Group Blog
สาปรัก...บท 3/1
ปฐวีรีบตรงดิ่งมาที่โรงพยาบาลพร้อมกับสัตว์เลี้ยงในทันทีที่ได้รับแจ้งข่าวจากปฐมกาลว่าอาการของบิดาไม่สู้ดี คุณปิยชาติมีอาการทรุดหนักลง เขาจึงไม่มีเวลาไปส่งทองม้วนที่คอนโดฯ แต่ต้องนำมันมาที่โรงพยาบาลด้วย พี่ชายบอกว่าแพทย์กำลังปั๊มหัวใจให้กับบิดาอยู่ในห้อง อาการเป็นตายห้าสิบห้าสิบเท่ากัน ตอนที่เขาเดินทางมาถึง ทุกคนกำลังนั่งรออยู่ที่หน้าห้องอยู่ก่อนแล้วอย่างกระสับกระส่ายและปริวิตก โดยเฉพาะคุณพุดซ้อน กำลังกอดคอร่ำไห้กับปานวาด มารดาของเขามีท่าทีกระวนกระวายและทุกข์ใจอย่างเห็นได้ชัด ส่วนน้องสาว หน้าซีดเผือด แต่เขาเดาว่าคงพยายามปลอบมารดาอย่างดีที่สุด ซึ่งปฐวีฟังไม่ได้ศัพท์นักว่าน้องสาวพูดอะไรบ้าง ด้วยใจจดจ่ออยู่กับอาการป่วยของคนในห้อง ปฐมกาลดูจะเป็นคนเดียวที่ควบคุมท่าทีได้ดีที่สุด พี่ชายเขาเพียงแค่นั่งหลับตา เอนหลังพิงผนัง แววตาฉายรอยหวั่นไหววูบหนึ่งเมื่อลืมตาขึ้นมาเห็นเขา แต่ก็เป็นเพียงแวบเดียวแล้วเป็นปกติดังเดิม

ปฐวีเดินไปทรุดนั่งข้างพี่ชาย ซึ่งเป็นคนละฟากกับมารดา ถามเบาๆ ว่า “คุณพ่อเป็นไงบ้าง” พลางปรายตามองแพทย์และพยาบาลที่เดินสวนเข้าออกห้องบิดา ทุกครั้งที่บุคคลเหล่านั้นเดินผ่าน เป็นต้องก้มศีรษะทักทายพวกเขา ปฐวีผงกศีรษะรับ แล้วโบกมือ ทำทีบอกให้ทำตัวเป็นปกติ ไม่ต้องมาแสดงความนอบน้อมอีก

ปฐมกาลตอบน้องชายว่า “ยังไม่รู้ กำลังรอฟังผลจากหมอ”

“มันเกิดขึ้นได้ไง”

ผู้เป็นพี่ชายอยากย้อนไปนักว่า ก็เป็นปกติ...ตลอดเวลาที่ผ่านมาบิดาก็ทรงๆ ทรุดๆ แบบนี้ตลอดอยู่แล้ว แต่ตัวเองไม่สนใจเอง แต่ด้วยวิสัยที่ไม่ชอบยอกย้อน เขาจึงตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบจนออกจะสุภาพเกินความจำเป็นด้วยซ้ำว่า

“ฉันกลับไปถึงบ้านแล้ว กำลังจะอาบน้ำเข้านอน ก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์จากคุณแม่ โทร.มาบอกว่าคุณพ่ออาการทรุดหนักให้รีบมาโรงพยาบาล แล้วนายไปอยู่ที่ไหนมา ไหนคุณแม่บอกว่านายจะรีบมาโรงพยาบาลเพื่อเปลี่ยนเวรเฝ้าไข้คุณพ่อกับฉัน” ท้ายประโยคถามพลางหันไปมองน้องชายตรงๆ

ตอนที่มารดามาถึงโรงพยาบาลเมื่อหลายชั่วโมงก่อนนั้น เธอไล่ให้เขากลับไปพักผ่อนที่บ้านในทันที โดยที่ตอนนั้นปฐวียังเดินทางมาไม่ถึง เขาถามย้ำว่าน้องชายจะมาแน่เหรอในเมื่อรายนั้นยอมมานอนเฝ้าบิดาแทบจะนับครั้งได้ เธอตอบเสียงแข็งขันกลับมาว่าปฐวีมาแน่เพราะรับปากไว้ดิบดีแล้ว และที่ยังมาไม่ถึงอาจเพราะรถติด เมื่อได้รับการยืนยันเป็นมั่นเป็นเหมาะจากมารดาแบบนั้น เขาจึงยอมกลับไปบ้าน

น้ำเสียงเรียบๆ ของพี่ชาย ทำให้ปฐวีทำอะไรไม่ถูก ถ้าปฐมกาลจะเกรี้ยวกราดหรือแสดงอาการหงุดหงิด ขุ่นเคืองสักนิด เขาคงจะรับมือได้ง่ายกว่า แต่เมื่อมาโทนเสียงเรียบๆ แบบนี้ เขาจึงไปไม่เป็น... ปฐวีคิดในใจ แต่ปากตอบไปว่า

