Group Blog
สาปรัก...บท 8/1
ปฐวีนำรถเข้าไปจอดในลานจอดรถหน้ากุฏิแล้ว จึงถือถังสังฆทานลงจากรถและเดินตามหลังคุณพุดซ้อนเข้าไปในเรือนแสดงธรรมที่อยู่ติดกับกุฏิของเจ้าอาวาสด้วยอาการเซ็งหน่อยๆ เนื่องจากตลอดเวลาที่นั่งรถมาด้วยกัน คุณพุดซ้อนเอาแต่บ่นเป็นหมีกินผึ้งถึงเรื่องที่เขาไปรับเธอช้า

ความจริงไม่ตั้งใจจะเอ้อระเหยดั่งที่มารดาว่า แต่เนื่องจากใจไม่แข็งพอ...ก็เหมือนทุกคราวที่พอมีสาวสวยๆ หุ่นเซ็กซี่ๆ มาคลอเคลียอยู่ใกล้ๆ ทีไร เป็นต้องใจอ่อนยวบ ไม่เคยปฏิเสธได้สักที ฉะนั้นเมื่อสุนิษาเดินเปลือยกายเข้ามาในห้องน้ำพร้อมด้วยหุ่นกลมกลึงขาวสล้าง ทำให้ตบะซึ่งมีอยู่น้อยนิดอยู่แล้วแตกกระเจิง สุดท้ายเลยเถิดและไปจบลงที่เตียงนอนเหมือนเช่นทุกคราว แถมหลังจากนั้นยังกินเวลาอีกเกือบชั่วโมงกว่าพวกเขาจะสามารถผละออกจากกันเพื่อลุกไปอาบน้ำรอบสอง แล้วจึงไปคลินิก ก่อนจะพาสุนิษาไปส่งที่คอนโดฯ และวกกลับไปรับมารดาที่บ้าน ทั้งหมดกว่าจะเสร็จสิ้นก็กินเวลาไปอีกเกือบ ๒ ชั่วโมง ด้วยเหตุนี้เมื่อไปเจอคุณพุดซ้อน เธอจึงทำหน้าหงิกและพร่ำเทศนาเขามาตลอดทางนับตั้งแต่ออกจากซอยบ้านสุขารมณ์มาจนถึงปากทางเข้าวัดเลยทีเดียว

เรือนไม้ทรงไทยเปิดผนังโล่งทั้งสามด้าน ลมพัดโกรกเย็นสบาย คุณพุดซ้อนคลานเข้าไปทรุดนั่งพับเพียบหน้าเจ้าอาวาสที่นั่งอยู่บนอาสนะสูง แล้วก้มลงกราบสามครั้ง ก่อนหันไปขยิบตาให้ลูกชายทำตาม ปฐวีคุกเข่าแล้วก้มกราบตามเงียบๆ จากนั้นก็เปลี่ยนมานั่งพับเพียบตาม ปฐวีนั่งค่อนข้างไกลจากคุณพุดซ้อนและเจ้าอาวาส จึงเป็นเหตุให้ถูกตวัดตาค้อนจากคุณพุดซ้อน ไม่รู้เลยว่าในใจเธอกำลังนึกเขม่นอย่างหนัก

พ่อลูกชายตัวดีทำยังกับเข้าใกล้พระใกล้เจ้าแล้วต้องร้อนรุ่มทนไม่ได้ ต้องถอยไปนั่งไกลๆ... คุณพุดซ้อนนึกอย่างเขม่นด้วยว่ายังโกรธไม่หายกับการที่นัดแนะให้มารับบ่าย ๒ โมง แต่ลูกชายตัวดีล่อไปเกือบ ๔ โมง ฉะนั้นกว่าจะมาถึงท่าน้ำเมืองนนท์ เวลาก็ล่วงเลยมาเย็นมากแล้ว ดีที่เจ้าอาวาสยังไม่เข้าไปเตรียมตัวสำหรับการทำวัตรเย็น

“นมัสการค่ะหลวงพ่อ”

“เจริญพรโยมพุดซ้อน”

“ดิฉันต้องกราบขออภัยที่มาช้าเจ้าค่ะ พอดีว่าลูกชายเกิดติดธุระนิดหน่อย” มือพนมไหว้ ขณะที่บอกเหตุผล แล้วปรายตามองไปทางบุตรชายที่นั่งอยู่ข้างหลังด้วยแววตาตำหนิ

พระเกจิดังปรายตามองตามแล้วถามขึ้นเบาๆ ว่า “คนนี้เหรอโยมพุดซ้อน ที่โยมอยากให้อาตมาผูกดวง หาฤกษ์แต่งงาน”

“ใช่เจ้าค่ะ ลูกชายคนรองของดิฉันเอง ชื่อปฐวี แล้วนี่ดวงของปฐวีกับหนูอัปสรเจ้าค่ะ” บอกพลางยื่นแผ่นกระดาษเล็กๆ ไปตรงหน้าพระเกจิดัง

เจ้าอาวาสใช้ผ้ารับประเคน รับกระดาษไปจดอะไรบางอย่างลงในสมุดบันทึก คำนวณตามสูตรโหราศาสตร์ ครูใหญ่ๆ จึงเงยหน้า แววตาเปลี่ยนไปเล็กน้อย

“มีอะไรหรือเจ้าคะ” คุณพุดซ้อนถามด้วยความกังวลเมื่อเห็นเจ้าอาวาสอึ้งไป

พระเกจิดังไม่ตอบ แต่พูดไปอีกเรื่องว่า “วันหลังพาผู้หญิงคนนั้นมาด้วยนะโยมพุดซ้อน”

“คะ?” ตวัดถามเสียงสูง “ทำไมหรือเจ้าคะ?”

“ดวงเธอบอกถึงคนมีบุญญาธิการ เวลาตกฟากดีมากๆ ชนิดที่อาตมาไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน เพียงแต่...”

“แต่อะไรหรือเจ้าคะ?” มือยังคงพนมไหว้ ขณะที่ถามด้วยความห่วงใย

“อายุเธอไม่ยืน เหมือนจะมีเคราะห์หนัก อาตมาอยากเตือนอะไรบางอย่างกับเธอ”

คุณพุดซ้อนพูดไม่ออก ขณะที่ปฐวีฟังแล้วอึ้งไปเหมือนกัน

“ที่บอกอายุไม่ยืน เธอจะมีอายุสักแค่ไหนเจ้าคะ”

“อาตมาตอบไม่ได้หรอกโยมพุดซ้อน จนกว่าจะได้คุยได้ซักถามอะไรบางอย่างกับเธอก่อน”

“ถ้างั้นจะเกี่ยวกับเรื่องที่เธอช่วยต่ออายุให้ผู้คนหรือเปล่าเจ้าคะ?”

“โยมพุดซ้อนหมายความว่าไง”

“คือหนูอัปสรครองสมณเพศผู้ทรงศีลอยู่ค่ะ เธอบวชชีพราหมณ์และคอยจับยามสามตา ช่วยดับเคราะห์ให้กับผู้คน ถ้าใครอายุสั้นเธอก็จะช่วยต่ออายุให้”

“เธอบวชชีพราหมณ์อยู่แล้วจะแต่งงานได้เหรอ?”

“เรื่องนี้ดิฉันก็ไม่ทราบค่ะ แต่เธอขอตาวีว่าแต่งงานแล้วขอไม่มีอะไรด้วย”

ผู้ที่ครองผ้าเหลืองฟังแล้วอึ้ง มองไปทางหนุ่มสูงใหญ่ที่คุณพุดซ้อนพูดถึงแล้วถอนหายใจ เอ่ยว่า “คงเป็นกรรมเก่าที่ทำร่วมกันมาแต่ชาติปางก่อนจริงๆ กรรมนี้หนักนัก”

“อะไรหรือเจ้าคะ? หลวงพ่ออย่าพูดเป็นปริศนาแบบนั้นสิคะ ดิฉันฟังแล้วใจคอไม่ดีเลย”

“โยมอัปสรกับโยมปฐวีเป็นเนื้อคู่กันมาทุกภพทุกชาติไป ดวงของคนทั้งคู่เกื้อหนุนกันมาก...”

“อะไรนะครับ?” ปฐวีทะลุกลางปล้องขึ้น ไม่รอจนเจ้าอาวาสพูดจบ “หลวงพ่อช่วยตรวจดูอีกรอบได้ไหมครับ บางทีอาจตาฝ้าฟางเพราะแก่แล้ว เลยดูตัวเลขผิดไป”

“เจ้าวี!” คุณพุดซ้อนเรียกขึ้นด้วยความตกใจ “ทำไมเสียมารยาท ทำนิสัยแย่ๆ แบบนั้น รีบกราบขอโทษหลวงพ่อเดี๋ยวนี้นะ”

พระเกจิดังไม่ถือ เขายังตอบด้วยแววตาปรานี สีหน้าออกจะแสดงความเคารพระคนยำเกรงผู้ที่ตัวเองกำลังเจรจาพาทีอยู่ด้วยซ้ำ “ไม่เป็นไรหรอกโยมพุดซ้อน” แล้วหันไปทางปฐวี กล่าวต่อว่า “เชื่ออาตมาอย่างนะ ผู้หญิงคนนั้นคือเนื้อคู่ของโยมจริงๆ เธอมาเกิดครั้งนี้ก็เพื่อโยม ถ้าหากสงสารและหวังดีต่อเธอ ก็ขออย่าทำอะไรให้เธอผิดหวังเด็ดขาด”

“หลวงพ่อหมายความว่าไงครับ ผมไม่เข้าใจ”

เจ้าอาวาสถอนหายใจ เอ่ยว่า “อาตมาไม่แน่ใจว่าจะพูดอะไรได้มากน้อยแค่ไหน เอางี้ก็แล้วกัน...ถ้าโยมอัปสรบอกให้โยมอยู่ห่างๆ โยมก็ทำตามเธอก็แล้วกัน เพราะนั่นแสดงว่าเธอตรองดีแล้วว่าจะดีกับโยม”

ปฐวีเลิกคิ้วหนักขึ้น “ดีกับผม? ผมไม่เข้าใจ คือไม่ใช่ว่าผมอยากหลับนอนกับคนอัปลักษณ์อย่างเธอหรอกนะครับ คือ...งี้นะครับ” ลูกชายคุณพุดซ้อนอธิบายขึ้นเมื่อเห็นสีหน้างุนงงของเจ้าอาวาส “คนที่มีบุญญาธิการของหลวงพ่อไม่ได้หน้าตาสะสวยหรอกนะครับ ตรงกันข้ามเธออัปลักษณ์เป็นที่สุด เพราะงั้นผมถึงไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงต้องเล่นตัวกับผม ความจริงควรจะถือเป็นบุญคุณของผมด้วยซ้ำถ้าผมจะฝืนใจเข้าหอด้วย”

“โอ๊ย...ฉันจะเป็นลม” คุณพุดซ้อนพูดพลางโงนเงน เธอยกมือพัดลมไปมา สีหน้าซีดขาวราวกับจะเป็นลมจริงๆ ในใจรู้สึกตกอกตกใจที่ปฐวีหยาบคายต่อพระเถระชั้นผู้ใหญ่ด้วยการเอาเรื่องบัดสีบัดเถลิงมาพูดต่อหน้าท่าน

“ไม่เป็นไรโยมพุดซ้อน อย่ากังวลไปเลย ถ้าโยมไม่สบายเนื้อสบายตัว จะออกไปสูดอากาศข้างนอกก็ได้นะ” เจ้าอาวาสแนะขึ้นด้วยน้ำเสียงเนิบช้าภายหลังลืมตาขึ้นจากการเพ่งญาณ คำบรรยายรูปลักษณ์ของอัปสรที่หลุดจากปากปฐวีทำให้พระเกจิดังต้องใช้ญาณเพ่งถึงบุคคลที่ถูกพาดพิง ด้วยว่าขัดกับดวงของผู้มีบุญญาธิการ พลันที่เห็นภาพในนิมิต แม้จะไม่ชัดเจนนักแต่ก็บอกได้ทันทีว่า... อัปสรไม่ธรรมดา

“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ดิฉันสบายขึ้นแล้ว” คุณพุดซ้อนตอบอุบอิบ พยายามยืดตัวนั่งตรง

เจ้าอาวาสยิ้มด้วยแววตาปรานี หันไปทางปฐวี กล่าวต่อว่า “อาตมาบอกอะไรโยมอย่างนะ จงอย่าเชื่อในสิ่งที่เห็น เพราะสิ่งที่เป็นอาจไม่ใช่สิ่งที่เห็น”

