Group Blog
All Blog
|
สาปรัก...บท 8/1
ปฐวีนำรถเข้าไปจอดในลานจอดรถหน้ากุฏิแล้ว จึงถือถังสังฆทานลงจากรถและเดินตามหลังคุณพุดซ้อนเข้าไปในเรือนแสดงธรรมที่อยู่ติดกับกุฏิของเจ้าอาวาสด้วยอาการเซ็งหน่อยๆ เนื่องจากตลอดเวลาที่นั่งรถมาด้วยกัน คุณพุดซ้อนเอาแต่บ่นเป็นหมีกินผึ้งถึงเรื่องที่เขาไปรับเธอช้า
ความจริงไม่ตั้งใจจะเอ้อระเหยดั่งที่มารดาว่า แต่เนื่องจากใจไม่แข็งพอ...ก็เหมือนทุกคราวที่พอมีสาวสวยๆ หุ่นเซ็กซี่ๆ มาคลอเคลียอยู่ใกล้ๆ ทีไร เป็นต้องใจอ่อนยวบ ไม่เคยปฏิเสธได้สักที ฉะนั้นเมื่อสุนิษาเดินเปลือยกายเข้ามาในห้องน้ำพร้อมด้วยหุ่นกลมกลึงขาวสล้าง ทำให้ตบะซึ่งมีอยู่น้อยนิดอยู่แล้วแตกกระเจิง สุดท้ายเลยเถิดและไปจบลงที่เตียงนอนเหมือนเช่นทุกคราว แถมหลังจากนั้นยังกินเวลาอีกเกือบชั่วโมงกว่าพวกเขาจะสามารถผละออกจากกันเพื่อลุกไปอาบน้ำรอบสอง แล้วจึงไปคลินิก ก่อนจะพาสุนิษาไปส่งที่คอนโดฯ และวกกลับไปรับมารดาที่บ้าน ทั้งหมดกว่าจะเสร็จสิ้นก็กินเวลาไปอีกเกือบ ๒ ชั่วโมง ด้วยเหตุนี้เมื่อไปเจอคุณพุดซ้อน เธอจึงทำหน้าหงิกและพร่ำเทศนาเขามาตลอดทางนับตั้งแต่ออกจากซอยบ้านสุขารมณ์มาจนถึงปากทางเข้าวัดเลยทีเดียว เรือนไม้ทรงไทยเปิดผนังโล่งทั้งสามด้าน ลมพัดโกรกเย็นสบาย คุณพุดซ้อนคลานเข้าไปทรุดนั่งพับเพียบหน้าเจ้าอาวาสที่นั่งอยู่บนอาสนะสูง แล้วก้มลงกราบสามครั้ง ก่อนหันไปขยิบตาให้ลูกชายทำตาม ปฐวีคุกเข่าแล้วก้มกราบตามเงียบๆ จากนั้นก็เปลี่ยนมานั่งพับเพียบตาม ปฐวีนั่งค่อนข้างไกลจากคุณพุดซ้อนและเจ้าอาวาส จึงเป็นเหตุให้ถูกตวัดตาค้อนจากคุณพุดซ้อน ไม่รู้เลยว่าในใจเธอกำลังนึกเขม่นอย่างหนัก พ่อลูกชายตัวดีทำยังกับเข้าใกล้พระใกล้เจ้าแล้วต้องร้อนรุ่มทนไม่ได้ ต้องถอยไปนั่งไกลๆ... คุณพุดซ้อนนึกอย่างเขม่นด้วยว่ายังโกรธไม่หายกับการที่นัดแนะให้มารับบ่าย ๒ โมง แต่ลูกชายตัวดีล่อไปเกือบ ๔ โมง ฉะนั้นกว่าจะมาถึงท่าน้ำเมืองนนท์ เวลาก็ล่วงเลยมาเย็นมากแล้ว ดีที่เจ้าอาวาสยังไม่เข้าไปเตรียมตัวสำหรับการทำวัตรเย็น นมัสการค่ะหลวงพ่อ เจริญพรโยมพุดซ้อน ดิฉันต้องกราบขออภัยที่มาช้าเจ้าค่ะ พอดีว่าลูกชายเกิดติดธุระนิดหน่อย มือพนมไหว้ ขณะที่บอกเหตุผล แล้วปรายตามองไปทางบุตรชายที่นั่งอยู่ข้างหลังด้วยแววตาตำหนิ พระเกจิดังปรายตามองตามแล้วถามขึ้นเบาๆ ว่า คนนี้เหรอโยมพุดซ้อน ที่โยมอยากให้อาตมาผูกดวง หาฤกษ์แต่งงาน ใช่เจ้าค่ะ ลูกชายคนรองของดิฉันเอง ชื่อปฐวี แล้วนี่ดวงของปฐวีกับหนูอัปสรเจ้าค่ะ บอกพลางยื่นแผ่นกระดาษเล็กๆ ไปตรงหน้าพระเกจิดัง เจ้าอาวาสใช้ผ้ารับประเคน