“ขอโทษที่มาช้า บังเอิญคุณษาโทร.มาบอกให้ไปรับทองม้วน ฉันก็เลยแวะคอนโดฯ ของเธอก่อนจะมานี่”

“ษาไหน...คุณสุนิษา ตันเจริญ หรือเปล่า” ปฐมกาลถามเพื่อความมั่นใจ เพราะรายนี้เปลี่ยนคู่ควงบ่อยยิ่งกว่าเปลี่ยนรองเท้า

“ใช่ รายนั้นแหละ ยังไม่ได้เปลี่ยน เธอโทร.ให้ฉันไปเอาเจ้าทองม้วนกลับบ้าน ฉันก็เลยไปรับกลับก่อนมานี่” ตอบราวกับเดาความคิดของพี่ชายได้ แล้วปฐวีก็เกาคางให้ทองม้วนเบาๆ เป็นรางวัลที่มันทำตัวสงบเสงี่ยมไม่กระโดดจากตักเขาไปเดินเพ่นพ่าน กับพี่ชาย...เขากล้าบอกตรงๆ ว่ากำลังคบหาอยู่กับใคร แต่กับบุพการี เขาเลือกที่จะให้ฝ่ายนั้นไปอ่านเจอเอาเองจากสื่อ เพราะไม่อยากตกเป็นเป้าถูกสวด

ปฐมกาลลดสายตามองสัตว์เลี้ยงสลับกับเจ้าของมัน คาดไม่ถึงอยู่เหมือนกันว่าน้องชายจะเห็นสัตว์เลี้ยงดีกว่าบุพการีที่กำลังนอนแบ็บอยู่บนเตียง แต่นั่นแหละเขาจะคาดหวังอะไรได้กับน้องชายคนนี้ ในเมื่อรู้นิสัยกันดีๆ อยู่ ปฐมกาลถอนหายใจอย่างอ่อนใจ พูดเสียงแผ่วต่ำในลำคอว่า

“อย่าพูดอย่างนี้ให้คุณแม่ได้ยินนะ”

“ทำไมล่ะ”

“ยังจะมาย้อนถามอีก รู้อยู่ ยกเว้นนายอยากจะกวนประสาทคุณแม่ นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง”

ปฐวีหัวเราะแทนคำตอบ “ดูเหมือนนายจะห่วงฉันนะนั่น”

“ไม่ได้ห่วงนาย แต่ห่วงคุณแม่ กลัวจะความดันขึ้นเพราะเรื่องของนาย” ปฐมกาลพูดตรงๆ

ปฐวีรู้สึกพอใจแปลกๆ เมื่อสัมผัสได้ถึงอารมณ์คุกรุ่นของพี่ชาย ต้องอย่างนี้สิ...ถึงจะดูเป็นมนุษย์มนากับเขาบ้าง ไม่ใช่ตายด้าน ไร้ชีวิตจิตใจ

“เอาน่า... ห่วงคุณแม่ก็เหมือนห่วงฉันด้วยเหมือนกัน เพราะถ้าคุณแม่องค์ลง ฉันก็โดนลูกระเบิดลงไปด้วย”

ท่าทีคนพูดไม่ได้เดือดร้อนไปตามคำพูด ยังคงมีท่าทีสบายๆ ราวกับไม่รู้ร้อนรู้หนาว ปฐมกาลถอนหายใจอีกระลอก อึ้งที่น้องชายเถไปได้

“ก็แล้วแต่นายจะคิดก็แล้วกัน” ที่สุดเขาไม่รู้จะพูดอะไรดีกว่านั้น

“ใจเย็นๆ น่า ยังไงฉันก็มาให้นายยำแล้ว อยากให้ช่วยอะไรก็บอกแล้วกัน ขอโทษอีกทีที่มาช้า ฉันไม่ตั้งใจจริงๆ”

“คนที่นายสมควรจะขอโทษ นั่งอยู่โน่น ไม่ใช่ฉัน... เตรียมคำแก้ตัว เตรียมตอบคำถามให้ดีๆ เถอะ” ไม่ได้ขู่ แต่เตือนด้วยความหวังดี น้ำเสียงของปฐมกาลราบเรียบพลางเบือนหน้าไปทางมารดาซึ่งนั่งอยู่ฟากตรงข้ามเพื่อบอกเป็นนัยว่าหมายถึงใครที่น้องชายควรขอโทษ คุณพุดซ้อนผงกศีรษะขึ้นรับในทันทีราวกับมีเรดาร์จับสัญญาณ เธอมองตรงมาที่ปฐวีราวกับเพิ่งรับรู้ถึงการมาถึงของบุตรชายคนรอง

คุณพุดซ้อนส่งสายตาพิฆาตให้ปฐวี ก่อนถามเสียงต่ำๆ เย็นๆ ในลำคอว่า “ทำไมแกถึงเพิ่งมานายวี ฉันสั่งให้แกมาโรงพยาบาลตั้งแต่ ๓ ชั่วโมงที่แล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงเพิ่งเสด็จมาตอนนี้”

