Group Blog
สาปรัก...บท 4/1
เบื้องแรกที่อัปสรหันไปเห็นเขา... โลกราวกับจะหยุดหมุน หัวใจเต้นรัวเร็วราวกับกลองเพลอยู่เกือบนาที... หกสิบวินาทีสำหรับใครบางคนอาจไม่นาน แต่สำหรับเธอผู้ซึ่งผ่านการเพียรบำเพ็ญศีลภาวนามาตลอดชีวิต นั่นหมายถึงมากพอจะทำให้เธอรู้สึกละอายแก่ใจ ผิดในใจและผิดหวังในตัวเองอย่างบอกไม่ถูก ทั้งที่เตรียมใจไว้ล่วงหน้าก่อนแล้วว่าจะต้องมาเจอเขาในคืนนี้ เธอจึงเพียรสะสมศีลบารมีให้มากพอเพื่อจะได้มาเผชิญหน้ากับเขาในวันนี้ได้ แต่พอมาเจอเขาจริงๆ เธอกลับพบว่าตัวเองพ่ายแพ้ไม่เป็นท่า เธอหวั่นไหว หัวใจเต้นไม่เป็นส่ำอย่างที่ไม่อาจควบคุมได้ อัปสรบอกตัวเองว่าที่หวั่นไหวไม่ใช่เพราะความหล่อเหลาคมคายที่เห็นอยู่ตรงหน้าของเขา ไม่ใช่เพราะความมีเสน่ห์เย้ายวนทางเพศ และไม่ใช่เพราะว่าเขาคือเนื้อคู่ของเธอทุกชาติในทุกคราวไปที่เธอลงมาเกิดพร้อมกับเขา คราวใดที่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดไม่ได้ลงมาเกิดด้วย อีกฝ่ายก็จะไร้ซึ่งคู่ครอง ใช่...ไม่ใช่ด้วยเหตุผลเหล่านั้นอย่างแน่นอน แต่ที่เธอหวั่นไหวไปวูบหนึ่งนั้น...บางทีอาจเกิดจากคำสาปของท้าวภูวทัศน์ ที่ลงทัณฑ์เธอค่าที่ขอลงมาจุติก่อนเวลาอันควร หรือไม่ก็เป็นคำสาปขององค์อินทร์ภูเตศวร ซึ่งได้ตักเตือนเธอไว้ล่วงหน้าหรืออีกนัยหนึ่งในมุมมองของนางฟ้าบางองค์มองว่าไม่ต่างจากคำสาป ที่ว่าคราใดที่เธอเจอเขา ศีลบารมีที่เธอเพียรสะสมมายาวนานอาจพังทลายลง เธออาจพ่ายต่อเสน่ห์เย้ายวนทางเพศของเขา ฉะนั้นควรคิดให้ดีว่าจะตามไปเจอเขายังโลกมนุษย์หรือไม่

ใช่...น่าจะด้วยคำเตือน คำทำนายหรือจะด้วยคำสาปตามมุมมองของเพื่อนนางฟ้าบางองค์ จะด้วยคำเรียกขานว่าอะไรก็แล้วแต่ สำหรับอัปสรแล้วมองว่านั่นคือเหตุผลที่ทำให้เธอวอกแวกไปชั่วขณะเมื่ออยู่ใกล้เขาอยู่ในขณะนี้ และอุปาทานหรือไม่เธอไม่รู้ เธอรู้สึกร้อนวูบวาบไปทั่วใบหน้าซึ่งเป็นสิ่งที่อันตรายอย่างยิ่ง

ก่อนหน้าจะมาเจอเขา เธอมั่นใจว่าสะสมทานบารมีมาแกร่งกล้ามากพอ รวมถึงความดีในภพก่อนๆ น่าจะมากพอที่จะช่วยให้เธอสามารถเอาชนะเขา...ผ่านเขาซึ่งถือเป็นตัวทดสอบที่จะทำให้เธอผ่านพ้นอุปสรรคในรอบนี้ไปได้ ซึ่งหากทำสำเร็จ รางวัลที่ยิ่งใหญ่คือพรอันวิเศษขององค์ภูเตศวรที่ว่าหากบรรลุผลจะช่วยให้เธอกลับขึ้นไปเกิดยังสวรรค์สูงขึ้นอีกชั้นและนั่นหมายรวมถึงพร้อมกับตัวปฐวีด้วยที่จะได้ไปเกิดพร้อมกับเธอหากเธอจะสามารถทำให้เขาซึ่งเป็นเนื้อคู่ถือศีลได้เสมอเธอ

ไม่...หากเธอสามารถทำให้เขาถือศีลเสมอเธอได้ รางวัลไม่ใช่แค่พาเขาขึ้นไปจุติในเทวโลกในชั้นที่สูงขึ้นไปเท่านั้น ไม่ใช่แค่นั้นแน่...ที่สำคัญมันจะยังช่วยชะล้างจิตใจเธอไม่ให้รู้สึกผิดบาปต่อเขาซึ่งมันติดค้างอยู่ในใจเธอมาช้านานหลายภพหลายชาติอีกด้วย เพียงแต่รางวัลที่องค์ภูเตศวรว่าไว้นั้น จะเกิดขึ้นได้ก็ด้วยการอนุมัติของท้าวภูวทัศน์ก่อน ซึ่งการจะได้รับการอนุมัติ ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ และเมื่อได้รับการอนุมัติแล้ว การจะทำให้ได้ตามเงื่อนไข ก็ยิ่งยากกว่าเป็นสองเท่า โดยเฉพาะการทำให้ปฐวีถือศีลเสมอเธอ...แต่ทว่าอัปสรเฝ้ามองจากสรวงสวรรค์มาระยะหนึ่งแล้วว่าเขาสะสมทานบารมีในชาติก่อนๆ มามากพอ ไม่...มันอาจจะไม่มากพอสักทีเดียว อัปสรนึกแก้ตัวเองอยู่ในใจ แต่อย่างน้อยก็เพียงพอที่จะทำให้เธอน่าจะช่วยเขาได้สำเร็จ เธอตรองแล้วว่าถึงเวลาที่เธอต้องลงมาเจอเขาได้แล้ว หรืออีกนัยหนึ่งมองว่าโอกาสที่จะช่วยเขาให้กลับไปเกิดยังสรวงสวรรค์พร้อมกับเธอ มีความเป็นไปได้ที่จะสัมฤทธิ์ผลในชาตินี้แล้ว เธอจึงได้ร้องขอให้องค์อินทร์เจรจากับท้าวภูวทัศน์ผู้มีอำนาจในเรื่องนี้โดยตรง สั่งการให้เธอลงมาจุติยังโลกมนุษย์แห่งนี้