ปฐวีนิ่วหน้า “หลวงพ่อจะบอกว่าแท้จริงแล้วเธอคือนางฟ้าที่สวยหยาดฟ้ามาดินอย่างงั้นหรือครับ?” ไม่ได้ตั้งใจจะประชด แต่ก็อดไม่ได้ตามประสาคนปากไว

พระเกจิดังถอนหายใจ คลี่ยิ้มมุมปาก “แล้วแต่บุญแต่กรรมเถอะ”

คนฟังขมวดคิ้วหนักขึ้น ด้วยคำตอบของผู้ทรงศีลแฝงปริศนามากกว่าเดิม “ผมไม่เข้าใจ”

“ไม่ต้องห่วง ถ้าโยมทำบุญมามากพอ ก็จะค้นพบความจริงเอง”

ปฐวียังคงทำหน้ามึนงง ขณะที่คุณพุดซ้อนถามขึ้นว่า “หลวงพ่อหมายความว่าถ้าใครมีบุญมากพอถึงจะเห็นใบหน้าที่แท้จริงของหนูอัปสรหรือคะ” เห็นเจ้าอาวาสเพียงแค่คลี่ยิ้มด้วยแววตาปรานี เธอก็กล่าวต่อว่า “งั้นถ้าเป็นอย่างที่หลวงพ่อว่าจริงๆ แสดงว่าที่ดิฉันเคยคิดว่าเธอเกิดมาบุญน้อย ถึงมีใบหน้าอัปลักษณ์ไม่ต่างจากท้าวแสนปม ก็ไม่จริงแล้วสิคะ”

“ไม่เลย ตรงกันข้ามห่างไกลจากคำว่า บุญน้อย นัก เชื่ออาตมาเถอะ ขึ้นอยู่กับผู้หญิงคนนั้นต่างหากว่าต้องการเปิดเผยใบหน้าที่แท้จริงให้ใครเห็นเมื่อไหร่”

อืม... เกิดเสียงครางในลำคอขึ้นพร้อมกันทั้งคุณพุดซ้อนและปฐวี

คุณพุดซ้อนยิ้มอย่างสมใจ เอ่ยว่า “ถึงว่าดิฉันก็ว่าแล้วว่าแปลกๆ เพราะผิวพรรณเธอผ่องใส ขาวสะอาดสะอ้านเกินกว่าจะเป็นคนธรรมดา แต่ความจริงเรื่องอัปลักษณ์ ดิฉันก็ไม่ได้รังเกียจหรอกนะคะ ตรงกันข้ามนับวันมีแต่จะรักและสงสาร ยังเคยคิดด้วยซ้ำว่าถ้าหนูอัปสรไม่ว่ายังโง้นยังงี้ ดิฉันจะพาเธอไปทำศัลยกรรม”

เจ้าอาวาสเพียงแค่ยิ้ม ไม่กล่าวเสริมใดๆ ขณะที่ปฐวีถามต่อว่า

“ทำยังไงผมถึงจะได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของเธอครับ”

“อาตมาบอกแล้วถ้าโยมทำบุญมามากพอ”

“งั้นแสดงว่าที่ผ่านมากรรมผมคงหนักมาก เพราะไม่เห็นเค้าลางเลยว่าเธอจะสวยขึ้นมาได้”

พระเกจิดังแทบหลุดเสียงหัวเราะ โชคดีที่สะกดกลั้นไว้ได้ทัน เจ้าอาวาสตอบเสียงเนิบช้าว่า

“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก ถ้าหนักจริง โยมไม่มีทางได้เจอเนื้อคู่ในชาตินี้หรอก เอาล่ะ...นี่ฤกษ์แต่งงานของโยม จัดงานแต่งตามฤกษ์นี้แล้วทุกอย่างจะดีเอง”

คุณพุดซ้อนยกมือกราบนมัสการ ก่อนหยิบเศษกระดาษจากผ้ารับประเคนมาอ่านออกเสียงดังๆ “๓ เมษายน เวลา ๑๙.๔๔ น.”

ปฐวีเบิกตาโต “คุณแม่พูดเล่นแน่ นั่นมันสัปดาห์หน้าแล้วนะครับ”

“โยมฟังไม่ผิดหรอกโยมปฐวี ฤกษ์แต่งงานที่ดีที่สุดคือ ๓ เมษายน จริงๆ ถ้าผิดจากนี้ ต้องรอไปอีกปี ซึ่งถึงตอนนั้นอาตมาก็ยังไม่แน่ใจว่าทุกอย่างจะดีเท่าปีนี้ไหม”

“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ อาทิตย์หน้าก็อาทิตย์หน้า ไม่มีปัญหาหรอกค่ะ ยังไงดิฉันก็เตรียมตัวทัน งั้นดิฉันขอถวายสังฆทานนะเจ้าคะจะได้ลาไปเตรียมงานแต่ง วี…มาช่วยแม่ประเคนสังฆทานแร้ว” ประโยคหลังหันไปทางลูกชาย

ปฐวีคลานเข้ามาใกล้คุณพุดซ้อน ต่างกล่าวสวดอาราธนาศีล สมาทานศีล ตั้งนะโมสามจบก่อนจบด้วยการกล่าวคำถวายสังฆทาน จากนั้นสองแม่ลูกก็ช่วยกันประเคนถังสังฆทานชุดใหญ่วางบนผ้ารับประเคน พร้อมซองขาวที่บรรจุธนบัตรหนาเป็นฟ่อนวางบนพาน เจ้าอาวาสกล่าวอนุโมทนาด้วยบทยะถา วาริวหา โดยคุณพุดซ้อนกรวดน้ำไปพร้อมกัน จนเสร็จสิ้นพิธี

“อาตมาคงต้องเข้ากุฏิไปเตรียมทำวัตรเย็นแล้วล่ะ” พระเกจิชื่อดังกล่าวขึ้นเมื่อปฐวีกลับเข้ามาหลังจากนำภาชนะที่ใช้สำหรับกรวดน้ำไปรดพระแม่ธรณีใต้ต้นไม้ใหญ่แล้ว

“งั้นดิฉันกับลูกกราบนมัสการลาหลวงพ่อเจ้าค่ะ”

“เจริญพรโยมพุดซ้อน โยมปฐวี”

คุณพุดซ้อนรอจนเจ้าอาวาสลงจากเรือนไปแล้ว จึงเดินตาม เธอกล่าวขึ้นเบาๆ ว่า “เอาล่ะ...พรุ่งนี้วีไปรับหนูอัปสรมาที่บ้านเลย แม่จะให้ช่างเสื้อประจำตัวของแม่มารอวัดตัวที่บ้าน”

“แต่...” ปฐวีกำลังจะบอกว่าเขามีนัดกับสุนิษา แต่คุณพุดซ้อนไม่รอให้เขาพูดจบ เธอสวนขึ้นว่า

“เรื่องอื่นพักไว้ก่อน เอาเรื่องนี้ก่อน ไม่ได้ยินหลวงพ่อพูดเหรอ หนูอัปสรคือเนื้อคู่ของวีมาแต่ชาติปางก่อน เป็นคนที่มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ เพราะฉะนั้นแม่ต้องรีบจัดงานให้วีแล้ว เดี๋ยวคนอื่นมาคว้าหนูอัปสรไปล่ะแย่เลย... แล้วนี่แม่ยังต้องเตรียมงานอีกเยอะ ไหนจะเลือกการ์ด พิมพ์การ์ด เชิญญาติผู้ใหญ่ เลือกสถานที่จัดงาน ติดต่อช่างภาพ ต่อต่อนักข่าว โอ๊ย...จิปาถะ เพราะงั้นเรารีบไปกันเถอะ”

ปฐวีฟังแล้วลอบเบ้ปาก



………………………………..







Create Date : 07 เมษายน 2557
Last Update : 8 เมษายน 2557 15:44:11 น.
Counter : 1416 Pageviews.

6 comment
สาปรัก...บท 7/3
ในเทวโลกมีอยู่หลายชั้นและแต่ละชั้นเทวดานางฟ้าจะมีทิพยสมบัติไม่เหมือนกัน และแต่ละองค์จะเสพทิพยสมบัติเหล่านั้นด้วยความยินดียินร้ายไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับการสั่งสมกรรม การสั่งสมกิเลส และการสั่งสมปัญญา บารมีของเทวดานางฟ้าจะพร่องลงไปเรื่อยๆ หากไม่มีการเติม ด้วยเหตุนี้จึงต้องหมั่นเติมบารมีซึ่งทำได้หลายวิธีตั้งแต่การนั่งวิปัสสนา ฟังเทศนาของพระอริยเจ้า ใส่บาตรพระธุดงค์กลางป่า แต่เนื่องจากทิพยสภาพของเทวดานางฟ้า ไม่เอื้อให้ต้องใช้กำลังใจมาก เพราะเมื่อใดจะเดินทางไปฟังธรรม แค่ตั้งจิตก็สามารถไปได้ในทันที หรือเมื่อคิดจะถวายภัตตาหารแด่พระพุทธเจ้าและพระอริยสาวก ก็เพียงเนรมิตอาหารอันเป็นรูปหยาบขึ้นมาด้วยฤทธิ์ทางใจ ก็ทำได้แล้ว ต่างกับมนุษย์ที่จะทำดีสักครั้งต้องอาศัยความมุ่งมั่น ตั้งใจและความเพียรพยายามกว่ามาก

ด้วยเหตุนี้ทำให้การเติมบารมีในเทวโลก ทำได้ช้ากว่าการสั่งสมบารมีในขณะที่เกิดเป็นมนุษย์ แต่การจะลงไปเกิดยังโลกมนุษย์นั้น ก็ใช่ว่าเมื่อตั้งจิตแล้วก็สามารถลงไปเกิดได้ในทันทีเหมือนดั่งพระโพธิสัตว์ในสวรรค์ชั้นดุสิต ตรงกันข้ามเทวดานางฟ้าในชั้นที่อัปสรอยู่ จะต้องรอให้หมดอายุขัยหรือสิ้นบุญก่อนถึงจะลงไปจุติได้ และในอดีตชาติที่ผ่านๆ มาอัปสรก็เวียนว่ายตายเกิดระหว่างเทวโลกและโลกมนุษย์แบบนั้นมาช้านานหลายภพหลายชาติ โดยคราวใดที่ลงมาเกิดในกายมนุษย์ เธอมักจะเกิดเป็นลูกสาวของสองสามีภรรยาคู่หนึ่งอันเนื่องด้วยต่างเคยทำบุญทำกรรมร่วมกันมาหลายชาติ การต้องมาเจอกันในโลกมนุษย์หลายภพหลายชาติ ก่อให้แม้จะกลับไปจุติยังเทวโลกแล้ว ก็ยังมีจิตผูกพันต่อกัน

อัปสรมักใช้ญาณเพ่งถึงพ่อแม่ในโลกมนุษย์อยู่เสมอๆ ครั้งหนึ่งเธอนิมิตเห็นว่าชาติที่พวกเขากำลังเกิดเป็นมนุษย์นั้น ในบั้นปลายชีวิต จะต้องตายด้วยการทำอัตวินิบาตกรรมหรือการฆ่าตัวตาย ซึ่งอัตวินิบาตกรรมถือเป็นการตัดรอนกรรมที่รุนแรงที่สุด เมื่อตายไปแล้วจะต้องได้รับการตัดสินโทษให้ต้องตกนรกหมกไหม้เกิดเป็นเดรัจฉานห้าร้อยชาติ เมื่อนิมิตเห็นเช่นนั้น เธอเกิดความกังวลและห่วงใย ไม่อยากให้บุพการีต้องทนทุกข์ทรมานจากการเกิดเป็นเดรัจฉานห้าร้อยชาติ จึงตัดสินใจช่วยพวกเขาด้วยการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการตายซึ่งถือเป็นการทำผิดกฎสวรรค์ที่รุนแรงที่สุด...ทว่าในทางกลับกันหากเทวดาหรือนางฟ้าผู้นั้นไปจุติเป็นมนุษย์แล้ว สามารถใช้พลิงจิตเปลี่ยนแปลงสถานการณ์การตายได้...หากเขาหรือเธอมีบารมีแกร่งกล้ามากพอ ซึ่งส่วนใหญ่จะหาได้น้อยรายนักที่สามารถทำได้อย่างนั้น เนื่องจากเมื่อมาจุติเป็นมนุษย์แล้ว พลังจิตและญาณจะอ่อนตามลงไปด้วย

เดิมชะตาชีวิตกำหนดให้บุพการีของอัปสรต้องตายด้วยการผูกคอตายหนีสถานการณ์อันยุ่งยากที่พวกเขาเผชิญอยู่ แต่อัปสรตัดสินใจใช้พลังจิตเข้าไปขัดขวางทำให้พวกเขาเปลี่ยนใจไม่ฆ่าตัวตาย ทว่าการเข้าไปช่วยเหลือในครั้งนั้นกลับทำให้กรรมหนักไปตกอยู่ที่กลุ่มคนร้ายที่เมื่อพวกเขาตามไล่ล่าพ่อแม่เธอเจอ ก็จัดการฆ่าตายในที่สุด เท่ากับว่าการใช้พลังจิตของเธอ เปลี่ยนรูปแบบของการทำกรรมหนักจากเดิมต้องเป็นของบุพการี กลับกลายเป็นของกลุ่มคนร้ายแทน ซึ่งหากเธอปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามฟ้าลิขิต พ่อแม่ของเธอต้องตายด้วยการทำอัตวินิบาตกรรม และกลุ่มคนร้ายก็ไม่ต้องทำกรรมหนักถึงขนาดฆ่าคนตาย

การเข้าไปเปลี่ยนรูปแบบการตายของมนุษย์ ไม่ใช่หน้าที่ของนางฟ้าอย่างเธอ แต่เป็นของลูกน้องของท้าวภูวทัศน์ ผู้เป็นพี่ชายขององค์อินทร์ภูเตศวรและหากท้าวภูวทัศน์ตัดสินโทษให้เทวดานางฟ้าองค์ใดต้องรับโทษสูงสุด ก็เท่ากับว่าเทวดานางฟ้าองค์นั้นหมดบุญและต้องไปเกิดในโลกมนุษย์ กล่าวกันว่าเทวดานางฟ้าที่จะต้องลงไปจุติ จะต้องมีนิมิต ๕ ประการปรากฏขึ้น นั่นคือ ๑.ดอกไม้ทิพย์และเครื่องประดับเหี่ยวแห้ง ๒.ผ้าทรงเศร้าหมอง ๓.มีเหงื่อไหลออกจากรักแร้ทั้งสองข้าง ๔.ทิพยอาสน์หรือที่นั่งที่นอนที่เคยสบาย กลับแข็งกระด้าง และ ๕.ร่างกายเศร้าหมอง รัศมีกายก็พลอยเศร้าหมองไปด้วย

ไม่ต่างกับอัปสร...นิมิตเหล่านั้นเกิดกับเธอเช่นกัน เพียงแต่เธอไม่รู้เท่านั้นว่าจะต้องไปเกิดในโลกมนุษย์ในสภาพใด จำต้องรอการพิพากษาโทษจากท้าวภูวทัศน์ก่อน ปฐวีในชาติที่เกิดเป็นเทวดา เขาเป็นสมุนคนสนิทของท้าวภูวทัศน์ มีหน้าที่พาเทวดาและนางฟ้าที่สิ้นอายุขัยและหมดบุญไปจุติยังโลกมนุษย์ กล่าวอีกนัยหนึ่งนั่นคือ เขาเป็นผู้ลงโทษตามที่ท้าวภูวทัศน์สั่งการ และเมื่อคำพิพากษาออกมาว่าให้เธอได้รับโทษขั้นรุนแรงที่สุด นั่นคือไปเกิดเป็นมนุษย์ที่เต็มไปด้วยบาปหนัก ไร้ซึ่งดวงตาเห็นธรรม ไกลวัด ไกลพระ ไกลธรรมะขั้นสูง แถมมีรูปกายเป็นทรัพย์เพื่อเป็นอุปสรรคขัดขวางต่อการสะสมบารมีธรรม หมกมุ่นอยู่ในกิเลสตัณหากระทั่งยากยิ่งจะเข้าถึงธรรมะ

ถือเป็นกรรมหนัก...เป็นการลงโทษที่รุนแรงมากสำหรับเทวดานางฟ้า ปฐวีไม่อาจทำใจให้ลงโทษนางผู้เป็นที่รักได้ เขาจึงไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษานั้น ด้วยใจใฝ่รักในตัวภรรยา เขาจึงลงโทษแค่ครึ่งเดียว โดยพาเธอไปจุติยังครอบครัวที่มีฐานะยากจนขัดสน แต่ฝักใฝ่ในธรรมะ ความฝืดเคืองในชีวิตทำให้เมื่อสิ้นอายุขัยของบุพการี เธอจึงไปบวชชีเพื่อรับใช้ร่มกาสาวพัสตร์ ก่อเกิดการสั่งสมบารมีมากยิ่งขึ้นไปอีก

ต่างกับปฐวี...การขัดคำสั่งของท้าวภูวทัศน์หนนั้น ทำให้องค์ภูวทัศน์มองว่าปฐวีท้าทายอำนาจ ท้าวภูวทัศน์พิโรธหนักที่เขาทำนอกเหนืออำนาจหน้าที่ จึงสั่งลงโทษให้เป็นผู้รับเคราะห์กรรมทั้งหมดแทนเธอ แถมยังเพิ่มโทษมากกว่านั้นด้วย กล่าวคือ พระองค์พิพากษาให้ลงมาเกิดในโลกมนุษย์โดยมีรูปกายเป็นทรัพย์เพื่อง่ายต่อการชักพาให้หลงไปสู่กิเลสตัณหากามารมณ์ เกิดในครอบครัวที่ถึงพร้อมด้วยทรัพย์สมบัติ แต่เป็นไปเพื่อสนองกิเลสตัณหาราคะของตัวเอง ไม่ใช่เพื่อประกอบกรรมดี ทั้งยังห่างไกลจากวัดวาและธรรมะขั้นสูง ไร้ซึ่งกัลยาณมิตรที่จะชักจูงให้เขาฝักใฝ่ในธรรมะ ปฐวีเวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิโลกมนุษย์ด้วยบทลงโทษดังกล่าวนั้นในอีกหลายภพหลายชาติในเวลาต่อมา เนื่องด้วยคำตัดสินที่ไม่ต่างจากคำสาปนั้น ทำให้เขาไม่อาจเข้าใกล้ธรรมะขั้นสูงจนเกิด “ดวงตาเห็นธรรม” ได้ในทันที ต่างจากอัปสร เมื่อมาเกิดในโลกมนุษย์ได้ไม่นาน บารมีธรรมที่เธอสั่งสม ทำให้เมื่อสิ้นอายุขัย เธอก็กลับไปสู่เทวโลกได้เลย

อัปสรเฝ้ามองจากสรวงสวรรค์ด้วยความทุกข์ระทมในใจและเป็นตราบาปอยู่ในใจว่าเป็นต้นเหตุให้ชายผู้เป็นที่รักต้องเวียนว่ายตายเกิดในโลกมนุษย์หลายภพหลายชาติโดยที่ไม่อาจเข้าใกล้ธรรมะขั้นสูงได้ ซึ่งก็เนื่องจากบทลงโทษหรืออีกนัยหนึ่งคำสาปของท้าวภูวทัศน์นั่นเอง และทั้งหลายทั้งปวงก็เกิดจากเธอเป็นต้นเหตุ ทำให้เขาต้องมาเป็นผู้รับเคราะห์แทน ฉะนั้นด้วยเหตุนี้ตลอดเวลาที่อยู่ในภพเทวโลก อัปสรจึงเพียรสร้างบุญบารมีมาโดยตลอดและเมื่อเพ่งญาณแล้วเห็นว่าน่าจะถึงพร้อมในญาณและถึงแก่เวลาแล้วที่จะลงไปช่วยเขา...และเขาเองถึงแม้จะต้องคำสาปจากท้าวภูวทัศน์ดังที่ว่า แต่กระนั้นในบางภพบางชาติที่เกิดในกายมนุษย์ เขาก็ได้สะสมบุญบารมีอยู่บ้าง...ทยอยทีละนิดทีละน้อยในหลายร้อยหลายพันชาติที่ผ่านมา จึงพอจะมีบุญอยู่บ้าง เธอจึงเข้าเฝ้าองค์อินทร์ภูเตศวร ผู้เป็นน้องชายของท้าวภูวทัศน์ ร้องขอให้เขาช่วยใช้จิตสื่อสารกับท้าวภูวทัศน์เพื่อขอให้เธอลงมาจุติยังโลกมนุษย์เป็นกรณีพิเศษ เพื่อจะได้ลงมาช่วยเขาชายผู้เป็นที่รักซึ่งต้องมารับเคราะห์แทนเธอ

ท้าวภูวทัศน์ไม่อยากช่วยเธอเพราะหวั่นว่าจะกลายเป็นเยี่ยงอย่างที่ไม่ดีแก่เทวดานางฟ้าองค์อื่นๆ ที่ว่าเมื่อใดต้องการจะลงไปจุติ ก็ลงไปจุติได้ง่ายๆ แต่ท้าวภูวทัศน์ก็ขัดองค์อินทร์ภูเตศวรผู้เป็นน้องชายไม่ได้ ประกอบกับลึกๆ ท้าวภูวทัศน์รู้สึกว่าคำตัดสินที่ให้แก่สมุนมือขวาโหดร้ายเกินไปและตระหนักว่าตนเองใช้อารมณ์มากเกินไปทั้งที่เป็นความผิดครั้งแรกของปฐวี แต่ทว่าในเมื่อลั่นวาจาซึ่งไม่ต่างจากคำประกาศิตไปแล้ว จึงไม่อาจถอนคำคืนหรือเรียกคืนกลับมาได้ ฉะนั้นเมื่ออัปสรแสดงเจตจำนงและความมุ่งมั่นที่จะลงไปช่วยปฐวี ท้าวภูวทัศน์จึงแอบยินดีและแอบอนุโมทนาอยู่ในใจลึกๆ เพียงแต่ไม่อยากให้เธอได้ใจเกินไป จึงยอมให้เธอไปจุติภายใต้เงื่อนไขข้อหนึ่งว่า...เธอจะต้องไปเกิดเป็นมนุษย์ที่อ่อนไหวต่อชายผู้เป็นที่รัก เมื่อใดที่เขามีท่าทีพึงพอใจหรือจิตพิศวาสในตัวเธอ ก็ขอให้เธอหลงใหลในเพศบุรุษจนหลงลืมและห่างไกลจากธรรมะขั้นสูง หากเธอยอมตกลงรับเงื่อนไขข้อนั้น ถึงจะได้ลงมาจุติยังโลกมนุษย์...

นั่นเท่ากับว่าเป็นการกลั่นแกล้งเธอไม่ให้สัมฤทธิ์ผลตามเงื่อนไขที่องค์อินทร์ภูเตศวรวางไว้ง่ายๆ...

หลังฟังเงื่อนไขของผู้ปกครองเทวโลก ณ ชั้นนั้น องค์อินทร์ภูเตศวรก็เกิดความห่วงใยอัปสร จึงเตือนด้วยความห่วงดีว่า

‘จงคิดให้ดีว่าจะเจอปฐวีดีหรือไม่ ระวังจิตใจเจ้าจะแกร่งกล้าไม่มากพอ คราใดที่เจ้าเจอเขา ศีลบารมีที่เจ้าเพียรสะสมมายาวนานอาจพังทลายลง เจ้าอาจพ่ายต่อเสน่ห์เย้ายวนทางเพศของเขาตามคำสาปของท้าวภูวทัศน์ก็ได้ ฉะนั้นควรคิดให้ดีว่าจะตามไปเจอเขายังโลกมนุษย์หรือไม่’

แต่ทว่าเธอตัดสินใจตกลงรับเงื่อนไขนั้นด้วยมั่นใจว่าเธอฝักใฝ่ในธรรมะมากพอที่จะไม่หลงใหลไปกับเพศตรงกันข้ามแม้แต่กับเขาผู้ซึ่งได้ชื่อว่าสามี ใช่...อัปสรเชื่อว่าญาณเธอแกร่งกล้ามากพอจะทัดทานคำสาปของท้าวภูวทัศน์ได้ จึงยอมรับเงื่อนไข หากกระนั้นผู้ที่ไม่มั่นใจกลับเป็นองค์อินทร์ภูเตศวรเสียเอง ด้วยความเอ็นดูระคนห่วงใย องค์อินทร์จึงประทานพรในเรื่องหน้าตาอัปลักษณ์ให้แก่เธอ และนับแต่นั้นเธอจึงได้ลงมาจุติในโลกมนุษย์ด้วยเงื่อนไขพิเศษ นั่นคือ ลงมาจุติโดยที่ยัง “ไม่หมดอายุขัยและไม่หมดบุญ” ต่างกับเทวดานางฟ้าองค์อื่นๆ ที่จะลงมาจุติได้ต้องสิ้นอายุขัยหรือหมดบุญก่อน และด้วยเหตุผลดังกล่าวอีกเช่นกัน จึงทำให้พลังจิต ญาณ ปัญญาตลอดจนกายทิพย์ติดตามตัวมาด้วยทั้งหมด แม้ว่าเธอจะมาเกิดในกายมนุษย์แล้วก็ตาม...



