Group Blog
สาปรัก...บท 12/1
คุณพุดซ้อนมองภาพอัปสรในชุดปฏิบัติธรรมสีขาวจับไม้กวาดทางมะพร้าวกวาดเศษหญ้าเศษใบไม้ไปตามทางเดินริมสนามหญ้า โดยมีปฐมกาลคอยเป็นลูกมือ ช่วยจับที่โกยขยะรับเศษใบไม้ใบหญ้าจากไม้กวาดของอัปสรภายหลังจากที่ทั้งคู่ต่างช่วยกันถอนหญ้าด้วยมือเสร็จแล้ว ปฐมกาลสวมถุงมือยางสีเหลืองสดอย่างที่เห็นได้ชัดแม้แต่มองจากเฉลียงหน้าบ้านระยะไกลขนาดนี้ ขณะที่อัปสรใช้มือเปล่าอย่างไม่กลัวว่าเศษดินเศษใบไม้จะเปื้อนมือติดเล็บหรือไม่ คุณพุดซ้อนมองภาพนั้นด้วยแววตาอ่อนโยน นับวันความรักและความเอ็นดูที่เธอมีต่ออัปสรจะเพิ่มพูนสูงขึ้นทุกวัน แค่คืนเดียวที่อัปสรเข้ามาอยู่ร่วมชายคาเดียวกัน เธอก็รับรู้ถึงทุกอย่างในบ้านเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีจนสัมผัสได้ คืนแรกทุกคนได้ทำกิจกรรมร่วมกัน กิจกรรมดีๆ ที่เรียกว่า ทำวัตรเย็น เธอกับลูกๆ เข้าไปสวดมนต์และนั่งสมาธิเป็นเพื่อนคุณปิยชาติ โดยมีอัปสรเป็นคนนำสวด จากนั้นก็แยกย้ายกันไปหลับนอนซึ่งเธอหลับสบาย ปราศจากฝันร้ายเป็นคืนแรกนับตั้งแต่คุณปิยชาติทรุดหนักต้องเข้าพักรักษาที่โรงพยาบาลมานานกว่า ๓ ปี เธอรู้สึกปลอดโปร่งกระทั่งสามารถตื่นมาใส่บาตรพระได้ด้วยซ้ำ ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีมากๆ เพราะปกติเธอแทบไม่ได้เข้าวัด หรือทำบุญไหว้พระเลย ยกเว้นวันพระหรือวันสำคัญทางศาสนาถึงไปเจอพระสักครั้ง

และเมื่อเช้าตอนตี ๔ ทุกคนก็ตื่นมารวมตัวกันทำวัตรเช้าที่ห้องพระอีกครั้ง มีการสวดมนต์ ทำสมาธิและแผ่เมตตา เธอรู้สึกจิตใจสงบนิ่งอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ตั้งใจว่าจากนี้จะบอกเล่าประสบการณ์ให้เพื่อนไฮโซรับรู้และจะชวนให้ทำวัตรเช้าและวัตรเย็นด้วย และจากนั้นทุกคนก็แยกย้ายกันไปทำกิจของตัวเอง ใครใคร่นอนต่อก็สามารถทำได้ อย่างคุณปิยชาติก็ไปนอนต่อ ส่วนเธอลุกไปเตรียมข้าวของสำหรับการใส่บาตร ขณะที่ปานวาดอาบน้ำแต่งตัวเตรียมไปมหาวิทยาลัย ส่วนอัปสรและปฐมกาล ออกมากวาดขยะรอบบ้านและเธอก็เห็นภาพนั้นมาตั้งแต่ก่อนพระมาบิณฑบาต จวบจนถึงตอนนี้พวกเธอก็ยังคงทำอยู่...เป็นภาพที่น่าชื่นใจจริงๆ เห็นแล้วอิ่มเอิบใจ

คุณพุดซ้อนไม่รู้เลยว่าภาพของปฐมกาลและอัปสรต่างอยู่ในสายตารับรู้ของคนรับใช้และคนสวนเช่นกัน พวกเขาต่างเฝ้ามองด้วยความชื่นชมว่าที่นายหญิงเล็กของบ้าน ตอนแรกพวกเขาตกใจ รังเกียจและแอบขยะแขยงกับความอัปลักษณ์ของอัปสร ต่างเอาไปเมาท์โจษจันกันอย่างสนุกปาก แต่พอได้พูดคุยพบว่าอัปสรมีอัธยาศัยดี สุภาพ เต็มไปด้วยความปรานี ไม่ถือตัว แถมยังให้เกียรติพวกเขาและลดตัวลงมาทำงานของคนใช้ จึงทำให้พวกเขายิ่งรักและชื่นชมมากขึ้น

“นั่นตากาลทำอะไร”

ครู่ใหญ่ๆ ต่อมาก็มีเสียงคุณปิยชาติดังขึ้นทางด้านหลัง คุณพุดซ้อนตอบโดยไม่หันไปมองด้านหลังว่า

“ช่วยหนูอัปสรกวาดขยะค่ะ น่ารักนะคะ” ตอบพลางยกแก้วกาแฟขึ้นจิบ

คุณปิยชาตินิ่วหน้า หันไปชูมือทำสัญญาณบอกให้เด็กรับใช้เสิร์ฟโจ๊กและเครื่องดื่ม แล้วจึงหันมาคุยกับภรรยา “ผมเห็นแล้วว่าตากาลทำอะไร แต่ที่ผมถามคือ ทำไมตากาลยังไม่ไปอาบน้ำเตรียมตัวไปทำงานอีก นี่จะถึงเวลาอาหารเช้าอยู่แล้ว”

“เห็นตากาลว่าจะหยุดงานวันนี้เพื่อช่วยหนูอัปสรเตรียมงานแต่งค่ะ นัยว่าจะพากันไปเลือกสถานที่จัดงานเลี้ยงที่โรงแรมเรา แล้วจะเลยกันไปเลือกซื้อเสื้อผ้าที่ห้าง เพราะหนูอัปสรไม่มีเสื้อผ้าอะไรติดตัวมาเลย มีแค่ชุดปฏิบัติธรรมสามสี่ชุด”

คุณปิยชาติฟังแล้วนิ่วหน้า ตาจ้องไปที่ภาพปฐมกาลที่เดินตามอัปสรต้อยๆ เขามองด้วยสายตาพินิจพิเคราะห์ อัปสรไม่มีจิตพิศวาสในตัวลูกชายคนโตของเขา...นั่นเห็นได้ชัดอยู่แล้ว แต่ปฐมกาล... ถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อคิดต่อว่า นั่นก็เห็นได้ชัดอีกเหมือนกันว่าคิดอะไรกับอัปสร

คู่นี้ชักจะยังไงๆ แล้ว...
เขาเริ่มกังวล

“คุณพุดไม่คิดบ้างหรือว่าหน้าที่นั้นควรเป็นของตาวี ไม่ใช่ตากาล”

“ก็วีไม่เอาไหน ขาดความรับผิดชอบ ขนาดเมื่อวานฉันนัดช่างเสื้อมาวัดตัวก็ยังเผ่นแน่บ เรื่องนี้ฉันยังโกรธไม่หายนะ คอยดูเถอะมาถึงจะเพ่นกบาลให้ดู”

“ถึงงั้นก็เถอะ นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลที่ตากาลจะมาทำหน้าที่แทนเจ้าบ่าวตัวจริงอยู่ดี”

ทำหน้าที่แทนเจ้าบ่าวตัวจริง... คนเป็นภรรยาฟังแล้วชะงัก ตัวชาวาบ หันไปสบตาสามีที่นั่งอยู่บนรถเข็น “คุณหมายความว่าไง” ถามเสียงเบาหวิวแทบไม่ได้ยิน เธอเริ่มจับสัญญาณกริ่งเกรงของผู้เป็นสามีได้แล้ว... และสัญชาตญาณของสามีในเรื่องทำนองนี้ก็ไม่เคยพลาดซะด้วยสิ คุณพุดซ้อนเริ่มหวั่นๆ

“คุณไม่สังเกตบ้างเหรอว่าตากาลตามอัปสรต้อยๆ เขาทำตัวสนิทสนมกับอัปสรมากเกินไป...” คุณปิยชาติพูดแล้วถอนหายใจ กล่าวต่อว่า “กับผู้หญิงคนนั้นผมไม่ห่วงหรอก ดูยังไงๆ ก็ไม่มีจิตพิศวาสกับตากาล แต่ที่น่าห่วงคือลูกชายเราต่างหาก ดูเหมือนจะ...ไปแล้วทั้งตัวและหัวใจ”

คุณพุดซ้อนอึ้ง หันกลับไปพินิจภาพเบื้องหน้าอีกครั้ง ตอนแรกเธอคิดว่าตัวเองอาจคิดมากไปเอง แต่เมื่อมาได้ยินคุณปิยชาติท้วงในเรื่องที่เธอก็แอบหวั่นๆ เหมือนกัน เท่ากับว่าคุณปิยชาติช่วยยืนยันว่าสิ่งที่เธอแอบหวั่นมาตลอดก็ไม่ไกลเกินจริง คุณพุดซ้อนเริ่มหนักใจ แต่ก็รู้สึกอุ่นใจอยู่หน่อยก็ตรงที่อัปสรไม่ได้หน้าตาสะสวย ตรงกันข้ามขี้เหร่จนเข้าขั้นอัปลักษณ์รุนแรง ฉะนั้นลูกชายเธอคงไม่คิดไปในทางชู้สาวได้ อย่างมากคงแค่น้องสาว คิดได้แบบนั้นคุณพุดซ้อนก็ใจชื้นขึ้น ค่อยยิ้มออก เธอหันไปบอกสามีด้วยใบหน้าที่สดใส

“ตากาลไม่น่าชอบหนูอัปสรได้นะคะ เธอหน้าตาอัปลักษณ์ออกขนาดนั้น ถ้าหน้าตาสะสวยอย่างนางฟ้านางสวรรค์ เอ่อ...ถ้าหน้าตาสวยจับจิตอย่างนางฟ้าในภาพวาดของคุณ ก็ว่าไปอย่าง แต่นี่หน้าตาไม่ได้ชวนมองเอาเลย ฉะนั้นตากาลก็คงคิดอย่างมากแค่น้องสาวแหละค่ะ เพราะงั้นปัญหาพี่น้องชอบคนเดียวกัน หรือพี่ชอบน้องสะใภ้ ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้หรอกค่ะ อย่าห่วงไปเลย” สำหรับคุณพุดซ้อนเชื่อว่าอัปสรเป็นคนช่วยชีวิตสามีเธอ...ช่วยยื้อมาจากความตาย ส่วนสาวสวยในภาพ น่าจะเป็นแค่จินตนาการของคุณปิยชาติไปเองที่อยากให้สาวคนที่ไปช่วยชีวิตสะสวยราวกับนางฟ้านางสวรรค์ จึงได้จินตนาการออกมาแบบนั้น

คุณปิยชาติไม่ทันได้โต้อะไรมากกว่านั้น เมื่อคนรับใช้วิ่งหน้าตั้ง กระหืดกระหอบเข้ามาหา

“คุณชาติคุณพุดคะ แย่แล้วค่ะ” เสาวลักษณ์คนรับใช้วัยกลางคนวิ่งเข้ามายอบตัว ก่อนทรุดนั่งพังพาบอย่างคนหมดแรง น้ำเสียงเต็มไปด้วยความตื่นเต้นแกมตกใจ ลมหายใจยังคงหอบกระชั้น

“เป็นอะไรเสา อะไรแย่ พูดให้รู้เรื่องสิ” คุณพุดซ้อนติง

“คือนักข่าวค่ะ นักข่าว” คนรับใช้บอกระล่ำระลั่ก พลางชี้โบ้ชี้เบ้ไปทางประตูรั้ว น้ำเสียงขาดเป็นห้วงๆ

“นักข่าวอะไร พูดช้าๆ สิ ค่อยๆ หายใจ ฉันจับใจความไม่ได้” น้ำเสียงคุณพุดซ้อนชักกรุ่น

เสาวลักษณ์หันไปทางประตูหน้าบ้านอีกครั้ง มือทาบหน้าอกราวกับพยายามช่วยผ่อนจังหวะหายใจ แล้วเสาวลักษณ์ก็กล่าวขึ้นอย่างช้าๆ ว่า “นักข่าวค่ะ กองทัพนักข่าวทั้งหนังสือพิมพ์ นิตยสาร โทรทัศน์ ช่องไหนต่อช่องไหนไม่รู้ ถือไมค์ถือกล้องแห่มาออเต็มอยู่หน้าบ้าน หนูไม่กล้าเปิดประตู เลยมาบอกคุณท่านก่อน” เวลาว่างเสาวลักษณ์เฝ้าอยู่หน้าจอโทรทัศน์ เธอจึงรู้ว่าเดี๋ยวนี้บรรดาหนังสือพิมพ์แห่ไปเปิดทีวีดิจิตัล แถมนิตยสารก็ยังมีนักข่าวของตัวเอง

“อะไรนะ? นักข่าวมาได้ไง” คุณพุดซ้อนอุทานพลางมองไปทางประตูหน้าบ้าน แต่ไม่เห็นความผิดปกติหรือภาพความชลมุนใดๆ หน้าประตูรั้ว ด้วยว่าอยู่ไกลเกินกว่าระยะสายตาจะมองเห็นได้ เธอเห็นเพียงปฐมกาลและอัปสรหยุดงานที่ง่วนอยู่ในมือ แล้วเมียงมองไปทางประตูบ้าน

“ผมเองแหละ” คุณปิยชาติ ประกาศขึ้น

“อะไรนะ?” คุณพุดซ้อนตวัดสายตามามอง พลางว่า “คุณว่าอะไรนะ อีกทีซิ”

“ผมเชิญพวกนักข่าวมาเอง ผมเชิญพวกเขาให้มาฟังอัปสรแถลงข่าวในวันนี้” คนเป็นสามีย้ำ

“แต่... คุณจะทำแบบนั้นไปเพื่ออะไรกัน ไม่มีเหตุผล แล้วหนูอัปสรไม่ได้ต้องการแถลงข่าวสักหน่อย” คุณพุดซ้อนคราง ยังคงมองสามีอย่างไม่เข้าใจ

คุณปิยชาติเอ่ยปากอธิบายอย่างช้าๆ ว่า “เมื่อวานตอนที่ผมแถลงข่าวที่โรงพยาบาล ผมบอกกับน้องๆ นักข่าวนอกรอบเองว่า เจ้าสาวจะแถลงข่าวเรื่องงานแต่งงานที่บ้านเรา ไม่ช้าก็เร็วนักข่าวก็ต้องรู้เรื่องที่เจ้าสาวของตาวีหน้าตาน่าเกลียดอัปลักษณ์ ยังไงๆ วันแต่งงานอัปลักษณ์ก็เลี่ยงภาพน่าเกลียดของตัวเองโชว์หราบนหน้าหนังสือพิมพ์หรือตามสื่อทีวีไม่ได้หรอก เชื่อผมเถอะ เพราะงั้นทำให้อัปสรคุ้นกับการเป็นข่าวเสียแต่ตอนนี้ จะได้มีภูมิคุ้มกัน ดีกว่าไปเป็นข่าวตูมเดียวในวันแต่ง ถึงตอนนั้น อัปสรอาจรับมือไม่ไหวก็ได้”