ด้วยความที่เธอเพียรบำเพ็ญศีลบารมีนับตั้งแต่อยู่บนสวรรค์ เมื่อจะลงมาเกิดเป็นมนุษย์เพื่อทำการทดสอบตามกฎกติกาของสรวงสวรรค์ องค์ภูเตศวรก็เอ็นดูเธอเป็นพิเศษ จึงได้ประทานพรในเรื่องหน้าตาอัปลักษณ์เพื่อเป็นเกราะกำบังภัย จะได้ช่วยให้การปฏิบัติธรรม การสะสมทานบารมีเพื่อนำไปสู่เป้าหมาย...พาปฐวีไปเกิดบนสวรรค์พร้อมกับเธอในครั้งนี้ สัมฤทธิ์ผลโดยเร็ว ทว่ามีเงื่อนไขอยู่หนึ่งข้อว่าพรที่ให้จะค่อยๆ สลายลงหากว่าเธอหวั่นไหวไปกับเพศรสไม่ว่าจะโดยชายหนุ่มคนใดก็ตาม ใบหน้าของเธอจะค่อยๆ เริ่มกลับคืนสู่สภาพปกติตามความเข้มข้นของกิเลสแห่งกามารมณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องที่อันตรายอย่างยิ่ง และในทางตรงกันข้าม พรจะยิ่งแกร่งกล้ามากยิ่งขึ้นเช่นกันหากเธอสามารถสะสมศีลบารมีเพิ่มมากขึ้น ด้วยเหตุนี้เธอจึงหลบซ่อนตัวในที่ปลอดภัยมานานถึง ๒๓ ปีเพื่อสะสมบุญบารมีให้เพิ่มมากขึ้นก่อนเจอเขา และเธอก็ทำสำเร็จมาโดยตลอด เธอไม่เคยหลงใหลในเรื่องเพศรสกลิ่นเสียงหรือเรื่องใดๆ ตรงกันข้ามเธอฝักใฝ่ในธรรม การนั่งวิปัสสนา ตลอดจนการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ให้หลุดพ้นกรรมให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

ตลอดเวลาที่ลงมาเกิดเป็นมนุษย์ เธอจึงได้สะสมบุญบารมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ การช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ นั่นคือการสร้างบารมีธรรมให้แก่ตัวเอง เธอเพียรบำเพ็ญศีลภาวนามายาวนาน และนั่งวิปัสสนามาโดยตลอดจวบจนอายุ ๒๓ ปีเมื่อไม่กี่วันก่อน เชื่อมั่นว่าตัวเองเข้มแข็งมากพอที่จะไม่หวั่นไหวเมื่อเจอเขาแล้ว ไม่หวั่นไหวต่อเพศตรงข้าม ไม่หวั่นไหวต่อเพศรสและเชื่อมั่นด้วยว่าจะสามารถทัดทานต่อเสน่ห์ทางเพศของเขาได้ เธอถึงได้โผล่จากที่ซ่อนเพื่อมาเผชิญหน้ากับเขาในคืนนี้ แต่เมื่อได้มาเผชิญกับเขาจริงๆ อัปสรก็พบว่าที่เข้าใจว่าตัวเองพร้อมที่จะเผชิญกับเขานั้น แท้จริงแล้วเปล่าเลย...เธอล้มเหลวและพ่ายแพ้ไม่เป็นท่า ปฐวียังคงมีอิทธิพลต่อเธอเหมือนดั่งที่องค์ภูเตศวรพยากรณ์ไว้ไม่มีผิด.. อัปสรนึกอย่างเศร้าสร้อยและตำหนิตัวเองอย่างรุนแรง หากทว่าเพียงวูบเดียวสติก็พลันกลับคืนมา เธอสามารถรวบรวมสติที่ฟุ้งซ่านแตกกระเจิงให้กลับมาอยู่ในร่องในรอย ในศีลในธรรม ดังนั้นเมื่อคุณพุดซ้อนหันมาซักถามถึงอาการเจ็บป่วยของคุณปิยชาติ เธอจึงสามารถตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงปกติ

“คืนนี้คุณปิยชาติจะยังไม่ถึงฆาตค่ะ แต่เพื่อความไม่ประมาทดิฉันได้เตรียมของบูชาสำหรับการนำมาขอขมาเจ้ากรรมนายเวรให้กับคุณปิยชาติแล้ว”

“คุณพ่อนอนไม่ได้สติแบบนั้น คุณคิดว่าท่านจะลุกเหินขึ้นมาขอขมาได้งั้นสิ?” ปฐวีกระแหนะกระแหนขึ้นอย่างคนปากไว

คุณพุดซ้อนหันขวับไปส่งสายตาพิฆาตให้แก่บุตรชายในทันทีที่ฟังคำแดกดันจบ พร้อมกับส่งเสียงแหวๆ ตามไปกระหน่ำซ้ำ