รับกระดาษไปจดอะไรบางอย่างลงในสมุดบันทึก คำนวณตามสูตรโหราศาสตร์ ครูใหญ่ๆ จึงเงยหน้า แววตาเปลี่ยนไปเล็กน้อย มีอะไรหรือเจ้าคะ คุณพุดซ้อนถามด้วยความกังวลเมื่อเห็นเจ้าอาวาสอึ้งไป พระเกจิดังไม่ตอบ แต่พูดไปอีกเรื่องว่า วันหลังพาผู้หญิงคนนั้นมาด้วยนะโยมพุดซ้อน คะ? ตวัดถามเสียงสูง ทำไมหรือเจ้าคะ? ดวงเธอบอกถึงคนมีบุญญาธิการ เวลาตกฟากดีมากๆ ชนิดที่อาตมาไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน เพียงแต่... แต่อะไรหรือเจ้าคะ? มือยังคงพนมไหว้ ขณะที่ถามด้วยความห่วงใย อายุเธอไม่ยืน เหมือนจะมีเคราะห์หนัก อาตมาอยากเตือนอะไรบางอย่างกับเธอ คุณพุดซ้อนพูดไม่ออก ขณะที่ปฐวีฟังแล้วอึ้งไปเหมือนกัน ที่บอกอายุไม่ยืน เธอจะมีอายุสักแค่ไหนเจ้าคะ อาตมาตอบไม่ได้หรอกโยมพุดซ้อน จนกว่าจะได้คุยได้ซักถามอะไรบางอย่างกับเธอก่อน ถ้างั้นจะเกี่ยวกับเรื่องที่เธอช่วยต่ออายุให้ผู้คนหรือเปล่าเจ้าคะ? โยมพุดซ้อนหมายความว่าไง คือหนูอัปสรครองสมณเพศผู้ทรงศีลอยู่ค่ะ เธอบวชชีพราหมณ์และคอยจับยามสามตา ช่วยดับเคราะห์ให้กับผู้คน ถ้าใครอายุสั้นเธอก็จะช่วยต่ออายุให้ เธอบวชชีพราหมณ์อยู่แล้วจะแต่งงานได้เหรอ? เรื่องนี้ดิฉันก็ไม่ทราบค่ะ แต่เธอขอตาวีว่าแต่งงานแล้วขอไม่มีอะไรด้วย ผู้ที่ครองผ้าเหลืองฟังแล้วอึ้ง มองไปทางหนุ่มสูงใหญ่ที่คุณพุดซ้อนพูดถึงแล้วถอนหายใจ เอ่ยว่า คงเป็นกรรมเก่าที่ทำร่วมกันมาแต่ชาติปางก่อนจริงๆ กรรมนี้หนักนัก อะไรหรือเจ้าคะ? หลวงพ่ออย่าพูดเป็นปริศนาแบบนั้นสิคะ ดิฉันฟังแล้วใจคอไม่ดีเลย โยมอัปสรกับโยมปฐวีเป็นเนื้อคู่กันมาทุกภพทุกชาติไป ดวงของคนทั้งคู่เกื้อหนุนกันมาก... อะไรนะครับ? ปฐวีทะลุกลางปล้องขึ้น ไม่รอจนเจ้าอาวาสพูดจบ หลวงพ่อช่วยตรวจดูอีกรอบได้ไหมครับ บางทีอาจตาฝ้าฟางเพราะแก่แล้ว เลยดูตัวเลขผิดไป เจ้าวี! คุณพุดซ้อนเรียกขึ้นด้วยความตกใจ ทำไมเสียมารยาท ทำนิสัยแย่ๆ แบบนั้น รีบกราบขอโทษหลวงพ่อเดี๋ยวนี้นะ พระเกจิดังไม่ถือ เขายังตอบด้วยแววตาปรานี สีหน้าออกจะแสดงความเคารพระคนยำเกรงผู้ที่ตัวเองกำลังเจรจาพาทีอยู่ด้วยซ้ำ ไม่เป็นไรหรอกโยมพุดซ้อน แล้วหันไปทางปฐวี กล่าวต่อว่า เชื่ออาตมาอย่างนะ ผู้หญิงคนนั้นคือเนื้อคู่ของโยมจริงๆ เธอมาเกิดครั้งนี้ก็เพื่อโยม ถ้าหากสงสารและหวังดีต่อเธอ ก็ขออย่าทำอะไรให้เธอผิดหวังเด็ดขาด หลวงพ่อหมายความว่าไงครับ ผมไม่เข้าใจ เจ้าอาวาสถอนหายใจ เอ่ยว่า อาตมาไม่แน่ใจว่าจะพูดอะไรได้มากน้อยแค่ไหน เอางี้ก็แล้วกัน...