ฝนตกแฉะๆสลับกับแดดร้อนเปรี้ยงๆ นึกถึงโคโลญจ์กันบ้างหรือเปล่าครับ อากาศระอุแบบนี้ได้กลิ่นโคโลญจ์มาเคล้าคงดีไม่ใช่เล่น
โคโลญจ์เป็นผลิตภัณฑ์ประเภทน้ำหอมอย่างหนึ่งตั้งชื่อตามเมืองกำเนิดที่อยู่ในประเทศเยอรมณี ซึ่งเป็นการให้เกียรติกับเภสัชกร
ผู้ที่บังเอิญคิดค้นสูตรได้จากการปรุงยาแก้ปวดหัว (อย่ามองข้ามความบังเอิญนะครับ เพราะแท้จริงความบังเอิญเป็นเรื่องของกรรมจัดสรร)
โคโลญจ์ถือเป็นน้ำหอมในยุคแรก ถือกำเนิดราวๆศตวรรษที่ 17 แม้ว่าก่อนหน้านั้นพบว่ามีการรู้จักการแต่งกลิ่นแล้วก็ตาม แต่ยังไม่มีการนำมาผสมตัวทำละลายหรือ Solvent แต่อย่างใด จะเป็นเพียงแค่การผสมเครื่องหอมแบบปกติแล้วใส่ถุงแขวนไว้เรียกว่า Sachet (ซาเชต์) หรือผสมน้ำในอ่างเพื่อการแช่หรืออาบ ในยุคนั้นโคโลญจ์ถูกบรรจุไว้ในขวดสีชาซึ่งแสดงออกถึงความตระหนักว่า มันสลายตัวได้ง่ายเมื่อถูกแสงแดด ... แต่อะไรล่ะที่เป็นสาเหตุทำให้โคโลญจ์สลายตัว
ส่วนผสมหลักๆของการทำโคโลญจ์ก็คือกลิ่นที่สดชื่นจากพืชตระกูลส้ม และอย่างที่ผมเคยเขียนอธิบายปฏิกริยา Photosensitization ไป กลิ่นจากส้มนี่เองที่ทำให้สีของน้ำหอมเปลี่ยนแปลง และทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหากนำไปใช้ เอาล่ะ .. พักเรื่องเคมีไว้ก่อน มาเรื่องกลิ่นกันต่อ
หากท่านใดฝึกการจำแนกกลิ่นได้จากการดมน้ำหอมและวัตถุดิบบ่อยๆคงพบว่ากลิ่นโคโลญจ์คลาสสิคๆนี่แหละ เป็นอะไรที่แยกกลิ่นได้ง่ายที่สุด เรียกว่าดมปร๊าดเดียวก็ลิสท์ส่วนผสมและก๊อปปี้กันได้เลยทีเดียว และหนึ่งในโคโลญจ์ยุคคลาสสิคที่ยังมีชื่อจนปัจจุบันคงหนีไม่พ้นโคโลญจ์ยี่ห้อ 4711
ผมได้ดมกลิ่นนี้ครั้งแรกในร้านขายของเก่าย่าน Brighton ทางตอนใต้ของอังกฤษ ร้านนี้อยู่ในตรอกเล็กๆ แคบๆ คล้ายๆตรอกไดแอกอนในเรื่องแฮรี่ พอตเตอร์เลยครับ ภายในร้านก็เหมือนร้านขายไม้กวาดเช่นกัน เมื่อนั้นผมยังเป็นดักแด้ของนักปรุงน้ำหอม สารภาพตามตรงว่าไม่รู้จักยี่ห้อนี้ แต่มีคนไทยที่ไปด้วยกันบอกว่า
มันเป็นยี่ห้อคลาสสิคที่ยุคพ่อแม่ของพวกเราต้องรู้จักกันทุกคน ... ผมพยายามดมกลิ่นที่ยังค้างอยู่ในขวดเก่าใบนั้น และก็รู้สึกว่า อืม ... นี่มันกลิ่นผ้าเย็นบ้านเราชัดๆ (ก็ผ้าเย็นบ้านเรานั่นแหละไปเอาน้ำหอมของเขามาใช้)
มาจนวันนี้ วันที่ได้ออกทีวีโชว์ความสามารถต่อหน้าสาธารณะชนก็แล้ว วันที่เป็นครูสอนการปรุงกลิ่นก็ด้วย ไหนจะเป็นที่ปรึกษาทางกลิ่นก็อีก ขอมาเปิดเผยความลับของโคโลญจ์สูตรโบราณให้ฟังก็แล้วกัน
จริงๆแล้วมันไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าการนำทุกส่วนของส้มมายำรวมกันครับ