“นายวี! ทำไมถึงเสียมารยาทกับหนูอัปสรแบบนั้น ขอโทษหนูอัปสรเขาเดี๋ยวนี้เลย ไม่ช่วยอะไรแล้วยังจะเอาเท้ามาราน้ำอีก ไม่พูดสักชั่วโมงสองชั่วโมง จะเป็นจะตายขึ้นมามั้ย? พูดแล้ววงแตกแบบนี้ สู้เป็นใบ้ยังจะดีกว่า”

ทุกคนอ้าปากค้าง ก่อนหลุดเสียงหัวเราะขำอย่างอดไม่ได้ ถึงแม้จะอยู่ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานก็ตาม แม้แต่ปฐมกาลหนุ่มที่เคร่งขรึมที่สุดก็ยังกลั้นยิ้มขำไม่อยู่ เขาต้องเบือนหน้า แสร้งยกมือปิดปากเพื่อซ่อนยิ้มขำ

ปฐวียังคงอึ้งกับน้ำเสียงเข้มงวดเกรี้ยวกราดเกินเหตุของมารดา เขาไม่ได้เอ่ยปากขอโทษตามที่เธอสั่ง แต่ตัดสินใจรูดซิปปากนับแต่นั้น บอกกับตัวเองว่าขืนซวยพูดผิดหูคุณพุดซ้อนอีกครั้งเดียว สงสัยได้ตกกระป๋องของแท้แน่ เพราะแม้แต่แม่หมอหน้าอัปลักษณ์ที่สุดในสามโลกคนนี้ ก็ยังมีแววได้ขึ้นแท่นคนโปรดแซงหน้าเขา ดูท่าต่อไปนี้ชีวิตเขาจะไม่รุ่งแล้ว แถมอาจดวงตกและเผลอๆ เข้าขั้นดวงกุดด้วย

อัปสรซึ่งมองเห็นเหตุการณ์ตรงหน้าอยู่ตลอด กล่าวด้วยรอยยิ้มเย็นๆ ว่า “ไม่เป็นไรค่ะ ดิฉันไม่ถือสา ไม่ต้องขอโทษหรอกนะคะ” เมื่อสติกลับคืนมา ความสามารถในการวิเคราะห์และสังเกตสังกาก็กลับคืนมาด้วย เธอสามารถเก็บรายละเอียดตรงหน้าได้ทั้งหมด เก็บได้กระทั่งความรู้สึกขยะแขยงของปฐวีที่มีต่อเธอก่อนหน้านี้ หรือเมื่อครู่ที่ถูกคุณพุดซ้อนบังคับให้ขอโทษ เขาทำเสียงหยันแล้วเบือนหน้าหนี อากัปกิริยาเหล่านั้นก็อยู่ในสายตาเธอตลอด อัปสรสามารถใช้สายตานิ่งๆ มองเหตุการณ์เหล่านั้นด้วยความรู้สึกปกติได้ ตอนนี้เธอไม่รู้สึกอะไรแล้ว ยิ่งกว่านั้นยังสามารถมองเขาด้วยความรู้สึกชวนขำด้วยซ้ำ แววตาจึงติดรอยปรานีไม่ต่างจากผู้ใหญ่มองเด็กเฮี้ยวสักคน และบังเอิญปฐวีก็เหลือบไปเห็นสายตานั้นเข้าพอดีด้วยซิ

ปฐวีแสดงท่าทีแปลกใจเปิดเผยเมื่อเห็นแววตาปรานีในดวงตาดำขลับคู่สวย อืม...เขาเพิ่งสังเกตอีกอย่างว่าแววตาของผู้หญิงคนนี้สวยมาก แล้วปฐวีก็คิดต่อไปว่าน่าแปลกใจที่เขาใช้สายตารังเกียจขยะแขยงมองเธอ แต่เธอกลับมองตอบเขากลับมาด้วยแววตาปรานี ไม่ต่างผู้ใหญ่กำลังเอ็นดูเด็กเล็กๆ สักคนยังไงยังงั้น... ปฐวีคิดด้วยความรู้สึกหงุดหงิดอย่างหาสาเหตุไม่ได้

คุณพุดซ้อนไม่ได้สนใจปฏิกิริยาของลูกชาย หรืออีกนัยหนึ่งคือไม่อยู่ในสายตาเลย เธอมองไปทางอัปสรด้วยสายตาเอ็นดู เทิดทูนระคนเลื่อมใสศรัทธา เมื่อกล่าวว่า “ว่าแต่...หนูอัปสรบอกว่าเราต้องทำพิธีขอขมาเจ้ากรรมนายเวรหรือลูก?” น้ำเสียงที่เรียกลูกตอนท้ายทอดอ่อนโยนอีกเท่าตัว

“ใช่ค่ะ...รออีกแป๊บ เดี๋ยวพอหมอออกมาเราก็เข้าไปทำพิธีได้ค่ะ”

“ถ้ารอถึงตอนนั้นไม่สายเกินไปใช่ไหมจ๊ะ จะให้ตากาลเข้าไปสั่งให้หมอออกมาตอนนี้เลย ดีไหมลูก?”

“ไม่ต้องหรอกค่ะ ระหว่างที่ดิฉันนั่งรถมาที่โรงพยาบาลได้นั่งวิปัสสนา บริกรรมคาถาและสวดมนต์เพื่อช่วยชะลอเหตุไปบ้างแล้ว เพราะงั้นเจ้ากรรมนายเวรจะยังไม่เอาชีวิตของคุณปิยชาติในคืนนี้หรอกค่ะ”

ราวกับเห็นแม่พระลงมาโปรดสัตว์เลยทีเดียว น้ำเสียงของคุณพุดซ้อนยิ่งเพิ่มความเทิดทูนและศรัทธาเลื่อมใสไปอีกหลายเท่าตัว