ถ้าโยมอัปสรบอกให้โยมอยู่ห่างๆ โยมก็ทำตามเธอก็แล้วกัน เพราะนั่นแสดงว่าเธอตรองดีแล้วว่าจะดีกับโยม ปฐวีเลิกคิ้วหนักขึ้น ดีกับผม? ผมไม่เข้าใจ คือไม่ใช่ว่าผมอยากหลับนอนกับคนอัปลักษณ์อย่างเธอหรอกนะครับ คือ...งี้นะครับ ลูกชายคุณพุดซ้อนอธิบายขึ้นเมื่อเห็นสีหน้างุนงงของเจ้าอาวาส คนที่มีบุญญาธิการของหลวงพ่อไม่ได้หน้าตาสะสวยหรอกนะครับ ตรงกันข้ามเธออัปลักษณ์เป็นที่สุด เพราะงั้นผมถึงไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงต้องเล่นตัวกับผม ความจริงควรจะถือเป็นบุญคุณของผมด้วยซ้ำถ้าผมจะฝืนใจเข้าหอด้วย โอ๊ย...ฉันจะเป็นลม คุณพุดซ้อนพูดพลางโงนเงน เธอยกมือพัดลมไปมา สีหน้าซีดขาวราวกับจะเป็นลมจริงๆ ในใจรู้สึกตกอกตกใจที่ปฐวีหยาบคายต่อพระเถระชั้นผู้ใหญ่ด้วยการเอาเรื่องบัดสีบัดเถลิงมาพูดต่อหน้าท่าน ไม่เป็นไรโยมพุดซ้อน อย่ากังวลไปเลย ถ้าโยมไม่สบายเนื้อสบายตัว จะออกไปสูดอากาศข้างนอกก็ได้นะ เจ้าอาวาสแนะขึ้นด้วยน้ำเสียงเนิบช้าภายหลังลืมตาขึ้นจากการเพ่งญาณ คำบรรยายรูปลักษณ์ของอัปสรที่หลุดจากปากปฐวีทำให้พระเกจิดังต้องใช้ญาณเพ่งถึงบุคคลที่ถูกพาดพิง ด้วยว่าขัดกับดวงของผู้มีบุญญาธิการ พลันที่เห็นภาพในนิมิต แม้จะไม่ชัดเจนนักแต่ก็บอกได้ทันทีว่า... อัปสรไม่ธรรมดา ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ดิฉันสบายขึ้นแล้ว คุณพุดซ้อนตอบอุบอิบ พยายามยืดตัวนั่งตรง เจ้าอาวาสยิ้มด้วยแววตาปรานี หันไปทางปฐวี กล่าวต่อว่า อาตมาบอกอะไรโยมอย่างนะ จงอย่าเชื่อในสิ่งที่เห็น เพราะสิ่งที่เป็นอาจไม่ใช่สิ่งที่เห็น ปฐวีนิ่วหน้า หลวงพ่อจะบอกว่าแท้จริงแล้วเธอคือนางฟ้าที่สวยหยาดฟ้ามาดินอย่างงั้นหรือครับ? ไม่ได้ตั้งใจจะประชด แต่ก็อดไม่ได้ตามประสาคนปากไว พระเกจิดังถอนหายใจ คลี่ยิ้มมุมปาก แล้วแต่บุญแต่กรรมเถอะ คนฟังขมวดคิ้วหนักขึ้น ด้วยคำตอบของผู้ทรงศีลแฝงปริศนามากกว่าเดิม ผมไม่เข้าใจ ไม่ต้องห่วง ถ้าโยมทำบุญมามากพอ ก็จะค้นพบความจริงเอง ปฐวียังคงทำหน้ามึนงง ขณะที่คุณพุดซ้อนถามขึ้นว่า หลวงพ่อหมายความว่าถ้าใครมีบุญมากพอถึงจะเห็นใบหน้าที่แท้จริงของหนูอัปสรหรือคะ เห็นเจ้าอาวาสเพียงแค่คลี่ยิ้มด้วยแววตาปรานี เธอก็กล่าวต่อว่า งั้นถ้าเป็นอย่างที่หลวงพ่อว่าจริงๆ แสดงว่าที่ดิฉันเคยคิดว่าเธอเกิดมาบุญน้อย ถึงมีใบหน้าอัปลักษณ์ไม่ต่างจากท้าวแสนปม ก็ไม่จริงแล้วสิคะ ไม่เลย ตรงกันข้ามห่างไกลจากคำว่า บุญน้อย นัก เชื่ออาตมาเถอะ ขึ้นอยู่กับผู้หญิงคนนั้นต่างหากว่าต้องการเปิดเผยใบหน้าที่แท้จริงให้ใครเห็นเมื่อไหร่ อืม... เกิดเสียงครางในลำคอขึ้นพร้อมกันทั้งคุณพุดซ้อนและปฐวี คุณพุดซ้อนยิ้มอย่างสมใจ เอ่ยว่า ถึงว่าดิฉันก็ว่าแล้วว่าแปลกๆ เพราะผิวพรรณเธอผ่องใส ขาวสะอาดสะอ้านเกินกว่าจะเป็นคนธรรมดา แต่ความจริงเรื่องอัปลักษณ์ ดิฉันก็ไม่ได้รังเกียจหรอกนะคะ ตรงกันข้ามนับวันมีแต่จะรักและสงสาร ยังเคยคิดด้วยซ้ำว่าถ้าหนูอัปสรไม่ว่ายังโง้นยังงี้ ดิฉันจะพาเธอไปทำศัลยกรรม เจ้าอาวาสเพียงแค่ยิ้ม ไม่กล่าวเสริมใดๆ ขณะที่ปฐวีถามต่อว่า ทำยังไงผมถึงจะได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของเธอครับ อาตมาบอกแล้วถ้าโยมทำบุญมามากพอ งั้นแสดงว่าที่ผ่านมากรรมผมคงหนักมาก เพราะไม่เห็นเค้าลางเลยว่าเธอจะสวยขึ้นมาได้ พระเกจิดังแทบหลุดเสียงหัวเราะ โชคดีที่สะกดกลั้นไว้ได้ทัน เจ้าอาวาสตอบเสียงเนิบช้าว่า ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก ถ้าหนักจริง โยมไม่มีทางได้เจอเนื้อคู่ในชาตินี้หรอก เอาล่ะ...นี่ฤกษ์แต่งงานของโยม จัดงานแต่งตามฤกษ์นี้แล้วทุกอย่างจะดีเอง คุณพุดซ้อนยกมือกราบนมัสการ ก่อนหยิบเศษกระดาษจากผ้ารับประเคนมาอ่านออกเสียงดังๆ ๓ เมษายน เวลา ๑๙.๔๔ น. ปฐวีเบิกตาโต คุณแม่พูดเล่นแน่ นั่นมันสัปดาห์หน้าแล้วนะครับ โยมฟังไม่ผิดหรอกโยมปฐวี ฤกษ์แต่งงานที่ดีที่สุดคือ ๓ เมษายน จริงๆ ถ้าผิดจากนี้ ต้องรอไปอีกปี ซึ่งถึงตอนนั้นอาตมาก็ยังไม่แน่ใจว่าทุกอย่างจะดีเท่าปีนี้ไหม ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ อาทิตย์หน้าก็อาทิตย์หน้า ไม่มีปัญหาหรอกค่ะ ยังไงดิฉันก็เตรียมตัวทัน งั้นดิฉันขอถวายสังฆทานนะเจ้าคะจะได้ลาไปเตรียมงานแต่ง วี มาช่วยแม่ประเคนสังฆทานแร้ว ประโยคหลังหันไปทางลูกชาย ปฐวีคลานเข้ามาใกล้คุณพุดซ้อน ต่างกล่าวสวดอาราธนาศีล สมาทานศีล ตั้งนะโมสามจบก่อนจบด้วยการกล่าวคำถวายสังฆทาน จากนั้นสองแม่ลูกก็ช่วยกันประเคนถังสังฆทานชุดใหญ่วางบนผ้ารับประเคน พร้อมซองขาวที่บรรจุธนบัตรหนาเป็นฟ่อนวางบนพาน เจ้าอาวาสกล่าวอนุโมทนาด้วยบทยะถา วาริวหา โดยคุณพุดซ้อนกรวดน้ำไปพร้อมกัน จนเสร็จสิ้นพิธี อาตมาคงต้องเข้ากุฏิไปเตรียมทำวัตรเย็นแล้วล่ะ พระเกจิชื่อดังกล่าวขึ้นเมื่อปฐวีกลับเข้ามาหลังจากนำภาชนะที่ใช้สำหรับกรวดน้ำไปรดพระแม่ธรณีใต้ต้นไม้ใหญ่แล้ว งั้นดิฉันกับลูกกราบนมัสการลาหลวงพ่อเจ้าค่ะ เจริญพรโยมพุดซ้อน โยมปฐวี คุณพุดซ้อนรอจนเจ้าอาวาสลงจากเรือนไปแล้ว จึงเดินตาม เธอกล่าวขึ้นเบาๆ ว่า เอาล่ะ...