………………………………..







Create Date : 03 เมษายน 2557
Last Update : 4 เมษายน 2557 3:17:30 น.
Counter : 1751 Pageviews.

7 comment
สาปรัก...บท 7/2
“คุณอัปสรไม่เพลียหรือครับ นอนพักสักชั่วโมงสองชั่วโมงแล้วค่อยวิปัสสนาต่อได้นะครับ อาหมอตรวจอาการเสร็จแล้ว บอกว่าคุณพ่อพ้นขีดอันตราย” ปฐมกาลบอกแกมแนะนำด้วยน้ำเสียงอ่อนๆ อาศัยจังหวะที่อัปสรกลับเข้ามาในห้องประชุมหลังจากลุกไปเข้าห้องน้ำ เอ่ยปากซักถามขึ้น นับตั้งแต่เข้าพิธีขอขมาจวบจนถึงบ่ายสามโมงในตอนนี้ อัปสรนั่งวิปัสสนามาโดยตลอด โดยไม่หยุดพักทานอาหาร ไม่หลับไม่นอน นอกจากจิบน้ำเท่านั้น

อัปสรฟังคำแนะนำจากเขาแล้ว ก็ยิ้มตอบด้วยรอยปรานี เธอทรุดตัวลงนั่งบนเบาะตามเดิม ซึ่งอยู่มุมหนึ่งของห้องประชุม แล้วกล่าวว่า “การนั่งวิปัสสนาตลอดวันตลอดคืนเป็นส่วนหนึ่งของพิธีขอขมาค่ะ และการนั่งวิปัสสนาสำหรับดิฉัน คือการพักผ่อนรูปแบบหนึ่ง แล้วดิฉันก็เคยวิปัสสนาติดต่อกันยาวนานกว่านี้หลายเท่านัก เพราะฉะนั้นอย่าห่วงเลยค่ะ”

ปฐมกาลพินิจใบหน้าของอัปสร จริงด้วยใบหน้าอัปลักษณ์ของเธอไม่มีเค้าความเหนื่อยอ่อนหรืออ่อนเพลียเลย ตรงกันข้ามกลับดูอิ่มเอิบราวกับได้น้ำทิพย์ อุปาทานหรือไม่ปฐมกาลไม่แน่ใจ แต่รู้สึกราวกับว่าตอนนี้หน้าตาของอัปสรดูจะอัปลักษณ์มากกว่าเมื่อคืน ปฐมกาลอึ้งไปเล็กน้อยด้วยความประหลาดใจ

น้ำเสียงนุ่มๆ ของอัปสรยังดังต่อว่า “อีกอย่างการที่คุณปิยชาติพ้นขีดอันตราย ก็ไม่ได้หมายความว่าจะอายุยืนยาวตามไปด้วย ดิฉันอยากจะทำให้แน่ใจว่าเขาจะได้อยู่ต่อไปอีกสักระยะ” ความจริงเธอได้ใช้ญาณเพ่งกรรมดีกรรมชั่วที่คุณปิยชาติก่อไว้ในชาตินี้แล้วพบว่าเขาเป็นคนที่บาปหนา จึงยากยิ่งที่จะทำให้ “ดวงตาเห็นธรรม” ได้ หากกระนั้นใจเธอกลับดื้อรั้น กลับบอกว่าเขามีกำลังทรัพย์มาก ดังนั้นหากสามารถทำให้หันมาฝักใฝ่ในทางธรรมได้ จะเป็นกำลังสำคัญให้กับศาสนาและช่วยให้ศาสนาเผยแผ่กว้างไกลไปได้ เมื่อคิดได้ดังนี้เธอจึงอยากลองดู แม้รู้ว่าความหวังที่จะทำให้เขาหันมาสนใจธรรมะ ค่อนข้างริบหรี่ก็ตาม

“อีกสักระยะ?” ปฐมกาลทวนคำ เสียงเบาหวิว “นานแค่ไหนครับ”

อัปสรกล่าวว่า “ดิฉันเข้าใจความต้องการของคุณ แต่การต่ออายุให้เขามากเท่าไหร่ เท่ากับตัดรอนอายุตัวเองให้สั้นลงเท่านั้น ฉะนั้นดิฉันจึงต่อให้ได้เท่าที่เห็นว่าสมควรเท่านั้น หวังว่าคุณจะเข้าใจ”

“ผมเข้าใจครับ และต้องขอบคุณคุณอัปสรเป็นอย่างมาก และคุณเสียสละอย่างมากจริงๆ คุณเสียสละเพื่อครอบครัวเราจริงๆ ถ้ามีอะไรที่ผมพอจะช่วยเหลืออะไรคุณได้ อย่าลังเลที่จะบอกนะครับ คุณแม่เองก็กำชับให้ผมดูแลคุณอย่าได้ขาดตกบกพร่อง”

“ขอบคุณมากค่ะ แต่ไม่มีอะไรเลยที่ต้องรบกวนในตอนนี้ คุณปฐมกาลไปพักผ่อนตามสบายเถอะนะคะ คุณเองก็เหนื่อยมาตลอดคืนแล้ว ควรจะได้พักผ่อนบ้าง อย่าห่วงดิฉันเลย”

“ผมขอถามอีกนิดได้ไหมครับ” ปฐมกาลรีบถามก่อนที่เธอจะกลับเข้าสู่การนั่งวิปัสสนา

“เชิญค่ะ”

“คือผมอยากรู้ว่าที่คุณต่ออายุให้คุณพ่อ... ท่านจะอยู่ได้อีกนานเท่าไหร่ครับ” ถามย้ำอีกครั้ง น้ำเสียงแทบวิงวอน

อัปสรถอนหายใจแล้วว่า “มนุษย์เราไม่ควรรู้วันตายหรอกนะคะ” บอกเสียงอ่อนๆ น้ำเสียงปลอบประโลมอยู่ในที

“แล้วคุณล่ะครับ คุณรู้วันตายของตัวเองมั้ย” อะไรไม่รู้ดลใจให้ปฐมกาลถามออกไปแบบนั้น ทั้งที่โดยปกติเขาไม่ใช่วิสัยคนปากเสีย

“วันเวลาที่แน่ชัดชนิดที่เรียกว่าเลขผานาที ดิฉันไม่รู้หรอกนะคะ รู้แค่คร่าวๆ เพราะทุกวินาทีที่เราได้ทำกรรม ไม่ว่าจะเป็นกรรมดีหรือกรรมเลว กุศลผลบุญย่อมทำให้รูปแบบการตายและวันเวลาที่เราต้องจากโลกนี้ไปเปลี่ยนแปลงไปได้”

ปฐมกาลอึ้ง รู้สึกเลื่อมใสกับคำตอบของอัปสร เขากล่าวต่อว่า “ฟังคุณอัปสรแล้ว ทำให้ผมอยากทำกรรมดีมากขึ้น แต่ในเวลาเดียวกันก็กลัวการทำบาปมากขึ้นด้วยเหมือนกัน”

“ดิฉันดีใจที่ได้ยินแบบนั้น เพราะคนเราทุกวันนี้ไม่กลัวการทำบาป ทำให้โลกมนุษย์อยู่ยากขึ้นทุกวัน”

“คุณอัปสรเชื่อเรื่องนรกสวรรค์ไหมครับ?”

จู่ๆ ปฐมกาลก็ถามขึ้นมา

เธอตอบว่า “เชื่อค่ะ”

“ทำไมถึงเชื่อล่ะครับ”

อัปสรนิ่งอย่างตรึกตรอง ได้คำตอบว่าถ้าบอกเล่าถึงเทวโลกที่เธอจากมาว่าแท้จริงเป็นอย่างไร อาจทำให้โลกมนุษย์เกิดความวุ่นวายได้ เธอจึงเลือกที่จะหยิบยกคำสอนของพระธรรมปิฎก (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) มาตอบเขาว่า “ในทางพระพุทธศาสนา กล่าวกันว่านรกสวรรค์ มีอยู่ด้วยกัน ๓ ระดับ ระดับที่ ๑ นรกสวรรค์ ภายหลังการตาย ซึ่งกรณีนี้ ในพระไตรปิฎก ก็พูดถึงอยู่ ระดับที่ ๒ นรกสวรรค์ในใจ ดั่งคำกล่าวว่า "สวรรค์ในอก นรกในใจ" ระดับจิตของเราอยู่แค่ไหน เวลาตายถ้าไม่ใช่กรณียกเว้น โดยทั่วไปก็มักจะอยู่ในระดับนั้น แต่ในกรณียกเว้น เช่น ถ้าเวลาตาย จิตนึกถึงสิ่งที่ดี ก็ไปเกิดดีได้ ตรงกันข้ามถึงจะทำกรรมดีมามาก แต่ถ้าจิต ณ ขณะกำลังจะตาย เกิดเศร้าหมอง ระดับจิตตกลงไป ก็ไปเกิดในที่ต่ำได้เช่นกัน และระดับที่ ๓ นรกสวรรค์แต่ละขณะจิต กรณีนี้หมายถึงการที่เราปรุงแต่งนรกสวรรค์ในชีวิตประจำวันของเราเองตลอดเวลา คือปรุงแต่งด้วยกิเลส ความดีความชั่ว กุศลอกุศล หากว่าจิตใจเรามีภูมิธรรมดี สร้างกุศลไว้มาก ทำจิตใจให้อิ่มเอิบเป็นสุข พยายามมองในแง่ดี ก็รับอารมณ์ที่เป็นสุขไว้ได้มาก ในพระไตรปิฎก บอกว่า นรกสวรรค์ที่ว่านั้นไม่สำคัญเท่ากับนรกสวรรค์ที่เราปรุงแต่งด้วยอายตนะทั้ง ๖ ที่พื้นจิตของเราสร้างขึ้นมาเอง อันได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ฉะนั้นแก่นแท้ของนรกสวรรค์อยู่ที่ระดับ ๓ นี้เอง”

ปฐมกาลฟังแล้วเกิดความเลื่อมใสมากยิ่งขึ้น ถามต่อว่า “แปลว่าตลอดเวลาที่เรามีชีวิตอยู่ เราควรต้องปรุงแต่งจิตด้วยกิเลสดี กรรมดี เพื่อว่าจิตใจจะได้อิ่มเอิบเป็นสุข ระดับจิตจะได้ไม่ต่ำ”

อัปสรพยักหน้ารับ

“แล้วกรณีของคุณพ่อล่ะครับ คุณอัปสรคิดว่าท่านจะขึ้นสวรรค์ได้ไหมครับ”

“สำคัญที่ลมหายใจสุดท้ายว่าระดับจิตเราอยู่แค่ไหน คนทำดีมักมีเรื่องดีๆ ให้คิดมากมาย แต่คนทำกรรมชั่ว แม้จะพยายามคิดดี ปรุงจิตให้อิ่มเอิบแค่ไหน ก็ยากจะหาเรื่องดีๆ มาระลึกได้ เหมือนอย่างคุณพ่อของคุณ ถ้าท่านยังไม่เชื่อในกฎแห่งกรรม ต่อให้เฉียดนรกสักกี่ครั้ง ก็ยังไม่เชื่ออยู่นั่นเอง”

ปฐมกาลอึ้ง พึมพำต่อว่า “ที่ท่านเล่าว่าตอนหมดสติไปเจออะไรมาบ้าง นั่นเป็นเรื่องจริงหรือครับ”

“สิ่งที่คุณปิยชาติเล่าเป็นเรื่องจริงค่ะ เพียงแต่ท่านไม่รู้ว่านั่นเป็นหนทางไปสู่การรับคำตัดสินของท้าวพญายมราช สะพานที่คุณปิยชาติเดิน คือเส้นแบ่งระหว่างนรกกับสวรรค์”

“คนเราถ้าไปรับคำพิพากษาแล้ว ผมหมายถึง...ถ้าท้าวพญายมราชตัดสินโทษแล้ว เราจะยังสามารถช่วยเหลือมนุษย์คนนั้นได้อีกไหมครับ”