“โถแม่คู้น...ช่างเป็นคนดี มีจิตใจสูงส่ง งดงามอะไรอย่างนี้ หนูอัปสรไม่ต่างจากแม่พระลงมาโปรดสัตว์ของแม่เลยทีเดียว หนูเป็นคนดีมากจริงๆ สมแล้วที่จะมาเป็นลูกสะใภ้ของแม่ แม่ล่ะดีจั้ยดีใจที่จะได้หนูมาเกี่ยวดองเป็นทองแผ่นเดียวกัน นี่แปลว่าแม่ยังมีบุญวาสนาอยู่บ้างใช่ไหมจ๊ะ ถึงได้เจอหนู”

ทุกคนไม่เว้นแม้กระทั่งปฐมกาลยังสะดุ้งโหยงเมื่อได้ยินมารดาแทนตัวเองว่าแม่ด้วยน้ำเสียงสนิทสนมเป็นกันเองและรักใคร่เอ็นดูแบบนั้น มารดาของเขาเปลี่ยนท่าทีเร็วชนิดที่แม้แต่จรวดนำวิถีสู่ดวงจันทร์ ยังตามไม่ทัน แถมยังใช้โทนเสียงหวานเจี๊ยบอีกด้วย ฟังแล้วเขารู้สึกแปลกๆ เช่นเดียวกับปานวาดที่คิดว่ามารดาเปลี่ยนท่าทีเร็วจนเธอตามไม่ทัน แต่ก็ได้แค่คิดไม่กล้าออกความเห็น ไม่ต่างจากผู้เป็นพี่ชายคนรอง ปฐวีได้แต่คิดอยู่ในใจว่านี่ถ้าไม่ติดว่าเป็นบุพการี เขาคงสะกิดบอกไปแล้วว่าเธอปรับตัวได้เก่งยิ่งกว่ากิ้งก่าเปลี่ยนสี

“แต่ว่าคุณชาติไม่ได้สติอยู่ เราจะทำยังไงกันดีจ๊ะ” คุณพุดซ้อนยังคงถามต่อด้วยเสียงอ่อนๆ

“ไม่ต้องห่วงค่ะเดี๋ยวพอดิฉันเข้าไป คุณปิยชาติจะฟื้นขึ้นมา ส่วนหมากพลูและข้าวของสำหรับการขอขมาเจ้ากรรมนายเวร ดิฉันได้เตรียมอยู่ในพานไว้ให้อยู่แล้ว สิ่งที่คุณและลูกๆ ทุกคนต้องทำคือ เข้าไปสวดขอขมาพร้อมกับคุณปิยชาติ ซึ่งดิฉันได้เตรียมซีร็อกซ์คำสวดขอขมาไว้ให้ทุกคนหมดแล้วเช่นกัน”

คุณพุดซ้อนมองด้วยสายตารักใคร่ ยกย่องและเทิดทูนศรัทธาเพิ่มมากขึ้นไปอีก ยามนี้อัปสรทำอะไรก็ดูเหมือนดีไปหมดและถูกต้องที่สุดในสายตาของคุณพุดซ้อน

“หนูอัปสรช่างจิตใจประเสริฐจริงๆ ลูก แม่ขอบใจแทนลูกๆ ของแม่ทุกคน แล้วก็ขอบใจแทนคุณชาติ พวกเราต่างมีบุญวาสนาต่อกันจริงๆ ถึงได้มาเจอแม่พระอย่างหนู”

ปฐวีลอบทำหน้าคลื่นเหียน ขณะที่คนอื่นๆ ที่ทันมาเห็นสีหน้าของปฐวี ต่างเบือนหนี ซ่อนแววขำ

คุณพุดซ้อนไม่รู้เลยว่ากำลังถูกลูกค่อนขอดในใจ หรือถึงรู้ก็อาจไม่แคร์ เธอพูดต่อว่า “ว่าไปแล้ว แม่ต้องขอโทษหนูอัปสรกับเรื่องเมื่อวานด้วยนะจ๊ะ หวังว่าหนูจะไม่ถือสา”

“เรื่องอะไรคะ” อัปสรย้อนถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ น้ำเสียงติดรอยปรานี

“ก็เรื่องที่แม่ไม่ได้ออกมาส่งหนู แม่คงกังวลกับเรื่องของพ่อตากาล มากไป ก็เลยลืมเรื่องมารยาทเล็กๆ น้อยๆ เสียหมด ต้องขอโทษด้วยจริงๆ หวังว่าหนูจะเข้าใจ”

“ไม่มีปัญหาค่ะ ดิฉันเข้าใจ อย่าคิดมากเลย ถ้าไม่มีอะไรแล้วดิฉันอยากรบกวนขอห้องสงบๆ สักห้องได้ไหมคะ”

“ได้เลยจ๊ะ ว่าแต่หนูจะเอาไปทำอะไรหรือ”

“ดิฉันอยากนั่งวิปัสสนาและแผ่เมตตาให้กับเจ้ากรรมนายเวรที่อยู่ในนี้ พวกเขากำลังมาขอส่วนบุญค่ะ”

คุณพุดซ้อนมีสีหน้าตกใจอย่างยิ่ง เธอหน้าเผือดสี เหลียวซ้ายแลขวาเลิ่กลั่กแล้วขยับเท้ามาใกล้ เกาะแขนของอัปสร พลางถามอย่างตระหนกว่า

“มีวิญญาณอยู่แถวนี้จริงๆ เหรอ”

ไม่ต่างจากคนอื่นๆ ที่มีท่าทีหวาดๆ ปานวาดขยับเท้าใกล้อัปสรไม่รู้ตัว ไม่เว้นแม้แต่ปฐมกาลและปฐวี ที่อดเหลียวมองรอบตัวด้วยความระแวงไม่ได้

อัปสรมองหญิงสูงวัยที่เกาะแขนข้างตัวด้วยรอยยิ้ม น้ำเสียงยังคงปรานีเมื่อตอบว่า “อย่ากังวลเลยค่ะ ทุกที่ทุกแห่งมีวิญญาณด้วยกันทั้งนั้น โดยเฉพาะในโรงพยาบาล แต่เราจะเห็นหรือสื่อสารกับเขาได้หรือไม่เท่านั้น”