แววตาปฐวีวูบไหวกับน้ำเสียงเกรี้ยวกราดและแดกดันของคุณพุดซ้อน ไม่บ่อยครั้งนักที่มารดาจะพูดด้วยแรงอารมณ์แบบนี้ ที่ผ่านมาถึงจะโกรธมากแค่ไหน ก็เป็นไปในลักษณะกระทบกระเทียบที่ไม่จริงจังนัก แต่มาหนนี้เขาสัมผัสได้ถึงความรู้สึกโกรธจริงจังของผู้เป็นแม่และเธอก็มีเหตุผลมากพอที่จะโกรธเขาด้วย

“ผมขอโทษ ผมไปรับเจ้าทองม้วนที่คอนโดฯ เพื่อน ไม่รู้เลยว่าอาการคุณพ่อจะทรุดคืนนี้ ผมขอโทษครับ” ปฐวีเล่าตรงๆ เขากล่าวคำขอโทษด้วยความรู้สึกจริงจัง กับพี่ชายเขาอาจเก็บความรู้สึกได้เก่ง แต่กับมารดา เมื่อมาเห็นน้ำตาของเธอ ทำให้เขาไม่อาจทำเฉยได้อีกต่อไป ทองม้วนเหมือนรับรู้ถึงความเสียใจของเขา มันผงกหัวขึ้นมาเลียปลายคางราวกับต้องการปลอบโยน ปฐวีลูบตัวมันไปมาอย่างรู้สึกขอบคุณอยู่ในใจ ทองม้วนร้องเหมียวๆ ตอบรับอย่างพอใจ

คุณพุดซ้อนไม่ได้รู้สึกสงสารกับสีหน้าที่สลดลงของลูกชาย เธอเม้มริมฝีปากแน่นจนเป็นเส้นตรง แล้วสะบัดหน้าหนีภาพที่ลูกชายกำลังลูบตัวทองม้วนไปมา...แมววิเชียรมาศ สัตว์เลี้ยงที่ลูกชายเธอโปรดปรานและเห็นว่ามีความสำคัญกว่าพ่อ! แล้วแบบนี้จะไม่ให้เธอแค้นลูกชายคนนี้ได้อย่างไร คุณพุดซ้อนนึกอย่างเจ็บช้ำน้ำใจ เธอกล้ำกลืนก้อนสะอื้น พูดเสียงแข็งๆ ว่า

“ในเมื่อแกเห็นสัตว์ดีกว่าพ่อ ก็ไม่ควรมาที่นี่”

เสียงราวกับฟ้าผ่าของคุณพุดซ้อน ทำให้ทั้งปฐมกาลและปานวาดมองอย่างตกใจ ขณะที่ปฐวีหน้าซีด แววตาหวั่นไหววูบหนึ่งก่อนเลือนหายเป็นปกติดังเดิม ปานวาดมองรอบตัวเลิ่กลั่ก หวั่นใจว่าจะมีใครมาได้ยินบ้างหรือไม่ โชคดีที่ชั้นบนสุดแห่งนั้น เป็นชั้นส่วนตัวของคนในครอบครัวสุขารมณ์ซึ่งมีความเป็นส่วนตัวสูง ฉะนั้นจึงมีเพียงทีมแพทย์และพยาบาลที่ดูแลบิดาเธอเท่านั้น ที่สามารถเดินเข้าออกบริเวณนั้นได้

“คุณแม่คะใจเย็นๆ...” ปานวาดร้องปรามมารดา

แต่ดูเหมือนจะดังไม่มากพอ เพราะน้ำเสียงเกรี้ยวกราดของคุณพุดซ้อนดังกลบเสียงเธอและมารดากล่าวต่อไปว่า “แกเห็นสัตว์สำคัญกว่าพ่อแกได้ยังไงกันนายวี นี่พ่อบังเกิดเกล้าของแกนะ...แกเป็นลูกประสาอะไรกัน”

ปฐมกาลและปานวาดหน้าเผือดสีอีกเท่าตัวกับคำตำหนิรุนแรงของมารดา คงมีเพียงเจ้าตัวที่ยังคงรักษาสีหน้าราบเรียบไว้ได้ ทั้งปฐมกาลและปานวาดหันไปมองปฐวีอย่างห่วงใยความรู้สึก แต่คราวนี้คนทั้งคู่ไม่พบแววตาหวั่นไหวใดๆ บนใบหน้าหล่อเหลาปานเทพบุตรนั่นอีกแล้ว แววตาของปฐวีสงบเยือกเย็นราวกับท้องฟ้าไร้ซึ่งเมฆฝนใดๆ ปานวาดเริ่มห่วงใยความรู้สึกของพี่ชาย เธอไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่

ปฐวีตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ผมไม่ได้เห็นทองม้วนสำคัญกว่าคุณพ่อ เพียงแต่ผมคิดว่าที่นี่ยังมีพี่กาลดูแล ผมตั้งใจแค่แวะไปรับเจ้าทองม้วนไปเก็บไว้ที่คอนโดฯ แล้วจะรีบมาโรงพยาบาล” ปฐวีลูบลำตัวสัตว์เลี้ยงไม่ให้ตื่นตัวจากน้ำเสียงเกรี้ยวกราดของคุณพุดซ้อนก่อนหน้านี้ ราวกับมันมีสัญชาตญาณรับรู้ว่าไม่เป็นที่ต้องการของมารดาเขา และราวกับมันรับรู้ถึงความรู้สึกเศร้าเสียใจของผู้เป็นเจ้าของ ทองม้วนร้องเหมียวๆ แล้วผงกหัวเลียปลายมือเขาราวกับต้องการปลอบโยนและให้กำลังใจแก่กันและกัน

