Group Blog
 
All blogs
 

ชุดนี้สีอะไร เถียงกันทั่วโลก แท็กฮิตอภิมหาไวรัล #TheDress เสื้อตัวนี้สีอะไร ?



ชุดนี้สีอะไร ? แท็กฮิตอภิมหาไวรัล #TheDress เป็นที่ถกเถียงกันทั่วโลกสำหรับประเด็นว่าเสื้อตัวนี้สี ขาว-ทอง หรือ น้ำเงิน-ดำ กันแน่

วันนี้ (27 กุมภาพันธ์ 2558) กลายมาเป็นประเด็นที่ถกเถียงไปทั่วโลกในขณะนี้ สำหรับคำถามว่า เสื้อตัวนี้สีอะไร ? จนเกิดเป็นแท็กฮิต #TheDress หลังจากที่ชาวเน็ตรายหนึ่งได้ถ่ายภาพดังกล่าวมาเพื่อถามความคิดเห็นของชาวเน็ต จนคำถามดังกล่าวลุกลามกลายมาเป็นที่ถกเถียงของชาวโซเชียลทั่วโลก ว่าแท้ที่จริงแล้ว ชุดกระโปรงที่เห็นในภาพนี้เป็นสี ขาว-ทอง หรือสี น้ำเงิน- ดำกันแน่

          และด้วยมหากาพย์การถกเถียงของชาวเน็ตที่ลุกลามออกเป็นประเด็นใหญ่โตนี่เองที่ทำให้สื่อสำนักใหญ่ ๆ ทั่วโลก ต่างก็มีการตีประเด็นข่าวถึงคำถามสุดฮิตในขณะนี้ โดยสำนักข่าวซีเอ็นเอ็น ได้นำเสนอข่าวในประเด็นดังกล่าว โดยเตือนให้ชาวเน็ตระวังคำตอบของตัวเองไว้ให้ดี เพราะความเห็นที่ไม่ตรงกันอาจนำไปสู่ความสัมพันธ์ร้าวฉานได้เลยทีเดียว ดังเช่นที่ผู้ใช้ทวิตเตอร์รายหนึ่งถึงกับบอกเลยว่าครอบครัวของเธอเถียงกันจนบ้านแทบแตก

และนอกจากชาวเน็ตทั่วไปแล้วก็ยังมีคนดังอีกหลายรายมาร่วมพูดถึงคำถาม เสื้อตัวนี้สีอะไร ด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นพิธีกรชื่อดังอย่าง เอลเลน ดีเจนเนอเรส หรือแม้แต่นักร้องสาว เทย์เลอร์ สวิฟต์ ก็ออกมาแสดงความไม่เข้าใจในการถกเถียงเรื่องสีเสื้อดังกล่าว ก่อนลงท้ายด้วยการบอกว่า เธอเห็นเป็นสี "น้ำเงิน-ดำ"  ซึ่งจากความสนใจนี้ทำให้ไม่แปลกเลยที่แฮชแท็ก #whiteandgold และ #TheDress จะกลายมาเป็นเทรนฮิตในทวิตเตอร์ไปแล้วตั้งแต่คืนวันที่ 26 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา

          นอกจากนี้เว็บไซต์ยูเอสทูเดย์ ก็ได้ออกมาพูดถึงประเด็นดังกล่าวเช่นกัน โดยเผยว่าเรื่องทั้งหมดเริ่มต้นจากการที่ผู้ใช้ Tumblr ชื่อ Swiked ได้ออกมาตั้งกระทู้ถามว่า "ทุกคนโปรดช่วยฉันหน่อย เสื้อตัวนี้สี ขาว-ทอง หรือ น้ำเงิน-ดำ ? ฉันและเพื่อนเห็นไม่ตรงกันและเราเถียงกันอย่างหนักเลย"