พรุ่งนี้วีไปรับหนูอัปสรมาที่บ้านเลย แม่จะให้ช่างเสื้อประจำตัวของแม่มารอวัดตัวที่บ้าน แต่... ปฐวีกำลังจะบอกว่าเขามีนัดกับสุนิษา แต่คุณพุดซ้อนไม่รอให้เขาพูดจบ เธอสวนขึ้นว่า เรื่องอื่นพักไว้ก่อน เอาเรื่องนี้ก่อน ไม่ได้ยินหลวงพ่อพูดเหรอ หนูอัปสรคือเนื้อคู่ของวีมาแต่ชาติปางก่อน เป็นคนที่มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ เพราะฉะนั้นแม่ต้องรีบจัดงานให้วีแล้ว เดี๋ยวคนอื่นมาคว้าหนูอัปสรไปล่ะแย่เลย... แล้วนี่แม่ยังต้องเตรียมงานอีกเยอะ ไหนจะเลือกการ์ด พิมพ์การ์ด เชิญญาติผู้ใหญ่ เลือกสถานที่จัดงาน ติดต่อช่างภาพ ต่อต่อนักข่าว โอ๊ย...จิปาถะ เพราะงั้นเรารีบไปกันเถอะ ปฐวีฟังแล้วลอบเบ้ปาก .. สาปรัก...บท 7/3
ในเทวโลกมีอยู่หลายชั้นและแต่ละชั้นเทวดานางฟ้าจะมีทิพยสมบัติไม่เหมือนกัน และแต่ละองค์จะเสพทิพยสมบัติเหล่านั้นด้วยความยินดียินร้ายไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับการสั่งสมกรรม การสั่งสมกิเลส และการสั่งสมปัญญา บารมีของเทวดานางฟ้าจะพร่องลงไปเรื่อยๆ หากไม่มีการเติม ด้วยเหตุนี้จึงต้องหมั่นเติมบารมีซึ่งทำได้หลายวิธีตั้งแต่การนั่งวิปัสสนา ฟังเทศนาของพระอริยเจ้า ใส่บาตรพระธุดงค์กลางป่า แต่เนื่องจากทิพยสภาพของเทวดานางฟ้า ไม่เอื้อให้ต้องใช้กำลังใจมาก เพราะเมื่อใดจะเดินทางไปฟังธรรม แค่ตั้งจิตก็สามารถไปได้ในทันที หรือเมื่อคิดจะถวายภัตตาหารแด่พระพุทธเจ้าและพระอริยสาวก ก็เพียงเนรมิตอาหารอันเป็นรูปหยาบขึ้นมาด้วยฤทธิ์ทางใจ ก็ทำได้แล้ว ต่างกับมนุษย์ที่จะทำดีสักครั้งต้องอาศัยความมุ่งมั่น ตั้งใจและความเพียรพยายามกว่ามาก ด้วยเหตุนี้ทำให้การเติมบารมีในเทวโลก ทำได้ช้ากว่าการสั่งสมบารมีในขณะที่เกิดเป็นมนุษย์ แต่การจะลงไปเกิดยังโลกมนุษย์นั้น ก็ใช่ว่าเมื่อตั้งจิตแล้วก็สามารถลงไปเกิดได้ในทันทีเหมือนดั่งพระโพธิสัตว์ในสวรรค์ชั้นดุสิต ตรงกันข้ามเทวดานางฟ้าในชั้นที่อัปสรอยู่ จะต้องรอให้หมดอายุขัยหรือสิ้นบุญก่อนถึงจะลงไปจุติได้ และในอดีตชาติที่ผ่านๆ มาอัปสรก็เวียนว่ายตายเกิดระหว่างเทวโลกและโลกมนุษย์แบบนั้นมาช้านานหลายภพหลายชาติ โดยคราวใดที่ลงมาเกิดในกายมนุษย์ เธอมักจะเกิดเป็นลูกสาวของสองสามีภรรยาคู่หนึ่งอันเนื่องด้วยต่างเคยทำบุญทำกรรมร่วมกันมาหลายชาติ การต้องมาเจอกันในโลกมนุษย์หลายภพหลายชาติ ก่อให้แม้จะกลับไปจุติยังเทวโลกแล้ว ก็ยังมีจิตผูกพันต่อกัน อัปสรมักใช้ญาณเพ่งถึงพ่อแม่ในโลกมนุษย์อยู่เสมอๆ ครั้งหนึ่งเธอนิมิตเห็นว่าชาติที่พวกเขากำลังเกิดเป็นมนุษย์นั้น ในบั้นปลายชีวิต จะต้องตายด้วยการทำอัตวินิบาตกรรมหรือการฆ่าตัวตาย ซึ่งอัตวินิบาตกรรมถือเป็นการตัดรอนกรรมที่รุนแรงที่สุด เมื่อตายไปแล้วจะต้องได้รับการตัดสินโทษให้ต้องตกนรกหมกไหม้เกิดเป็นเดรัจฉานห้าร้อยชาติ เมื่อนิมิตเห็นเช่นนั้น เธอเกิดความกังวลและห่วงใย ไม่อยากให้บุพการีต้องทนทุกข์ทรมานจากการเกิดเป็นเดรัจฉานห้าร้อยชาติ จึงตัดสินใจช่วยพวกเขาด้วยการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการตายซึ่งถือเป็นการทำผิดกฎสวรรค์ที่รุนแรงที่สุด...