“และแล้วคุณติดต่อกับพวกเขาได้เหรอ” ปานวาดถามตะกุกตะกักด้วยน้ำเสียงหวาดๆ เธอขยับเข้าใกล้อัปสรอีกก้าว

“ค่ะ ถ้าระดับพลังจิตจูนกันได้ ก็ติดต่อสื่อสารกันได้”

ทุกคนขนหัวลุกอย่างห้ามไม่อยู่ แม้แต่ปฐวีก็ยังออกอาการสะดุ้งนิดๆ

“แหละ...แล้วคุณไม่กลัวหรือ ติดต่อกับวิญญาณได้ตลอดแบบนี้” ปานวาดถามตะกุกตะกักต่อ ทั้งสนใจใคร่รู้และหวาดกลัวในคราวเดียวกัน

อัปสรยิ้มด้วยแววตาอ่อนโยน “วิญญาณไม่น่ากลัวเท่ากับคนหรอกนะคะ เชื่อดิฉันเถอะ” แล้วเธอก็หันไปทางคุณพุดซ้อน “ดิฉันรบกวนขอห้องสงบๆ หน่อยนะคะ”

“ดะ...ได้เลยจ๊ะ ตากาลพาหนูอัปสรเข้าไปในห้องประชุมเลยจ๊ะแล้วบอกให้เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลจัดเตรียมของว่างขนมนมเนยให้เธอด้วย”

อัปสรแทรกขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “อย่ารบกวนเรื่องของว่างเลยค่ะ หลังเที่ยงดิฉันไม่ทานอะไรค่ะ

“งั้นรับน้ำดื่มไหมจ๊ะ” คุณพุดซ้อนถามต่อ

“ถ้าได้แบบนั้นก็ขอบคุณค่ะ” เธอโน้มศีรษะตอบรับอย่างสุภาพ

“อ้อ...เดี๋ยวจ๊ะหนูอัปสร” คุณพุดซ้อนรีบเรียกไว้ก่อนที่เธอจะเดินตามปฐมกาลออกไป

อัปสรหันมาถามด้วยสายตาเงียบๆ

“แม่กลัวจะไม่แฟร์กับหนูถ้าไม่ได้บอกไว้ก่อน...”

เห็นท่าทางอึกอักของคุณพุดซ้อน อัปสรจึงพูดต่อว่า “ตามสบายเลยค่ะ คุณพุดซ้อนสามารถพูดได้ตรงๆ”

“อุ้ย...มาคงมาคุณได้ไงกันจ๊ะ ต่อไปนี้ไม่ต้องเรียกคุณพุดซ้อนแล้ว เรียกแม่เลยจ๊ะ เรากำลังจะเกี่ยวดองเป็นทองแผ่นเดียวกันในพรุ่งนี้มะรืนนี้อยู่แล้ว เพราะงั้นเรียกคุณแม่คุณพ่อได้เลยจ๊ะ แม่ตั้งใจว่าจะหาฤกษ์จากพระผู้ใหญ่ที่แม่นับสักคนให้เร็วที่สุด แล้วจัดงานให้ใหญ่คับสามบ้านเจ็ดบ้านไปเลย เราจะประกาศให้สังคมรับรู้ถึงการรับสะใภ้คนแรกเข้ามาอยู่ในบ้าน แม่ตั้งใจจะยกหูโทร.หาเพื่อนเจ้าของหนังสือพิมพ์...” เอ่ยชื่อหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ที่สุดในเมืองไทย ก่อนกล่าวต่อ “บอกให้ลงข่าวหน้าหนึ่งให้ใหญ่ไปเลย ดีไหมลูก คนเขาจะได้รู้กันไปทั่วบ้านทั่วเมืองว่าหนูอัปสรเป็นลูกสะใภ้ของแม่แล้ว”

ปฐวีสะดุ้งโหยง ผะอืดผะอมราวกับจะอ้วก รู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ไม่ต่างจากกินอาหารผิดสำแดง แผนที่คิดไว้ว่าจะแต่งเงียบๆ ให้รู้กันแค่สมาชิกในครอบครัวไม่กี่คน มีอันต้องเป็นหมันไม่เป็นท่า เขาตั้งใจจะสั่งสอนอัปสร ทำให้เธอรู้ว่าไม่เป็นที่ต้องการของเขาและทำให้เธอสำเหนียกว่าตัวเองไม่มีเกียรติ ไม่มีค่าและไม่คู่ควรพอที่จะแต่งกับเขา ใช่...เขาอยากแสดงให้เธอเห็นโต้งๆ ว่าเขาไม่ต้องการเธอ เขาไม่อยากจัดงานใหญ่โต เพราะไม่อยากอับอายขายหน้าเพื่อนฝูงและลูกน้องที่มีเจ้าสาวอัปลักษณ์อย่างเธอ ทว่าแผนการทั้งหมดกลับต้องพังไม่เป็นท่าเพราะมารดา เขาไม่อยากคิดว่าคุณพุดซ้อนแค่อยากประชดอัปสรให้เขาดีใจเล่น ไม่อยากคิดว่าเป็นการพูดเล่นของมารดาด้วย ไม่...เขาไม่ดวงดีแบบนั้นแน่ แต่น่าจะเป็นความต้องการเอาใจว่าที่ลูกสะใภ้ที่เลยเถิดเกินความพอดีไปมากกว่า แล้วปฐวีก็แหงนหน้าพ่นลมหายใจออกมาพรืดใหญ่อย่างหนักใจแกมขุ่นใจ