ขณะที่นิตยสารไทม์ เผยว่านอกจากประเด็นดังกล่าวจะกลายมาเป็นที่ถกเถียงกันในระดับโลกแล้ว ยังมีคนบางกลุ่มที่หยิบยกเรื่องดังกล่าวให้กลายมาเป็นประเด็นเรื่องการเมืองด้วย และจากกระแสความฮิตของคำถาม เสื้อตัวนี้สีอะไร ก็ทำให้สื่อต้นฉบับที่ลงข่าวนี้อย่าง Buzzfeed มียอดวิวในระดับทำลายสถิติที่กว่า 20.8 ล้านวิวภายในไม่กี่ชั่วโมง



          อย่างไรก็ตาม นอกจากฝั่งสำนักข่าวใหญ่ ๆ จากต่างประเทศแล้ว ชาวเน็ตไทยก็ได้มีการหยิบยกประเด็นดังกล่าวขึ้นมาพูดถึงในสื่อออนไลน์เช่นกัน ดังเช่นกระทู้ในเว็บไซต์พันทิป "เห็นเดรสนี้ เป็นสีอะไรกันครับ ?" ที่โพสต์โดย สมาชิกหมายเลข 1214962 ซึ่งได้สรุปออกมาว่ามีชาวต่างชาติเห็นชุดในภาพดังกล่าวเป็นสี ขาว-ทอง 74% และ น้ำเงิน-ดำ 26% ในขณะที่ตัวของเขามองอย่างไรก็เห็นเป็นสี น้ำเงิน-ดำ จึงอยากทราบความเห็นจากคนอื่น ๆ ว่าเห็นเป็นสีอะไรกันบ้าง

เช่นเดียวกับสมาชิกพันทิปชื่อ กุลสตรีเมตรครึ่ง ที่ออกมาตั้งกระทู้ "เสื้อตัวนี้สีอะไร" เพื่อเปิดวงให้ชาวเน็ตมาร่วมแสดงความคิดเห็นกันเรื่องสีเสื้อตัวดังกล่าว โดยระบุว่า "ที่ออฟฟิศกำลังเถียงกันจนไม่ได้ทำงานว่า "เสื้อตัวนี้สีอะไร" บ้างว่า สีขาว-ทอง บ้างว่า น้ำเงิน-ดำ ใครเห็นเป็นสีไหนกันบ้างคะ แล้วรู้ไหมว่ามันเป็นเพราะอะไรทำไมถึงเห็นต่างกัน นี่ สงสัยมาก"

          และนั่นก็ทำให้มีชาวเน็ตจำนวนมากเข้ามาตอบคำถามดังกล่าว โดยมีทั้งคำตอบ ขาว-ทอง และ น้ำเงิน-ดำ ขณะที่บางรายก็เข้ามาร่วมไขปริศนาในการเห็นสีที่ต่างกันในแต่ละบุคคลด้วย ดังเช่นคุณ WasTeFul ที่ระบุว่า

"เราสามารถเห็นสีของวัตถุแตกต่างกันก็เพราะ เมื่อให้แสงกระทบผิววัตถุ ปริมาณแสงสะท้อนจากผิววัตถุหรือปริมาณแสงที่ผ่านจากวัตถุเข้าสู่ตามีปริมาณต่างกัน การที่จะเห็นสีที่แท้จริงของวัตถุ วัตถุนั้นจะต้องส่องด้วยแสงสีเดียวกัน หรือมีแสงสีเดียวกันรวมอยู่ด้วย จึงจะมองเห็นวัตถุด้วยสีแท้จริงของมัน และถ้าส่องด้วยแสงแดด จะเห็นสีที่แท้จริงของวัตถุทั้งนี้เพราะแสงแดดประกอบด้วยแสงสีต่าง ๆ ทุกสี ดังนั้นแสงที่มีสีเดียวกับวัตถุจะสะท้อนเข้าสู่ตา

          cr. rmutphysics.com"