ทว่าในทางกลับกันหากเทวดาหรือนางฟ้าผู้นั้นไปจุติเป็นมนุษย์แล้ว สามารถใช้พลิงจิตเปลี่ยนแปลงสถานการณ์การตายได้...หากเขาหรือเธอมีบารมีแกร่งกล้ามากพอ ซึ่งส่วนใหญ่จะหาได้น้อยรายนักที่สามารถทำได้อย่างนั้น เนื่องจากเมื่อมาจุติเป็นมนุษย์แล้ว พลังจิตและญาณจะอ่อนตามลงไปด้วย เดิมชะตาชีวิตกำหนดให้บุพการีของอัปสรต้องตายด้วยการผูกคอตายหนีสถานการณ์อันยุ่งยากที่พวกเขาเผชิญอยู่ แต่อัปสรตัดสินใจใช้พลังจิตเข้าไปขัดขวางทำให้พวกเขาเปลี่ยนใจไม่ฆ่าตัวตาย ทว่าการเข้าไปช่วยเหลือในครั้งนั้นกลับทำให้กรรมหนักไปตกอยู่ที่กลุ่มคนร้ายที่เมื่อพวกเขาตามไล่ล่าพ่อแม่เธอเจอ ก็จัดการฆ่าตายในที่สุด เท่ากับว่าการใช้พลังจิตของเธอ เปลี่ยนรูปแบบของการทำกรรมหนักจากเดิมต้องเป็นของบุพการี กลับกลายเป็นของกลุ่มคนร้ายแทน ซึ่งหากเธอปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามฟ้าลิขิต พ่อแม่ของเธอต้องตายด้วยการทำอัตวินิบาตกรรม และกลุ่มคนร้ายก็ไม่ต้องทำกรรมหนักถึงขนาดฆ่าคนตาย การเข้าไปเปลี่ยนรูปแบบการตายของมนุษย์ ไม่ใช่หน้าที่ของนางฟ้าอย่างเธอ แต่เป็นของลูกน้องของท้าวภูวทัศน์ ผู้เป็นพี่ชายขององค์อินทร์ภูเตศวรและหากท้าวภูวทัศน์ตัดสินโทษให้เทวดานางฟ้าองค์ใดต้องรับโทษสูงสุด ก็เท่ากับว่าเทวดานางฟ้าองค์นั้นหมดบุญและต้องไปเกิดในโลกมนุษย์ กล่าวกันว่าเทวดานางฟ้าที่จะต้องลงไปจุติ จะต้องมีนิมิต ๕ ประการปรากฏขึ้น นั่นคือ ๑.ดอกไม้ทิพย์และเครื่องประดับเหี่ยวแห้ง ๒.ผ้าทรงเศร้าหมอง ๓.มีเหงื่อไหลออกจากรักแร้ทั้งสองข้าง ๔.ทิพยอาสน์หรือที่นั่งที่นอนที่เคยสบาย กลับแข็งกระด้าง และ ๕.ร่างกายเศร้าหมอง รัศมีกายก็พลอยเศร้าหมองไปด้วย ไม่ต่างกับอัปสร...นิมิตเหล่านั้นเกิดกับเธอเช่นกัน เพียงแต่เธอไม่รู้เท่านั้นว่าจะต้องไปเกิดในโลกมนุษย์ในสภาพใด จำต้องรอการพิพากษาโทษจากท้าวภูวทัศน์ก่อน ปฐวีในชาติที่เกิดเป็นเทวดา เขาเป็นสมุนคนสนิทของท้าวภูวทัศน์ มีหน้าที่พาเทวดาและนางฟ้าที่สิ้นอายุขัยและหมดบุญไปจุติยังโลกมนุษย์ กล่าวอีกนัยหนึ่งนั่นคือ เขาเป็นผู้ลงโทษตามที่ท้าวภูวทัศน์สั่งการ และเมื่อคำพิพากษาออกมาว่าให้เธอได้รับโทษขั้นรุนแรงที่สุด นั่นคือไปเกิดเป็นมนุษย์ที่เต็มไปด้วยบาปหนัก ไร้ซึ่งดวงตาเห็นธรรม ไกลวัด ไกลพระ ไกลธรรมะขั้นสูง แถมมีรูปกายเป็นทรัพย์เพื่อเป็นอุปสรรคขัดขวางต่อการสะสมบารมีธรรม หมกมุ่นอยู่ในกิเลสตัณหากระทั่งยากยิ่งจะเข้าถึงธรรมะ ถือเป็นกรรมหนัก...