“ไม่จำเป็นเลย ไม่ใช่เรื่องเลย” คุณพุดซ้อนพึมพำ มองสามีอย่างแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง ยังคงพูดอะไรไม่ออก จึงได้แต่มองด้วยสายตากราดเกรี้ยว เสี้ยววินาทีต่อมาจึงหาลิ้นตัวเองเจอ คุณพุดซ้อนกล่าวว่า “แล้วคุณคิดจะถามความสมัครใจหนูอัปสรบ้างไหมว่าต้องการเป็นข่าวก่อนถึงวันแต่งไหม เธอไม่เคยออกงานสังคม ไม่เคยให้สัมภาษณ์ที่ไหน ไม่เคยเจอกองทัพนักข่าว คิดบ้างไหมว่าเธอจะรับมือยังไง จะเจอสภาพไหน แล้วภาพมันจะน่าเกลียดแค่ไหนที่เธอออกมานั่งให้ข่าวโดยไม่มีว่าที่เจ้าบ่าวอยู่ข้างเคียงเลย สังคมไม่มองหรือว่าเธอต้องการแต่งงานไปเองฝ่ายเดียวโดยตาวีไม่เต็มใจด้วย ทำอะไรทำไมถึงไม่คิดถึงจิตใจคนอื่นบ้าง อย่ามาอ้างเหตุผลสร้างภูมิคุ้มกันอะไรนั่นดีกว่า ฟังไม่ขึ้นหรอก สารภาพกับฉันมาตรงๆ ว่าทำทุกอย่างลงไปนี่เพื่ออะไรกันแน่ คุณต้องการทำอะไรกับหนูอัปสร? แก้เผ็ดเธอเหรอที่บังอาจมาขอแต่งงานกับลูกชายสุดวิเศษเลิศเลอของคุณ? ฉันจะบอกให้นะคะ... ตาวีไม่มีค่าคู่ควรแม้แต่เศษเสี้ยวที่จะแต่งกับคนดีๆ อย่างหนูอัปสรด้วยซ้ำ ถ้าฉันสามารถเกลี้ยกล่อมหนูอัปสรได้ ฉันจะหว่านล้อมให้เธอเปลี่ยนใจไปชอบกับตากาลเสียด้วยซ้ำ...บอกให้รู้ไว้เถอะ แต่ในเมื่อเธอยืนยันที่จะแต่งงานกับนายวี ฉันก็เคารพการตัดสินใจของเธอ เธอคงคิดดีแล้วว่าตาวีบาปหนามากกว่า สมควรที่จะได้ชะล้างจิตใจและความประพฤติใหม่เสียที”

โยนระเบิดตูมใหญ่เสร็จแล้ว คุณพุดซ้อนก็ลุกเดินหนีไปทันทีโดยไม่รอดูผลงาน บอกตัวเองว่ารู้สึกผิดหวังในตัวสามี และเป็นครั้งแรกที่เธอกลัวใจเขา...กลัวความอำมหิตของเขา คุณพุดซ้อนเดินตรงไปหาว่าที่ลูกสะใภ้และลูกชาย ในใจยังไม่หายขุ่นเคืองแล้วความรู้สึกที่เกิดขึ้นตามมาคือเย็นยะเยือกในอก เต็มไปด้วยความห่วงใยอัปสรว่า เธอจะรับมือกับเหตุการณ์ในครั้งนี้ได้อย่างไร?


………………………………..





Create Date : 17 เมษายน 2557
Last Update : 18 เมษายน 2557 6:31:19 น.
Counter : 896 Pageviews.

8 comment
สาปรัก...บท 11/3
สุนิษาน้ำตาซึมอย่างกลั้นไม่อยู่เมื่อได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดจากปากแฟนหนุ่ม ปฐวีเล่าว่าเขาจำเป็นต้องแต่งงานกับผู้ที่ช่วยชีวิตบิดาให้รอดพ้นจากความตายซึ่งเปรียบไปก็ไม่ต่างจากผู้มีพระคุณ เธอเป็นนักปฏิบัติธรรม แต่ยื่นเงื่อนไขขอแต่งงานกับปฐวีเป็นการแลกเปลี่ยนกับการช่วยชีวิตของคุณปิยชาติ สุนิษาคิดว่าเป็นการแบล็คเมลชัดๆ น่าจะเป็นพวกสิบแปดมงกุฎต้มตุ๋นหลอกลวงอะไรประเภทนั้น แต่ปฐวียืนยันว่าผู้หญิงคนนั้นบริสุทธิ์ใจ ไม่ได้ต้องการอะไรตอบแทนแม้แต่ทรัพย์สมบัติหรือทะเบียนสมรส...ขอแค่ได้แต่งงานกับเขาเท่านั้น และที่สำคัญไปกว่านั้น เธอไม่ต้องการความสัมพันธ์ฉันชู้สาวใดๆ กับเขาด้วย

ช่างน่าตลกนัก... เธอไม่เชื่อ เพราะใครก็แล้วแต่ได้เห็นปฐวีเธอเชื่อว่าเป็นต้องหลงเสน่ห์เขา ไม่มีใครต้านทานเสน่ห์ของเขาได้สักคน แค่ปฐวีใช้สายตาคมกริบของเขาจับจ้องสาวคนใด สาวนั้นเป็นต้องใจละลายพร้อมจะโผซบอกเขาแล้ว ใช่...ทุกคนอยากเป็นเจ้าของปฐวีด้วยกันทั้งนั้น อย่างน้อยก็อยากขึ้นเตียงด้วยสักครั้ง ถ้าตาไม่บอด ก็ต้องเห็นในหุ่นมาดแมนและพึงใจอย่างแน่นอน สุนิษายอมรับว่ารักเขา ยิ่งได้ลิ้มลองเพศรสจากเขาก็ยิ่งติดใจและอยากเป็นเจ้าของแต่เพียงผู้เดียว ทั้งที่เมื่อแรกที่คบหากัน ยอมรับว่าถูกใจแค่เรื่องหน้าตา

ใช่...เมื่อได้คบหากันจริงๆ จังๆ เธอพบว่าเซ็กซ์ของเขายอดเยี่ยม หน้าตาและรูปร่างว่าเต็มร้อยแล้ว สำหรับเซ็กซ์ของเขา เธอให้คะแนนมากกว่าหน้าตาบวกกับรูปร่างเสียอีก

“คุณษา...ไม่เอาน่า ผมคิดว่าเราจะคุยเรื่องนี้กันเข้าใจตั้งแต่เมื่อแรกที่คบกันเสียอีก ผมบอกแล้วความสัมพันธ์ของเราเป็นอิสระต่อกัน” ปฐวีปลอบเสียงนุ่มทุ้ม พวกเขากำลังเอนหลังพิงหัวเตียงพูดคุยกันภายหลังการร่วมรักมานานกว่าชั่วโมง

“ฉันรู้ แต่อดใจหายไม่ได้ มันเร็วเกินไป ยังไม่ทันมีเวลาเตรียมใจคุณก็ต้องทิ้งฉันไปแล้ว”

ปฐวีอึ้ง “อย่าพูดว่าคำว่าทิ้งเลยนะ มันเสียดแทงใจไงไม่รู้ คุณก็รู้ผมไม่เคยคิดจะทำอย่างงั้นเลย”

สุนิษาปล่อยโฮแทนคำตอบ

ปฐวีนิ่ง อย่างช้าๆ เขาโอบศีรษะทุยมาซุกแนบอกโดยฝ่ายนั้นขยับมาเกยบนตัวเขาครึ่งตัว ปฐวีก้มจูบหน้าผากมนพลางลูบแผ่นหลังเปลือยเปล่าไปมาอย่างปลอบประโลม แผ่นหลังที่เคยเกลี้ยงเกลาบัดนี้มีรอยตกสะเก็ด เกิดจากฝีมือของทองม้วน ปฐวีไม่รู้จะปลอบอะไรดี จึงได้แต่แสดงออกด้วยภาษาทางกายว่าเขาห่วงใยเธอแค่ไหน รู้ว่าการจากลาเป็นเรื่องน่าเศร้า ด้วยเหตุนี้เมื่อสุนิษาแสดงภาษาทางกายเชิญชวนเขาขึ้นเตียงเมื่อเขามาถึงใหม่ๆ เขาจึงไม่ปฏิเสธและตอบสนองอย่างเร่าร้อนดุดันหากก็อ่อนหวานอยู่ในที เพราะรู้ว่าจะเป็นครั้งสุดท้าย

รู้ว่าที่สุนิษาหยิบยกเรื่องแผลถูกทองม้วนข่วน เป็นข้ออ้าง เป็นเพียงอุบายที่ต้องการให้เขามาหา แต่กระนั้นเขาก็ต้องมา ด้วยเหตุผลนี้...มาบอกเลิกด้วยปากตัวเอง ไม่ถนัดกับการบอกเลิกใครทางโทรศัพท์...ยังไม่ใจร้ายพอ

“ต่อไปนี้เราจะไม่ได้เจอกันอีกแล้วใช่ไหมคะ” ถามด้วยเสียงกลั้วสะอึกสะอื้น ลมหายใจแทบขาดวิ่นจากความสะเทือนใจ

ปฐวีอึ้งอีกครา เขาโอบกระชับร่างกลมกลึงให้ซุกแนบอกเขาแนบแน่นขึ้น ตอบเสียงทุ้มนุ่มว่า “ได้สิ...ทำไมจะไม่ได้ คุณก็ไม่ต่างจากน้องสาวผม เราเจอกันได้เสมอ จะนัดกินข้าวเที่ยงกันทุกวันยังได้เลย” ตอบเสียงกระเซ้า น้ำเสียงติดตลกอย่างพยายามไม่ให้ฟังเคร่งเครียด

“แต่ไปต่อกันที่โรงแรมไม่ได้อีกแล้วใช่ไหม” สุนิษาแหย่กลับ

คนถูกถามอึ้ง “ถ้าผมแต่งงานแล้ว ผมคงทำอย่างนั้นอีกไม่ได้ ผมเกลียดการถูกทรยศ และผมก็ไม่ควรทำแบบนั้นเหมือนกัน” แล้วประสบการณ์การถูกทรยศครั้งแรกก็แวบเข้ามาในความคิด หากเอมม่าไม่ประสบอุบัติเหตุ เขาก็คงไม่รู้ไปอีกนานว่าเธอสวมเขาให้ ประสบการณ์ครั้งนั้นเจ็บปวด และเขาก็จะไม่ทำแบบนั้นกับอัปสรแน่...ยกเว้นแต่ว่าเธอไม่ต้องการเขา แต่เขาก็ตั้งใจจะบอกเธอตรงๆ หากคิดจะแก้เผ็ดด้วยการไปหลับนอนกับคนอื่น จะไม่ให้เธอรู้จากปากคนอื่นเด็ดขาด

“แล้วไหนคุณว่าเธอไม่อยากมีอะไรกับคุณ” สุนิษาถามตีรวน ปฐวีไม่ได้ปิดบังเรื่องที่ฝ่ายนั้นไม่อยากมีความสัมพันธ์ด้วย ถึงกับขอไม่มีอะไรด้วยซ้ำ

ปฐวีหัวเราะ “เอาไว้ถึงตอนนั้นถ้าเธอไม่ยอมให้ผมนอนด้วยจริงๆ เราค่อยมาถกกันคุณษา” น้ำเสียงเจ้าตัวมั่นใจว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์นั้นแน่ แต่ถึงจะเกิด...เขาก็จะทำให้ตัวเองมั่นใจจนได้ว่าอัปสรต้องการเขา ปฐวีไม่ค่อยกลัวปัญหาทำให้ผู้หญิงต้องการเขานัก

“สัญญาได้ไหมถ้าเธอไม่ยอมให้คุณนอนด้วย คุณจะกลับมาหาฉัน” ถามพลางเงยหน้ามองเขา ปลายคางวางบนแผงอกกว้าง เต็มไปด้วยมัดกล้ามและไขขนบางๆ

ปฐวียิ้ม แววตากรุ้มกริ่ม หากทว่าไม่ให้คำตอบในทันที

สุนิษาปาดน้ำตา ก่อนยิ้มยั่วเย้าใส่ตาเขา “ฉันต้อนรับคุณเสมอนะคะ ฉันแอบหวังนะ...แอบหวังว่าการที่ผู้หญิงคนนั้นปฏิเสธการใช้เวลาอยู่บนเตียงกับคุณ จะไม่ใช่แค่การวางฟอร์ม แต่ขอให้เธอเป็นนักปฏิบัติที่กลัวศีลขาดจริงๆ เพื่อว่าคุณจะได้กลับมาหาฉัน”

ปฐวีฉีกยิ้ม รอยยิ้มเจ้าชู้ของเขาเลยไปถึงดวงตาคู่คมกริบ เมื่อกล่าวเลียนแบบคำพูดของสุนิษาว่า “แต่ผมแอบหวังนะ...แอบหวังว่าเธอจะไม่บิดพลิ้วคำพูดของตัวเอง ไม่อย่างนั้นผมคงยอมที่จะได้ชื่อว่าเป็นคนพรากศีลไปจากเธอ ยอมที่จะตกนรกหมกไหม้ ขอแค่...ได้ลิ้มลองเธอสักครั้ง” น้ำเสียงตอนท้ายทอดอ่อนนุ่มเป็นเท่าตัวเมื่อนึกถึงอัปสรในยามที่ใบหน้าค่อยๆ คลายจากความขรุขระ เปลี่ยนมาเป็นสาวน้อยสะสวยราวกับนางฟ้าคาตาเขา ใช่...ใบหน้างดงามนั้นดูอ่อนเยาว์ไม่ต่างจากสาวน้อย ๑๘-๑๙ ปี ภาพในความทรงจำ...ยังคงคมและเด่นชัดราวกับกำลังเกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ ตรงหน้าเขา และเขารู้สึกด้วยความอ่อนหวานราวกับว่าเธอเกิดมาเพื่อเขา ใช่...เพื่อเขาคนเดียว

สุนิษาจ้องเขาด้วยความรู้สึกตกใจ แทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง...เป็นครั้งแรกนับแต่รู้จักกันมาที่เธอเห็นแววตาชนิดนี้จากเขา... แววตาของคนที่ตกอยู่ในภวังค์ เธอจ้องไปในนัยน์ตาคู่คมกริบอย่างต้องการค้นคว้า ฉับพลันรู้สึกใจหายวาบเมื่อรู้สึกได้ว่าเธอสูญเสียเขาไปตลอดกาลแล้ว ด้วยว่าปฐวีกำลังตกอยู่ในห้วงรัก...เขารักผู้ทรงศีลคนนั้น

“คุณวี” เรียกเสียงผะแผ่ว อย่างไม่มั่นใจนัก

“ครับ?” ปฐวีละสายตาที่ทอดยาวไปไกล มาสบตาคนที่กำลังเกยบนเขาครึ่งตัว

“คุณกำลังตกหลุมรักผู้ทรงศีลที่คุณกำลังจะแต่งงานด้วยเหรอ?”