ใช่...ต่อไปนี้เขาจะมีหน้าไปสู้หน้าเพื่อนๆ และลูกน้องในที่ทำงานได้อย่างไร จะบอกใครๆ ได้อย่างไรว่าจะหาผู้หญิงมาทำเมียทั้งทีกลับไปคว้าผู้หญิงหน้าตาอัปลักษณ์อย่างเธอ แถมมารดาจะประจานเขาออกสื่อด้วย สวรรค์ช่วย...แค่คิดเขาก็อยากบ้าตายแล้ว

ปฐวีคิดอย่างคับแค้นใจ ต่างจากสาวเจ้าผู้ถูกนึกถึง เธอเพียงแค่ยิ้มอ่อนๆ ให้กับข้อเสนอของคุณพุดซ้อน

“หนูอัปสรว่าไงลูก เงียบไปเลย ไม่เห็นบอกแม่เลยว่าถูกใจหรือไม่ถูกใจ” คุณพุดซ้อนเซ้าซี้ถาม

“ขอบพระคุณคุณพุดซ้อนมากค่ะ นั่นเป็นพระคุณอย่างหาที่สุดไม่ได้แล้วสำหรับดิฉัน” พูดพลางโน้มศีรษะอย่างนอบน้อม

แหงล่ะสิ...น้ำหน้าอย่างหล่อน เกิดอีก ๑๐ ชาติ จะหาผู้ชายสักคนมาแต่งงานด้วยยังไม่ได้เลย ปฐวีกระแทกเสียงในใจอย่างเขม่น แล้วสะบัดหน้าหนี อัปสรทำอะไรหรือพูดอะไร ก็ขัดหูขัดตาเขาไปเสียหมด

“อุ้ย...มาคงมาคุณอีกแล้ว คุณแม่สิจ๊ะ...หัดเรียกคุณแม่ไว้จะได้ชินปาก”

อัปสรคลี่ยิ้มมุมปาก

คุณพุดซ้อนไม่เห็นว่าที่ลูกสะใภ้สนองตอบ ก็เซ้าซี้ต่อ “ว่าไงลูก เรียกคุณแม่สิจ๊ะ”

ปานวาดซึ่งดูเหตุการณ์เบื้องหน้ามาพักใหญ่ๆ ทนดูต่อไปไม่ได้อีก เธอพ่นลมหายใจพรืดใหญ่ด้วยความรำคาญแล้วว่า “นี่คุณอัปสร เรียกคุณแม่ให้จบๆ เรื่องไปเถอะ ขืนคุณเก็บปากอมพะนำอยู่แบบนั้น คุณแม่ฉันก็เซ้าซี้ไม่เลิกอยู่แบบงี้แหละ”

“เอ๊ะ...ยายวาดนี่!” คุณพุดซ้อนหันไปค้อนปะหลับปะเหลือกไม่จริงจังนัก ตีแขนเผียะแล้วว่า “เรามาขายแม่ยังงี้ได้ไง” หันไปทางอัปสร กล่าวต่อว่า “แต่ยายวาดพูดถูกนะลูก ไหนหนูอัปสรลองเรียกว่าคุณแม่สิจ๊ะ”

น่าน...นั่นคือลูกรัก แต่ถ้าความคิดเดียวกันนี้ แต่หลุดจากปากเขา ไม่ใช่ปานวาด รับรองเลยว่ามารดาไม่มีทางค้อนปะหลับปะเหลือก ด้วยท่าทางน่ารักน่าชังแบบนั้นหรอก ปฐวีพ่นลมหายใจออกมาพรืดใหญ่ แทบอยากกลั้นหายใจตายเดี๋ยวนั้น เขาทนฟังทนดูไม่ได้อีกต่อไป จึงเบือนหน้าหนี สายตาจึงปะทะเข้ากับพี่ชายซึ่งฝ่ายนั้นเบือนหน้ามาทางเขาพอดี แววตาพี่ชายเต้นระริกอย่างกลั้นยิ้มขำเต็มที่ หากฉายรอยเอ็นดูเต็มที่เช่นกัน

ปฐวีนึกอยากบ้าตาย...นี่ในสายตาพี่ชาย มองว่าอัปสรและภาพเบื้องหน้าก็น่ารักน่ามองอีกคนเหรอ?

อัปสรหวั่นว่าเหตุการณ์จะลุกลามเลยเถิด จนไม่อาจได้นั่งวิปัสสนาแผ่เมตตาให้วิญญาณแถวนี้ได้ จึงตัดสินใจกล่าวเอาใจคุณพุดซ่อนเพื่อตัดความยุ่งยากว่า

“ดิฉันขอบพระคุณคุณแม่ที่กรุณาต่อดิฉันมาก”

คุณพุดซ้อนยิ้มอย่างถูกใจ “ต้องอย่างนั้นสิลูก ต่อไปเรียกคุณปิยชาติว่าคุณพ่อด้วยนะจ๊ะ”

“ค่ะ” เธอตอบรับอย่างว่าง่าย กล่าวต่อว่า “ว่าแต่คุณแม่อยากจะบอกอะไรดิฉันหรือคะ?”

“คืองี้จ๊ะ อย่างที่บอกแม่ยินดีรับหนูมาเป็นลูกสะใภ้ร่วมสกุลสุขารมณ์ แต่ทีนี้หนูอัปสรจะขัดข้องไหมจ๊ะถ้าหากแม่จะขอเปลี่ยนตัวเจ้าบ่าวจากตากาลมาเป็นนายวีแทน”

“คะ?” เธอตวัดคิ้วสูงอย่างประหลาดใจแท้จริง มองไปทางปฐวีสลับกับปฐมกาล ปฐมกาลเลิกคิ้ว รอคำตอบ ขณะที่ปฐวีนิ่วหน้า ใบหน้าบึ้งตึงชัดเจน เธอกล่าวขึ้นช้าๆ สายตาไม่คลาดไปจากใบหน้าหล่อเหลาปานเทพบุตรของปฐวี “คงมีการเข้าใจอะไรผิดระหว่างสองเรา เพราะเงื่อนไขที่ดิฉันยื่นตั้งแต่ต้น คือขอแต่งงานกับคุณปฐวี ไม่ใช่คุณปฐมกาล”

