จำได้ว่าเมื่อสัก 3 ปีที่แล้ว ราวๆเดือนมิถุนายน ผมขับรถลุยเดี่ยวขึ้นดอยแม่สลองคนเดียวทั้งๆที่ตอนนั้นขับรถไม่แข็งเท่าไร แต่ด้วยความห่ามและท้าทายความกลัวของตัวเอง ผมได้สิ่งตอบแทนเป็นภาพธรรมชาติอันงดงาม ม่านหมอกหนาลอยเลาะละเลียดผิวถนน เห็นไก่ฟ้าบินโฉบหน้ารถจนต้องสะดุ้งเบรค และได้กลิ่นหอมของใบไม้ชนิดหนึ่งที่อยู่ในระยะประชิดตลอดทาง จนผมต้องสะดุดและหยุดรถที่ริมผาแห่งหนึ่งซึ่งเป็นโค้งหักศอก โดยมีต้นไม้ชนิดเป็นประธาน ณ โค้งแห่งนั้น ยามสายลมต้องใบของมัน มันจะสะบัดพลิ้วและปลิวกลิ่นหอมอันสดชื่นให้ส่งต่อโมเลกุลอันมีเสน่ห์ ผ่านอณูหมอก อณูต่ออณู
"สนไซเพรส" คือเจ้าของเสน่ห์แห่งกลิ่นกลางดอยนั้น
วันนี้วันที่มีแต่ไอระอุของแสงแดด วันที่เมื่อดมกลิ่นในร่มเสื้อจะได้แต่กลิ่นอับของพรายเหงื่อที่ซึมผิว ซึ่งถ้าหากใช้น้ำหอมกลิ่นแรงๆเพื่อจะกลบแล้วล่ะก็ ผมบอกได้เลยว่าไม่ควรนะครับ วันก่อนผมได้กลิ่นน้ำหอมจากผู้ชายท่านหนึ่งกลางพารากอน ผมจำได้ว่ากลิ่นที่เขาใช้นั้นเป็น edition ของน้ำหอมขายดีกลิ่นหนึ่งแต่เป็นเวอร์ชันกลางคืนจึงมีคำว่า Night ต่อท้าย ส่วนมากน้ำหอมผู้ชายสำหรับใช้ในเวลากลางคืนนั้น จะมีส่วนผสมหลักจากพวกกำยานหรือยางไม้หอม และมักจะมีกลิ่นพัชชูลี(ใบพิมเสน)แรงๆ ซึ่งเรามีคำเฉพาะสำหรับแอคคอร์ดแบบนี้ว่า Chypre (ชิพเพอร์) น้ำหอมสำหรับใช้ตอนกลางคืนจะมีทีเด็ดที่กลิ่นหอมลมโชยนวลๆคล้ายๆกลิ่นละอองแป้งอุ่นๆหรือกลิ่นไม้สากๆ หากนำน้ำหอมกลิ่นแบบนี้มาใช้กลางวัน ยิ่งวันที่ร้อนๆ เหงื่อไหลๆแล้วด้วยล่ะก็ กลิ่นแห้งๆแบบแป้งและเปลือกไม้จะกลายร่างเป็นกลิ่นเปรี้ยวแบบกลิ่นสาบทันที
เมื่อพูดถึงกลิ่นเหงื่อแล้ว ต้องแยกออกเป็นสองกรณี กรณีแรกนั้นคือกลิ่นเหงื่อเพียวนะครับ เป็นกลิ่นของโปรตีนและไขมันที่ถูกย่อยสลายจนเป็นโมเลกุลเล็กๆจนซึมผ่านผิวหนังปะปนมากับหยดเหงื่อได้ อีกกรณีหนึ่งก็คือการที่โปรตีน ไขมัน และยูเรียในเหงื่อ ถูกย่อยโดยแบคทีเรียในอากาศ กลายเป็นสารประกอบที่มีกลิ่นเหม็นเฉพาะตัวของแต่ละคน ผมมักถูกถามเป็นประจำเวลาออกบูทน้ำหอมว่า มีน้ำหอมที่ใช้กลบกลิ่นตัวได้หรือไม่ ซึ่งโดยความเข้าใจของคนทั่วไปแล้ว กลิ่นตัวคือกลิ่นเหงื่อในกรณีที่สองครับ ไม่มีน้ำหอมอะไรที่สามารถแก้ปัญหาได้ ต้องใช้ผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นตัวอย่างเดียว แต่กลิ่นเหงื่อในกรณีแรก ที่อยู่ในลักษณะกลิ่นอับนั้น เราสามารถใช้องค์ความรู้ในการปรุงกลิ่นเข้าไปจัดการได้ชะงัดนักครับ