“อะไรนะ?” ปฐวีถามแทบไม่เชื่อหูตัวเอง น้ำเสียงเขาตกใจอย่างมาก

“แววตาคุณหวานแปลกๆ เวลาพูดถึงเธอ”

“เป็นไปไม่ได้” น้ำเสียงเบาหวิวราวกับไม่ใช่ตัวเอง ปฐวีลูบท้ายทอยแก้เก้อซึ่งเป็นกิริยาที่เขาทำไม่บ่อยนัก “ตลกไปแล้ว ผมไม่เคยเจอผู้หญิงคนนั้นมาก่อน เพิ่งรู้จักกันได้แค่สองวันจะตกหลุมรักได้ยังไง ตลกแล้ว...เป็นไปไม่ได้หรอกคุณษา” ย้ำประโยคสุดท้ายราวกับต้องการตอกย้ำกับตัวเองมากกว่าจะบอกกับสุนิษา

สุนิษายังคงจ้องคนรักที่กำลังจะกลายเป็นแค่อดีต “ฉันก็แทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองเหมือนกัน หวังว่ามันจะเป็นแค่ความเข้าใจผิดไปเองของฉัน”

ปฐวีขยับลุกอย่างต้องการเลี่ยงสายตาจับผิดของสุนิษา เขาไม่ถนัดกับการถูกใครๆ วิพากษ์วิจารณ์ หรืออีกนัยหนึ่ง...เขาเองก็กำลังช็อกไม่ต่างจากสุนิษาเมื่อได้รู้ว่าตัวเองคิดอย่างไรกับอัปสร จึงอยากมีเวลาส่วนตัวเพื่อสำรวจตัวเอง

“ผมคงต้องกลับแล้วคุณษา คุณแม่รอให้ผมไปวัดตัวตัดชุดเจ้าบ่าวอยู่” ยกคุณพุดซ้อนมาเป็นข้ออ้าง แล้วดันร่างนุ่มที่กำลังเกยบนตัวเขาให้ขยับลุกอย่างนุ่มนวล แต่ทว่าเธอกลับกอดเอวเขา ยื้อไว้สุดตัว

“อย่าเพิ่งกลับได้ไหม คืนนี้ไม่กลับได้ไหมคะ” น้ำเสียงวิงวอน ดูเหมือนสุนิษาจะยอมทิ้งมาดสาวรักในศักดิ์ศรีเสียสิ้น

ปฐวีอึ้ง เขาปฏิเสธด้วยน้ำเสียงนิ่มนวลว่า “คงไม่ได้จริงๆ คุณษา คุณแม่นัดช่างมาวัดตัวผมอยู่ ขืนไม่กลับไป คงได้ถูกเฉดหัวออกจากกองมรดกแน่” พยายามพูดให้ติดตลก ทั้งที่เรื่องมรดกไม่เคยอยู่ในความคิดเขา

“แต่เราคงไม่ได้เจอกันอีก จากนี้คุณคงวุ่นอยู่กับการเตรียมงานแต่ง และหลังงานแต่งคุณก็ประกาศแล้วว่าจะตัดขาดจากผู้หญิงทุกคน ฉะนั้นอยู่ค้างกับฉันนะคะคุณวี แค่คืนเดียวเอง...เป็นคืนสุดท้าย ถือเป็นการอำลากันไงคะ” น้ำเสียงตอนท้ายผะแผ่วระคนเศร้าสร้อย

ปฐวีอึ้งกับน้ำเสียงออดอ้อนแกมเศร้าของสุนิษา ใจอ่อนยวบ เขาไม่เคยใจแข็งกับเพศที่อ่อนแอกว่า...เพศสวยงามที่แสนเปราะบางที่เรียกขานว่า เพศหญิง นี่ได้เลย และครั้งนี้ก็เช่นกัน ปฐวีลดศีรษะลงไปบดขยี้เรียวปากนุ่ม พูดชิดริมฝีปากของสุนิษาว่า “ตกลงคุณษา...ผมคงใจยักษ์ผิดมนุษย์มนาไปแล้วถ้าหากปฏิเสธผู้หญิงใจดีอย่างคุณได้ลงคอ”

ปฐวีดันร่างนุ่มไปนอนบนเตียงโดยมีร่างของตัวเองทาบทับ บอกตัวเองว่าถ้ามารดาจะเพ่นกบาล เขาก็คงยอมเพื่อแลกกับการถนอมน้ำใจของคนเพศเดียวกับมารดา และบอกกับตัวเองว่าพรุ่งนี้เขาจะเป็นคนดี...จะอยู่ในโอวาทของคุณพุดซ้อนโดยดี จะไปร้านตัดเสื้อของช่างประจำตัวของมารดาแต่เช้า เพื่อทำอะไรทั้งหลายแหล่ที่มารดาเขาต้องการ



………………………………..





Create Date : 17 เมษายน 2557
Last Update : 17 เมษายน 2557 18:05:51 น.
Counter : 1425 Pageviews.

13 comment
สาปรัก...บท 11/2
“นายวีนี่ยังไงนะ นับวันชักจะเหลวไหลใหญ่แล้ว ดู...มือถือก็ไม่เปิดอีก คอยดูนะ...กลับมาบ้านเมื่อไหร่ แม่จะซัดให้น่วมเลย” คุณพุดซ้อนบ่นเป็นหมีกินผึ้งพลางทำเสียงฮึ่มฮั่มในลำคออย่างขัดใจตลอดเวลาที่เพียรโทร.หาปฐวี แต่ไม่สามารถติดต่อได้เนื่องจากไม่มีสัญญาณตอบรับ เธอเดินกลับเข้ามาในห้องรับแขก มองช่างเสื้อประจำตัวซึ่งกำลังยืนอยู่บนสตูลลูกเต๋าเพื่อวัดหุ่นของอัปสรโดยมีผู้ช่วยสาวอีกคนคอยจดลงบนสมุดตามคำบอก รูปร่างของอัปสรสูงเกินหญิงไทยอย่างมาก ด้วยเหตุนี้อลิตาจึงต้องต่อด้วยเก้าอี้สตูล

คุณพุดซ้อนก้าวมาทรุดนั่งบนโซฟา ตามองอัปสรซึ่งกำลังยืนหมุนซ้ายหมุนขวาให้ช่างวัดตัวอยู่กลางห้อง โดยมีฉากกั้นรูปครึ่งวงกลม ส่วนปฐมกาลยืนกอดอกพิงชั้นหนังสือมองมาจากอีกมุมหนึ่ง เขามีมารยาทพอที่จะยืนด้านที่มีฉากกั้นบังสายตา แววตาที่เฝ้ามองอัปสรเต็มไปด้วยรอยเสียดาย

คุณพุดซ้อนถามช่างเสื้อขึ้นว่า “เป็นไงบ้างคะคุณแอน”

อลิตาหรือแอน เจ้าของห้องเสื้อชื่อดัง ซึ่งเป็นช่างตัดเสื้อประจำของไฮโซมากมาย ละจากการใช้สายวัดวัดรอบใต้อกอัปสร หันมาตอบ “หุ่นคุณอัปสรหุ่นเป๊ะมากเลยค่ะ อกเอวสะโพกเพอร์เฟ็กต์ยังกับนางแบบแคทวอร์คตะวันตก แถมผิวพรรณผุดผาดเกลี้ยงเกลาขาวนวลเนียน...สวยมากค่ะ” อลิตาไม่ได้โกหก เพราะเธอหมายถึงหุ่นและผิวพรรณ ไม่ได้หมายถึงหน้าตา... หุ่นและผิวพรรณของอัปสรสมบูรณ์แบบจริงๆ ชนิดที่หาได้ยากจากผู้หญิงคนอื่นๆ ด้วยเนินอกอวบอิ่มได้รูปสวย เอวคอดกิ่วและสะโพกผายกลมกลึง บางทีนี่อาจเป็นความสมดุลของธรรมชาติที่เมื่อขาดสิ่งหนึ่ง ธรรมชาติก็ชดเชยให้อีกสิ่งหนึ่ง เปรียบไปเหมือนกับอัปสร เธอมีหน้าตาอัปลักษณ์ขี้ริ้วขี่เหร่เป็นที่สุด แทบจะเรียกได้ว่าหน้าตาพิการ แต่ธรรมชาติก็ชดเชยในเรื่องหุ่นและผิวพรรณให้ แถมนิ้วมือและเท้าก็เรียวสวยอย่างที่เธอไม่เคยเจอมาก่อน เรียกว่าทุกอย่างบนเรือนร่างของอัปสรสวยสมบูรณ์แบบ...ยกเว้นใบหน้า อลิตานึกแล้วถอนหายใจ โชคดีก็แต่คุณพุดซ้อนเกริ่นถึงความอัปลักษณ์ให้รู้ล่วงหน้า ทำให้เธอและลูกน้องได้เตรียมตัวเตรียมใจไว้ก่อน จึงไม่ได้แสดงอาการผงะตกใจกลัวอย่างเสียมารยาทนานเกินไปนัก เพียงเสี้ยวอึดใจก็สามารถควบคุมสีหน้าและเก็บอาการให้กลับมาเป็นปกติได้ดังเดิม

คุณพุดซ้อนพยักหน้ารับรู้ ก่อนขมวดคิ้วมุ่น “ทำไมคุณแอนไม่ให้หนูอัปสรถอดเสื้อผ้าล่ะค่ะ จะได้วัดตัวได้เป๊ะมากขึ้น ลำพังพวกดิฉัน ดิฉันหมายถึงสามี ตากาลและยายวาด พวกเราจะวัดโดยไม่ถอดเสื้อผ้าก็ไม่แปลกหรอกนะคะ เพราะยังไงคุณแอนก็คงตัดเย็บเผื่อเข้าเผื่อออกก่อนวันแต่งอยู่แล้ว แต่สำหรับหนูอัปสรกับตาวี ดิฉันอยากให้เป๊ะจริงๆ จะได้สวยในวันงานโดยไม่ต้องมาเสียเวลาเย็บเข้าเย็บออก ฉะนั้นรบกวนให้หนูอัปสรถอดชุดดีกว่านะคะ ถ้าไม่สะดวกก็ให้ตากาลออกไปก่อนก็ได้”

ปฐมกาลขยับตัว ขณะที่อลิตากล่าวอย่างอ้ำๆ อึ้งๆ ว่า

“แอน เอ่อ...บอกไปแล้ว แต่คุณอัปสรขอไว้น่ะค่ะ”

คุณพุดซ้อนเลิกคิ้ว หันไปทางอัปสร คนถูกพาดพิงอธิบายด้วยเสียงนิ่มนวลว่า “ดิฉันขอไว้เองค่ะ เพราะไม่อยากให้ผ้าขาดหลุดจากตัว” เธอหมายถึงศีลขาด

คุณพุดซ้อนฟังแล้วอึ้ง “หนูอัปสรจ๊ะ ยังไงวันแต่งงานหนูก็ต้องถอดชุดปฏิบัติธรรมนั่นอยู่ดี ไม่วันนี้หรือวันหน้าศีลหนูก็ต้องขาดไม่ต่างกัน ฉะนั้นถอดให้คุณแอนวัดตัวซะวันนี้เถอะนะลูก” ว่าที่แม่สามีลงทุนเกลี้ยกล่อมด้วยน้ำเสียงอ่อนๆ

“ดิฉันรู้ว่าไม่วันนี้ก็วันหน้า ศีลต้องขาดแน่นอน เพียงแต่ดิฉันอยากยืดไว้ให้นานที่สุด นะคะ...ชุดนี้ก็ไม่ได้หนาอะไรมาก ยังไงก็คงวัดขนาดได้ไม่ผิดพลาดนัก”

คุณพุดซ้อนอึ้งกับความหัวดื้อของว่าที่ลูกสะใภ้ ถอนหายใจแล้วว่า “เอาเถอะจ๊ะ ตามใจหนู แล้วนี่ไม่ต้องดีไซน์ชุดแต่งงานให้ดูเหมือนชุดปฏิบัติธรรมด้วยหรือไงจ๊ะ” เหน็บเล็กๆ อย่างอดไม่ได้ แต่เป็นไปด้วยความเอ็นดูมากกว่าเหตุผลอื่น

อลิตายิ้มเจี๋ยมเจี้ยมแล้วชิงตอบว่า “เอ่อ...ความจริงแอนมีอีกเรื่องที่อยากเรียนปรึกษาค่ะ คือว่าคุณอัปสรต้องการเปลี่ยนชุดแต่งงานและชุดงานเลี้ยงที่คุณพุดเลือกไว้ค่ะ”

“อะไรนะคะ?” คุณพุดซ้อนเบิ่งตาโต

อลิตาส่งยิ้มเรี่ยๆ ให้ ด้วยว่าเกรงใจว่าที่เจ้าสาว จากนั้นเล่าเชิงฟ้องกลายๆ ด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า ชุดที่คุณพุดซ้อนเลือกไว้ให้ลูกชายและลูกสะใภ้สวมในวันรดน้ำสังข์นั้น ซึ่งคุณพุดซ้อนเลือกชุดราชปะแตนเสื้อสีงาช้างโจงกระแบนสีเดียวกันให้กับปฐวี ส่วนอัปสร คุณพุดซ้อนเลือกชุดไทยคลาสสิก อวดรูปร่างด้วยเครปเน้นช่วงอก ใช้สีโทนดิ้นเงินผสมดิ้นทองเงางามนั้น ว่าที่เจ้าสาวขอเปลี่ยนเป็นชุดไทยอมรินทร์แทน โดยมีลักษณะคล้ายชุดไทยจิตรลดาคอกลมสีขาว พร้อมผ้าซิ่นไหมยกทองตัดแบบป้ายด้านหน้า อลิตาสาธยายพลางเปิดอัลบัมเลื่อนไปตรงหน้าที่พูดถึงแล้วยื่นไปให้คุณพุดซ้อนดู แรกทีเดียวเธอก็เอ่ยปากค้านไปแล้วว่าเชย แต่ก็ค้านได้ไม่เต็มเสียงนักด้วยว่าที่สุดก็ต้องตัดเย็บตามความต้องการของผู้สวมใส่อยู่ดีถ้าหากว่าฝ่ายนั้นยืนยันความต้องการ




(ชุดรดน้ำสังข์ที่คุณพุดซ้อนเลือกให้ลูกสะใภ้)


คุณพุดซ้อนเลื่อนอัลบัมมาดูแล้วยกมือทาบอก ใจหายวาบด้วยว่าชุดที่อัปสรเลือก มีสภาพไม่ต่างจากเสื้อและผ้าถุงที่อัปสรสวมใส่อยู่ เธอรื้อกระเป๋าสะพายหยิบพัดเล็กๆ ออกมาพัดวีไปมา สีหน้าราวกับจะเป็นลม





(ชุดที่อัปสรเลือก)