          ขณะที่คุณ ธีรนัยน์ ระบุว่า "ตอนนี้ hashtag #TheDress เป็น 1st rank ของ Worldwide Trends ในโลกทวิตเตอร์ค่ะ ต้นปัญหาคือรูปในหัวกระทู้นี่เลย ทั้งหมดเป็นเรื่องของแสงและการรับรู้ของสมอง อย่างตอนแรกเรามองเห็นเป็นสีขาว-ทอง แต่ตอนนี้มองเป็นฟ้า-ดำไปซะแล้ว

          ป.ล. สำหรับคนที่มองเป็น ขาว-ทอง ลองหรี่ตาแล้วมองรูปข้างบนอีกรอบ"

          ทั้งนี้ล่าสุด อ.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก็ได้ออกมาไขข้อสงสัยในประเด็นดังกล่าวแล้วผ่านเฟซบุ๊ก "Jessada Denduangboripant" ดังนี้

"ชุดเดรสนี้ สีอะไร ภาค 2 - ตอน "ชุดเดรส 2 ตัวนี้สีต่างกันหรือไม่ ?"
ต่อเนื่องจากปริศนาเรื่องชุดเดรสสีอะไร ซึ่งผมอธิบายว่าของจริง ๆ นั้นเป็นสีน้ำเงินดำ แต่โดนถ่ายรูปย้อนแสงสีมันเลยเพี้ยนมากลายเป็นสีเหลือบ ๆ ตรงสีน้ำเงินก็ดูอมฟ้า ๆ ขาว ๆ ตรงสีดำก็ดูอมทอง ๆ น้ำตาล ๆ ... และผมก็บอกไปสั้น ๆ ใน ป.ล. แล้วด้วยว่า สายตาคนเราแต่ละคนนั้นจะมองเห็นสีต่าง ๆ ไม่ได้เหมือนกัน 100% อยู่แล้ว ไม่แปลกอะไร


          ทีนี้มาขยายต่อถึงความน่าสนใจจำเพาะของรูปนี้ คือ ที่เถียง ๆ กันอยู่ว่าชุดสีอะไรนั้น มันเกี่ยวข้องกับตาของเราแต่ละคนเองด้วยว่า มีการปรับค่าสีของแสงไปในทิศทางใด เมื่อเห็นภาพที่มีฉากหลังเป็นแสงขาวสว่าง ๆ

          ในธรรมชาติ แสงแดดนั้นมีการเปลี่ยนแปลงค่าสีอยู่ตลอดเวลา เช่น ออกสีแดงชมพู ๆ ตอนเช้ามืด ออกสีฟ้า ๆ ตอนเที่ยง และสีแดงจัดตอนอาทิตย์ตก สายตาของคนเรานั้นจะพยายามปรับค่าสีของแสง ชดเชยให้ถูกต้องมากขึ้นจะได้เห็นภาพต่าง ๆ ที่สีสันไม่ผิดเพี้ยน

          ทีนี้คนเราแต่และคนก็จะมีความแตกต่างกันในการปรับค่าสี ตาบางคนก็ชดเชยค่าสีฟ้า ซึ่งจะทำให้เขามองเห็นชุดเดรสนี้เป็นสีขาวสลับทอง ขณะที่ตาบางคนก็ชดเชยค่าสีทอง ซึ่งจะทำให้เค้ามองเห็นเป็นสีน้ำเงินสลับดำ

ที่ยิ่งกว่านั้นคือ ภาพชุดเดรสนี้อยู่บนพื้นหลังที่ออกไปทางสีขาวสว่าง ซึ่งทำให้ตาของเราต้องชดเชยค่าสีของแสงมากขึ้นไปอีก ถ้าภาพชุดเดรสไปอยู่บนพื้นหลังที่สีดำ ภาพที่ตาของเรามองเห็นก็จะเข้าสู่ค่าความเป็นจริงมากขึ้น

          ดังนั้น ลองจ้องดูรูปที่ผมทำข้างล่างนี้ ทีละข้าง ข้างละนาน ๆ หน่อย ... หลายคนน่าจะรู้สึกได้ว่าชุดเดรสที่เห็นในด้านซ้ายและด้านขวานั้นสีไม่เหมือนกัน ... ทั้ง ๆ ที่มีภาพเดียวกันแท้ ๆ ฮะฮะฮะ