คุณพุดซ้อนมองภาพนั้นอย่างขยะแขยง เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงเด็ดขาดว่า “เอาแมวของแกของไปจากโรงพยาบาลนะนายวี...เดี๋ยวนี้เลย แกรู้ไม่ใช่เหรอว่าคุณพ่อแพ้กลิ่นสาบสัตว์ทุกชนิด”

“ผมขอโทษ ผมรีบมาที่โรงพยาบาลเลยไม่ได้แวะส่งทองม้วนที่คอนโดฯ” ยังคงชี้แจงด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“เอามันไปเก็บไว้ในรถหรือจะที่ไหนก็แล้วแต่ เรื่องของแก แต่ต้องไม่ใช่ในโรงพยาบาลนี่ แกอ่านกฎของโรงพยาบาลไม่ออกหรือไง ห้ามนำสัตว์ทุกชนิดเข้ามาในโรงพยาบาลแห่งนี้ หรือแกคิดว่าแกเป็นลูกหลานของตระกูลสุขารมณ์แล้วจะแหวกกฎยังไงก็ได้ อย่าเชียวนะ...อย่าคิดว่าเป็นลูกหลานของตระกูลสุขารมณ์แล้ว จะมีอภิสิทธิ์เหนือคนอื่น”

ยิ่งพูดอารมณ์ของคุณพุดซ้อนก็ยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ส่วนหนึ่งเกิดจากความเครียดที่เกิดจากความกังวลในอาการป่วยของคุณปิยชาติ ลูกๆ ทุกคนเข้าใจดี จึงไม่มีใครว่าอะไร

ปฐวียังคงตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ผมไม่เคยคิดแบบนั้น ผมอาจผิดพลาดที่คาดการณ์ผิด ผมไม่คิดว่าอาการของคุณพ่อจะแย่ลงในคืนนี้ ถ้ารู้ผมคงรีบมาที่นี่โดยไม่แวะที่อื่น แต่นั่นยังไงก็ไม่ใช่เหตุผลที่คุณแม่จะเกรี้ยวกราดฉุนเฉียวถึงขนาดนี้ ที่พูดไม่ได้ห่วงตัวเอง แต่ห่วงคุณแม่ กลัวว่าความดันขึ้น เกิดต้องล้มหมอนนอนเสื่อไปด้วยอีกคน จะลำบาก”

“อ๊...” คุณพุดซ้อนอ้าปากค้าง โกรธจนพูดไม่ออก “อย่ามาแช่งฉันนะนายวี ฉันจะว่าแกยังไงดีนี่ถึงจะทำให้แกสำนึกได้” ปากคอสั่นด้วยความโกรธ

“ก็...”

แต่ปฐวีไม่มีโอกาสแย้ง เมื่อปานวาดไม่เปิดโอกาสให้เขาพูดจนจบ น้องสาวพูดแทรกขึ้นว่า

“พี่วีคะคุณแม่คะ วาดขอเถอะค่ะ หยุดเถียงกันเถอะนะคะ” ไม่แค่พูดอ้อนวอน แต่ปาดวาดยกมือไหว้บุคคลทั้งคู่ด้วย เธอพูดต่อว่า “วาดไม่อยากให้เรื่องราวลุกลามใหญ่โตไปมากกว่านี้ แค่นี้เราก็มีเรื่องให้เครียด ให้ทุกข์ ให้กังวลไม่สบายใจมากพออยู่แล้วนะคะ อย่าหาเรื่องเครียดเพิ่มเติมอีกเลยค่ะ วาดขอร้องอย่าทำให้พวกเราทุกคนทุกข์กันไปมากกว่านี้อีกเลย” แล้วเธอก็หันมาทางมารดาที่นั่งข้างๆ “คุณแม่คะ...อย่าโมโหพี่วีไปเลยนะคะ วาดขอร้อง โมโหไปตอนนี้ก็ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น รังแต่จะทำให้สถานการณ์แย่ลงไปทุกที ตอนนี้เราควรมาคิดอ่านว่าจะช่วยคุณพ่ออย่างไรดี ไม่ดีกว่าหรือคะ?” ถามเสียงอ่อนๆ ในตอนท้าย แต่เธอได้รับกิริยาเม้มริมฝีปากแน่นพร้อมสะบัดหนีจากผู้เป็นมารดาแทนคำตอบ แต่ปานวาดไม่สนใจเธอหันไปทางพี่ชายคนรอง กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนๆ ปานกันว่า