“หนูอัปสร...” เรียกด้วยน้ำเสียงอ่อนใจ ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนแรงยิ่งกว่าว่า “อย่าหาว่าแม่เจ้ากี้เจ้าการยังโง้นยังงี้เลยนะ ชุดที่หนูเลือกมันเชยระเบิดระเบ้อเกินเยียวยา เกินกว่าที่แม่จะรับได้จริงๆ งานนี้แม่ขอร้องล่ะนะ จะหาว่าแม่จุ้นจ้านก็ยอมล่ะ ขอร้องให้หนูเชื่อแม่สักครั้ง ชุดที่แม่เลือกให้หนูเหมาะสมที่สุดแล้วและก็ทันสมัยมากที่สุดแล้วในพ.ศ.นี้ ส่วนชุดที่หนูเลือก... แม่รู้ว่าหนูพยายามปกปิดเนื้อตัวให้มิดชิดที่สุด แต่ขอโทษเถอะจ๊ะ... มันเหมาะที่จะใส่ไปฟังเทศน์ฟังธรรมที่วัดมากกว่าจะตัดเป็นชุดแต่งงานเป็นสะใภ้สุขารมณ์นะจ๊ะ”

อัปสรยังคงทำหน้าสงบนิ่ง เมื่อตอบอย่างสำรวมว่า “แต่ดิฉันว่าชุดที่คุณแม่เลือกให้ โป๊เกินไป”

“แค่เปิดไหล่เองน่ะลูก นะหนูอัปสรแม่ขอเถอะ แค่วันเดียวเอง ส่วนงานเลี้ยงกลางคืนซึ่งจัดที่โรงแรมเรา ถ้าหนูคิดว่าชุดที่แม่เลือกให้ยังโป๊มากไป แม่อนุญาตให้หนูสวมเสื้อแขนกระบอกยาวได้ แต่ก็...ยังไงก็ต้องไม่ใช่ชุดที่หนูเลือกนั่นน่ะจ๊ะ” คุณพุดซ้อนพูดพลางส่ายนิ้วชี้ไปมาตรงหน้าแล้วพูดต่อว่า “ลองหาแบบใหม่ที่ไม่โป๊แต่ทันสมัยดูจ๊ะ เอางี้...ถ้าอยากได้ชุดมิดชิดหน่อย แม่แนะนำให้เปลี่ยนไปสวมชุดไทยบรมพิมานดีกว่า” คุณพุดซ้อนพลิกอัลบัมทีละหน้าเพื่อหาเซ็ตชุดแต่งงานไทยบรมพิมาน เมื่อเลือกได้แบบหนึ่งที่ถูกใจก็เลื่อนไปให้อัปสรดู พลางว่า

“ลองดูแบบนี้เป็นไงจ๊ะ เป็นชุดไทยพระราชนิยม ใช้สีครีมงาช้างสีเดียวทั้งชุด ตามแบบฉบับไทยพระราชนิยม เสื้อแขนกระบอกยาวเข้ารูป หน้านางกลางรับกับพักชายพกจีบเฉียง ชุดนี้ความจริงใส่วันรดน้ำสังข์ก็ได้ เพราะดูเรียบแต่หรู แต่ทีนี้ปัญหาคือ มันเรียบร้อยอย่างที่หนูต้องการก็จริง แต่ตาวีจะเห็นดีเห็นงาม จะยอมด้วยหรือเปล่า เพราะงานเลี้ยงกลางคืน วีอาจอยากแต่งสบายๆ ถ้าหนูแต่งมิดชิดรัดกุมแบบนี้ มันอาจจะประดักประเดื่อไม่เข้ากันหรือเปล่า” ถามเชิงปรึกษา พูดมาถึงตรงนี้คุณพุดซ้อนก็ถอนหายใจ น้ำเสียงหงุดหงิด “ตาวีแหละคนเดียวเลย แทนที่จะอยู่ให้ปรึกษาหารือกันได้ จะได้ช่วยกันเลือกช่วยกันตัดสินใจให้เสร็จเร็วๆ นี่อะไรหายจ้อยเข้ากลีบเมฆ แล้วไหนจะต้องเลือกการ์ด เลือกของชำร่วย แล้วยังต้องใช้เวลาพิมพ์ การ์ด ทำของชำร่วยอีก แม่ล่ะกลุ้มจริงๆ ลูกคนนี้ไม่เคยได้อย่างใจเลย เห็นงานสำคัญๆ เป็นเรื่องเล็ก ทำเป็นเล่นขายของไปได้ ไม่เข้าท่าเลย... กาล” ประโยคหลัง เรียกพลางหันไปทางลูกชายหัวแก้วหัวแหวน




(ชุดงานเลี้ยงฉลองงานแต่งที่คุณพุดซ้อนเลือกให้ว่าที่ลูกสะใภ้)



“ครับ” ปฐมกาลขยับตัวจากมุมห้อง

“แม่กวนทีเถอะ ยกหูโทร.หาน้องที กระหน่ำโทร.จนกว่าจะติดนั่นแหละ เจ้าวีจะปิดมือถือได้ทั้งวันทั้งคืนก็ให้รู้ไป” สั่งงานลูกชายจบ ก็หันมาทางว่าที่ลูกสะใภ้ น้ำเสียงเปลี่ยนมาหวานเจี๊ยบ “หนูอัปสรจ๊ะ...แม่ว่าหนูเลือกชุดงานเลี้ยงกลางคืนสำรองไว้สักชุดสองชุดดีกว่าจ๊ะ เผื่อนายวียืนยันจะแต่งชุดสบายๆ ขึ้นมา เราจะได้ไม่เสียเวลามาเลือกกันใหม่”

อัปสรถอนหายใจ พลิกอัลบัมเลือกชุดงานเลี้ยงมงคลสมรสเงียบๆ เลือกได้แบบที่เข้าตา ก็เลื่อนไปตรงหน้าคุณพุดซ้อน “ชุดนี้น่าจะได้อยู่นะคะ”

คุณพุดซ้อมก้มมอง แล้วเงยหน้า ยิ้มเหยเก

“หนูอัปสรจ๊ะ แม่ว่าหนูมีปัญหากับรสนิยมแล้วล่ะ เอางี้...แม่เลือกให้ดีกว่า” คุณพุดซ้อนพูดแล้วเลื่อนอัลบัมมาพลิกดู ไม่นานก็เลือกได้แบบที่ถูกใจ เธอหันอัลบัมไปทางว่าที่ลูกสะใภ้ กล่าวว่า “แม่ว่าแบบนี้โอเคจ๊ะเซ็กซี่ดี ตาวีต้องชอบแน่”

อัปสรกะพริบตาปริบๆ ด้วยว่าดีไซซ์ของชุด ออกแบบให้เปิดหลังเปิดไหล่ และค่อนข้างสั้น ดูแล้วอุดจาดเกินกว่าจะสวยงามสำหรับเธอ เธอเงยหน้าตอบคุณพุดซ้อนด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า

“เอางี้ดีไหมคะ เราค่อยมาถกกันตอนที่ติดต่อคุณปฐวีได้แล้ว เขาเลือกชุดของเขาแล้วดิฉันค่อยตัดสินใจเลือกของดิฉันให้เข้ากับชุดของเขา” ติดสินใจเลื่อนเวลาที่ยากลำบากที่สุดออกไปก่อน

“เอางั้นหรือลูก แต่ยังติดต่อนายวีไม่ได้นี่สิ”

“ไม่เป็นไรค่ะ ดิฉันรอได้”

คุณพุดซ้อนถอนหายใจ หันไปตะโกนถามลูกชายซึ่งออกไปโทร.คุยนอกห้อง “ติดต่อน้องได้หรือยังลูก”

“ยังครับ” ปฐมกาลตะโกนกลับมา

คนฟังถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วหันมาสบตาว่าที่ลูกสะใภ้ “นั่นไงแม่ว่าแล้ว คงไปขลุกบ้านผู้หญิงคนไหนสักแห่ง ถึงได้ปิดมือถือแบบนี้ อุ๊ย...” ราวกับเพิ่งนึกได้ คุณพุดซ้อนรีบยกมืออุดปาก แก้ตัวให้ลูกชายเสียงอ่อยๆ ว่า “แม่อาจเข้าใจผิดไปเองก็ได้ บางทีมือถือวีอาจแบตหมดจริงๆ”

อัปสรยิ้มมุมปาก “ไม่เป็นไรค่ะ อย่าคิดมากเลย”

คุณพุดซ้อนไม่มีโอกาสพูดอะไรมากกว่านั้นเมื่อลูกสาวคนสุดท้องเดินเข้ามาในห้อง เธอมาในชุดนักศึกษาของมหาวิทยาลัยชื่อดัง สองมือหอบตำราพะรุงพะรัง

“อ้าว...ยายวาดมาพอดี แม่ไม่ได้ยินเสียงรถเลย”

“วาดไม่ได้ให้ลุงฉ่ำจอดหน้าบ้าน แต่เดินมาจากโรงจอดรถน่ะค่ะ แล้วนี่ทุกคนวัดตัวกันเสร็จหมดแล้วหรือคะ” ถามพลางมองไปทางอัปสร

“คุณพ่อ พี่กาลแล้วก็แม่ วัดตัวเสร็จแล้วจ๊ะ ส่วนหนูอัปสร กำลังวัดตัวอยู่ แต่ใกล้เสร็จแล้วล่ะ เหลือแต่ลูกกับพี่วีนั่นแหละ”

“อ้าว...แล้วพี่วีไปไหนล่ะคะ ทำไมไม่ว่าวัดด้วย”

“ก็นี่แหละที่แม่กำลังสงสัย พี่เราฝากหนูอัปสรมาบอกว่ามีธุระต้องไปหาเพื่อน แล้วก็หายต๋อมไม่ยอมเปิดมือถืออีกเลย”

“สงสัยไปอำลาสาวๆ ในฮาเร็ม หรือไม่ก็กำลังฉลองการสละโสดอยู่กับสาวคนใดคนหนึ่งในสังกัดอยู่แหงมๆ”

“ยายวาด พูดอะไรแบบนั้น ต่อหน้าพี่อัปสรไม่ดีนะลูก” คุณพุดซ้อนขยิบตาปราม

“บอกพี่อัปสรไว้นั่นแหละดีแล้วคุณแม่ พี่เขาจะได้ระวังตัวว่ากำลังจะแต่งกับคาสโนว่าตัวพ่อ” พูดแล้วก็หันไปยักคิ้วให้อัปสร แล้วว่า “แต่วาดมีคาถาปราบพี่วีนะคะ ถ้าอยากรู้ วันหลังจะกระซิบให้ฟังค่ะ” ประโยคแสร้งป้องปาก ลดเสียงลงแต่ก็ยังห่างไกลจากคำว่ากระซิบกระซาบ

คุณพุดซ้อนมองภาพนั้นแล้วส่ายหน้า แววตาเต็มไปด้วยรอยเอ็นดู ขณะที่อัปสรเพียงแต่ยิ้มอ่อนๆ กับความทะเล้นของปานวาด

“แล้วนี่คุณพ่อไปไหนคะ” ลูกสาวคนเล็กของบ้านถามพลางเหลียวหาคุณปิยชาติ

“ขึ้นไปเอนหลังพักผ่อนจ๊ะ” คุณพุดซ้อนตอบ

ปานวาดพยักหน้า “งั้นวาดขึ้นไปอาบน้ำดีกว่าค่ะ เหนียวเหนอะหนะเต็มที เดี๋ยวลงมาให้อาแอนวัดตัวนะคะ”

“งั้นระหว่างนี้เราเลือกของชำร่อยแล้วก็สถานที่ถ่ายพรีเว็ดดิ้งกันดีไหมจ๊ะหนูอัปสร” คุณพุดซ้อนถามเชิงหารือว่าที่ลูกสะใภ้

“ถ่ายพรีเว็ดดิ้งยังทันอยู่ใช่ไหมคะ” อัปสรถามกลับเสียงอ่อนๆ

อลิตาเป็นคนตอบว่า “อันนี้ถ่ายไว้สำหรับตกแต่งงานเลี้ยงฉลองแต่งงาน กับไว้ทำประกอบการ์ดเชิญใช่ไหมคะ”

“ใช่ค่ะคุณแอน”

“ถ้าตัดชุดใหม่คงไม่ทัน แต่ถ้าเลือกเท่าที่มีอยู่ น่าจะทันนะคะ” ความจริงลำพังชุดเจ้าบ่าวเจ้าสาวทั้งในวันรดน้ำสังข์กับวันฉลองมงคลสมรส ที่คุณพุดซ้อนจะสั่งตัดนั้น ก็แทบตัดไม่ทันอยู่แล้ว อาศัยว่า เงินถึง คุณพุดซ้อนบอกว่ายอมจ่ายไม่อั้น เท่าไหร่ไม่ว่าขอแค่เตรียมทุกอย่างเสร็จทันวันงาน ฉะนั้นเธอจึงต้องทำให้ทัน ส่วนชุดของคุณปิยชาติ คุณพุดซ้อนและปฐมกาลนั้น ตอนแรกคุณพุดซ้อนตั้งใจว่าจะตัด แต่ติดที่ระยะเวลาจำกัด จึงเปลี่ยนมาเลือกแบบเท่าที่มีอยู่ ฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องยุ่งยาก เธอสามารถแก้แบบให้เข้ากับไซซ์ของแต่ละคนได้ทันตามกำหนดแน่นอน

………………………………..













Create Date : 16 เมษายน 2557
Last Update : 16 เมษายน 2557 21:45:12 น.
Counter : 2438 Pageviews.

9 comment
สาปรัก...บท 11/1 (อีเมล)
ปฐมกาลพาอัปสรทะลุห้องโถงเพื่อตรงไปยังชั้นสอง โดยไม่ผ่านห้องรับแขกที่ช่างเสื้อกำลังสาละวนอยู่กับการจดรายละเอียดการวัดตัว พลันที่ก้าวเข้าไปในห้องโถง เธอก็ชะงักเท้าเมื่อสายตาสะดุดเข้ากับกรอบรูปเหนือผนัง ปฐมกาลซึ่งจับสังเกตอยู่แล้ว เห็นอาการเกร็งตัวของอัปสร ก็เหลียวมองตาม สายตาปะทะเข้ากับต้นเหตุที่ทำให้อัปสรเกร็ง เขาก็กล่าวขึ้นอย่างช้าๆ โดยที่สายตาไม่ละไปจากใบหน้าขรุขระของเธอ

“คุณพ่อให้ผมนำภาพวาดไปใส่กรอบและนำมาติดไว้กับผนังรวมกับภาพอื่นๆ ของครอบครัว หวังว่าคุณจะไม่รังเกียจ”

ภาพวาดของอัปสรอยู่ในตำแหน่งโดดเด่นชวนสะดุดตา แน่นอนต้องสะดุดตาแน่ เพราะนอกจากจะวางอยู่ในระดับสายตาพอดีแล้ว รูปโฉมอันสะคราญตาของเธอยังชวนสะดุดตาผู้พบเห็นอีกด้วย ปฐมกาลเชื่อขนมกินได้เลยว่าใครก็แล้วแต่ที่เดินเข้ามาในห้องนี้ ต้องสะดุดตากับภาพถ่ายของเธอเป็นอันดับแรก

ก็ใบหน้างามผุดผาดราวกับนางฟ้านั้น สวยจนชวนตะลึง...สวยจนลืมหายใจเลยทีเดียว

ภาพวาดของอัปสรอยู่ถัดจากภาพถ่ายของครอบครัวสุขารมณ์ โดยภาพแขวนภาพแรกเป็นภาพถ่ายของคุณปิยชาติกับคุณพุดซ้อนในชุดแต่งงาน ตามมาด้วยภาพสมาชิกครอบครัวที่ถ่ายกันพร้อมหน้าบริเวณหน้าบ้าน ถัดมาเป็นภาพของปฐมกาลในชุดรับปริญญาจากมหาวิทยาลัยต่างประเทศ แล้วจึงเป็นภาพปฐวีในชุดทักซิโดดูไม่ต่างจากหนุ่มสำราญ ตามมาด้วยภาพปานวาดในชุดนักศึกษา แล้วจึงปิดท้ายด้วยภาพวาดของเธอ

“หวังว่าคุณคงไม่ขัดข้อง” ปฐมกาลกล่าวย้ำอีกครั้งเมื่อเห็นอัปสรยังไม่ตอบ

อัปสรละสายตากลับมามองเขา ตอบว่า “ขอบคุณค่ะ ถือว่าให้เกียรติอย่างมาก”

“แปลว่าคุณยอมรับแล้วว่าคุณใช่นางฟ้าในรูปจริงๆ”

อัปสรอึ้งเมื่อไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมของปฐมกาล

ปฐมกาลยิ้มอย่างเป็นต่อ แววตายังเป็นประกายระยับเมื่อกล่าวว่า “นางฟ้าในรูปสวยมาก คุณว่าไหมครับ?”