“ได้ค่ะ แต่การเข้าไปช่วย มีพิธีกรรมยุ่งยากมากซึ่งดิฉันไม่อาจเล่าให้คุณฟังได้”

ยิ่งฟังปฐมกาลก็ยิ่งมั่นใจว่าอัปสรไม่น่าจะใช่คนธรรมดา แต่อาจจะเกี่ยวพันกับภาพที่เขาเห็นเมื่อคืน ลังเลแค่เสี้ยววินาทีแล้วเขาก็ตัดสินใจถามว่า “ผมถามอะไรคุณตรงๆ ได้ไหมครับ”

อัปสรเลิกคิ้ว ก่อนพยักหน้า “เชิญค่ะ”

ทายาทคนโตของคุณปิยชาติ หยุดใคร่ครวญชั่วครู่แล้วกล่าวว่า “คุณไม่ใช่คนใช่ไหมครับ”

อัปสรอึ้ง ไม่คิดว่าเขาจะถามตรงๆ เธอนิ่งไปชั่วอึดใจแล้วตอบว่า “ถ้าไม่ใช่คน แล้วคุณคิดว่าจะเป็นอะไรได้ล่ะคะ”

“ไม่ใช่รู้สิครับ อาจเป็นนางฟ้าจำแลงแปลงกายมาก็ได้”

อัปสรชะงัก ย้อนถามกลับ “แล้วดิฉันจะทำแบบนั้นไปเพื่ออะไรล่ะคะ”

“นั่นคือสิ่งที่พวกผมกำลังสงสัยเหมือนกันครับ” ปฐมกาลถอนหายใจแล้วเปลี่ยนเรื่องว่า “คุณอัปสรทราบไหมครับ ตอนนี้คุณพ่อสั่งให้จิตกรที่เก่งที่สุดในประเทศไทยมาวาดรูปนางฟ้าที่ท่านเห็นในความฝันแล้ว” ปฐมกาลหมายถึงในห้วงครึ่งหลับครึ่งตื่นของคุณปิยชาติ

“ค่ะ” อัปสรเพียงแค่พึมพำรับรู้

ปฐมกาลกล่าวต่อว่า “และตอนนี้จิตกรกำลังวาดภาพตามคำบอกเล่าของคุณพ่ออยู่ในห้อง”

“ค่ะ” อัปสรยังตอบรับด้วยน้ำราบเรียบ

“คุณอัปสรจะไม่พูดอะไรเลยหรือครับ นอกจากค่ะ”

“ก็จะให้ดิฉันพูดอะไรล่ะคะ”

ปฐมกาลมองใบหน้าขาวอัปลักษณ์นั่นนิ่งๆ แววตาเธอไม่หวั่นไหว เขาถอนหายใจ ตัดสินใจเดินหน้าชน “ถึงจิตกรจะยังวาดรูปไม่เสร็จ แต่ก็พอมองเค้าโครงใบหน้าของผู้หญิงที่ไปช่วยคุณพ่อได้... เธอสวยมาก แม้จะยังไม่สมบูรณ์เพราะยังไม่ได้ลงสี เห็นแค่โครงร่าง แต่ก็สามารถบอกได้ว่าผู้หญิงคนนั้นสวยแค่ไหน... เธอสวยยิ่งกว่านางฟ้านางสวรรค์ สวยผมไม่อาจหาคำบรรยายใดๆ มาอธิยายได้ รู้แต่ว่าเธอคือความหมายใหม่ของคำว่า “สวย” และ “งดงาม” อย่างแท้จริง”

อัปสรยังคงนิ่งเงียบ

“คุณจะไม่พูดอะไรหน่อยหรือครับ”

“ดิฉันไม่เข้าใจความหมายของคุณ”

“งั้นผมถามใหม่... คุณใช่คนที่ไปช่วยคุณพ่อไว้จากนาทีความเป็นความตายเมื่อคืน ถูกต้องไหมครับ?”

ถึงตอนนี้อัปสรก็ไม่ตอบอะไรอีก

“ว่าไงครับ?” ปฐมกาลถามรุก

“...”

“ถึงคุณจะไม่พูดอะไร แต่ผมกับคุณแม่เชื่อว่าคุณคือหญิงสาวที่คุณพ่อเห็นในความฝัน”

“แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าดิฉันจะเป็นนางฟ้านี่คะ” เธอแสร้งแย้งเบาๆ

“ตรงกันข้ามผมกลับเชื่อว่าผู้หญิงที่คุณพ่อเห็นในความฝันคือ นางฟ้า เพราะเธอสวยมาก... เธอสวยและสามารถเหะเหินเดินอากาศได้” เขาย้ำ

“แต่ดิฉันไม่ใช่ทั้งสองอย่าง ไม่สวยและยังไม่สามารถเหาะได้”

“นั่นสิ...แปลกนะที่คุณยังไม่ได้นางฟ้าอีก ในเมื่อภาพวาดที่จิตกรวาดตามคำบรรยายของคุณพ่อ กลับไปเหมือนภาพนางฟ้าสุดสวยที่ผมเห็นจากกายคุณ ช่างบังเอิญเสียจริงๆ”

“อะไรนะคะ?” อัปสรย้อนถามเสียงสูงด้วยน้ำเสียงตกใจอย่างยิ่ง “คุณว่าอะไรนะคะ?”

“คุณได้ยินไม่ผิดหรอก ผมบอกว่าภาพวาดจากความฝันของคุณพ่อ ผมเห็นจากกายคุณเมื่อคืนที่ผ่านมาถึงสองครั้งสองคราวด้วยกัน แบบนั้นคุณจะแย้งว่าไม่ใช่ตัวคุณอีกเหรอ?”

อัปสรเกิดความอัศจรรย์ใจที่อีกฝ่ายเห็นกายทิพย์ของเธอ เพราะโดยหลักมนุษย์ธรรมดาไม่สามารถเห็นกายทิพย์ของเทวดานางฟ้าได้ หญิงสาวรีบหลับตาใช้ญาณเพ่งผู้ชายตรงหน้าแล้วฉับพลันเกิดภาพในห้วงคำนึง... เป็นภาพในอดีตกาลหลายๆ ชาติที่ผ่านมา ที่เขากับเธอร่วมทำบุญกันมาในฐานะพี่น้อง อัปสรลืมตาขึ้น เข้าใจแล้วว่าทำไมเขาถึงเห็นกายจริงของเธอ นั่นเป็นเพราะว่าพวกเธอเคยทำบุญเกื้อหนุนกันมาแต่ชาติปางก่อน มาในชาตินี้ปฐมกาลจะช่วยให้เธอสามารถทำภารกิจได้สำเร็จ หากแต่ในขณะเดียวกันเขาจะเป็นตัวอุปสรรคขัดขวาง หากเธอไม่สามารทำให้เขาเข้าใจสถานภาพระหว่างกันและกันได้ เนื่องจากภาพในนิมิตที่เธอมองเห็น...ปฐมกาลกำลังพึงพอใจเธอในฐานะหญิงสาวและในอนาคตระดับความพึงพอใจนั้น จะยิ่งเพิ่มระดับมากขึ้นเรื่อยๆ หากเธอไม่ตัดไฟเสียแต่ต้นลม ฉะนั้นเธอจำเป็นต้องรีบจบภารกิจด้วยการทำให้ปฐวีหันมาฝักใฝ่ในธรรมเร็วขึ้น ก่อนที่ปฐมกาลจะเพิ่มดีกรีพึงพอใจในตัวเธอ

อัปสรตอบขึ้นช้าๆ ว่า “คุณบอกใครเรื่องนี้หรือเปล่าคะ”

“เรื่องอะไรครับ”

“เรื่องที่คุณเห็นภาพที่ซ้อนทับร่างดิฉัน”

“บอกผมก่อนว่านั่นใช่กายจริงของคุณไหม”

อัปสรถอนหายใจ “อย่าต้องให้ดิฉันตอบเลยค่ะ”

ปฐมกาลอึ้ง เพราะคำตอบของอัปสรเท่ากับการยอมรับกลายๆ เขาอึ้งไปนานก่อนถามต่อว่า “ผมถามอีกข้อ กายจริงของคุณนั่น คือนางฟ้าใช่ไหมครับ”

“ดิฉันไม่มีคำตอบให้คุณหรอกค่ะ อย่าเพียรถามเลย และดิฉันอยากขอความกรุณาอย่าเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังด้วย”

“คุณไม่ตอบว่าคุณใช่นางฟ้าหรือไม่ แต่คุณกลับขอร้องผมไม่ให้บอกเรื่องนี้กับใครๆ ทำไมกัน?”

“เพราะโลกจะสับสนวุ่นวายหากว่าทุกคนเชื่อตามคุณ” โลกในความหมายของเธอ คือสังคมที่พวกเธอเข้าไปเกี่ยวข้อง

“เชื่อตามผม? คุณพูดยังกับว่าคุณกำลังปฏิเสธว่านั่นไม่ใช่กายจริงของคุณ อย่างนั้นหรือ?”

อัปสรไม่เคยโกหกด้วย เธอจึงเลือกที่จะปิดปากเงียบ

ปฐมกาลรุกถามต่อว่า “งั้นที่ผมเห็นผู้หญิงสวยๆ ซ้อนทับกายคุณถึงสองครั้งสองคราวนั่นหมายถึงอะไรกัน”

“พระพุทธเจ้าตรัสว่า มา ทิฎฐินิชฺฌานกฺขนฺติยา อย่าเพิ่งเชื่อเพราะเห็นว่าต้องกับความเห็นของตน เพราะสิ่งที่เราเชื่อนั้นอาจจะผิดก็ได้” เธอตอบเลี่ยงไปอีกทาง

“กรุณาอย่าเฉไฉคุณอัปสร กรุณาบอกผมมาเถอะว่าคุณเป็นใครหรือเป็นอะไรกันแน่ ผมแอบให้สารวัตรเพื่อนของนายวีสืบเรื่องราวของคุณ แต่ก็ไม่เจอประวัติใดๆ นอกจากว่าคุณใช้ชีวิตที่ป่าช้าแห่งนั้นด้วยการนั่งวิปัสสนามายาวนานกว่า ๒๐ ปี ทำไมพวกเราถึงไม่เจอประวัติอื่นๆ ของคุณเลย ไม่ว่าการเรียน การงานหรือญาติพี่น้อง”

อัปสรเลือกความเงียบเป็นคำตอบ

ปฐมกาลถามต่อว่า “คุณไม่เคยเข้าเรียนที่ไหน ไม่เคยมีญาติ พ่อแม่หรือพี่น้องเลยเหรอคุณอัปสร”

“...”

ปฐมกาลจ้องอัปสรตรงๆ ถามช้าๆ ว่า “สรุปคุณเป็นใครกันแน่คุณอัปสร”

“...”

“การไม่ตอบของคุณ ผมจะตีความมันว่าคุณยอมรับว่าคุณคือนางฟ้าแสนสวยคนนั้น แล้วถ้าเป็นนางฟ้า แล้วใบหน้าอัปลักษณ์นี่เล่าคืออะไรกันคุณอัปสร คุณทำให้ผมมึนงงสับสนไปหมดแล้ว”

“อย่าพยายามหาคำตอบในสิ่งที่คุณจะไม่มีทางได้เลยค่ะ เชื่อดิฉัน”

“ไม่...กรุณาบอกผมว่าทำไมคุณถึงปกปิดใบหน้าแท้จริงด้วยความอัปลักษณ์นี่”

อัปสรยังคงนิ่งเงียบกับคำถามของเขา ไม่ได้โกรธหรือรู้สึกอันใดเพราะเธอข้ามผ่านจุดนั้นมาแล้ว

“คุณอัปสร คุณจะไม่ตอบอะไรผมหน่อยเหรอ”

“คุณถามในสิ่งที่ดิฉันตอบได้สิคะ”

“งั้นคำถามนี้คุณอาจจะตอบได้ ช่วยบอกผมเอาบุญหน่อยเถอะว่าคุณได้อะไรจากการเสียสละเพื่อพวกเราในครั้งนี้ ผมยังมองไม่ออกว่าคุณเข้ามาในครอบครัวผมครั้งนี้เพื่อหวังอะไร ในเมื่อเห็นๆ อยู่ว่าคุณเสียเปรียบทุกประตู ฉะนั้นผมขออนุญาตเสียมารยาทถามคุณตรงๆ เถอะว่าคุณเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวเราเพื่อเหตุผลอะไร”

“อย่ากังวลไปเลย ดิฉันได้เหมือนกัน ไม่ได้เสียฝ่ายเดียว”

“อะไรล่ะที่คุณได้” ปฐมกาลใจชื้นขึ้นเมื่ออัปสรยอมตอบคำถาม

อัปสรตอบด้วยกิริยาสำรวมว่า “ดิฉันได้น้องชายคนใหม่ของคุณไงคะ”

ปฐมกาลขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจหนักขึ้น “หมายความว่าไงครับ ผมไม่เข้าใจ”

“ดิฉันจะทำให้คุณปฐวีเปลี่ยนมาเป็นคนที่นับถือบาปบุญคุณโทษและถือศีลปฏิบัติธรรม”

“หือ?” ปฐมกาลอุทานในลำคอย่างตกใจ “ผมว่าเปลี่ยนซาตานให้เป็นนักบุญ ยังจะง่ายกว่าเปลี่ยนนายวีให้เป็นคนถือศีลนะครับ”

ถึงตรงนี้อัปสรก็คลี่ยิ้มขำอย่างอดไม่ได้ “ไม่หรอกค่ะ สักวันเมื่อคุณปฐวีรักใครจริงๆ สักคน เขาจะยอมเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อใครคนนั้น”

“และคุณคือใครคนนั้นหรือคุณอัปสร?”