“พี่วีด้วยอีกคน วาดขอร้องเถอะนะคะ อย่ายั่วอะไรคุณแม่ตอนนี้เลย ท่านเครียดจากเรื่องของคุณพ่อมามากพอแล้ว ตอนที่พี่วียังมาไม่ถึง พี่ไม่รู้หรอกว่าอาการของคุณพ่อย่ำแย่แค่ไหน อาหมอบอกว่าคุณพ่ออาจจะเอ่อ...ไม่ผ่านคืนนี้” น้ำเสียงตอนท้ายแผ่วต่ำ ปานวาดกล้ำกลืนก้อนสะอื้น ปาดน้ำตาด้วยหลังมือ พูดต่อว่า “อาหมอบอกว่าคุณพ่อไม่ได้สติ หัวใจหยุดเต้นเป็นพักๆ เมื่อไหร่ที่ปั๊มหัวใจกลับมาได้ คุณพ่อก็จะมีอาการเพ้อ พูดถึงแต่เรื่องวิญญาณ อาหมอให้ยาอะไรไปก็ไม่สามารถระงับอาการเพ้อได้ อาหมอบอกว่าทีมแพทย์เก่งๆ ของโรงพยาบาลเรา เราระดมมาหมดแล้ว แต่ก็ไม่มีใครสามารถวิเคราะห์อาการเจ็บป่วยของคุณพ่อได้ อาหมอบอกว่าจนปัญญา ไม่รู้ว่าจะรักษายังไงดี เพราะฉะนั้นถ้าไม่พ้นคืนนี้ เราอาจจะต้องสูญเสียท่าน” ถึงตอนนี้หยาดใสๆ ก็พร่างพรูอย่างไม่อาจสะกดกลั้นได้อีกต่อไป คุณพุดซ้อนหันไปโอบบ่าลูกสาว กลั้นเสียงสะอื้น เธอกอดลูกสาวแนบแน่นพลางพร่ำปลอบโยน ขณะที่ปฐวีซึ่งเพิ่งรับรู้อาการเจ็บป่วยของบิดาโดยละเอียดเป็นครั้งแรก ถึงกับช็อกอย่างเห็นได้ชัด เขาพูดอะไรไม่ออก ใบหน้าเผือดสีจนปฐมกาลซึ่งนั่งติดกันรู้สึกห่วงใย เขาเอื้อมมือมาบีบกระชับมือของน้องชาย พลางปลอบเบาๆ ว่า

“ไม่ใช่ความผิดของนาย การที่นายมาช้าหรือเร็ว ก็ไม่ได้เกี่ยวกับอาการป่วยของคุณพ่อ เพราะงั้นอย่าไปคิดไร้สาระอะไรแบบนั้นเด็ดขาด” ปฐมกาลพูดดักคอน้องชาย เขาเองสภาพจิตใจไม่ได้ดีกว่าทุกคน ย่ำแย่พอกันเพียงแต่เขาอาจเก็บความรู้สึกได้เก่งกว่า...แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาจะรู้สึกเสียใจน้อยกว่าทุกๆ คน

ปฐวียกมือลูบหน้า รู้สึกโหวงๆ ในอกอย่างที่พูดไม่ออก แม้ที่ผ่านมาเขากับบิดาจะเป็นไม้เบาไม้เมากัน เขาแกล้งขัดใจคุณปิยชาติในหลายๆ เรื่อง แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่รักบิดา ตรงกันข้ามเขารักและเทิดทูน ยกย่องท่านเป็นไอดอลในการทำงาน เพียงแต่เขาอาจเป็นคนขวางโลก จึงมีวิธีแสดงออกในทางตรงกันข้าม ปานวาดพูดถูก ตอนนี้ครอบครัวของเขาจะต้องสามัคคีเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ไม่ใช่มาทะเลาะทุ่มเถียงหรือยั่วโทสะให้โกรธกันแบบนี้... ปฐวีนึกในใจอย่างรู้สึกผิดระคนยอกแสยง ได้แต่หวังว่าทุกอย่างจะยังไม่สายเกินไป

ปานวาดปาดน้ำตาด้วยหลังมือแล้วว่า “เห็นไหมคะว่าพวกเรามีเรื่องเครียดกันมากแค่ไหน เพราะงั้นอย่ามามัวทะเลาะกันเลยค่ะ”

“แม่ไม่ทะเลาะอีกแล้วลูก ไม่ต้องคิดมากนะ วาดพูดถูกแม่คงเครียดกับเรื่องของคุณพ่อมากเกินไป” คุณพุดซ้อนพูดเสียงเครือ

“ไม่เป็นไรค่ะคุณแม่ มันผ่านไปแล้ว” ปานวาดยิ้มทั้งน้ำตาให้ผู้เป็นมารดา หันไปทางปฐวีแล้วว่า “พี่วีก็เหมือนกัน พี่ช่วยเอาเจ้าทองม้วนไปเก็บไว้ที่ไหนสักแห่งได้ไหมคะ จะในรถหรือจะที่ไหนก็แล้ว เพราะคุณพ่อแพ้กลิ่นสาบสัตว์มาก วาดไม่อยากให้คุณพ่อเสี่ยงอาการทรุดไปมากกว่านี้ อีกอย่างถ้าใครมาเห็นว่าลูกชายของเจ้าของโรงพยาบาลทำผิดกฎเสียเอง มันจะดูไม่งาม”

ปฐวีส่งยิ้มเซียวๆ ให้น้องสาว “พี่ขอโทษ วาดพูดถูก เดี๋ยวพี่เอาทองม้วนไปเก็บในรถก็แล้วกัน”