ที่ผมจั่วหัวเอนทรีไว้เกี่ยวกับสนไซเพรสก็เพื่อจะโยงเข้ามาถึงการกลบกลิ่นแบบมีศิลปะนี่แหละครับ ... แทนที่เราจะใช้กลิ่นแรงๆเข้าไปกลบกลิ่นเหม็นๆไว้ให้มิด เราจะนำกลิ่นเหม็นๆเหล่านั้นมาเป็นส่วนประกอบของกลิ่นหอมๆได้ครับ ... กลิ่นเขียวของใบไม้ กลิ่นสดชื่นของผิวส้ม มะนาว เลมอนหรือพืชตระกูลซิตรัส กลิ่นสะอาดคล้ายกลิ่นโรงพยาบาล หรือกลิ่นชุ่มฉ่ำของทะเล โอโซนสามารถนำมาใช้กลบกลิ่นเหงื่อได้ดีมากครับ
กลิ่นสนไซเพรสเป็นกลิ่นหอมในกลุ่ม Green note ที่มีกลิ่นเผ็ดปร่าของพริกไทเป็นในฉากหลัง สามารถใช้เป็น Top to middle note ของน้ำหอมได้เป็นอย่างดี เพราะจะมีกลิ่นหอมสดชื่นฟุ้งกระจาย ถ้านำไป ผสมกับกลุ่มโน๊ตทะเล โอโซนและซิตรัสอย่างเช่น Calone (Seaweed or marine scent) - กลิ่นไอทะเลหรือกลิ่นสาหร่าย Para cresyl phenyl acetate (Clean note of hospital) - กลิ่นโรงพยาบาล Hedione (Dry jasmine) - กลิ่นแน่นๆวูบหนึ่งของดอกมะลิ Terpineol (Wood) - กลิ่นไม้ตัดใหม่ๆ แล้วล่ะก็ จะเป็นน้ำหอมที่สดชื่นมากๆ เมื่อผสานเข้ากับกลิ่นชื้นๆของเหงื่อด้วยแล้ว น้ำหอมจะหนักแน่นมากยิ่งขึ้นในทันที ทำให้ไม่สามารถจับกลิ่นเหงื่อได้เลย
วันนี้ผมขับรถผ่านถนนราชดำเนิน เห็นแสงแดดส่องผ่านสีเขียวอ่อนของใบมะขาม ทำให้ผมเกิดไอเดียในการปรุงน้ำหอมที่มีกลิ่นหลักของไซเพรสอย่างรุนแรง กลับมาที่บ้านปุ๊บ ผมรีบไปปรุงกลิ่นน้ำหอมที่มีกลิ่นไซเพรสที่ผมเคยทำค้างเอาไว้น่าจะเกือบปีแล้ว ผมรื้อฟื้นสูตรแล้วปรุงใหม่อีกทีโดยใช้เบสกลิ่นจากเฮาส์น้ำหอมอันดับหนึ่งของโลก ตอนนี้ผมทำกลินนี้เสร็จเรียบร้อยแล้วล่ะครับ ตั้งชื่อตรงตามตัวเลยครับว่า Eau de Cypress ครับ
คาดว่าเร็วๆนี้คงได้วางขายแน่นอนครับ ... อาจจะไม่ทันขายหน้าร้อน แต่เอาไว้ไปสู้กับกลิ่นเปียก อับ ชื้นของสายฝนแล้วกัน
วันพฤหัสนี้ท่านใดต้องการดมน้ำหอมสามารถไปดมได้ที่งาน Modernmom ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์นะครับ งานจัดตั้งแต่วันที่ 4-7 พฤษภาคม ห้อง Planary hall ติดต่อผมได้โดยตรงที่ 08-4466-9599 ครับผม
www.KenGSoHigH.com |