อัปสรอึ้ง ไม่สามารถตอบเขาได้

“ใช่ไหมครับ?”

อัปสรส่ายหน้า “ดิฉันไม่อาจล่วงรู้อนาคตได้หรอกค่ะถ้าหากวันนี้ดิฉันยังไม่ได้ลองพยายามทำให้ดีที่สุดก่อน”

“อืม...คุณชอบพูดอะไรให้เป็นปริศนาอยู่เรื่อยเลยคุณอัปสร” ตอบแล้วจ้องใบหน้าอัปลักษณ์ของอัปสรนิ่งๆ แล้วพูดต่อว่า “รู้มั้ยผมกำลังคิดว่าระหว่างคุณกับนายวี เหมือนมีเงื่อนงำอะไรบางอย่างปิดบังอำพรางอยู่ คุณดูเหมือนจะรู้จักกับนายวีดีและดูเหมือนจะรู้วิธีรับมือกับหมอนั่นด้วย ผมยังไม่เคยเห็นใครรับมือได้เท่าทันนายวีเหมือนอย่างคุณมาก่อน” แล้วปฐมกาลก็นึกถึงเงื่อนไขที่น้องชายตั้งข้อแม้ขึ้นเพื่อที่จะไม่แต่งงานกับอัปสร แต่เธอก็สามารถโต้กลับอย่างเท่าทันกันในทันทีเหมือนกัน

“เปล่าหรอกค่ะ คุณปฐมกาลก็เห็นอยู่ว่าดิฉันรับมือเขาได้แย่แค่ไหน”

“ทำไมนะ ลึกๆ ผมกลับเชื่อว่านายวีจะแพ้ทางคุณ ใจผมเชื่อล้านเปอร์เซ็นต์ว่าคุณรู้จักนายวีดี...อย่างนั้นใช่ไหม คุณรู้จักกับนายวีมาก่อน? คุณหวังดีและปรารถนาดีต่อนายวี ต้องการให้เขากลับมาถือศีลปฏิบัติธรรม คุณทำอย่างนั้นไปเพื่ออะไรกันคุณอัปสร คุณรักนายวีเหรอ?”

อัปสรอึ้งเมื่อถูกถามตรงๆ ใจนึกบอกตัวเองว่า...แน่นอนเธอรักเขาแน่ หาไม่แล้วเธอคงไม่ตามลงมาจุติด้วยวิธีพิเศษแบบนี้ แต่เหนือสิ่งอื่นใด นอกเหนือจากความรัก มันคือความผิดที่เธอจำต้องไถ่บาปและไถ่โทษต่อเขา หาไม่แล้วมันก็คงเป็นตราบาปอยู่ในใจเธอไปอีกนาน นึกมาถึงตรงนี้สีหน้าของอัปสรก็เศร้าหมองลง เมื่อหวนระลึกถึงเรื่องราวในอดีตชาติของตัวเอง


………………………………..







Create Date : 02 เมษายน 2557
Last Update : 3 เมษายน 2557 22:57:44 น.
Counter : 1437 Pageviews.

6 comment
สาปรัก...บท 6/2-7/1
พิธีขอขมาเจ้ากรรมนายเวรให้กับคุณปิยชาติเริ่มต้นขึ้นในอีกหลายนาทีถัดมา หลังจากการโต้เถียงระหว่างปฐวีกับอัปสรจบสิ้นลงในรูปแบบที่ปฐวีพอใจแล้ว บรรยากาศเข้าสู่ความสงบเมื่อเธอเริ่มต้นนำสวดมนต์โดยมีสมาชิกในครอบครัวแต่ละคนถือพานขอขมาท่องตามเธอ เริ่มต้นกันตั้งแต่ที่ศาลพระภูมิ ศาลตายายหน้าโรงพยาบาล ก่อนจะเข็นรถเข็นของคุณปิยชาติกลับมายังห้องไอซียูเพื่อขอขมาเจ้ากรรมนายเวรในโรงพยาบาลแห่งนั้น โดยตลอดเวลาที่ทำพิธี มีทีมแพทย์คอยติดตามและดูแลอยู่ห่างๆ พวกเขาต่างเกิดความรู้สึกอัศจรรย์ใจเมื่อพบว่าวิธีการของเธอได้ผล ด้วยก่อนหน้านี้ไม่มีสัญญาณใดๆ ว่าคุณปิยชาติจะรอดชีวิต แต่ตอนนี้ยิ่งกว่าคำว่าพ้นขีดอันตรายเมื่อเขาสามารถลุกขึ้นมานั่งบนรถเข็นและพูดคุยได้เป็นปกติราวกับมีอภินิหาร และนั่นจึงเป็นเหตุผลให้ทีมแพทย์ของโรงพยาบาลสุขารมณ์ มองไปที่อัปสรด้วยความรู้สึกทึ่งระคนศรัทธา

ภายหลังขอขมาด้วยพานดอกไม้ ข้าวตอก ข้าวสารและสิ่งของอื่นๆ ตามพิธีกรรมบนสรวงสวรรค์แล้ว เธอก็ขอให้ทุกคนนั่งสมาธิเพื่อแผ่เมตตาให้กับสรรพสัตว์และเจ้ากรรมนายเวร แล้วจึงปิดท้ายด้วยการกรวดน้ำ ส่วนตัวเธอนั่งวิปัสสนาต่อไปอีกหนึ่งวัน โดยไม่หลับไม่นอน ไม่รับประทานอาหาร ยกเว้นดื่มน้ำ เพื่อทำพิธีต่ออายุให้กับคุณปิยชาติ

………………………………..

บท 7


ทองม้วนร้องหง่าวเสียงดังเมื่อสุนิษาผลักประตูเข้ามา เธอทำปากจุ๊ๆ ให้ทองม้วนเงียบเสียงแล้วตัวเองก็ทรุดตัวนอนข้างปฐวีซึ่งอยู่คนละฝั่งกับทองม้วน เป็นภาพที่เซ็กซี่...ผู้ชายเปลือยกายกับแมววิเชียรมาศตัวโตที่กำลังอิงแอบซุกอกเขา สุนิษามองภาพนั้นด้วยแววตาชื่นชม ดื่มด่ำไปกับเนื้อตัวส่วนบนที่โผล่พ้นผ้านวม แผงอกเปลือยเปล่าอุดมไปด้วยมัดกล้าม ไรขนอ่อนๆ ขึ้นตลอดแนวจนหายเข้าไปในผ้านวม ปฐวีดูแลรูปร่างดี จึงไม่มีส่วนเกินใดๆ ให้เกะกะสายตา เขาหุ่นเฟิร์มด้วยความสูงกว่า ๑๘๕ เซนติเมตรและเซ็กซี่อย่างมาก สุนิษาไล่ปลายนิ้วเล่นปูไต่ไปตามแผงอกกว้าง แต่เจ้าของร่างสูงใหญ่ไม่มีแววจะตื่นจากนิทรา เธอเปลี่ยนกลยุทธ์ใหม่ จัดการสลัดเสื้อผ้าตัวเองจนเหลือเพียงชุดชั้นในสองชิ้นแล้วจึงพลิกตัวขึ้นไปนอนเกยครึ่งตัว ซุกมือเข้าไปใต้ผ้าห่มอย่างซุกซน เกาะกุมความเป็นชายของเขา สุนิษาปลุกเร้าถึงขนาดนั้น แต่ปฐวียังคงหายใจเป็นจังหวะสม่ำเสมอ พร้อมกับมีเสียงกรนเบาๆ ดังเป็นระยะๆ ตลอดเวลา บ่งบอกถึงความเหนื่อยและอ่อนเพลียจัดของเจ้าตัว ปกติเขาเป็นคนรู้สึกตัวไวและไม่เคยนอนกรน ยกเว้นเหนื่อยจัดหรือนอนไม่พอ จึงเกิดการหลับลึก

“คุณวี” สุนิษาเรียกชื่อ พลางตบแก้มเบาๆ แต่เขายังไม่รู้สึกตัว เธอตัดสินใจรุกหนักขึ้นด้วยการสลัดผ้านวมออก ลดศีรษะไปจูบดูดดื่ม ขบเม้มกลีบปากสวยราวกับอิสตรีของเขา พลางสำรวจเนื้อตัวท่อนล่างด้วยปลายนิ้วอย่างช้าๆ อ้อยอิ่งราวกับเวลาเป็นของเธอ สุนิษาไล่ปลายนิ้วซอกซอนไปตามความยาวซึ่งกำลังตื่นตัว และพองขยายออกรับฝ่ามือเธอ ปฐวีเป็นผู้ชายน่าหลงใหล เป็นหนุ่มเจ้าสำรวญที่ไม่ต่างจากม้าหนุ่มที่ยากที่สาวไหนๆ จะปราบพยศได้ หากทว่านั่นคือเสน่ห์ของเขาที่ชวนดึงดูดให้สาวๆ อยากเข้าหาและปราบพยศเขา แต่คนแล้วคนเล่าที่หวังจะสยบหัวใจเขา กลับต้องเป็นฝ่ายผิดหวังและล่าถอยกลับไปเองทุกราย ยิ่งหวังให้เขาเอ่ยคำว่ารักหรือขอแต่งงาน ยิ่งเป็นตัวผลักดันให้เขาอยากเลิกหรือชิ่งหนีเร็วขึ้น สุนิษาเรียนรู้ธรรมชาติความเป็น “ปฐวี” มากพอที่จะรู้ว่าหากอยากให้สัมพันธภาพยืนยาวโดยเขาไม่คบซ้อนและไม่ทิ้งไปง่ายๆ ก็ต้องไม่หลุดเรื่องรักหรือแต่งงานอะไรพวกนั้น ตรงกันข้ามจะต้องปล่อยให้เขามีชีวิตอิสระโดยไม่ไปตีกรอบหรือทำตัวหึงหวง ผู้ชายอย่างปฐวี...เมื่อใดที่ปล่อยสายป่าน เขาก็จะกลับมาหาเอง แต่หากควบคุมหรือไล่ตาม เขาก็ยิ่งอยากสลัดพันธนาการนั้น

ตลอดเวลาที่สุนิษาสำรวจเนื้อตัวแฟนหนุ่ม ทองม้วนร้องเหมียวๆ แล้วใช้เท้าหน้าเขี่ยหัวไหล่เขา ราวกับจะปลุกให้ผู้เป็นเจ้าของตื่นขึ้นมารับรู้ สุนิษาจึงมองภาพนั้นด้วยความรู้สึกขำๆ ปนเขม่นหน่อยๆ

“หวงเจ้านายเสียจริงนะ” สุนิษาแกล้งว่า

ราวกับทองม้วนฟังภาษาคนออก มันตอบรับอาการเขม่นของสุนิษาด้วยการกระโดดขึ้นไปนอนบนหลังเธอ เลียหลังไปมา สุนิษาแทบร้องกรี๊ด

“เฮ้...เจ้าทองม้วน ลงไปเดี๋ยวนี้นะ” สุนิษาโวยวายเสียงหลง ผุดลุกจากปฐวีพลางสะบัดตัว มีผลให้ทองม้วนลื่นไถล มันกางเล็บทั้งสิบหาที่ยึด มีผลให้เล็บแหลมๆ จิกลงไปบนเนื้อก่อนจะครูดไปตามแผ่นหลัง เกิดเลือดซิบๆ ซึมเป็นทางยาวไปตามรอยตะกุย สุนิษาร้องกรี๊ดยาว