          (ปล. ถ้าเปลี่ยนฉากหลังแล้วยังไม่ช่วย ก็ลองหรี่ตาหยี ๆ ดูภาพครับ น่าจะเห็นโทนสีน้ำเงินดำ ชัดขึ้นครับ) เรียบเรียงบางส่วนจาก wired.com"

          ล่าสุด Roman แบรนด์เสื้อเจ้าของชุด #TheDress ได้ออกมายืนยันแล้วว่า ชุดดังกล่าวจริง ๆ แล้ว เป็นสีน้ำเงิน-ดำ อย่างแน่นอน โดยทางร้านได้เผยผ่านทวิตเตอร์ @romanoriginals ว่า "We can confirm #TheDress is blue and black! We should know!"


***หมายเหตุ : อัพเดทข้อมูลล่าสุดเมื่อเวลา 19.41 น. วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2558


thedress




 

Create Date : 02 มีนาคม 2558    
Last Update : 2 มีนาคม 2558 19:43:30 น.
Counter : 1638 Pageviews.  

15 สิ่งที่ต้องเลิก ถ้าอยากมี “ความสุข” โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อ #5 !

Luminita Daniela Saviuc คือนักเขียนที่มักมีผลงานแนวให้กำลังใจผู้คน และสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้อ่านเสมอๆ และวันนี้ Kiitdoo ขอเอารายการ 15 สิ่งที่เธอเคยลิสต์ไว้เพื่อบอกว่า ถ้าคุณกำจัดสิ่งเหล่านี้ออกไปได้ คุณจะมี “ความสุข” มากขึ้นเยอะเลยทีเดียว มาฝากกัน

คือจะบอกว่า บางทีนะ เราก็ยึดติดในหลายๆ สิ่งมากเกินไปจนทำให้เรามีความทุกข์ เครียด หรือเจ็บปวด แทนที่เราจะปล่อยให้ตัวเราเองมีความสุข เราก็ไม่ยอมทำมัน แต่ช่างอดีตมันไปเถอะ ตั้งแต่วันนี้ เราจะเริ่มต้นกันใหม่ ด้วยการทะยอยกำจัดสิ่งเหล่านี้ออก ถ้าพร้อมแล้ว ก็ไปดูกันเลย ว่ามีอะไรบ้าง!

1. ขจัดความคิดที่ว่า “เราต้องถูกไปทุกอย่าง”

อยากจะบอกว่า หลายๆ คนเป็นแบบนี้ คือ ไม่ยอมที่จะเป็นคนที่ผิดเลยซักครั้งเดียว เชื่อว่าตัวเองถูกเสมอ และปล่อยให้หลายๆ อย่างต้องพังลง เพียงเพราะว่าเราต้องเป็นฝ่ายถูก อย่างเช่นเรื่อง คู่ครองหรือความรัก ลองถามตัวเองซักนิดก่อนที่คุณจะทะเลาะกับอีกคนเพื่อยืนยันว่าเราถูก ว่ามันคุ้มแล้วหรอที่จะทำแบบนี้ ถ้าทำแล้ว มันจะทำให้อะไรๆ ดีขึ้นจริงๆ หรือเปล่า ลองคิดดูดีๆ ดังเช่นที่ Wayne Dyer กล่าวไว้ว่า ทุกครั้งที่จะทะเลาะกับใคร เขาฉุกคิดกับตัวเองเสมอว่า “Would I rather be right, or would I rather be kind?”

2. ขจัดความคิดที่ว่า “เราต้องเป็นคนควบคุมทุกอย่าง”

ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น บางทีมันก็อยู่เหนือความควบคุมของเราไปบ้าง เพราะถ้าหากว่าเรามีความคิดอยู่ในหัวว่า ทุกอย่างต้องควบคุมได้ แต่พอจริงๆ มันไม่ใช่ขึ้นมา คุณก็จะทุกข์ เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม ถ้าคุณทำดีที่สุดแล้ว ก็ปล่อยมันไปอย่างที่มันเป็น อย่าคิดมาก แล้วคุณจะมีความสุขเยอะขึ้นมากเลย เชื่อสิ!

