที่ผมพบก็คือ บทร้อยกรองอันงดงามแต่บางคนที่ชื่อนี้บอกว่าชื่อนี้แปลว่า คนที่ไม่มีพันธะทำนองเดียวกับชื่อนฤมล ที่แปลว่าบุคคลที่ไม่มีมลทิน


แต่ตามความหมายที่ผมเข้าใจ (เอาเอง) ผมว่ามันเป็นภาษาสันสกฤต นฤ- น่าจะเท่ากับ นิ- ดังนั้น นฤพนธ์ จึงน่าจะเขียนเป็นบาลีว่า นิพนธ์ แปลว่า แต่ง เขียน บางคนจึงแปลมันว่า นักเขียน ซึ่งก็สอดคล้องกับความหมาย บทร้อยกรองอันงดงาม


ถ้าอย่างนั้นก็รวมกันไปเลยเป็น ผู้แต่งบทร้อยกรองอันงดงาม
แล้วกันนะครับ


แต่ถ้าลองไปเปิดดูตามพจนานุกรม นฤ [นะรึ]
แปลว่า คน และแปลว่าไม่, ออก มักใช้เติมหน้าคำอื่น เช่น นฤมล แปลว่าไม่มีมลทิน
แต่นฤพนธ์นั้นไม่มี เคยอ่านเจอนานแล้วว่าแปลว่า
บทร้อยกรองอันงดงาม แต่ถ้าเป็น นฤพันธ์
ซึ่งเป็นบ่อยๆ น่าจะแปลว่า
ไม่มีพันธะ ซึ่งชื่อผมก็น่าจะแปลดังนี้ ถ้า -พนธ์ กับ -พันธ์ เป็นคำเดียวกัน


บางคนบอกว่า ชื่อเราจะบอกความเป็นตัวเราได้มากที่สุด ทั้ง 3 ความหมายบอกความเป็นตัวผมได้ทั้งสิ้น
ทั้งไม่มีพันธะ นักเขียน และบทร้อยกรองอันงดงาม


รวมอีกทีเป็น นักเขียนบทร้อยกรองอันงดงาม ผู้เป็นอิสระ


ชักเริ่มวุ่นวายมากขึ้นแล้วครับพี่น้อง...


ส่วนชื่อเล่น อั๋นนั้น แน่นอนว่าแสดงถึงความอวบอั๋นตอนเด็กๆ
น้าเพ็ญเป็นคนตั้งให้ครับ


ในตอนที่เกิดนั้นคุณแม่ขายของอยู่ที่สถานีรถไฟ คุณพ่อขายของ
และรับจ้าง ต่อมาก็ไปเป็นผู้รับเหมาอยู่ในกรุงเทพฯ
ตอนที่เกิดนั้นอาศัยอยู่กับคุณตาที่บ้านพักพนักงานรถไฟ
หรือที่คนแถบนั้นแรกว่าโรงกุลี ความช่วงนั้นผมจำไม่ได้เลย เท่าที่จำความได้ ผมโตมาที่บ้านหลังสถานีรถไฟ
เป็นบ้านเช่าสองชั้น ช่วงหน้าฝนน้ำจะท่วมทุกปี บางปีน้ำขังอยู่หลายวัน ต้องส่งอาหารผ่านจากบ้านที่อยู่ติดถนน


ได้มาคุยกับพ่อตอนโตแล้ว
เรื่องปัญหาครอบครัวของนักเรียนปัจจุบันที่พ่อแม่แยกกันไปทำงานคนละทาง
ให้ลูกอยู่กันเองบ้าง อยู่กับญาติบ้าง พ่อก็เลยบอกว่า
พ่อเองสมัยที่ต้องไปทำงานเป็นผู้รับเหมานั้นไม่ได้เอาแม่และพวกผมไปด้วย
เพราะมันต้องย้ายที่ทำงานไปเรื่อยๆ สภาพความเป็นอยู่ไม่ดี
พ่อเลยเลือกที่จะให้แม่เลี้ยงผมกับพี่ที่มวกเหล็ก
ภายในสภาพแวดล้อมที่มีญาติพี่น้องอยู่มากมาย


นับว่าความคิดท่านทันสมัยไม่น้อยทีเดียวนะครับ







ตามต่อก็ยินดีนะครับ




กับคุณแม่ครับ



พี่เอกครับ



กับน้องเมล์






 

Create Date : 31 มีนาคม 2553    
Last Update : 31 มีนาคม 2553 15:32:11 น.
Counter : 977 Pageviews.  

1  2  
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.