เสียงกรีดร้องอย่างโหยหวนของสุนิษาปลุกปฐวีให้ตื่นจากนิทรา เจ้าของแมววิเชียรมาศลืมตาขึ้นมองอย่างงัวเงีย ต้องกะพริบตาอีกหลายครั้ง สายตาจึงสามารถรับรู้ภาพที่สุนิษาซึ่งอยู่ในสภาพกึ่งเปลือยกาย กำลังร้องกรีด พลางสะบัดตัวเร่าๆ

“เกิดอะไรขึ้นคุณษา” ถามเสียงตกใจ พลางขยับลุกนั่ง ท่าทางยังงัวเงีย เมื่อคืนกว่าเขาจะได้กลับมาที่คอนโดฯ และอาบน้ำเข้านอนก็เกือบ ๑๑ โมงแล้ว เนื่องจากต้องนั่งสมาธิประกอบพิธีตามที่อัปสรสั่งตลอดคืน เขาหลับเป็นตายไม่รู้เรื่องรู้ราวแม้สุนิษามานอนกึ่งเปลือยอยู่บนเตียง ก็ยังไม่รู้สึกตัว

“ก็เจ้าแมวบ้า เอ้ย...เจ้าทองม้วนสิคะมันตะกุยหลังฉัน” สุนิษาฟ้องเสียงหลง หน้ายังซีด พลางหันหลังให้เขาดูผลงานของสัตว์เลี้ยงตัวโปรด

ปฐวีชะงัก ทำหน้าเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เพราะปกติทองม้วนนิสัยดี ไม่ก้าวร้าวทำร้ายใครก่อน แต่เมื่อเห็นหลักฐานที่หลังของสุนิษา เลือดไหลซึมไปตามรอยตะกุยทั้งสิบเล็บของทองม้วน ทำให้เขาอึ้งไปชั่วขณะ ปฐวีลงจากเตียง ตวัดแมววิเชียรมาศขึ้นอุ้มแขนด้วยมือข้างเดียว พาเดินออกไปทางห้องนั่งเล่น ปากกำราบว่า

“เจ้าต้องถูกทำโทษแล้วทองม้วน ค่าที่ทำตัวไม่น่ารัก วันนี้ทั้งวันนอนอยู่ในกรง ห้ามออกมาเดินเพ่นพ่านเด็ดขาด”

มันครางเสียงต่ำต่อต้าน

ปฐวีไม่ฟัง “ไม่ต้องมาโอดครวญ ทำเสียงน่าสงสารเลย ใครสั่งใครสอนกันให้ทำร้ายเพศที่อ่อนแอ่กว่าแบบนั้น คุณษาเอาแกไปช่วยดูตั้งเท่าไหร่ ยังจะไม่รู้สำนึกอีก อย่างงี้ฉันขังลืมดีไหมนี่”

ทองม้วนประท้วงด้วยการร้องหง่าวๆ แต่ก็ยอมเดินเข้าไปในกรงโดยดุษณี เขาปิดกรงเดินเข้าไปในห้องแต่งตัวซึ่งอยู่ติดกับห้องน้ำ ฉวยเสื้อคลุมอาบน้ำครึ่งตัวมาคลุมกาย รัดเอวหลวมๆ แล้วเดินไปหยิบกล่องยาบนตู้แขวนในห้องครัว ก่อนเดินกลับไปหาสุนิษาในห้องนอน

“ผมต้องขอโทษแทนเจ้าทองม้วนด้วย ไม่น่าจะหยาบคาบกับคุณแบบนั้น เดี๋ยวผมทำความสะอาดแผลให้ แล้วเราไปคลินิกกัน คุณต้องฉีดวัคซีนกันบาดทะยัก”

“แต่...” จะค้าน แต่จำต้องยอมรับเหตุผลของแฟนหนุ่ม สุนิษาจึงถอนหายใจ

ปฐวีชะงักจากการเปิดจุกขวดน้ำเกลือ “แต่อะไร” ถามยิ้มๆ

“ก็ฉันวางแผนจะมา เอ่อ...ค้างกับคุณ ดูเจ้าทองม้วนทำเสียแผน เสียฤกษ์แถมเสียบรรยากาศหมด เราต้องไปคลินิกกันแทนที่จะได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันบนเตียงนี่” สุนิษาตอบ น้ำเสียงโอดครวญระคนหงุดหงิด

ปฐวีหัวเราะกับเหตุผลของหญิงสาว “อย่าหงุดหงิดไปเลย ไม่เป็นไร... เดี๋ยวคืนนี้ผมกลับจากงานเราค่อยมาต่อกันก็ได้ ผมยินดีจะใช้เวลาอยู่บนเตียงกับคุณตลอดคืนยันเช้าเลยเอ้า...เอาให้คางเหลืองกันไปข้าง หันหลังมาเถอะครับ ผมจะล้างแผลให้”

สุนิษายอมหันหลังให้แฟนหนุ่ม พลางทำเสียงกระเง้ากระงอด “คุณไม่ไปทำงานไม่ได้หรือคะ เราจะได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันทั้งวัน...นะคะ” ตอนท้ายทำเสียงออดอ้อนอย่างน่ารัก

ปฐวีจัดการปลดตะขอเสื้อในของหญิงสาว แผ่นหลังขาวนวลเนียนเต็มไปด้วยเลือดสดๆ ซึมเป็นทางยาวตามรอยตะกุยของทองม้วน วูบหนึ่งรู้สึกเสียใจแทนหญิงสาวเพราะเมื่อแผลตกสะเก็ด จะทิ้งรอยจางๆ ไว้ ปฐวีกล่าวต่อว่า “คุณษา คุณต้องถอดชิ้นล่าง ผมจะได้ล้างแผล ยกเว้นว่าคุณจะไม่ใช้จีสตริงตัวนี้แล้ว”

สุนิษาลุกยืน ปลดชิ้นล่างโดยไม่อิดออด แล้วทรุดนั่งหันหลังให้เขาตามเดิม ปฐวีราดน้ำเกลือลงไปบนแผ่นหลังโดยไม่สนใจว่าน้ำเกลือผสมเลือดที่ไหลเป็นทางลงไป จะเปื้อนผ้าปูเตียงผืนแพงจนต้องทิ้งหรือไม่

“ว่าไงคะคุณยังไม่ตอบว่าจะใช้เวลาอยู่กับฉันทั้งวันได้ไหม” สุนิษาทวงคำตอบ น้ำเกลือทำให้เธอเย็นสบาย ไม่แสบเหมือนแอลกอฮอล์

“ไม่ได้หรอก ผมต้องทำงาน” ปฐวีตอบขณะที่มือหมุนเกลียว เปิดฝาขวดแอลกอฮอล์ หยิบคอตตอนบัดมาจุ่มแอลกอฮอล์แล้วป้ายทารอบแผลเพื่อฆ่าเชื้อเป็นลำดับถัดไป

“แต่คุณเป็นเจ้านาย เป็นเจ้าของโรงแรมนะคะ ทำไมจะหยุดไม่ได้” เธอท้วงด้วยน้ำเสียงเง้างอดอย่างน่ารัก

“ยิ่งเป็นเจ้านาย ยิ่งต้องทำตัวดีๆ เป็นตัวอย่างที่ดีให้ลูกน้อง” ปฐวีแสร้งขัด ทั้งที่ในใจตอบตกลงไปเรียบร้อยแล้ว

“ฉันเตรียมแผนสำหรับเราเย็นนี้แล้วนะคะ ฉันตั้งใจจะนวดอโรมาให้คุณแล้วตามด้วยสปาในอ่าง คุณจะได้ผ่อนคลาย อ่อนล้าจากเรื่องวุ่นๆ มาทั้งวัน”

ฟังดูน่าสนใจ... ใจคิดแต่ปากตอบว่า “จะดีเหรอ” ยังคงแสร้งทำเสียงลังเล ไม่แน่ใจ ขณะที่มือป้ายคอตตอนบัดไปตามรอบแผลอย่างคล่องแคล่ว

“รับรองว่าจะคุ้มค่ากับเวลาที่คุณต้องเสียไปแน่ค่ะ ฉันการันตี” พูดมาถึงตรงนี้ สุนิษาก็ทำเสียงครางอย่างเซ็กซี่ เธอชอบให้มือหนาของเขาไล้ไปตามเนื้อตัว

ปฐวีหัวเราะ ยอมแพ้กับข้อเสนอที่แสนเร้าใจของเธอ ใจไม่แข็งพอจะแกล้งถ่วงเวลาต่อไป เขาหยิบคอตตอนบัดอันใหม่มาจุ่มเบตาดีนแล้วทาลงไปบนแผล ขณะที่ปากตอบว่า “เดี๋ยวผมต้องโทร.เช็กเลขาฯ ก่อนว่า ที่ออฟฟิศยุ่งไหม ถ้ามีเรื่องด่วนเข้ามา ผมคงลาไม่ได้ แต่ถ้าไม่มีอะไรยุ่ง ตกลง...เราจะใช้เวลาเย็นด้วยกันตามที่คุณวางแผนไว้”

“เยี่ยมค่ะ ขอบคุณนะคะ” เธอเอี้ยวตัวมาจุ๊บแก้มเขา

ปฐวียิ้มอย่างอารมณ์ดี “ยินดีทูนหัว” ตอบแล้วหันไปสนใจภารกิจเบื้องหน้าต่อ เขาใช้ผ้ากอซปิดแผลเป็นลำดับสุดท้าย

“คุณพ่อเป็นไงบ้างคะ ไม่เห็นเล่าให้ฟังเลย”

ทายาทตระกูลดังเก็บอุปกรณ์ปฐมพยาบาลลงกล่องอย่างชำนิชำนาญ ขณะตอบไปว่า “พ้นขีดอันตรายแล้วล่ะ ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง คาดว่าน่าจะออกจากโรงพยาบาลได้เร็วๆ นี้”

“ว้าว...ยินดีด้วยค่ะ ทำไมเร็วนักคะ ไม่ใช่ว่าไม่ดีใจนะคะ ดีใจค่ะ แต่อดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมถึงออกมาได้ไว ตอนไปเยี่ยมท่านครั้งที่แล้ว ยังอาการไม่สู้ดี หมอที่ไหนๆ ก็บอกว่ารักษาไม่ได้ แล้วทำไมตอนนี้กลายเป็นตรงกันข้ามคะ”

“เรื่องมันยาว ผมไม่รู้จะเริ่มยังไงดี เอาไว้วันหลังผมค่อยเล่าให้ฟัง ตอนนี้ผมต้องขอตัวไปอาบน้ำแล้วล่ะ เราจะได้ไปคลินิก พาคุณไปฉีดวัคซีนกันบาดทะยัก”

สุนิษาหน้ามุ่ย แต่ก็ยอมขยับลุก ปฐวีตามไปจุ๊บริมฝีปาก ถามว่า

“ทำไมทำหน้ามุ่ยแบบนั้นล่ะ”

“ก็อยากให้เรามีเวลาอยู่ด้วยกันมากกว่านี้” ตอบพลางโอบเอวเขาอย่างประจบ

ปฐวียิ้ม ปัดปลายจมูกโด่งด้วยปลายนิ้วชี้ แล้วว่า “ก็เราจำเป็นต้องพาคุณไปฉีดวัคซีนนี่ คุณคิดว่าผมอยากทำอะไรกับคุณมากกว่าพาขึ้นเตียงรึไง”

สุนิษาปรายตาค้อน ไม่จริงจังนัก แล้วถอนหายใจ “คุณพูดถูก... รีบไปอาบน้ำเถอะค่ะ ยังไงเย็นนี้เราก็มีเวลาอยู่ด้วยกันอยู่แล้ว”

ปฐวีหัวเราะ แต่ไม่ทันตอบอะไรไปมากกว่านั้นเมื่อมีเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น เขาคว้าโทรศัพท์มากดรับ

“วี” เสียงคุณพุดซ้อนดังมาตามสาย

“ครับคุณแม่” ตอบพลางหันไปจุ๊ปากกับสุนิษา ก่อนเดินถือโทรศัพท์ไปทางระเบียง ชั้นที่ปฐวีซื้ออยู่บนสุด มีระเบียงถึงกันโดยรอบ มองออกไปเห็นจราจรเบื้องล่างขวักไขว่