คราวนี้อัปสรไม่ตอบ แต่เลือกที่จะเบือนสายตาไปสังเกตสิ่งรอบข้าง ทุกอย่างรอบตัวเต็มไปด้วยเฟอร์นิเจอร์หรูหรา อุปกรณ์ทุกชิ้นบ่งบอกถึงราคาและรสนิยมของผู้อยู่อาศัย

ปฐมกาลเลิกคิ้วเมื่อไม่ได้คำตอบจากอัปสร เขาหัวเราะแก้เก้อแล้วล้อยิ้มๆ แววตากรุ้มกริ่มโดยไม่รู้ตัว

“เอ...หรือว่ากฎสวรรค์ห้ามนางฟ้าชมตัวเองครับ?”

อัปสรนิ่วหน้า รู้สึกได้ถึงการเกี้ยวพาตรงๆ ของเขา แววตาเธอจึงเปลี่ยนมาว่างเปล่าระคนเย็นชา เมื่อตอบว่า “พาดิฉันไปล้างหน้าล้างตาเถอะนะคะ ช่างตัดเสื้อรออยู่ไม่ใช่หรือ”

ปฐมกาลอึ้ง รู้สึกไม่ต่างจากถูกตบหน้าจากน้ำเสียงเย็นๆ นั่น เขาจ้องอัปสรตรงๆ ราวกับอัดอั้นตันใจ ด้วยอยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่ไม่อาจพูดได้ สุดท้ายเขาจึงถอนหายใจ เปลี่ยนใจออกเดินนำขึ้นบันไดไปชั้นสองแทน เขาเริ่มต้นบรรยายลักษณะของบ้านอย่างช้าๆ

“บ้านหลังนี้มีทั้งหมด ๓ ชั้น ชั้นล่างเป็นห้องรับรอง ห้องประชุมเล็ก ห้องประชุมใหญ่ ห้องรับประทานอาหาร และห้องครัวและติดกับห้องครัว เป็นห้องคนรับใช้ ส่วนชั้นสอง...เป็นห้องนอนของคุณพ่อคุณแม่ ห้องรับรองแขกคนสนิท ห้องโฮมเธียเตอร์ของครอบครัว และห้องฟิตเนส ชั้นสาม...เป็นห้องนอนของผม ห้องของวีและห้องยายวาด แต่นายวีไม่ค่อยกลับมาอยู่บ้านนักตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยแล้ว นับแต่คุณพ่อซื้อคอนโดฯ ให้เป็นของขวัญที่สอบติด...” ปฐมกาลเอ่ยชื่อมหาวิทยาลัยรัฐชื่อดังที่เก่าแก่ที่สุด แล้วพูดต่อว่า “หลังจากนั้นวีก็ติดชีวิตอิสระ พอเรียนจบกลับจากเมืองนอกและหาเงินเองได้... ผมหมายถึงเข้ามารับช่วงกิจการต่อจากคุณพ่อ ดูแลโรงแรมในเครือสุขารมณ์กรุ๊ปทั้งหมด เขาก็จัดการซื้อคอนโดฯ ย่านที่แพงที่สุดมาตบแต่งใช้เป็นที่หลับที่นอน ชีวิตส่วนใหญ่ของวีจึงขลุกอยู่ที่คอนโดฯ มากกว่าจะกลับมานอนบ้าน อีกเหตุผลที่วีไม่ค่อยกลับมาค้างที่บ้าน ผมมองว่าเป็นเพราะสะดวกในการพาผู้หญิงไปค้างอ้างแรมด้วย เพราะถ้าพามาค้างที่นี่ คุณแม่ด่าเปิงแน่ น้องชายผมขึ้นชื่อในเรื่องความเจ้าชู้ครับ เขาเป็นคนเบื่อง่าย เลยเปลี่ยนผู้หญิงบ่อย” ปฐมกาลเล่าหน้าตาเฉย เล่ามาถึงตรงนี้เขาก็หยุดเดิน เหลียวกลับมามองคนข้างหลัง แต่พบว่าสีหน้าของอัปสรยังคงเป็นปกติ ไม่มีรอยวูบไหวในดวงตาคู่สวย ปฐมกาลผ่อนลมหายใจ รู้สึกผิดหวัง

“คุณอัปสร” เขาเรียกชื่อขึ้นตรงๆ

“ค่ะ”

“คุณจะไม่พูดอะไรหน่อยเหรอ”

“จะให้พูดอะไรละคะ” ถามเสียงอ่อนๆ

“ก็...” ปฐมกาลถอนหายใจ “สารภาพเลยนะครับผมเป็นห่วงคุณ น้องชายผมเจ้าชู้มาก ผมห่วงว่าคุณจะน้ำตาเช็ดหัวเข่าเข้าสักวัน”

“อย่าเป็นห่วงเลยค่ะ ดิฉันรับกับสภาพนั้นได้ เมื่อสมัครใจแล้วที่จะปฏิบัติภารกิจนี้ให้ลุล่วง ก็จะเดินหน้าจนกว่าจะสำเร็จ ไม่มีอะไรมาขัดขวาง ทำให้ดิฉันหวั่นไหวหรือเปลี่ยนใจได้หรอกค่ะ”

ปฐมกาลฟังแล้วอึ้ง “ดูเหมือนคุณมุ่งมั่นกับการทำให้วีหันมาฝักใฝ่ธรรมะอย่างมาก”

อัปสรโน้มศีรษะรับ “นั่นคือวัตถุประสงค์ของการแต่งงานครั้งนี้ ดิฉันบอกคุณแล้ว”

“และผมก็บอกคุณแล้วเหมือนกันว่าเปลี่ยนซาตานให้เป็นนักบุญ ยังจะง่ายเสียกว่าเปลี่ยนนายวีให้เป็นคนใหม่”

นางฟ้าจำแลงอมยิ้ม “ไม่เป็นไรค่ะ ดิฉันจะพยายาม”

“คุณคงรักนายวีมากจริงๆ หาไม่แล้วคงไม่ยอมเสียสละตัวเองมากขนาดนี้” ปฐมกาลถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วว่า “บางทีผมก็ไม่เข้าใจสวรรค์เลย...ผมทำดีทุกอย่าง พยายามเป็นลูกดีที่ดี เชื่อฟังคุณพ่อคุณแม่มาโดยตลอด แต่สุดท้ายความรักที่คุณพ่อคุณแม่มีต่อผม ยังน้อยกว่าที่มีให้กับนายวีเสียอีก” น้ำเสียงตอนท้ายน้อยอกน้อยใจ

“ทำไมคุณคิดแบบนั้นล่ะคะ”

“ก็เป็นแบบนั้นจริงๆ คนนอกอาจมองว่าผมเป็นลูกรัก แต่แท้จริงแล้วเปล่าเลย..ลึกๆ แล้วนายวีต่างหากเป็นลูกรัก คุณพ่อคุณแม่รักนายวีมากกว่าผม เพียงแต่ด้วยบุคลิกเป็นคนขวางโลกของเขา ชอบขัดใจคุณพ่อคุณแม่ ท่านก็เลยแสดงความรักได้ไม่เต็มที่ แต่ความจริงแล้วคุณพ่อคุณแม่ปลื้มนายวีอย่างมาก”

“อืม...” อัปสรทำเสียงรับรู้ในลำคอ ดูเหมือนปฐมกาลจะผูกใจเจ็บกับความลำเอียงของคุณปิยชาติและคุณพุดซ้อนมาอย่างยาวนานและลึกซึ้ง เธอใช้ญาณเพ่งปฐมกาล แล้วได้คำตอบว่าเขาสามารถหลุดพ้นจากบ่วงแห่งความน้อยเนื้อต่ำใจนี้ไปได้ เพียงแต่เธออาจต้องใช้เวลา

แล้วเสียงของปฐมกาลก็ดังต่อไปว่า “ดูเหมือนสวรรค์จะลำเอียงเข้าข้างแต่นายวี ดูอย่างเรื่องเรียนกับการทำงาน...ผมรู้ว่าคุณพ่อรักคนเก่ง ผมก็เลยตั้งใจเรียน...เรียนอย่างหนักจนสามารถคว้าเกียรตินิยมมาได้ แต่สำหรับนายวี...ผมรู้ว่าหมอนั่นเรียนๆ เล่นๆ... วันๆ เอาแต่ขลุกอยู่กับผู้หญิง แต่มันกลับคว้าเกียรตินิยมมาได้อย่างง่ายดาย จนดูเหมือนเป็นเรื่องกล้วยๆ แถมยังจบปริญญาโทสองใบด้วย ดูสิ...โลกนี้ไม่แฟร์กับผมแค่ไหน แล้วอย่างเรื่องงาน ผมเดินตามรอยคุณพ่อทุกอย่างเพราะรู้ว่านี่คือสิ่งที่คุณพ่อต้องการ อีกอย่างท่านถือเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในยุคนี้ด้วย ผมรู้ว่าการบริหารธุรกิจไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว แต่อย่างน้อยการเจริญรอยตามคนที่ประสบความสำเร็จ ก็เหมือนการเดินทางลัด เราจะได้ไม่ต้องเสียเวลาเรียนรู้หรือล้มลุกคลุกคลานมากนัก แต่ผลที่เกิดขึ้นคืออะไรรู้ไหมครับคุณอัปสร?” ปฐมกาลถามโดยไม่ต้องการคำตอบ เขาพูดต่อว่า “หมอนั่นกลับสามารถรันธุรกิจชนิดที่เรียกว่าทำเงินในบัญชีงอกเงยเป็นกอบเป็นกำมากกว่าผมหลายสิบหลายร้อยเท่า ทั้งๆ ที่เขาไม่มีสูตรในการบริหารใดๆ เลย แถมเขาไม่เคยเดินตามสเต็บของผู้บริหารชั้นดี ตรงกันข้ามเขาใช้สัญชาตญาณล้วนๆ ในการตัดสิน ผมแอบภาวนาให้เขาตัดสินผิดพลาดสักครั้ง...แค่ครั้งเดียวพอ มันคงเรียกความเชื่อมั่นของผมกลับคืนมาได้บ้างว่าการบริหารควรต้องเดินตามสเต็บ แต่รู้ไหมครับ ๕-๖ ปีที่ผมเฝ้าจับตามอง...กลายเป็นว่าหมอนั่นไม่เคยตัดสินใจผิดพลาดเลยสักครั้ง แถมสื่อต่างชาติยังยกย่องให้เขาเป็นหนึ่งในยักษ์ใหญ่แห่งเอเชีย คลื่นลูกใหม่ของนักธุรกิจหัวก้าวหน้า...ช่างน่าแค้นใจนัก” พูดมาถึงตรงนี้ น้ำเสียงของปฐมกาลก็เต็มไปด้วยรอยคับแค้นใจ ทายาทอันดับหนึ่งแห่งสกุลสุขารมณ์พูดต่อไปว่า

“แล้วอย่างเรื่องความรัก... ผมไม่เคยเจ้าชู้ ไม่เคยผิดลูกเมียใคร ตรงกันข้ามทำตัวดีมาตลอด แต่กลับกลายเป็นว่าไม่เคยมีผู้หญิงดีๆ ผู้หญิงที่ถูกใจ เดินเข้ามาในชีวิต ตรงกันข้ามกับนายวี หมอนั่นทำตัวระยำตำบอนมาโดยตลอด ทำแต่เรื่องบัดสี สารพัดที่จะทำให้ผู้หญิงเจ็บช้ำน้ำใจ แต่กลับมีผู้หญิงดีๆ...อย่างคุณเดินเข้ามาในชีวิต ดูเหมือนโลกนี้ช่างไม่ยุติธรรมเสียเลย” ปฐมกาลเน้นคำว่า อย่างคุณ แล้วตบท้ายด้วยเสียงโอดครวญ

อัปสรอึ้ง คงปล่อยให้เขาระบายความในใจอีกพักใหญ่ๆ จนพอใจแล้ว เธอจึงปลอบประโลมด้วยน้ำเสียงเย็นๆ ว่า

“คุณเคยคิดไหมว่าคุณปฐวีเองก็มีเรื่องทุกข์ใจไม่แพ้กัน”

“ผมไม่เห็นหมอนั่นจะทุกข์ใจอะไรกับใครเขาเป็น”

“เขามีค่ะ เพียงแต่ไม่ได้แสดงออกเท่านั้น เขาใช้ความสำราญปกปิดความรู้สึกที่แท้จริงเสียนานจนกลายเป็นภาพที่ชินตาหรือไม่ก็เคยชินของคนรอบข้างไปแล้ว”

ปฐมกาลนิ่วหน้า “วีจะมีเรื่องทุกข์ใจอะไรนัก?”

อัปสรยิ้มด้วยแววตาปรานีราวกับกำลังสนทนาธรรมกับคนที่อ่อนวัยกว่า “คุณปฐมกาลทราบไหมคะ การที่เขาเอาตัวไปพัวพันกับผู้หญิงหลายๆ คนในชีวิตนั้น นั่นเป็นเพราะเขาพยายามหักล้างทฤษฎีความเชื่อของตัวเองที่ว่ารักแท้มีอยู่จริง การพลาดหวังจากรักแรกที่เขาคิดว่าเป็นรักแท้นั้น” น้ำเสียงเบาหวิวยามที่พูดว่า รักแท้ ที่ปฐวีมีต่อหญิงอื่น เธอกล่าวต่อว่า “ไม่ได้หมายความว่าเขาเข็ดหลาบ ตรงกันข้าม...ลึกๆ เขาพยายามเสาะหามันต่อไปด้วยความหวังว่าสักวันเขาจะเจอคู่แท้คนนั้น” ตอนที่คุยกัน...เธอแหย่เขาไปอย่างนั้นเองว่าเขาไม่เชื่อเรื่องเนื้อคู่ เพื่อหวังหันเหประเด็น ทั้งที่แท้จริงแล้ว...เธอรู้ว่าปฐวีเชื่อเรื่องนี้และเสาะแสวงมันมาโดยตลอดและทุกภพทุกชาติด้วย

ปฐมกาลอึ้ง “ดูเหมือนว่าคุณอัปสรจะรู้จักนายวีดี ยังกับรู้จักเขามาตลอดชีวิต?”