“By letting it go it all gets done. The world is won by those who let it go. But when you try and try. The world is beyond winning.”
– Lao Tzu

 

 

3. ขจัดความคิดที่ว่า “เราต้องตำหนิคนอื่นไว้ก่อน”

จำไว้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น มันมาจากการกระทำของเราเองทั้งนั้น และถ้าเรามัวแต่โทษคนอื่น หรือสิ่งภายนอกทั้งหลาย ที่ทำให้เราเป็นแบบนู้น หรือแบบนี้ เราก็จะไม่มีวันมีความสุขหรอก

4. ขจัดนิสัย “มองตัวเองในแง่ลบ หรือ มองค่าตัวเองต่ำไป”

บางทีคนเราก็คิดว่า การมองแต่ข้อดีของตัวเอง อาจทำให้ตัวเองเหลิง หรือไม่ประสบความสำเร็จ เพราะจะทำให้เราไม่พัฒนา แต่บางคนก็มากไป ที่ไม่เคยมองข้อดีของตนเองเลย มองแต่ข้อเสีย และมองค่าตัวเองต่ำเกินไป ทำให้ในทุกๆ วันคุณไม่รู้สึกดีกับตัวเองเลยซักนิด จำไว้นะว่า บางทีเราอาจจะดีกว่าสิ่งที่เราคิดว่าตัวเราเป็น ก็เป็นได้

“The mind is a superb instrument if used rightly. Used wrongly, however, it becomes very destructive.”
– Eckhart Tolle

 



5. ขจัด “ลิมิตความเชื่อ” ของคุณเอง

บางทีเราก็ลิมิตความคิดของเรามากเกินไปว่า เราทำอะไรได้ เราทำอะไรไม่ได้ เรื่องนี้เป็นไปได้ เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้ เพราะความคิดเหล่านี้แหละที่จะทำให้คุณย่ำอยู่กับที่ และไม่ได้ใช้ศักยภาพของคุณอย่างเต็มที่ เพราะฉะนั้น อย่าหยุดฝัน และไม่มีอะไรหรอก ที่เป็นไปไม่ได้

“A belief is not an idea held by the mind, it is an idea that holds the mind”
– Elly Roselle

 



6. ขจัดนิสัย “ขี้บ่น”

หยุดบ่นกับทุกสิ่งที่ไม่ถูกใจคุณ จำไว้ว่า ไม่มีอะไรที่ทำให้คุณทุกข์ได้ นอกจากตัวคุณเองที่ปล่อยให้ความรู้สึกคุณเป็นแบบนั้น ลองปรับมุมมองกับสิ่งรอบตัว และคิดบวก บางทีมันอาจจะไม่ถูกใจคุณร้อยเปอร์เซ็นต์หรอก แต่คุณจะมีความสุขขึ้นเยอะเลย

7. ขจัดนิสัย “ชอบวิพากษ์วิจารณ์ไปทุกอย่าง”

บางทีเราเห็นอะไรที่แตกต่างไปจากตัวเรา ปฏิบัติแตกต่างไปจากสิ่งที่เราปฏิบัติ ก็อดที่จะวิพากษ์วิจารณ์สิ่งเหล่านั้นไม่ได้ แต่ถ้าคุณทำใจได้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้ไม่มีอะไรที่เหมือนกันเลย ทุกคนเกิดมาแตกต่างกัน แต่ทุกคนเกิดมาอยากมี “ความสุข” เหมือนๆ กัน แล้วคุณก็จะรับได้ในความแตกต่างนั้นๆ ไปโดยปริยาย

8. ขจัดนิสัย “ต้องเอาใจคนอื่นเสมอ”