เป็นการลงโทษที่รุนแรงมากสำหรับเทวดานางฟ้า ปฐวีไม่อาจทำใจให้ลงโทษนางผู้เป็นที่รักได้ เขาจึงไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษานั้น ด้วยใจใฝ่รักในตัวภรรยา เขาจึงลงโทษแค่ครึ่งเดียว โดยพาเธอไปจุติยังครอบครัวที่มีฐานะยากจนขัดสน แต่ฝักใฝ่ในธรรมะ ความฝืดเคืองในชีวิตทำให้เมื่อสิ้นอายุขัยของบุพการี เธอจึงไปบวชชีเพื่อรับใช้ร่มกาสาวพัสตร์ ก่อเกิดการสั่งสมบารมีมากยิ่งขึ้นไปอีก ต่างกับปฐวี...การขัดคำสั่งของท้าวภูวทัศน์หนนั้น ทำให้องค์ภูวทัศน์มองว่าปฐวีท้าทายอำนาจ ท้าวภูวทัศน์พิโรธหนักที่เขาทำนอกเหนืออำนาจหน้าที่ จึงสั่งลงโทษให้เป็นผู้รับเคราะห์กรรมทั้งหมดแทนเธอ แถมยังเพิ่มโทษมากกว่านั้นด้วย กล่าวคือ พระองค์พิพากษาให้ลงมาเกิดในโลกมนุษย์โดยมีรูปกายเป็นทรัพย์เพื่อง่ายต่อการชักพาให้หลงไปสู่กิเลสตัณหากามารมณ์ เกิดในครอบครัวที่ถึงพร้อมด้วยทรัพย์สมบัติ แต่เป็นไปเพื่อสนองกิเลสตัณหาราคะของตัวเอง ไม่ใช่เพื่อประกอบกรรมดี ทั้งยังห่างไกลจากวัดวาและธรรมะขั้นสูง ไร้ซึ่งกัลยาณมิตรที่จะชักจูงให้เขาฝักใฝ่ในธรรมะ ปฐวีเวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิโลกมนุษย์ด้วยบทลงโทษดังกล่าวนั้นในอีกหลายภพหลายชาติในเวลาต่อมา เนื่องด้วยคำตัดสินที่ไม่ต่างจากคำสาปนั้น ทำให้เขาไม่อาจเข้าใกล้ธรรมะขั้นสูงจนเกิด ดวงตาเห็นธรรม ได้ในทันที ต่างจากอัปสร เมื่อมาเกิดในโลกมนุษย์ได้ไม่นาน บารมีธรรมที่เธอสั่งสม ทำให้เมื่อสิ้นอายุขัย เธอก็กลับไปสู่เทวโลกได้เลย อัปสรเฝ้ามองจากสรวงสวรรค์ด้วยความทุกข์ระทมในใจและเป็นตราบาปอยู่ในใจว่าเป็นต้นเหตุให้ชายผู้เป็นที่รักต้องเวียนว่ายตายเกิดในโลกมนุษย์หลายภพหลายชาติโดยที่ไม่อาจเข้าใกล้ธรรมะขั้นสูงได้ ซึ่งก็เนื่องจากบทลงโทษหรืออีกนัยหนึ่งคำสาปของท้าวภูวทัศน์นั่นเอง และทั้งหลายทั้งปวงก็เกิดจากเธอเป็นต้นเหตุ ทำให้เขาต้องมาเป็นผู้รับเคราะห์แทน ฉะนั้นด้วยเหตุนี้ตลอดเวลาที่อยู่ในภพเทวโลก อัปสรจึงเพียรสร้างบุญบารมีมาโดยตลอดและเมื่อเพ่งญาณแล้วเห็นว่าน่าจะถึงพร้อมในญาณและถึงแก่เวลาแล้วที่จะลงไปช่วยเขา...และเขาเองถึงแม้จะต้องคำสาปจากท้าวภูวทัศน์ดังที่ว่า แต่กระนั้นในบางภพบางชาติที่เกิดในกายมนุษย์ เขาก็ได้สะสมบุญบารมีอยู่บ้าง...