อัปสรยิ้มด้วยแววตาเศร้าสร้อย “ดิฉันรู้จักเขาดีพอๆ กับที่รู้จักตัวเอง แต่อย่าถามเลยนะคะว่ารู้จักได้อย่างไร เอาเป็นว่าดิฉันรู้จักเขาดีกว่าที่เขารู้จักตัวเอง...บางทีอาจมากเกินกว่าที่เขาจะต้องการด้วยซ้ำ ว่าไปแล้วลึกๆ คุณปฐวีเป็นคนน่าสงสาร เขาไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังค้นหาหรือรอคอยอะไร และเมื่อยังไม่เจอ เขาจึงแสดงออกในรูปแบบของการหาสิ่งชดเชย เขาทำงานอย่างหนัก หวังที่จะทำให้เงินในบัญชีเพิ่มพูนและเสาะแสวงหาผู้หญิงที่คิดว่าใช่... แต่ยิ่งหาและยิ่งชดเชย เป้าหมายสูงสุดของเขาก็ยิ่งห่างไกลออกไปเรื่อยๆ เขาไม่รู้เลยว่าสิ่งที่เขาปฏิบัติอยู่เป็นปฏิปักษ์ต่อเป้าหมายของเขา มันคือวิบากกรรม คืออุปสรรคที่คอยขัดขวางไม่ให้เขาเข้าถึงความปรารถนาอันสูงสุด”

“อะไรคือความปรารถนาสูงสุดของน้องชายผม?”

“ธรรมะขั้นสูงค่ะ”

“ครับ?” ปฐมกาลย้อนถามเสียงสูงด้วยความไม่มั่นใจว่าอัปสรจะเข้าใจถูกต้องหรือไม่

อัปสรย้ำด้วยความมั่นใจว่า “จริงค่ะ ธรรมะขั้นสูงคือเป้าหมายสูงสุดของเขาจริงๆ เพียงแต่ตอนนี้เขายังไม่รู้เท่านั้น แต่อีกไม่นานเขาจะรู้ด้วยตัวเองค่ะ ฉะนั้นคุณปฐมกาลอย่าไปน้อยเนื้อต่ำใจหรือริษยาคุณปฐวีเลยนะคะ เขายังมีอะไรอีกหลายๆ อย่างที่น่าสงสารกว่าคุณเยอะ”



ปฐมกาลไม่มั่นใจว่าสิ่งที่อัปสรเข้าใจจะถูกต้องหรือไม่ แต่อย่างน้อยฟังแล้วเขาก็ใจชื้นขึ้นและรู้สึกปลอดโปร่งโล่งใจขึ้นอย่างบอกไม่ถูก...มากจนสามารถพาว่าที่เจ้าสาวของปฐวีเดินชมห้องหับต่างๆ ภายในบ้านได้อย่างสบายอารมณ์ราวกับว่าไม่เคยมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นก่อนหน้านั้นมาก่อน บางทีอาจด้วยความดีใจและยินดี เมื่อได้ฟังว่าปฐวีไม่ได้สมบูรณ์แบบไปซะทุกๆ เรื่องสักทีเดียว แต่ยังมีข้อด้อยอยู่บ้าง...อย่างน้อยก็ในสายตาของอัปสร

ไม่สิ...เขาดีใจอย่างมากเลยต่างหากที่ได้ยินว่าน้องชายมีข้อบกพร่องในสายตาของอัปสร... ปฐมกาลแก้ความคิดของตัวเอง แล้วออกเดินนำพลางบรรยายต่อว่า

“ชั้นสามของบ้านหลังนี้ มีห้องโฮมเธียเตอร์และฟิตเนสขนาดย่อมอยู่ทางปีกขวา ส่วนปีกซ้ายเป็นห้องนอนของผม ห้องนอนของวี สำหรับห้องยายวาดและห้องคุณอยู่ฝั่งตรงข้าม คุณแม่บอกว่าช่วงแรกๆ คุณอาจต้องย้ายเข้าไปอยู่ในห้องวีก่อน หลังแต่งงานแล้ว แต่พอเรือนหอสร้างเสร็จแล้ว ก็ค่อยย้ายเข้าไปอยู่บ้านตัวเอง คุณแม่ตั้งใจจะปลูกเรือนหอหลังเล็กติดกับเรือนใหญ่หลังนี้ให้เป็นของขวัญวันแต่งงานของคุณกับนายวี” ปฐมกาลจบประโยคด้วยการหันมามองเธอ

“ความจริงคุณแม่ของคุณไม่น่าต้องเปลืองค่าใช้จ่าย เพราะยังไงชีวิตคู่ของดิฉันกับคุณปฐวีก็ไม่ได้ยืนยาวอยู่แล้ว”

ปฐมกาลอึ้ง “คุณคิดว่าจะอยู่กับนายวีนานแค่ไหน”

“ดิฉันไม่อาจตอบได้ บางที....อาจจนกว่าภารกิจจะลุล่วง หรือไม่...ดิฉันก็อาจสิ้นอายุขัยไปก่อน”

“หมายความว่าไง คำพูดคุณมีนัยยะแปลกๆ อีกแล้ว”

“ดิฉันเคยบอกแล้วอายุดิฉันไม่ได้ยืนยาวหรอกค่ะ การต่อชีวิตให้ใคร...ก็เท่ากับหั่นอายุของตัวเองให้เท่านั้น”

ปฐมกาลอึ้งอีกครั้ง ด้วยว่าน้ำเสียงของคนพูดไม่มีร่องรอยเสียใจ ถอนหายใจแล้วว่า “ผมเสียใจแทนคุณด้วยจริงๆ ผมอยากให้คุณมีชีวิตยืนยาว”

“ขอบคุณค่ะ แต่อย่างที่บอกอย่ามาเสียใจเลยนะคะ ยิ่งดิฉันสิ้นอายุขัยเร็วเท่าไหร่ก็เท่ากับดิฉันมีเวลาก่อวิบากกรรมในภพภูมินี้น้อยลงเท่านั้น”

“คุณมักมีหลักคิดที่แปลกๆ คุณอัปสร”

อัปสรเพียงแค่ยิ้มปรานีให้เขา

ปฐมกาลหันกลับไปทำหน้าที่มัคคุเทศก์แนะนำบ้านต่อ เขาเดินเข้าไปในห้องหนึ่งซึ่งตกแต่งด้วยสีโทนน้ำตาล พลางกล่าวว่า “เอาล่ะ เรามาถึงห้องของคุณแล้ว ห้องคุณจะมีขนาดเท่าๆ กับห้องยายวาด และมีอุปกรณ์ตกแต่งห้องเหมือนกันทุกอย่าง ประกอบด้วยห้องทำงานพร้อมพีซีและแมคบุ๊คซึ่งคุณแม่เพิ่งไปถอยมาให้คุณวันนี้ ห้องน้ำพร้อมห้องแต่งตัว ซึ่งมีส่วนเปียกแยกกับส่วนแห้ง” ปฐมกาลพาเดินลงบันไดเตี้ยๆ ไปยังส่วนเปียกของห้องน้ำ ก่อนผายมือไปยังอ่างจากุสซี่ทรงกลมขนาดใหญ่แยกกับฉากกั้นฝักบัวชัดเจน จากนั้นพากลับเข้ามาในห้องนอน บอกว่า

“ที่นี่ทานอาหารเช้า ๗ โมง อาหารเที่ยง ๑๑.๓๐ น. และอาหารเย็นทุ่มหนึ่ง ทุกเสาร์อาทิตย์ถ้าไม่ติดธุระสำคัญหรืองานด่วน สมาชิกครอบครัวต้องมาทานข้าวรวมกัน ข้อตกลงข้อนี้มีขึ้นเพื่อบังคับนายวีให้กลับมามีเวลาสังสรรค์กับที่บ้าน เพราะตั้งแต่เขาจบกลับมา วีไม่ค่อยจะกลับมาทานข้าวที่บ้านบ่อยนัก แต่ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ที่คอนโดฯ แต่ธรรมเนียมปฏิบัติข้อนี้ก็หายไปได้กว่า ๓ ปีแล้วนับตั้งแต่คุณพ่อป่วย คุณมีอะไรสงสัยหรือจะถามไหมครับ?” จบประโยคด้วยการหันมาถามเธอ

“ที่นี่มีห้องพระไหมคะหรือไม่ห้องที่สามารถปฏิบัติธรรมได้ทั้งครอบครัว”

“มีครับอยู่ที่ชั้นสอง น่าจะกว้างพอ ทำไมหรือครับ?”

อัปสรพยักหน้ารับรู้ ก่อนขยายความ “อย่างที่ดิฉันบอก ถึงจะทำพิธีต่ออายุให้แล้ว แต่คุณปิยชาติยังต้องปฏิบัติธรรมเรื่อยไปจนตลอดชีวิต และดิฉันอยากให้สมาชิกทุกคนในครอบครัวร่วมกันปฏิบัติธรรมด้วยเพื่อช่วยกันสร้างกุศลกรรมให้กับคุณปิยชาติและตัวเอง เราอาจเริ่มต้นด้วยการนั่งสมาธิและทำวัตรเช้าและวัตรเย็นอย่างง่ายๆ ส่วนอาหารมื้อเที่ยงและมื้อเย็น...ดิฉันคงต้องขออนุญาตขอตัว เพราะดิฉันไม่ทานอะไรหลังเที่ยง และไม่นอนที่นอนสูง หรูหราฟุ่มเฟือย” พูดพลางปรายตาไปทางเตียงนอนซึ่งมีผ้าปูเตียงผืนสวยคลุมฟูกสูงและหนา ก่อนละสายตามาสบเขา กล่าวว่า “แต่คุณไม่ต้องยุ่งยากหาอะไรมาแทนหรอกนะคะ เพราะดิฉันสามารถนอนบนพื้นได้”

“โอ๊ะ...ผมต้องขอโทษด้วย ลืมนึกถึงข้อนี้ไป ไม่เป็นปัญหาครับให้ผมจัดหาให้คุณดีกว่า ถ้าคุณไม่นอนบนเตียง แล้วคุณจะนอนบนอะไรได้ครับ”

“เสื่อสักผืนก็ได้ค่ะ ขอบคุณมาก”

ฟังแล้วปฐมกาลอมยิ้ม “ผมว่าต่อไปนี้น้องผมคงลำบากแน่ ถ้าไม่สามารถนอนบนเตียงได้”

อัปสรนิ่วหน้า “เกี่ยวอะไรกับคุณปฐวีคะ?”

“ก็รายนั้น...” ปฐมกาลอ้ำอึ้งไม่อาจพูดต่อจนจบได้ ใบหน้าแดงก่ำอย่างขัดเขิน “ช่างเถอะครับ คงไม่เหมาะที่จะพูดต่อหน้าผู้ปฏิบัติธรรมอย่างคุณ” กลั้นหัวเราะจนตาหยีเมื่อนึกถึงภาพของน้องชายที่ต้องระเห็จตัวเองลงไปนอนเสื่อ หากต้องการจะหลับนอนกับภรรยา นึกมาถึงตรงนี้ปฐมกาลก็ชะงัก “คุณอัปสรครับ เอ้อ...ผมรบกวนถามหน่อยได้ไหมครับ ไม่รู้ว่าจะเหมาะสมแค่ไหน”

“เชิญค่ะ”

“ดูเหมือนคุณยังต้องการปฏิบัติธรรมหลังจากแต่งงานแล้ว แต่ถ้านายวีต้องการใช้สิทธิ์สามี ยังงี้ศีลคุณไม่ขาดหรือครับ ขอโทษถ้าเป็นการละลาบละล้วง คุณไม่ต้องตอบก็ได้นะครับถ้าไม่สะดวก”

อัปสรตอบด้วยแววตาเป็นปกติ “ศีลดิฉันจะขาดนับตั้งแต่วันแต่งงาน โดยเฉพาะข้อ ๗ เว้นจากฟ้อนรำ ขับร้อง บรรเลงดนตรี ดูการเล่นอันเป็นข้าศึกต่อพรหมจรรย์ การทัดทรงดอกไม้ ของหอม และเคลื่องลูบไล้ซึ่งใช้เป็นเครื่องประดับตกแต่ง ส่วนศีลข้อ ๓ เว้นจากประพฤติผิดพรหมจรรย์ หรือเว้นจากการร่วมประเวณีนั้น ข้อนี้ขาดแน่นอนค่ะถ้าหากคุณปฐวีต้องการใช้สิทธิ์ของความเป็นสามี เพียงแต่ศีลขาด ยังสามารถต่อศีลหรือวิรัติศีลใหม่ได้ แต่...” พูดมาถึงตรงนี้อัปสรก็ชะงัก ถอนหายใจแผ่วเบา... แต่พรจากองค์อินทร์ภูเตศวรต่างหาก ที่ถ้าหากสลายไปแล้วโดยสมบูรณ์ ต่อให้เพียรต่ออย่างไร ก็ไม่อาจกลับคืนมาได้ ใช่...จุดนี้ต่างหากที่เธอกังวล

“แต่อะไรครับ?” ปฐมกาลถามเร้าเมื่อไม่เห็นอัปสรพูดต่อ

“ช่างมันเถอะค่ะ...ไม่มีอะไรหรอก” อัปสรส่ายหน้า ส่งยิ้มซีดเซียวให้เขา

ปฐมกาลยังคงเพ่งมองคนพูดอย่างห่วงใย “คุณไม่เป็นอะไรแน่นะครับ ดูคุณเหมือนมีเรื่องไม่สบายใจ”

“ไม่มีอะไรจริงๆ ค่ะ ขอบคุณค่ะที่เป็นห่วง”

พี่ชายคนโตของบ้านลังเล แต่ที่สุดก็พยักหน้าอย่างตัดใจ บอกว่า “ถ้าคุณอัปสรไม่มีอะไรจะถามแล้ว ผมปล่อยให้คุณได้ล้างหน้าล้างตาดีกว่า จะได้ลงไปให้ช่างวัดตัว”

“ขอบคุณค่ะ ไม่มีอะไรแล้ว”


………………………………..







Create Date : 16 เมษายน 2557
Last Update : 16 เมษายน 2557 21:08:06 น.
Counter : 2156 Pageviews.