“เดี๋ยวมารับแม่ไปวัดหน่อยได้ไหม แม่อยากไปหาพระ...” คุณพุดซ้อนเอ่ยชื่อพระชื่อดังที่ตัวเองนับถือ

ปฐวีนิ่วหน้า “แม่จะไปทำไมครับ” ถามทั้งที่พอเดาคำตอบได้

“ยังจะมาถามอีก แม่จะไปหาพระเกจิดังๆ จะให้ท่านช่วยหาฤกษ์แต่งให้วีกับหนูอัปสรไง”

“แต่คุณแม่ครับ จะเร็วเกินไปมั้ย คุณพ่อเพิ่งฟื้นนะครับ”

“เพราะเพิ่งฟื้นแหละถึงต้องรีบจัดงานแต่งเพื่อแสดงความขอบคุณหนูอัปสร ถ้าไม่ได้หนูอัปสร คุณพ่อและครอบครัวเราคงแย่แน่ ตอนนี้คุณพ่อกำลังจะกลับมาเป็นปกติแล้ว เพราะฉะนั้นเราต้องรักษาคำพูดนะวี แม่ย้ำอีกครั้งเพราะหนูอัปสรช่วยไว้ คุณพ่อถึงกลับมาลุกนั่ง กินข้าวและพูดคุยได้เป็นปกติ นี่ฟังอยู่ไหม?” คุณพุดซ้อนถามเมื่อเสียงปลายสายเงียบไป ไม่โต้ตอบ

ปฐวีลอบผ่อนลมหายใจ “ฟังอยู่ครับ”

คุณพูดซ้อนพูดต่อว่า “ตอนที่วีกลับไปแล้ว หมอที่เข้ามาตรวจอาการ ยังแปลกใจที่เห็นคุณพ่อฟื้นไว หมอบอกว่าถ้ายังกินได้เยอะ ลุกนั่งได้แบบนี้ อีกสัปดาห์ก็น่าจะกลับไปพักฟื้นที่บ้านได้ เพราะงั้นเดี๋ยววีมารับแม่ที่บ้านหน่อยนะ”

“คนรถล่ะครับ” เขาแสร้งแย้งเบาๆ ปฐวีหมายถึงคนขับรถที่บ้าน

“เอ๊ะ...วีนี่ยังไงนะ ก็แม่อยากให้เราไปด้วยแล้วจะใช้คนรถทำไม”

“ผมก็อยากพาแม่ไปหรอกนะครับ แต่บ่ายนี้ผมต้องเข้าสำนักงาน มีแฟ้มรอให้ผมเซ็นมากมาย”

“บอกให้เลขาฯ เอาแฟ้มไปให้ที่วัด”

ปฐวีชะงัก “จะดีเหรอครับ”

“นี่เป็นคำสั่งของแม่”

“แต่เอ่อ...ผมมีนัดเย็นนี้”

“ตาวี นี่แกเห็นคนอื่นดีกว่าแม่เหรอ?”

“เปล่าครับ” ปฐวีปฏิเสธ น้ำเสียงเซ็งจัด

คุณพุดซ้อนพูดต่อว่า “ดี...งั้นก็มารับแม่ตามนัด ตอนนี้แม่อยากให้เราเข้าใจตรงกันว่าเรื่องของหนูอัปสรสำคัญมาเป็นอันดับหนึ่ง เพราะเรื่องของเธอ เท่ากับความเป็นความตายของคุณพ่อ”

“ครับ...ผมเข้าใจ แต่แม่ถามพี่กาลหรือยัง เขาอาจ...” ปฐวีไม่มีโอกาสพูดจนจบเมื่อคุณพุดซ้อนสวนกลับทันควัน

“เอ๊ะ...วีนี่ยังไงนะ แม่บอกอยู่นี่ว่า นี่มันเรื่องของเรา ไม่ใช่เรื่องของกาล”

“เรื่องของอัปสรก็เท่ากับเรื่องของคุณพ่อใช่ไหมครับ? และในเมื่อเป็นเรื่องของคุณพ่อ ก็เท่ากับเป็นเรื่องของพี่กาลด้วยเหมือนกัน ถูกไหมครับ”

“อย่ามาหัวหมอแล้วก็อย่ามาพูดวกวนให้แม่มึนด้วย เพราะเรื่องแต่งงานของเรากับหนูอัปสรไม่เกี่ยวกับตากาล อีกอย่างพี่เขาก็มีงานเยอะอยู่แล้ว ไหนจะต้องเฝ้าคุณพ่อที่โรงพยาบาล แล้วไหนจะต้องคอยดูแลหนูอัปสรเผื่อต้องการอะไร เพราะงั้นเลิกโยกโย้ มารับแม่เลย”

“อะไรๆ ก็หนูอัปสร แม่ชักจะเอาใจเธอเกินไปแล้วนะครับ ระวังจะได้ใจนะ”

“จะได้ใจแล้วจะทำไม เพราะยังไงนั่นก็ว่าที่ลูกสะใภ้แม่ วีต้องตระหนักไว้ให้มากว่าเธอสละเพื่อเรา เธอช่วยเอาอายุตัวเองมาต่อให้คุณพ่อ เพราะฉะนั้นหน้าที่ของเรา คือต้องจัดหาในสิ่งที่เธอต้องการ”

ปฐวีกลอกตาขึ้นลง ต่ออายุได้จริงหรือเปล่า...ก็ยังไม่รู้ แย้งในใจ แต่ไม่กล้าโต้ออกไปตรงๆ ปากตอบว่า “โอเคๆ ผมเข้าใจแล้วครับ ขอเวลาอาบน้ำและเคลียร์เรื่องส่วนตัวสักชั่วโมงสองชั่วโมงแล้วจะไปรับนะครับ หวังว่าอีกแค่ชั่วโมงสองชั่วโมง คุณแม่จะรอได้”

“ย่ะ ธุระที่ว่าหวังว่าจะไม่มีเรื่องแมวกับผู้หญิงมาเกี่ยวข้อง”

ปฐวีพยายามทำเป็นไม่ได้ยินเสียงกระแนะกระแหนนั้น เขาถามกลับไปว่า “จะให้ผมไปรับที่ไหนครับ”

“ที่บ้าน แม่กลับมาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าที่บ้าน”

“ตกลงครับ ว่ากันตามนั้น” ปฐวีวางสายแล้วเดินกลับเข้าไปในห้องนอน โดยมีสุนิษาสวมเสื้อผ้าเรียบร้อยอยู่แล้ว ยืนรออยู่

“คุณแม่ว่าไงบ้างคะ”

“ผมเสียใจเราต้องเปลี่ยนแผนเย็นนี้ แต่ผมยังสามารถพาคุณไปคลินิกได้ แต่คงต้องเร่งทำเวลา ไม่งั้นคุณแม่ผมอาจองค์ลงได้” ปฐวีพูดแล้วเดินไปทางห้องน้ำ

“คุณแม่โทร.มาจะให้คุณทำอะไรหรือคะ?”

“จะให้ผมขับรถพาไปทำธุระ เดี๋ยวไว้ค่อยเล่ารายละเอียดตอนอยู่บนรถ ตอนนี้ผมต้องขอตัวอาบน้ำแล้วล่ะ” ปฐวีบอกโดยไม่เหลียวมองหลัง ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่เดินไปถึงประตูห้องน้ำ

“อืม...ฉันมีไอเดียอะไรอย่างล่ะ ในเมื่อเราไม่สามารถใช้เวลาเย็นนี้ร่วมกันได้ เราก็ควรเปลี่ยนแผน”

“แผนอะไร”

เสียงปฐวีตะโกนกลับมา สุนิษาไม่ตอบ เธอจัดการเปลื้องเสื้อผ้าและเดินเปลือยกายตามเขาเข้าไปในห้องน้ำเงียบๆ


………………………………..







Create Date : 01 เมษายน 2557
Last Update : 1 เมษายน 2557 22:32:59 น.
Counter : 1068 Pageviews.

9 comment
เกม...สาปรัก
มาเล่นเกมแจกหนังสือกันเถอะค่ะ ด้วยคาดว่าเรื่องนี้น่าจะจบภายในกำหนดได้ เกมสำหรับเรื่องนี้จะแจกหนังสือ 2 เล่ม นะคะโดยมีกติกา ดังนี้

1.ช่วยตั้งชื่อเรื่องนี้ ส่วนตัวชื่อสาปรัก ยังไม่ลงตัวค่ะ เบื้องต้นมีเพื่อนช่วยเสนอ “ดั่งคำสาป” มีใครที่เห็นว่าชื่ออื่น ชื่อไหนที่เหมาะสมกันอีกไหมคะ รบกวนช่วยกันคิดชื่อให้อุ๋ยหน่อยค่ะ เพราะสารภาพว่ายังไม่ชอบชื่อสาปรักนัก คนที่คิดชื่อได้โดนใจอุ๋ย จะได้รับหนังสือเรื่องนี้ 1 เล่มค่ะ

2.เกมทีเผลอ เช่นเคยสำหรับคนที่เป็นแฟนประจำของอุ๋ยมาก่อน คงรู้กติกาของเกมนี้ดีว่าเป็นอย่างไร หลังเรื่องนี้จบ จะมาประกาศผลนะคะ ฉะนั้นขอให้ทุกคนโชคดี และขอบคุณทุกเมนท์ทุกกำลังใจอีกครั้งค่ะ

ขอบคุณล่วงหน้าที่กรุณาให้ความร่วมมือค่ะ ^_^







Create Date : 29 มีนาคม 2557
Last Update : 29 มีนาคม 2557 22:30:37 น.
Counter : 1070 Pageviews.

18 comment
1  2  3  4  5  6  7  

คณิตยา
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 26 คน [?]









รู้จักคณิตยา/คีตฌาณ์

ก้าวสู่โลกแห่งการขีดเขียนในปี 2549 มีผลงานเป็นรูปเล่มกับสนพ.ในเครือสถาพรบุ๊คส์ทั้งหมด 11 เล่ม ไล่ตั้งแต่ รหัสทรชน ทางสายหมอก กุหลาบในเปลวไฟ ฝากรัก...ผ่านซีบ็อกซ์ อริ...ที่รัก บอดี้การ์ด รักเพียงฝัน ตามรักข้ามเวลา ไฟรัก บันทึกแห่งรัก(the Book of Love) มิราเบลล์...ตราบคีตาบรรเลง เป็น 1 ในนิยายชุดแด่เธอที่รัก สาปรัก และใต้ปีกรัก

รหัสทรชน เป็นละครทางช่อง 3 เมื่อปี 2554 แสดงโดย เคน และชมพู่ สร้างโดยค่ายยูม่า และ ไฟรัก ได้รับการซื้อลิขสิทธิ์ไปแปลเป็นภาษาเวียดนาม วางแผงเดือนสิงหาคม 2556



พูดคุย ทักทาย แลกเปลี่ยนความเห็น และติดตามความเคลื่อนไหวได้ทาง fb โดยกดไลค์เป็นแฟนเพจได้ทาง https://www.facebook.com/keetacha?ref=hl ขอบคุณค่ะ

---------------


ตอนนี้อุ๋ยทยอยนำนิยายที่หมดลิขสิทธิ์กับพิมพ์คำไปวางจำหน่ายในรูปแบบ E-book บนเว็บ ebooks และเว็บ Mebmarket ค่ะ

ใต้ปีกรัก...ราคาอีบุ๊ก 179 บาท

บันทึกแห่งรัก...ราคาอีบุ๊ก 255 บาท จากราคาปก 310

ไฟรัก...ราคาอีบุ๊ก 279 บาท จากราคาปก 350 บาท

กุหลาบในเปลวไฟ...ราคาอีบุ๊ก 230 บาท



รหัสทรชน ราคาอีบุ๊ก 200 บาท จากราคา 300 บาท 673 หน้า





ทางสายหมอก ราคาอีบุ๊ก 265 บาท จากราคา 280 บาท 690 หน้า



ฝากรัก...ผ่านซีบ็อกซ์ ราคาอีบุ๊ก 125 บาท จากราคา 180 บาท 360 หน้า



รวมเรื่องสั้น...ฉบับวัยหวาน ราคาอีบุ๊ก 45 บาท จากปก 55 บาท



อริ...ที่รัก ราคาอีุบุ๊ก 195 จากปก 240 บาท



หวานใจ...บอดีการ์ด...ราคาอีบุ๊ก 145 บาท จากปก 180 บาท



รักเพียงฝัน...ราคาอีบุ๊ก 225 จากปก 250 บาท



ตามรักข้ามเวลา...ราคาอีบุ๊ก 240 จากปก 270 บาท





















New Comments