ทยอยทีละนิดทีละน้อยในหลายร้อยหลายพันชาติที่ผ่านมา จึงพอจะมีบุญอยู่บ้าง เธอจึงเข้าเฝ้าองค์อินทร์ภูเตศวร ผู้เป็นน้องชายของท้าวภูวทัศน์ ร้องขอให้เขาช่วยใช้จิตสื่อสารกับท้าวภูวทัศน์เพื่อขอให้เธอลงมาจุติยังโลกมนุษย์เป็นกรณีพิเศษ เพื่อจะได้ลงมาช่วยเขาชายผู้เป็นที่รักซึ่งต้องมารับเคราะห์แทนเธอ ท้าวภูวทัศน์ไม่อยากช่วยเธอเพราะหวั่นว่าจะกลายเป็นเยี่ยงอย่างที่ไม่ดีแก่เทวดานางฟ้าองค์อื่นๆ ที่ว่าเมื่อใดต้องการจะลงไปจุติ ก็ลงไปจุติได้ง่ายๆ แต่ท้าวภูวทัศน์ก็ขัดองค์อินทร์ภูเตศวรผู้เป็นน้องชายไม่ได้ ประกอบกับลึกๆ ท้าวภูวทัศน์รู้สึกว่าคำตัดสินที่ให้แก่สมุนมือขวาโหดร้ายเกินไปและตระหนักว่าตนเองใช้อารมณ์มากเกินไปทั้งที่เป็นความผิดครั้งแรกของปฐวี แต่ทว่าในเมื่อลั่นวาจาซึ่งไม่ต่างจากคำประกาศิตไปแล้ว จึงไม่อาจถอนคำคืนหรือเรียกคืนกลับมาได้ ฉะนั้นเมื่ออัปสรแสดงเจตจำนงและความมุ่งมั่นที่จะลงไปช่วยปฐวี ท้าวภูวทัศน์จึงแอบยินดีและแอบอนุโมทนาอยู่ในใจลึกๆ เพียงแต่ไม่อยากให้เธอได้ใจเกินไป จึงยอมให้เธอไปจุติภายใต้เงื่อนไขข้อหนึ่งว่า...เธอจะต้องไปเกิดเป็นมนุษย์ที่อ่อนไหวต่อชายผู้เป็นที่รัก เมื่อใดที่เขามีท่าทีพึงพอใจหรือจิตพิศวาสในตัวเธอ ก็ขอให้เธอหลงใหลในเพศบุรุษจนหลงลืมและห่างไกลจากธรรมะขั้นสูง หากเธอยอมตกลงรับเงื่อนไขข้อนั้น ถึงจะได้ลงมาจุติยังโลกมนุษย์... นั่นเท่ากับว่าเป็นการกลั่นแกล้งเธอไม่ให้สัมฤทธิ์ผลตามเงื่อนไขที่องค์อินทร์ภูเตศวรวางไว้ง่ายๆ... หลังฟังเงื่อนไขของผู้ปกครองเทวโลก ณ ชั้นนั้น องค์อินทร์ภูเตศวรก็เกิดความห่วงใยอัปสร จึงเตือนด้วยความห่วงดีว่า จงคิดให้ดีว่าจะเจอปฐวีดีหรือไม่ ระวังจิตใจเจ้าจะแกร่งกล้าไม่มากพอ คราใดที่เจ้าเจอเขา ศีลบารมีที่เจ้าเพียรสะสมมายาวนานอาจพังทลายลง เจ้าอาจพ่ายต่อเสน่ห์เย้ายวนทางเพศของเขาตามคำสาปของท้าวภูวทัศน์ก็ได้ ฉะนั้นควรคิดให้ดีว่าจะตามไปเจอเขายังโลกมนุษย์หรือไม่ แต่ทว่าเธอตัดสินใจตกลงรับเงื่อนไขนั้นด้วยมั่นใจว่าเธอฝักใฝ่ในธรรมะมากพอที่จะไม่หลงใหลไปกับเพศตรงกันข้ามแม้แต่กับเขาผู้ซึ่งได้ชื่อว่าสามี ใช่...อัปสรเชื่อว่าญาณเธอแกร่งกล้ามากพอจะทัดทานคำสาปของท้าวภูวทัศน์ได้ จึงยอมรับเงื่อนไข หากกระนั้นผู้ที่ไม่มั่นใจกลับเป็นองค์อินทร์ภูเตศวรเสียเอง ด้วยความเอ็นดูระคนห่วงใย องค์อินทร์จึงประทานพรในเรื่องหน้าตาอัปลักษณ์ให้แก่เธอ และนับแต่นั้นเธอจึงได้ลงมาจุติในโลกมนุษย์ด้วยเงื่อนไขพิเศษ นั่นคือ ลงมาจุติโดยที่ยัง ไม่หมดอายุขัยและไม่หมดบุญ ต่างกับเทวดานางฟ้าองค์อื่นๆ ที่จะลงมาจุติได้ต้องสิ้นอายุขัยหรือหมดบุญก่อน และด้วยเหตุผลดังกล่าวอีกเช่นกัน จึงทำให้พลังจิต ญาณ ปัญญาตลอดจนกายทิพย์ติดตามตัวมาด้วยทั้งหมด แม้ว่าเธอจะมาเกิดในกายมนุษย์แล้วก็ตาม... .. |