“เดี๋ยววาดไปเป็นเพื่อนคะ” ปานวาดขันอาสา ไม่รอให้พี่ชายปฏิเสธ เธอผุดลุกเดินตามปฐวี โดยมีสายตาของคุณพุดซ้อนและปฐมกาลมองตามตลอดเวลา

“ตามพี่มา มีเรื่องจะพูดกับพี่หรือเปล่า” ปฐวีดักคอขณะเดินเคียงคู่กันไปทางอาคารจอดรถ

“พี่วีรู้ใจน้องเสมอ”

ปฐวียิ้มแทนคำตอบ

ปานวาดพูดต่อว่า “แต่ก่อนจะพูดเรื่องธุระ วาดอยากขอโทษแทนคุณแม่ก่อนค่ะ ที่คุณแม่โกรธพี่วีมาก เพราะคุณแม่ไล่ให้พี่กาลกลับไปบ้าน เพราะเข้าใจว่าพี่วีจะมาโรงพยาบาลเร็ว แต่ปัญหาคือ ระหว่างที่พี่กาลกลับไปบ้าน อาการของคุณพ่อก็เกิดทรุดหนัก คุณแม่พยายามโทร.ตามพี่ แต่ติดต่อไม่ได้ คุณแม่โทร.บอกพี่กาลและวาดให้มาโรงพยาบาลด่วน และวานพวกเราให้ช่วยโทร.ติดต่อพี่” ปานวาดถอนหายใจแผ่วเบา กล่าวต่อว่า “คุณแม่คงไม่โกรธมากขนาดนี้ถ้าเหตุผลที่พี่มาช้าไม่ใช่เพราะแวะไปรับทองม้วน พี่น่าจะบอกเหตุผลอื่น จะโกหกอะไรก็ได้ แต่ไม่ใช่บอกเรื่องแมวนี่”

คนเป็นพี่ถอนหายใจแล้วว่า “พี่ผิดเอง ยั่วคุณแม่ไม่ถูกเรื่อง พี่กาลเตือนพี่แล้วไม่ให้พูดเรื่องนี้ แต่พี่ก็ไม่ฟังเอง” ถอนหายใจอีกระลอกแล้วว่า “ช่างมันเถอะ เรื่องผ่านไปแล้ว พี่คงแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว หนนี้พี่ยอมรับว่าพี่ผิดจริงๆ ว่าแต่...วาดมีเรื่องอะไรจะคุยกับพี่ มาคุยธุระของวาดกันเถอะ”

ปานวาดไม่ทันพูด เมื่อสัตว์ตัวโปรดของพี่ชายส่งเสียงเหมียวๆ เรียกร้องความสนใจขึ้นก่อน ทองม้วนตัวอ้วนกลมปุ๊กพาดอยู่เหนือบ่าพี่ชายอย่างเชื่อง ดูเหมือนมันจะติดพี่ชายเธออย่างมาก ปานวาดมองเขม่นตัวต้นเหตุที่ทำให้เกิดรอยร้าวในครอบครัวแล้วถอนหายใจ มันคงไม่รู้อีโหน่อีเหน่ แต่นั่นล่ะเธอก็อดหมั่นไส้มันไม่ได้ ใจคิดแต่ปากพูดไปอีกเรื่องว่า

“ตอนพี่ยังไม่มา เราปรึกษากันว่าอาจจะจำเป็นต้องโทร.ไปตามผู้หญิงคนนั้น”

“ผู้หญิงคนนั้น? หมายถึงคนไหน” ปฐวีขมวดคิ้ว หันมาถามน้องสาว

“ก็แม่อัปสรอะไรนั่นไงคะ เราปรึกษากันแล้วว่าตอนนี้มันเป็นทางเลือกสุดท้ายจริงๆ นางฟ้านั่นเป็นฟางเส้นสุดท้ายของเรา จึงต้องคว้าเอาไว้” แม้กำลังคิดจะขอความช่วยเหลือ แต่ปานวาดอดกระแหนะกระแหนเปรียบเปรยหญิงสาวไม่ได้ ก็มีอย่างที่ไหนหน้าตาอัปลักษณ์ แต่ชื่อนางฟ้า ปานวาดกล่าวต่อว่า “ขืนรอถึงพรุ่งนี้ ทุกอย่างอาจสายเกินไป อาจไม่ทันการณ์ เราก็เลยปรึกษากันว่าจะโทร.ตามผู้หญิงคนนั้นในคืนนี้เลย”

“เรานี่หมายถึงใคร?”

“ก็ทั้งวาด คุณแม่และพี่กาล เราเห็นตรงกันค่ะ”

“อ้อ...” พึมพำรับรู้ ถามต่อว่า “แล้วโทร.ไปหรือยัง”

“ยังค่ะ”

“แล้วทำไมยังไม่โทร. ติดขัดอะไร? หรือว่าคุณแม่ยังทำใจยอมรับเรื่องที่หล่อนขอแต่งงานกับพี่กาลไม่ได้”

“ก็นั่นแหละค่ะคือปัญหา คุณแม่ยังกระอักกระอ่วนเรื่องนี้ เลยยังรีๆ รอๆ ไม่โทร.หาหล่อนนี่แหละค่ะ”

“แล้วมาบอกพี่ทำไม? ธุระของวาดแค่จะเล่าเรื่องนี้ให้พี่ฟังนี่นะ?” ปฐวียังตามน้องสาวไม่ทัน

“คือวาดจะถามพี่ว่า พี่คิดยังไงกับเรื่องนี้ พี่คิดว่าเราควรยอมรับเงื่อนไขของหล่อนดีไหมคะ พี่คิดว่าผู้หญิงคนนั้นจะหลอกลวงเราไหม หรือเราควรจะเสี่ยงเชื่อหล่อนดีไหม?”