“อะไรนะ?” คนทั้งสามอุทานเสียงสูงขึ้นพร้อมกัน โดยเฉพาะปฐวีตกใจมากที่สุด เขาหันขวับมามองอย่างประหลาดใจ อย่างแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง ถามแทบกลายเป็นเสียงครางว่า “เธอหมายความว่าไง”

“ความหมายของดิฉันตรงตัว ดิฉันต้องการแต่งงานกับคุณ ไม่ใช่คุณกาล”

“ทำไม...” เสียงขาดหายไปในลำคอเฉยๆ ปฐวีพูดอะไรไม่ออก ได้แต่อึ้ง ตกตะลึงและสงสัยใคร่รู้ว่าทำไมเขาถึงดวงซวยได้ขนาดนี้ ไปทำอีท่าไหนถึงได้เข้าตาแม่อัปลักษณ์คนนี้เข้า

“นั่นสิ...” คุณพุดซ้อนเสริม เธอถามเสียงแหยๆ พอกัน รู้สึกว่าตัวเองโง่ไปเสียถนัดที่เสียเวลาทุกข์ใจ กังวลใจไปเปล่าๆ ปลี้ๆ แล้วเธอก็ถามต่อว่า “ทำไมตอนแรกหนูบอกว่าอยากแต่งกับตากาลล่ะจ๊ะ”

“เปล่าค่ะ... น่าจะเป็นความเข้าใจผิดของคุณปิยชาติไปเอง ที่ดิฉันบอกเมื่อเช้าคือ ดิฉันจะช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบา แต่ขอแต่งงานกับลูกชายคุณเป็นการแลกเปลี่ยน”

“เปล่าค่ะ... น่าจะเป็นความเข้าใจผิดของคุณปิยชาติมากกว่า ที่ดิฉันบอกเมื่อเช้าคือ ดิฉันจะช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบา แต่ขอแต่งงานกับลูกชายคุณเป็นการแลกเปลี่ยน”

“นั่นไง...” คุณพุดซ้อนกล่าวอย่างผู้ชนะ ก่อนถามต่อว่า “หนูบอกว่าขอแต่งกับลูกชายแม่ หนูไม่ได้หมายถึงตากาลหรอกเหรอ” คุณพุดซ้อนยังไม่เข้าใจว่าทำไมอัปสรถึงอยากแต่งงานกับปฐวี ในเมื่อปฐมกาลมีดีกว่ามากมาย ลูกชายคนโตของเธอไม่เจ้าชู้ ขยันขันแข็ง เชื่อฟังบุพการี และที่สำคัญไม่เคยทำให้พ่อแม่ผิดหวัง ฉะนั้นแต่งงานไป อัปสรจะเป็นผู้หญิงที่โชคดีที่สุด เพราะปฐมกาลจะเป็นหัวหน้าครอบครัวที่ดี ไม่มีวันที่จะทำให้อัปสรช้ำใจและน้ำตาเช็ดหัวเข่าอย่างเด็ดขาด ฉะนั้นในสายตาของคุณพุดซ้อนจึงไม่เข้าใจว่าทำไมอัปสรถึงอยากแต่งกับลูกชายคนรอง ใช่...สาวๆ ดูเหมือนหลงเสน่ห์และอยากแต่งกับปฐวีด้วยกันทั้งนั้น ซึ่งเธอไม่เข้าใจจริงๆ

“ค่ะ...ดิฉันไม่ได้หมายถึงคุณปฐมกาล แต่เป็นคุณปฐวี” อัปสรตอกย้ำ

มาถึงตรงนี้ปฐวีก็ทนถนอมปากคำไม่ได้อีกต่อไป เขากระแหนะกระแหนขึ้นอย่างอดไม่ได้ว่า

“เรียกว่าพี่กาลยังไม่ถึงคราวดวงซวย แต่เป็นคราวซวยของผมว่างั้นเถอะ”


………………………………..








Create Date : 24 มีนาคม 2557
Last Update : 16 เมษายน 2557 6:54:47 น.
Counter : 1121 Pageviews.

10 comments
  
เฉลยแย้วค่ะ ที่คิดๆๆ กันไว้ เดาถูก/ตรงกันบ้างไหมคะ ^_^
โดย: คณิตยา วันที่: 24 มีนาคม 2557 เวลา:1:08:57 น.
  
555555+++สะใจ
โดย: sakeena IP: 171.96.13.80 วันที่: 24 มีนาคม 2557 เวลา:9:31:33 น.
  
โหยยย ปฐวีน่าหมั่นไส้ ปากร้ายที่สุด แบบนี้ต้องแกล้งไปนานๆ เลยค่ะ
โดย: pantan IP: 58.9.37.140 วันที่: 24 มีนาคม 2557 เวลา:10:12:21 น.
  
นายวีรวนนางเอกเราใหญ่เลย หงุดหงิดล่ะสิ เดี๋ยวสวยขึ้นมาแล้วอย่ามาง้อนะ

คุณอุ๋ยคิดพล็อตเก่งจัง แปลกแหวกแนวดี คราวก่อนมัจจุราช คราวนี้นางฟ้า เทวดา นับถือจริงๆ
โดย: alanta IP: 49.230.188.108 วันที่: 24 มีนาคม 2557 เวลา:22:12:00 น.
  
นายวีรวนนางเอกเราใหญ่เลย หงุดหงิดล่ะสิ เดี๋ยวสวยขึ้นมาแล้วอย่ามาง้อนะ

คุณอุ๋ยคิดพล็อตเก่งจัง แปลกแหวกแนวดี คราวก่อนมัจจุราช คราวนี้นางฟ้า เทวดา นับถือจริงๆ
โดย: alanta IP: 49.230.188.108 วันที่: 24 มีนาคม 2557 เวลา:22:12:00 น.
  