86 comment
สาปรัก...บท 10/2
อย่างที่เขาคาดไว้ไม่มีผิด...ข่าวเบรกไม่ทันจบ เสียงโทรศัพท์จากบรรดาเพื่อนๆ ก็ดังกระหน่ำไม่หยุดหย่อน และหนึ่งในนั้น คือ สายจากสุนิษา ทุกคนล้วนถามด้วยคำถามเดียวกัน

“คุณวี...” เสียงกรีดร้องของสุนิษาซึ่งฟังแล้วไม่ต่างจากเสียงโหยหวนดังมาตามสาย “ฉันฟังผิดไปหรือเปล่าคะข่าวทีวีรายงานว่าคุณกำลังจะแต่งงาน”

ดูเหมือนข่าวการแต่งงานของเขาจะกลบข่าวคุณพ่อออกจากโรงพยาบาลเสียสนิท... ปฐวีพยายามคิดไปในทางตลก

“ครับ...น่ากลัวจะเป็นอย่างนั้น” น้ำเสียงร่าเริง ค้านกับใบหน้าที่กำลังเคร่งเครียด

“แล้วทำไมคุณถึงไม่บอกฉันก่อนหน้านี้คะ ทำไมจู่ๆ ถึงจะแต่งขึ้นมาคะ”

ปฐวีนิ่วหน้ากับเสียงเกรี้ยวกราดปลายสาย “พูดตามจริงเลยนะ ผมเองก็เพิ่งรู้ก่อนคุณไม่กี่วันเอง”

“ก็แล้วทำไมคุณไม่บอกฉันตั้งแต่วันที่รู้คะ”

ปฐวีอึ้ง เพราะไม่ชินกับการถูกคาดคั้นจากสุนิษามาก่อน

ดูเหมือนสุนิษาจะเพิ่งรู้ตัวว่าแสดงกิริยาไม่งามออกไป เธอจึงลดโทนเสียงลง กลับมาพูดด้วยโทนเสียงเป็นปกติว่า “ผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร มาจากไหนคะ ในข่าวก็ไม่ได้พูดถึงมากนัก บอกแค่ว่าเป็นม้ามืด ขนาดคุณพ่อคุณเองก็ดูเหมือนไม่เต็มใจจะพูดถึง” สุนิษาตีขลุมไปว่าคุณปิยชาติไม่เต็มใจที่จะพูดถึงว่าที่ลูกสะใภ้ ทั้งที่ในข่าวคุณปิยชาติแค่ตอบว่าให้ถามรายละเอียดจากปฐวีเอง

ปฐวีถอนหายใจ ก่อนตอบว่า “ผมไม่รู้จักเธอนัก รู้จากพี่กาลกับคุณแม่ว่าเธอเป็นนักปฏิบัติธรรม อายุ ๒๓ ปี แค่นั้น”

“๒๓? อายุต่างกับคุณ ๑๒ ปีเชียวนะคะ” น้ำเสียงเต็มไปด้วยรอยริษยาโดยไม่รู้ตัว สุนิษากล่าวต่อว่า “แถมเป็นนักปฏิธรรมด้วย นี่คุณคิดจะทำลายศาสนาหรือไงคะ?”

ปฐวีสะอึกกับคำไม่ได้เกลานั้น “ผมจะคิดว่าคุณพูดเล่นนะคุณษา อย่างที่บอกผมไม่ได้รู้จักเธอเป็นการส่วนตัว คุณแม่แนะนำอีกที”

“คุณจะบอกว่าการแต่งงานครั้งนี้คุณไม่ได้เต็มใจ แต่ถูกคลุมถุงชนอย่างงั้นหรือคะ? ไม่เอาน่า...คุณโตเกินกว่าจะมาถูกบังคับด้วยเรื่องสำคัญขนาดนี้นะคะ”

“เชื่อเถอะคุณษา ผมเองก็ไม่แฮปปี้กับการถูกริดรอนสิทธิ์เหมือนกัน เพียงแต่หนนี้มันเกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของคุณพ่อ เพราะฉะนั้นผมเต็มใจที่จะแต่ง” พูดมาถึงตรงนี้ปฐวีก็นึกถึงใบหน้าสะสวยที่ซ่อนอยู่หลังผิวหน้าที่ขรุขระของอัปสร ยอมรับว่าการแต่งงานกับอัปสรไม่ใช่การฝืนใจอีกต่อไป

“หมายความว่าคุณแต่งงานเพราะภาวะจำยอมหรือคะ? คุณแต่งเพื่อคุณพ่อหรือคะ? เกี่ยวข้องกับการที่คุณพ่อคุณหายดีจนสามารถออกมาจากโรงพยาบาลได้ หรือเปล่าคะ”

สุนิษาถามกลับมารัวเร็ว คนถูกคาดคั้นถอนหายใจแล้วตอบว่า “ผมไม่มีเวลาอธิบายตอนนี้หรอกนะครับคุณษา เรื่องมันยาว และผมกำลังมาทำธุระให้คุณแม่ด้วย เพราะงั้นเอาไว้วันหลังแล้วผมจะอธิบายให้ฟังนะครับ” ปฐวีรีบตัดบทเหมือนสายตาเหลือบไปเห็นอัปสรเดินออกมาจากลิฟต์

“งั้นคุณมาหาฉันเย็นนี้ได้ไหมคะ คุณจะได้อธิบายให้ดิฉันฟัง”

“ตกลงครับ ผมต้องวางหูแล้ว แค่นี้นะครับ” ปฐวีรับปากส่งเดชแล้วรีบตัดสาย เขาเดินตรงไปหาอัปสรซึ่งกำลังเดินไปทางฟรอนต์ แย่งเป้จากฝ่ายนั้นมาช่วยถือ อัปสรผงะอย่างตกใจแต่ก็ยอมปล่อยให้เขาช่วยแต่โดยดี ปฐวีคว้ามาสะพายบ่า ออกเดินนำตรงไปยังเคาน์เตอร์

“ใช้เครดิตการ์ดของผมครับ” ปฐวีบอกพนักงานพลางวางเครดิตการ์ดบนเคาน์เตอร์ ขณะที่อัปสรวางคีย์การ์ดคืนบนเคาน์เตอร์

“ห้องพักหมายเลขอะไรคะ”

ปฐวีปล่อยให้อัปสรเป็นคนตอบ พนักงานไล่ดูรายชื่อบนหน้าจอ เห็นเข้าพักคนเดียวเธอก็ตรวจสอบจำนวนคูปองอาหารเช้าและจำนวนคีย์การ์ดเพื่อยืนยัน แล้วจึงเงยหน้า

“คุณอัปสรแจ้งเข้าพักแค่คนเดียวนี่คะ แล้วคุณ...?”

“ผมไม่ได้พักด้วย แต่ขอจ่ายให้เธอครับ”

“งั้นต้องขอบัตรประชาชนด้วยค่ะ”

พนักงานรับบัตรประชาชนเพื่อจะถ่ายเอกสาร พลันต้องชะงักเบิ่งตาโตอย่างตกตะลึงเมื่อเห็นชื่อ ปฐวี สุขารมณ์ บนหน้าบัตร หันไปกระซิบกระซาบบอกเพื่อนด้วยความตื่นเต้น แล้วจากนั้นก็เกิดรายการกระซิบกระซาบบอกต่อๆ กัน พร้อมกับภาพรอยยิ้มเชิญชวนระคนชื่นชมจากบรรดาสาวๆ หลังเคาน์เตอร์ก็เวียนส่งมาให้ปฐวีนับแต่นั้น

ปฐวีรอรับบัตรประชาชนและบัตรเครดิตคืนอย่างใจเย็น เขาออกเดินนำออกมาจากโรงแรมด้วยท่าทีปกติราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งที่สาวๆ ข้างหลังเริ่มส่งเสียงกรี๊ดพร้อมหลุดปากชมอย่างเก็บอาการไม่อยู่ เขาหันไปถามอัปสรว่า

“สัมภาระคุณมีแค่นี้เองเหรอ ทำไมน้อยจัง”

“ค่ะ แค่นั้นแหละ ดิฉันไม่ค่อยเก็บสะสมอะไรนัก”

ปฐวีอึ้ง เหลือบมองหลังแวบหนึ่งโดยไม่หยุดเดิน กล่าวต่อว่า “ไม่เป็นไรต่อไปนี้ผมจะหาซื้อให้คุณเอง”

อัปสรเลิกคิ้ว แต่ไม่ได้เอ่ยปากถามในสิ่งที่สงสัย

ปฐวีถามต่อ “แล้วปกติคุณใช้จ่ายยังไง”

“คะ?”

“ผมหมายความว่าปกติคุณหาเงินมาใช้จ่ายด้วยวิธีไหน ถ้าหากตลอดเวลาคุณนั่งบำเพ็ญศีลภาวนาในป่า แล้วคุณจะหาเงินมาใช้จ่ายยังไง”

“อ้อ...ปกติดิฉันไม่ได้ใช้จ่ายอะไรมากนักหรอกค่ะ”

“แล้วกรณีที่จำเป็นต้องใช้จ่ายล่ะ” ปฐวียังคงตื้อถาม เขาเดินตรงไปยังรถพลางกดรีโมทปลดล็อก

“ก็ปกติไม่จำเป็นต้องจ่ายอะไรนี่คะ”

“แล้วกรณีที่จำเป็นต้องจ่ายล่ะ”

“ก็ไม่จำเป็นต้องจ่ายอะไรมากนี่คะ”

“นี่...คุณกำลังกวนผมอยู่หรือเปล่าคุณฟ้า” ปฐวีหันหลังกลับมาถามด้วยสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง แอบผิดหวังเมื่ออัปสรสามารถยั้งตัวเองไว้ได้ทัน ไม่ได้ผวาเข้ามาชนเมื่อเขาหยุดเดินโดยไม่ให้สุ้มให้เสียง หากกระนั้นเธอก็เข้ามาใกล้พอจนเขาได้กลิ่นหอมอ่อนๆ จรุงใจ ปฐวีแอบสูดเข้าปอดฟอดใหญ่ แล้วถามต่อด้วยน้ำเสียงนุ่มรื่นหู “แล้วที่ผ่านมาคุณกินอยู่ยังไงคุณฟ้า”

“ดิฉันก็นั่งวิปัสสนากับแม่ชี ส่วนมากก็กินเท่าที่มีชาวบ้านนำมาบริจาคให้ ให้เท่าไหร่ก็กินเท่านั้น”

“แล้วถ้าไม่ให้”

“ก็ไม่มีกิน”

ปฐวีอึ้ง วูบหนึ่งรู้สึกสงสาร อัปสรคงอยู่อย่างยากลำบากมาโดยตลอด เผลอๆ เธออาจไม่เคยเข้าโรงเรียน ปฐวีถอนหายใจอีกเฮือกแล้วว่า “ต่อไปนี้คุณไม่ต้องกังวลแล้ว คุณจะมีอาหารกินครบสามมื้อ แล้วผมจะทำบัตรเครดิตให้คุณด้วย ที่สำคัญต่อไปนี้คุณไม่ต้องพักโรงแรมถูกๆ แบบนี้อีกแล้ว คุณสามารถเลือกพักโรงแรมดีๆ ที่ไหนสักแห่งที่อยู่ในเครือธุรกิจผมได้ตลอดเวลา และหลังจากที่เราแต่งงานกันแล้ว ผมจะจัดครูมาติวให้คุณที่บ้าน”

อัปสรชะงัก มองเขาแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “เรื่องค่าใช้จ่าย อาหารการกิน กับที่พัก พอจะเข้าใจความปรารถนาดีของคุณอยู่หรอกนะคะ และต้องขอขอบพระคุณด้วย แต่ที่ไม่เข้าใจคือเรื่องติว? คุณจะจ้างครูมาติวให้ดิฉันทำไมคะ?”

“ก็คุณคงไม่เคยเข้าโรงเรียน คุณอาจจะอ่านหนังสือไม่ออก เพราะฉะนั้นผมอยากให้คุณอ่านหนังสือออก คงไม่ดีแน่ถ้าภรรยาของผู้บริหารสุขารมณ์กรุ๊ปอ่านหนังสือไม่ได้”

อัปสรอมยิ้มอย่างอดไม่อยู่ เขาคงลืมไปแล้วว่าการแต่งงานครั้งอยู่ภายใต้เงื่อนไขหลายข้อและหนึ่งในนั้นคือ...ระยะเวลาของการใช้ชีวิตคู่ครั้งนี้ต้องไม่นาน

“ขอบคุณค่ะ แต่อย่าเสียเวลาเลย ดิฉันชอบอ่านพระไตรปิฎกมากกว่า” ตอบเขาพลางมองด้วยแววตาอ่อนโยน... อัปสรรู้สึกใจชื่นขึ้นเมื่อรู้สึกว่าเขาไม่ใช่คนจิตใจหยาบกระด้างสักทีเดียว... อย่างน้อยก็มีความรู้สึกสงสารคนที่ด้อยกว่าเป็น

“คุณอ่านหนังสือออก?” ปฐวีถามด้วยความประหลาดใจ

อัปสรกลั้นยิ้มมากขึ้น เธอเดินอ้อมเขาไปขึ้นรถโดยไม่รอให้เขาเปิดประตูเหมือนตอนขามาอีก อัปสรไม่นึกอยากบอกเขาด้วยซ้ำว่านอกจากอ่านหนังสือออกแล้ว เธอยังสามารถอ่านและเข้าใจได้มากกว่าสามภาษา...นอกเหนือจากภาษาไทย ภาษาบาลีและภาษาสันสกฤตแล้ว เธอยังสามารถอ่านและสื่อสารภาษาต่างประเทศได้ทุกภาษา บางทีอาจเป็นด้วย พรสวรรค์ ที่ติดตัวมากับกายทิพย์ ทำให้เธอสามารถเข้าใจภาษาใดก็แล้วแต่ที่เธอต้องการได้ ทว่าก่อนที่จะได้พรสวรรค์ข้อนี้ เธอจำได้ว่าจะต้องบำเพ็ญเพียรศีลบารมีมาหลายภพหลายชาติมาก

“ว่าไงคุณยังไม่ตอบผม” ปฐวีทวงคำตอบเมื่อเข้ามานั่งในรถแล้ว

“ดิฉันอ่านหนังสือออกค่ะ”

ปฐวีเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ เขาออกรถอย่างช้าๆ ขณะปากถามว่า “คุณเรียนหนังสือที่ไหน”

ไม่สามารถโกหกได้... เธอจึงตอบว่า “น่าจะมีใครสักคนสอนดิฉันนะคะ ไม่งั้นก็คงอ่านไม่ได้”

ปฐวีทำหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้งกับคำตอบกำปั้นทุบดินของศีลจาริณี ไม่ทันได้เอ่ยโต้อะไรมากกว่านั้น เมื่อมีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ซึ่งเป็นสายจากเพื่อนร่วมสถาบัน MIT ปฐวีกดรับและพยายามตอบให้กระชับที่สุด ด้วยไม่อยากพูดอะไรมากต่อหน้าอัปสร

“ไม่สะดวกจริงๆ เดี๋ยวฉันโทร.กลับนะ”

และไม่ถึงห้านาทีถัดมา ก็มีอีกสายจากเพื่อนในแวดวงไฮโซที่ซี้ๆ กันหน่อย

“อะไรแต่งงานทั้งทีไม่บอกกันบ้างเลย เจ้าสาวนายเป็นใครวะ อุบเงียบเชียว... อย่าลืมเอาบัตรเชิญมาให้ล่ะ ไม่เอามาให้ ฉันบุกไปแฉนายถึงงานแน่...”