“พี่เข้าใจความคิดของวาดกับคุณแม่นะ เข้าใจว่าหล่อนเป็นความหวัง เป็นฟางเส้นสุดท้ายที่อาจจะช่วยคุณพ่อได้ ก็เลยอยากลองเสี่ยงดู ก็ไม่แปลกหรอก”

“แล้วพี่คิดว่าหล่อนจะช่วยเราได้ไหมคะ”

“ไม่รู้สิ พี่ไม่เคยเชื่อเรื่องพวกนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เพราะงั้นในความเห็นพี่ พี่ไม่สนับสนุนให้งมงายหรอก”

“แล้วถ้าคุณพ่อเป็นอะไรขึ้นมาล่ะ วาดยังไม่พร้อมรับความสูญเสียนะคะ วาดยังอยากเสี่ยง”

“ไม่มีใครยอมรับได้ทั้งนั้นแหละวาดกับความตาย เราหนีกฎแห่งกรรมได้เหรอ?”

“แต่ถ้าผู้หญิงคนนั้นช่วยได้ ทำไมเราไม่เสี่ยงดูละคะ?”

“ก็ถ้าวาดตัดสินใจแบบนั้นไปแล้ว วาดจะมาถามความเห็นพี่ทำไม?”

ปานวาดยิ้มเหยเก ตัดสินใจเข้าประเด็นหลังจากขี่ม้าเลียบเมืองมานาน“คืองี้นะคะ ประเด็นคือคุณแม่อยากเสี่ยงให้ผู้หญิงคนนั้นมาช่วยคุณพ่อ แต่ติดเรื่องเงื่อนไขที่ต้องให้พี่กาลเป็นคนแต่งกับหล่อนนี่แหละ เพราะงั้นคุณแม่เลยวานวาดให้มาช่วยพูดกับพี่ ให้มาถามพี่ว่าพี่จะสะดวกไหมถ้าครอบครัวเราจะโทร.ไปขอหล่อน... ขอให้เปลี่ยนตัวเจ้าบ่าวจากพี่กาลมาเป็นพี่แทน ถ้าพี่ตกลง...คุณแม่ก็จะให้พี่กาลโทร.ไปหาหล่อนคืนนี้เลย”


………………………………..








Create Date : 22 มีนาคม 2557
Last Update : 22 มีนาคม 2557 10:27:23 น.
Counter : 1213 Pageviews.

8 comments
  
ฉากนี้ยาวชดเชยฉากที่แล้วค่ะ แต่อ่านแล้วจะยิ่งค้างกว่าเดิมไหมเนี่ย >_<
โดย: คณิตยา วันที่: 22 มีนาคม 2557 เวลา:1:17:03 น.
  
แหมอยากเห็นหน้าปฐวีจังจะเป้นไงหนอคงจะอ้าปากค้าง ตาโต ลิ้นแข็ง พูดไม่ออกแน่ 5555
ส่งกำลังใจใหญ่ๆให้คุณอุ๋ยแต่งเรื่องนี้ได้อย่างไม่มีอุปสรรค ความคิดไหลลื่น พุ่งปรู๊ดปร๊าดนะคะ อิอิ
โดย: alanta IP: 49.0.68.121 วันที่: 22 มีนาคม 2557 เวลา:7:07:16 น.
  
ค้างอย่างแรงเลยค่ะ 555 ไม่รู้เป็นอะไรค่ะ อ่านเรื่องนี้แล้วรู้สึกว่าอยากอ่านตอนต่อไปอยู่ทุกครั้งที่จบตอน ทั้งๆ ที่คุณอุ๋ยก็มาลงให้ทุกวันแต่รู้สึกยังไม่พอ สงสัยจะโลภค่ะ
โดย: pantan IP: 58.9.206.139 วันที่: 22 มีนาคม 2557 เวลา:10:07:43 น.
  
ยิ่งอ่านยิ่งลุ้นค่ะ
โดย: สกุล IP: 124.121.124.187 วันที่: 22 มีนาคม 2557 เวลา:11:42:41 น.
  
555555++ เปลี่ยนตัวเจ้าบ่าววว ถูกใจคนอ่านอย่างแรง
มาต่อไวๆๆนะจ๊ะ
โดย: sakeena IP: 124.120.188.69 วันที่: 22 มีนาคม 2557 เวลา:13:08:13 น.
  