คุณ sakeena : คุณ sakeena หัวเราะอย่างสะใจ ฮ่าๆๆ

คุณเอ๋ : ไม่ต้องห่วงเลยค่ะ เดี๋ยวอุ๋ยจัดให้ กว่าพระเอกจะได้แอ้มนางเอก ก็เสียค่าหื่นไปมากล่ะค่ะฮ่าๆๆๆ

คุณ alanta : ขอบคุณคุณ alanta มากๆๆค่ะฟังแล้วชื่นใจและได้กำลังใจจริงๆ ค่ะ ดีใจที่คุณ alanta สนุกกับเรื่องนี้นะคะ อุ๋ยอยากเขียนแนวขำๆ คอมเมดี้บ้าง ไม่รู้ว่าคุณ alanta อ่านไปจะเรียกรอยยิ้มบนใบหน้าบ้างป่าวคะ ^^
โดย: คณิตยา วันที่: 25 มีนาคม 2557 เวลา:7:52:16 น.
  
อ้อ ที่มาของอัปสร ที่มาของภาพลักษณ์ และเงื่อนไขการแต่งงานเป็นอย่างนี้เอง

แต่ ขุ่นแม๊ขรา กลับลำเร็วจังนะค๊า อย่าว่าแต่ลูกๆ ของขุ่นแม๊จะงง เงิบแล้ว คนอ่านก็มึนงง กับอาการขุ่นแม๊เช่นเดียวกันคร้า
โดย: susi IP: 115.31.137.102 วันที่: 26 มีนาคม 2557 เวลา:12:26:52 น.
  
คุณกานต์ : คุณกานต์เดาถูกน้าว่านางเอกขอแต่งกับใคร ^_^
โดย: คณิตยา วันที่: 27 มีนาคม 2557 เวลา:23:21:58 น.
  
เดาผิดเลย ที่คิดว่าอัปสรผิดหวังปฐวี ที่แท้ผิดหวังตัวเอง ลงมาบำเพ็ญบารมี เพื่อพาเนื้อคู่ขึ้นสวรรค์ แต่ปฐวีนี่ ขนาดสะสมบุญแล้ว ยังเมากิเลส หมกมุ่นได้ขนาดนี้ แถมยังจะทำอัปสรเขวซะอีก ที่อัปสรจะค่อยๆ เปลี่ยน เพราะปฐวีแน่
โดย: goldensun IP: 61.91.4.2 วันที่: 28 มีนาคม 2557 เวลา:16:10:40 น.
  
คุณ goldensun : ฮ่าๆ คุณ goldensun เม้นท์ได้ดุเดือดมากค่ะ แถมเดาได้เจ๋งด้วยค่ะ ^^
โดย: คณิตยา วันที่: 29 มีนาคม 2557 เวลา:16:53:02 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

คณิตยา
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 26 คน [?]









รู้จักคณิตยา/คีตฌาณ์

ก้าวสู่โลกแห่งการขีดเขียนในปี 2549 มีผลงานเป็นรูปเล่มกับสนพ.ในเครือสถาพรบุ๊คส์ทั้งหมด 11 เล่ม ไล่ตั้งแต่ รหัสทรชน ทางสายหมอก กุหลาบในเปลวไฟ ฝากรัก...ผ่านซีบ็อกซ์ อริ...ที่รัก บอดี้การ์ด รักเพียงฝัน ตามรักข้ามเวลา ไฟรัก บันทึกแห่งรัก(the Book of Love) มิราเบลล์...ตราบคีตาบรรเลง เป็น 1 ในนิยายชุดแด่เธอที่รัก สาปรัก และใต้ปีกรัก

รหัสทรชน เป็นละครทางช่อง 3 เมื่อปี 2554 แสดงโดย เคน และชมพู่ สร้างโดยค่ายยูม่า และ ไฟรัก ได้รับการซื้อลิขสิทธิ์ไปแปลเป็นภาษาเวียดนาม วางแผงเดือนสิงหาคม 2556



พูดคุย ทักทาย แลกเปลี่ยนความเห็น และติดตามความเคลื่อนไหวได้ทาง fb โดยกดไลค์เป็นแฟนเพจได้ทาง https://www.facebook.com/keetacha?ref=hl ขอบคุณค่ะ

---------------


ตอนนี้อุ๋ยทยอยนำนิยายที่หมดลิขสิทธิ์กับพิมพ์คำไปวางจำหน่ายในรูปแบบ E-book บนเว็บ ebooks และเว็บ Mebmarket ค่ะ

ใต้ปีกรัก...ราคาอีบุ๊ก 179 บาท

บันทึกแห่งรัก...ราคาอีบุ๊ก 255 บาท จากราคาปก 310

ไฟรัก...ราคาอีบุ๊ก 279 บาท จากราคาปก 350 บาท

กุหลาบในเปลวไฟ...ราคาอีบุ๊ก 230 บาท



รหัสทรชน ราคาอีบุ๊ก 200 บาท จากราคา 300 บาท 673 หน้า





ทางสายหมอก ราคาอีบุ๊ก 265 บาท จากราคา 280 บาท 690 หน้า



ฝากรัก...ผ่านซีบ็อกซ์ ราคาอีบุ๊ก 125 บาท จากราคา 180 บาท 360 หน้า



รวมเรื่องสั้น...ฉบับวัยหวาน ราคาอีบุ๊ก 45 บาท จากปก 55 บาท



อริ...ที่รัก ราคาอีุบุ๊ก 195 จากปก 240 บาท



หวานใจ...บอดีการ์ด...ราคาอีบุ๊ก 145 บาท จากปก 180 บาท



รักเพียงฝัน...ราคาอีบุ๊ก 225 จากปก 250 บาท



ตามรักข้ามเวลา...ราคาอีบุ๊ก 240 จากปก 270 บาท





















New Comments