แล้วก็ตามมาด้วยสายของสุนิษา ที่โทร.มาเตือนความจำ

“ถึงไหนแล้วคะ คุณคงไม่ลืมมาหาฉันเย็นนี้นะคะ”

“ไม่ลืมครับ ค่ำๆ ผมไปหานะครับ ผมยังทำธุระให้คุณแม่ไม่เสร็จ”

“คุณรีบมาหน่อยก็ดีค่ะ อย่าลืมว่าต้องพาฉันไปฉีดวัคซีนกันพิษสุนัขบ้านะคะ”

“พรุ่งนี้ไม่ใช่เหรอถึงจะไปฉีดเข็มที่ ๒?” ผลจากการถูกทองม้วนกัด นอกจากต้องฉีควัคซีนกันบาดทะยักแล้ว หมอบอกว่าต้องฉีดวัคซีนกันพิษสุนัขบ้าด้วย ซึ่งต้องฉีดเข็มที่ ๒-๔ ห่างกัน ๓ วัน ๗ วัน และ ๑๔ วัน ส่วนวัคซีนกันบาดทะยัก ฉีด ๓ เข็ม เข็มที่ ๒ และเข็มที่ ๓ ฉีดห่างกัน ๑ เดือน และ ๖ เดือนตามลำดับ

“ก็นั่นแหละค่ะ” สุนิษาส่งเสียงอ้ำอึ้งกลับมา “ฉันปวดแผลค่ะ เลยอยากให้คุณมาดูหน่อย เผื่ออาจต้องไปหาหมอ”

ปฐวีชำเลืองมองอัปสรอย่างเกรงใจ แต่ที่สุดก็ตัดสินใจตอบไปว่า “ตกลงครับ งั้นผมจะรีบไป”

และหลังจากนั้น ยังมีอีกหลายสายโทร.เข้ามาจนเขารับไม่หวาดไม่ไหว ปฐวีตัดสินใจปิดโทรศัพท์มือถือ ถึงตอนนี้ปฐวีก็ลืมไปเสียสนิทว่าเขายังไม่ได้คำตอบจากอัปสรว่าสุดท้ายแล้วหากเธอจำเป็นต้องใช้เงินจริงๆ เธอหาเงินมาด้วยวิธีไหน?



อัปสรชะงักเมื่อทันทีที่รถมาจอดหน้าบ้านหลังใหญ่ซึ่งมีชื่อ ปิยชาติ สุขารมณ์ ติดอยู่เหนือป้ายเลขที่บ้าน เสียงทุ้มของปฐวีก็ดังขึ้นทันที

“คุณเข้าไปในบ้านเลยนะคุณแม่รออยู่แล้ว ผมขอไปทำธุระแป๊บ ถ้าคุณแม่ถามก็ฝากบอกว่าผมมีธุระด่วนต้องไปหาเพื่อน แล้วค่ำๆ จะกลับ”

อัปสรเหลียวมองตามรถสปอร์ตสีดำจนหายลับสายตา ไม่ได้เอ่ยถามว่าเป็นเพราะสายสุดท้ายหรือไม่เขาถึงต้องรีบออกไป เธอฉวยเป้สะพายไหล่ เดินไปกดออดหน้าบ้าน ซึ่งมีเด็กรับใช้เปิดประตูบานเล็ก โผล่หน้าออกมาทันทีราวกับรอคอยการมาของเธออยู่แล้ว

“คุณอัปสรใช่ไหมคะ” ฝ่ายนั้นถามขึ้นอย่างสำรวม ภายหลังทำท่าผงะด้วยความตกใจกลัวเมื่อเห็นใบหน้าของอัปสรชัดๆ

“ใช่ค่ะ” อัปสรตอบแล้วส่งยิ้มปรานีให้

เด็กรับใช้ยังคงลอบมองด้วยความหวาดกลัวระคนสงสาร ด้วยว่าทายาทอันดับสองของตระกูลสุขารมณ์หล่อเหลาสมบูรณ์แบบ ขึ้นทำเนียบหนุ่มไฮโซสุดฮอตที่สาวๆ ใฝ่ปอง แต่กลับมาชะตาขาดต้องแต่งงานกับสาวอัปลักษณ์แถมดูเหมือนกำลังบวชชีพราหมณ์ด้วย ยามนั้นเด็กรับใช้จึงเกิดความสงสารนายหนุ่ม

“เชิญเข้าไปในบ้านเลยค่ะ คุณผู้หญิงรออยู่”

นง เด็กรับใช้กล่าวพลางเดินนำเข้าไปในบ้านของผู้เป็นนายด้วยความภูมิใจ คฤหาสน์หลังนี้กินเนื้อที่หลายไร่ โอ่อ่าหรูหรากว่าหลังไหนๆ ในละแวกนี้ แถมตลอดซอยตั้งแต่ปากทางยันสุดซอยมายังคฤหาสน์แห่งนี้ ยังเป็นถนนส่วนบุคคลของครอบครัวสุขารมณ์ หน้าคฤหาสน์ปกคลุมไปด้วยหญ้าญี่ปุ่นและรอบรั้วเหล็กปกคลุมไปด้วยต้นไม้ดูเขียวขจี ฝั่งซ้ายเป็นโรงจอดรถขนาดใหญ่ซึ่งขณะนี้มีรถหรูกว่า ๑๐ คันจอดเรียงกันเป็นตับ ส่วนฝั่งขวาเป็นสระว่ายน้ำ ไม่ไกลกันนักเป็นซุ้มนั่งเล่นอยู่ริมสระบัว นงเหลือบมองคนข้างหลังดูว่าอัปสรจะตื่นเต้นกับความหรูหราเหมือนกับเธอที่ครั้งหนึ่งเคยเกิดขึ้นมาแล้วเมื่อครั้งที่เข้ามารับใช้ที่บ้านหลังนี้ใหม่ๆ หรือไม่ หากทว่าเธอพบเพียงความเรียบเฉยบนใบหน้าตะปุ่มตะป่ำน่าเกลียดนั่น นงไหวไหล่หันกลับไปมองทางเท้าเบื้องหน้า...ก็อย่างว่าว่าที่เจ้าสาวของนายกำลังปฏิบัติธรรม เพราะฉะนั้นจะให้มาแสดงอาการตื่นเต้นก็คงไม่ได้ ก็ต้องเก็บอาการไว้เป็นธรรมดา

นงพาแขกวีไอพีเข้าไปในคฤหาสน์หลังหรู ซึ่งมีคุณพุดซ้อนและปฐมกาลออกมายืนรออยู่หน้าบ้านอยู่แล้ว

“หนูอัปสรเข้ามาเลยจ๊ะ บ้านสุขารมณ์ยินดีต้อนรับ” คุณพุดซ้อนทักทายอย่างมีอัธยาศัยอันดี แล้วก้าวไปคว้าร่างบอบบางของอัปสรมาสวมกอด

“ขอบคุณค่ะ” อัปสรยิ้มอ่อนโยนกับการต้อนรับที่อบอุ่นนั่น

“แล้วไหนตาวีจ๊ะ” ถามพลางเหลียวซ้ายแลขวา

“คุณปฐวีฝากให้ดิฉันมาเรียนว่ามีธุระด่วนค่ะ จะกลับมาค่ำ”

คุณพุดซ้อนหน้าเสีย “แย่จริงตาวีนี่ ก็แม่ย้ำหนักย้ำหนาแล้วว่านี่เป็นเรื่องด่วน เรื่องอื่นเอาไว้ทีหลัง อาทิตย์หน้าก็จะถึงงานแต่งแล้ว ถ้าตัดชุดไม่ทันจะทำไง ไม่เป็นไรเดี๋ยวแม่โทร.ไปเฉ่งเอง หนูอัปสรมาเหนื่อยๆ เข้าไปล้างหน้าล้างตาเถอะจ๊ะ จะได้ให้ช่างวัดตัว นี่ช่างรออยู่ในบ้านนานแล้ว”

“คุณพุดซ้อนคะ...”

“คุณแม่จ๊ะคุณแม่ หนูต้องหัดเรียกให้ชินปากไว้นะจ๊ะ เรากำลังจะดองเป็นทองแผ่นเดียวกันอยู่แล้ว”

“เอ้อ...ค่ะคุณแม่ คือดิฉันจะบอกว่าขอสวมชุดนี่เข้าพิธีได้ไหมคะ” ถามพลางก้มมองเสื้อและผ้าถุงสีขาวที่ตัวเองสวมอยู่ เพื่อบอกเป็นนัยว่า ชุดนี่ คือชุดไหน

คุณพุดซ้อนตาเหลือก ไม่ต่างจากปฐมกาลที่เฝ้ามองเหตุการณ์ตรงหน้าเงียบๆ พลอยเบิกตาโตอย่างตกใจไปด้วย แล้วเขาก็หลุดเสียงหัวเราะอย่างกลั้นไม่อยู่

“คุณอัปสร นี่เป็นงานแต่งนะครับ ไม่ใช่ไปปฏิบัติธรรม เพราะงั้นจะแต่งชุดนั้นได้ไงละครับ” ปฐมกาลแย้งกลั้วเสียงหัวเราะด้วยความเอ็นดู

“นั่นสิจ๊ะ ลองนึกภาพดู หนูอัปสรสวมเสื้อกับผ้าถุงสีขาว แต่ตาวีสวมชุดราชประแตนเข้าพิธีรดน้ำสังข์ มันจะพิลักพิลั่นเกินไปหรือเปล่าจ๊ะ เดี๋ยวแขกเหรื่อเข้าใจว่าตาวีฉุดคร่าผู้ทรงศีลมาแต่งงานด้วยล่ะแย่เลย ยิ่งในงานมีแขกผู้ใหญ่ระดับนายพล รัฐมนตรี คุณหญิงคุณนาย แถมด้วยนักข่าว ถ้าเข้าใจไปในทางนั้นตาวีคงขายขี้หน้าแย่ แถมแม่กับคนในบ้านก็ต้องพลอยเอาปี๊บคลุมหัวไปด้วย” คุณพุดซ้อนอธิบายเสียงอ่อนๆ ด้วยความเกรงใจเต็มที่

ถอดชุดขาว...ก็เท่ากับศีลขาด ที่ผ่านมาแม้แต่ตอนอาบน้ำ เธอยังต้องสวมผ้าถุงสีขาว เพื่อให้ศีลอยู่กับตัว อัปสรนิ่งอย่างตรึกตรอง ชั่วครู่เธอก็ตอบว่า “ตกลงค่ะ ดิฉันขอโทษที่ทำให้อึดอัดใจ งั้นดิฉันขอตัวเข้าไปล้างหน้าล้างตาแล้วจะออกมาให้ช่างวัดตัวนะคะ”

“ได้เลยจ๊ะ นงพาคุณอัปสรไปล้างหน้าล้างตาบนห้องเลยจ๊ะ แม่เตรียมห้องนอนไว้ให้ลูกแล้วอยู่ติดกับห้องยายวาดนะจ๊ะ” ประโยคหลังหันไปบอกอัปสร

“ผมพาเธอไปดีกว่าครับ จะได้แนะนำในบ้านด้วยว่าอะไรเป็นอะไร อยู่ตรงไหน”

“ได้จ๊ะ”

คล้อยหลังอัปสร คุณพุดซ้อนก็กดหมายเลขโทรศัพท์ โทร.หาปฐวีทันที ตั้งใจโทร.ไปเฉ่ง เพราะลูกชายคนนี้ขยันก่อเรื่องให้เธอขัดใจและผิดหวังได้ตลอดเวลา หากทว่าปลายสายไม่มีสัญญาณตอบรับ

………………………………..








Create Date : 14 เมษายน 2557
Last Update : 16 เมษายน 2557 0:49:20 น.
Counter : 1067 Pageviews.

12 comment
1  2  3  4  5  6  7  

คณิตยา
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 26 คน [?]









รู้จักคณิตยา/คีตฌาณ์

ก้าวสู่โลกแห่งการขีดเขียนในปี 2549 มีผลงานเป็นรูปเล่มกับสนพ.ในเครือสถาพรบุ๊คส์ทั้งหมด 11 เล่ม ไล่ตั้งแต่ รหัสทรชน ทางสายหมอก กุหลาบในเปลวไฟ ฝากรัก...ผ่านซีบ็อกซ์ อริ...ที่รัก บอดี้การ์ด รักเพียงฝัน ตามรักข้ามเวลา ไฟรัก บันทึกแห่งรัก(the Book of Love) มิราเบลล์...ตราบคีตาบรรเลง เป็น 1 ในนิยายชุดแด่เธอที่รัก สาปรัก และใต้ปีกรัก

รหัสทรชน เป็นละครทางช่อง 3 เมื่อปี 2554 แสดงโดย เคน และชมพู่ สร้างโดยค่ายยูม่า และ ไฟรัก ได้รับการซื้อลิขสิทธิ์ไปแปลเป็นภาษาเวียดนาม วางแผงเดือนสิงหาคม 2556



พูดคุย ทักทาย แลกเปลี่ยนความเห็น และติดตามความเคลื่อนไหวได้ทาง fb โดยกดไลค์เป็นแฟนเพจได้ทาง https://www.facebook.com/keetacha?ref=hl ขอบคุณค่ะ

---------------


ตอนนี้อุ๋ยทยอยนำนิยายที่หมดลิขสิทธิ์กับพิมพ์คำไปวางจำหน่ายในรูปแบบ E-book บนเว็บ ebooks และเว็บ Mebmarket ค่ะ

ใต้ปีกรัก...ราคาอีบุ๊ก 179 บาท

บันทึกแห่งรัก...ราคาอีบุ๊ก 255 บาท จากราคาปก 310

ไฟรัก...ราคาอีบุ๊ก 279 บาท จากราคาปก 350 บาท

กุหลาบในเปลวไฟ...ราคาอีบุ๊ก 230 บาท



รหัสทรชน ราคาอีบุ๊ก 200 บาท จากราคา 300 บาท 673 หน้า





ทางสายหมอก ราคาอีบุ๊ก 265 บาท จากราคา 280 บาท 690 หน้า



ฝากรัก...ผ่านซีบ็อกซ์ ราคาอีบุ๊ก 125 บาท จากราคา 180 บาท 360 หน้า



รวมเรื่องสั้น...ฉบับวัยหวาน ราคาอีบุ๊ก 45 บาท จากปก 55 บาท



อริ...ที่รัก ราคาอีุบุ๊ก 195 จากปก 240 บาท



หวานใจ...บอดีการ์ด...ราคาอีบุ๊ก 145 บาท จากปก 180 บาท



รักเพียงฝัน...ราคาอีบุ๊ก 225 จากปก 250 บาท



ตามรักข้ามเวลา...ราคาอีบุ๊ก 240 จากปก 270 บาท





















New Comments