คุณ alanta : 55 เป็นไปอย่างที่คุณ alanta คาดค่าอีตาปฐวี อาการหนักกว่านั้นด้วยค่ะ ฮ่าๆๆ ช็อกไปเลย ป.ล.ขอบคุณสำหรับกำลังใจมากๆๆ ค่ะ จะพยายามปั่นให้จบสักเรื่องภายในครึ่งปีนี้ค่ะ ^^

คุณเอ๋ : ขอบคุณมากๆๆค่ะ จัดตามเสียงเรียกร้องแล้วค่า เสิร์ฟตอนใหม่แย้วววววว เร็วกว่าที่ตั้งใจเกือบ 6 ชม.แน่ะ หวังว่าจะไม่อารมณ์ค้างต่อน้าาาาาาาาา

คุณสกุล : ขอบคุณคุณสกุลมากๆๆค่ะ แอบดีใจที่ทำให้คนอ่านลุ้นได้ค่ะ ^^

คุณ sakeena : มาแล้วค่ะตามคำเรียกร้อง เสิร์ฟอย่างด่วนเลยค่ะ คลิกไปอ่านได้เลยค่ะ ^_^
โดย: คณิตยา วันที่: 22 มีนาคม 2557 เวลา:18:21:44 น.
  
นายปฐวีเอ๋ย มัวนอนใจไม่อัพเดตข่าวสารครอบครัวก็งี้ คราวนี้ได้ช็อกหลายระลอกเลย จะปฏิเสธการแต่งงานก็ไม่ได้น้า เพราะเพิ่งเห็นหญิง เห็นแมวดีกว่าพ่อ ตามที่แม่ว่าจริงๆ ยังไง้ ยังไงก็ต้องรับคำแต่งงาน 3 เสียงต่อหนึ่งนะนั่น ไม่รอด!5219

อยากอ่านตอนต่อไปแล้วค่าคุณอุ๋ย อยากรู้ว่าตาปฐวีจะออกอาการกับเจ้าสาวแบบไหนบ้าง
โดย: susi IP: 118.174.218.109 วันที่: 23 มีนาคม 2557 เวลา:8:36:02 น.
  
คุณ susi : คุณกานต์คะ พระเอกเราช็อกตายไปล่ะค่ะ ฮ่าๆๆ และมีคำเฉลยนะคะว่าที่คุณกานต์เดาถูกไหม ^_^
โดย: คณิตยา วันที่: 24 มีนาคม 2557 เวลา:1:06:21 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

คณิตยา
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 26 คน [?]









รู้จักคณิตยา/คีตฌาณ์

ก้าวสู่โลกแห่งการขีดเขียนในปี 2549 มีผลงานเป็นรูปเล่มกับสนพ.ในเครือสถาพรบุ๊คส์ทั้งหมด 11 เล่ม ไล่ตั้งแต่ รหัสทรชน ทางสายหมอก กุหลาบในเปลวไฟ ฝากรัก...ผ่านซีบ็อกซ์ อริ...ที่รัก บอดี้การ์ด รักเพียงฝัน ตามรักข้ามเวลา ไฟรัก บันทึกแห่งรัก(the Book of Love) มิราเบลล์...ตราบคีตาบรรเลง เป็น 1 ในนิยายชุดแด่เธอที่รัก สาปรัก และใต้ปีกรัก

รหัสทรชน เป็นละครทางช่อง 3 เมื่อปี 2554 แสดงโดย เคน และชมพู่ สร้างโดยค่ายยูม่า และ ไฟรัก ได้รับการซื้อลิขสิทธิ์ไปแปลเป็นภาษาเวียดนาม วางแผงเดือนสิงหาคม 2556



พูดคุย ทักทาย แลกเปลี่ยนความเห็น และติดตามความเคลื่อนไหวได้ทาง fb โดยกดไลค์เป็นแฟนเพจได้ทาง https://www.facebook.com/keetacha?ref=hl ขอบคุณค่ะ

---------------


ตอนนี้อุ๋ยทยอยนำนิยายที่หมดลิขสิทธิ์กับพิมพ์คำไปวางจำหน่ายในรูปแบบ E-book บนเว็บ ebooks และเว็บ Mebmarket ค่ะ

ใต้ปีกรัก...ราคาอีบุ๊ก 179 บาท

บันทึกแห่งรัก...ราคาอีบุ๊ก 255 บาท จากราคาปก 310

ไฟรัก...ราคาอีบุ๊ก 279 บาท จากราคาปก 350 บาท

กุหลาบในเปลวไฟ...ราคาอีบุ๊ก 230 บาท



รหัสทรชน ราคาอีบุ๊ก 200 บาท จากราคา 300 บาท 673 หน้า





ทางสายหมอก ราคาอีบุ๊ก 265 บาท จากราคา 280 บาท 690 หน้า



ฝากรัก...ผ่านซีบ็อกซ์ ราคาอีบุ๊ก 125 บาท จากราคา 180 บาท 360 หน้า



รวมเรื่องสั้น...ฉบับวัยหวาน ราคาอีบุ๊ก 45 บาท จากปก 55 บาท



อริ...ที่รัก ราคาอีุบุ๊ก 195 จากปก 240 บาท



หวานใจ...บอดีการ์ด...ราคาอีบุ๊ก 145 บาท จากปก 180 บาท



รักเพียงฝัน...ราคาอีบุ๊ก 225 จากปก 250 บาท



ตามรักข้ามเวลา...ราคาอีบุ๊ก 240 จากปก 270 บาท





















New Comments