ผมให้สูตรไว้เป็นแนวทางการอ่าน (หรือจะนำไปปรุงขายก็ตามใจ)
Top notes:
2 drops Rosemary
10 drops Lemon
8 drops Grapefruit
4 drops Petitgrain Bigarade
Blender
4 drops Lavender
20 drops Bergamot
Heart notes:
10 drops Neroli
Modifier
6 drops Litsea Cubeba
Fixative:
20 drops Benzoin
4 drops sandalwood
จะเห็นว่าครั้งนี้ผมไม่ได้ top note, middle note และ base note แล้วนะครับ ... เพราะเชื่อว่าผู้ที่ติดตามอ่านบล็อกของผมทุกท่านคงมีความรู้พื้นฐาน(ที่ดี)
กันบ้างแล้ว หากยัง ... กลับไปตามอ่านบล็อกของผมใหม่ตั้งแต่แรกก็แล้วกัน อ่านให้เข้ากระแสเลือด เพราะผมเชื่อว่าในประเทศไทยเราคงไม่มีที่ไหนสอนกันขนาดนี้แล้วล่ะ เท่าที่ผมเห็นจะเป็นการวิจารณ์กลิ่นแบบแปลมาเสียมากกว่า
จากสูตรนี้ เชื่อหรือไม่ครับว่ามีน้ำมันหอมระเหย 3 ชนิดที่มาจากพืชชนิดเดียวกัน และมี 6 ชนิดที่เป็นญาติกัน อย่างที่จั่วหัวไว้ว่า ส้ม ... พฤกษาแห่งน้ำหอม
นั่นเพราะว่า "ส้ม" เป็นพืชที่เราสามารถกลั่นเอาความหอมของมันได้จากทุกส่วน และให้คุณสมบัติเฉพาะที่แตกต่างกันไป
ที่เรารู้จักกันดีก็คือจากผิวของผล ซึ่งจะมีชื่อเรียกแตกต่างกันไปตามสายพันธุ์เช่น Mandarin oil, sweet orange oil, bitter orange oil หรือ Valencia oil
ที่แพงหน่อยก็น้ำมันหอมกลั่นจากดอกส้มหรือเรียกว่า Neroli oil (เนโรไล) อันนี้ต้องดูตามสายพันธุ์ด้วย ส้มบางพันธุ์ดอกไม่หอมก็เยอะ ไทยเรามีสวนส้มโอเยอะ และดอกของมันก็หอม หลายครั้งที่ถูกปล่อยร่วง ไม่มีใครเห็นประโยชน์ด้านนี้เลย
สุดท้ายที่คนมักไม่ค่อยจะชอบใช้ เหตุผลเนื่องจากกลิ่นที่รุนแรงเกินไป มันเหม็นเขียวแบบส้มๆ (เอ๊ะ จะส้มหรือจะเขียว) นั่นก็คือ Petitgrain หรือน้ำมันหอมระเหยที่ได้จากกิ่งและใบส้ม ... กลิ่นนี้แหละทีเด็ดของโคโลญจ์ หรือแม้แต่น้ำหอมผู้ชายทุกวันนี้ เพราะหากใช้มันเป็น ปลายกลิ่นของ Petitgrain จะสื่อถึงสายน้ำได้ด้วย
และนี่จึงเป็นเหตุผลให้น้ำหอมผู้ชายดังๆทั้งหลายไม่ว่าจะเป็น Fierce by Abercrombie หรือ AQVA by Bvlgari มีกลิ่นของ Petitgrain ผสมอยู่ด้วย
หากมีคนสงสัยต่อ ... ผมอาจจะกลับมาอธิบายให้ฟังครับ
เอาเข้าจริงๆ มีคนติดต่อผมหลายคนเรื่องต้องการจะเรียนปรุงน้ำหอมเบื้องต้น แต่พอทาง Central เปิดอย่างเป็นทางการกลายเป็นไม่ค่อยมีคนนะครับ คาดว่าน่าจะเป็นเพราะความไม่มั่นใจในอนาคตว่าเรียนไปแล้วจะเกิดประโยชน์อะไร
อันนี้ผมก็ตอบไม่ถูก เพราะพูดตามตรงว่ามันก็ไม่เจอประโยชน์เท่าไร ... รู้แต่เพียงมันเป็นศิลปะของชีวิตครับ ;)
www.KenGSoHigH.com