เลิกพยายามทำตัวให้คนอื่นๆ มาชอบคุณ โดยที่คุณไม่เป็นตัวของคุณเอง จำไว้นะ การที่คนๆ หนึ่งจะรู้สึกดีกับคุณ มันไม่ได้เกิดจากความพยายามแบบนั้นหรอก แต่เมื่อคุณถอดหน้ากากของคุณออกหมดต่างหากละ ถ้าคุณยอมรับในตัวตนของคุณเองได้ คนอื่นๆ ก็จะยอมรับคุณได้เอง เชื่อสิ


9. ขจัดนิสัย “ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง”

ความเปลี่ยนแปลง ถ้ามันมีเพื่อเปลี่ยนไปสู่สิ่งที่ดีขึ้น สิ่งที่ทำให้คุณก้าวไปข้างหน้า ก็อย่าดื้อรั้นที่จะไม่ยอมเปลี่ยนเลย บางทีคุณก็เพียงรู้สึกว่าคุณสบายในจุดที่คุณอยู่อยู่แล้ว แต่ใครจะไปรู้บางทีนั่นอาจจะไม่ใช่ความสุขที่แท้จริงก็ได้ และหนทางข้างหน้า อาจจะนำคุณไปสู่ความสุขในแบบที่คุณไม่เคยพบมาก่อนในชีวิต

“Follow your bliss and the universe will open doors for you where there were only walls”
– Joseph Campbell

 



10. ขจัดนิสัย “ดูถูกคนอื่น”

บางคน เวลาเจออะไรที่ไม่รู้จัก และไม่เหมือนกับตน ก็ไม่ทำความเข้าใจ และจัดกลุ่มคนเหล่านั้น หรือสิ่งเหล่านั้น ไว้อีกกลุ่มที่คุณจะไม่เสวนา หรือสังสรรค์ด้วย หลายคนอาจจะบอกว่ามันไม่ใช่การดูถูกนะ แต่จริงๆ มันก็ใช่นั่นแหละ เพราะคุณไม่เคารพในคุณค่าของสิ่งๆ นั้น หรือคนเหล่านั้นเพียงพอที่คุณจะยอมทำความรู้จัก หรือทำความเข้าใจพวกเขา ยังไงล่ะ

“The highest form of ignorance is when you reject something you don’t know anything about.” – Wayne Dyer

 



11. ขจัด “ความกลัว”

ความกลัว คือสิ่งที่เราคิด สร้าง ประดิษฐ์ขึ้นมาเองทั้งนั้น และมันทรงพลังมากที่จะทำให้เราไม่สามารถใช้ศักยภาพของเราในการทำนู่น ทำนี่ในชีวิตได้อย่างเต็มที่ เพราะฉะนั้น เลิกกลัวได้แล้ว!

“The only thing we have to fear, is fear itself.”
– Franklin D. Roosevelt

 



12. ขจัดนิสัย “ชอบแก้ตัว”

การแก้ตัว ไม่เคยช่วยให้ใครประสบความสำเร็จในชีวิตหรอกนะ แทนที่คุณจะเสียเวลาแก้ตัว หรือคิดคำแก้ตัวเพื่อให้คุณดูดีขึ้นในสายตาคนอื่นๆ เอาเวลาที่มีค่าส่วนนั้นไปพัฒนาตัวเอง และแก้ไขข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นเสียยังดีกว่า นั่นแหละคือวิถีของคนจริง!

13. ขจัดความคิด “จมอยู่กับอดีต”

เราเข้าใจว่าบางทีมันก็เป็นเรื่องที่ยากที่จะลืมอดีต ยิ่งถ้าอดีตมันช่วงสวยงามกว่าปัจจุบัน แถมบางทีอนาคตก็ยิ่งน่ากลัวเข้าไปใหญ่ ทำให้บางทีคุณก็ยึดติดกับอดีตไปโดยปริยาย แต่ถามว่า ทำแบบนั้นมันมีประโยชน์มั้ย? คำตอบคือไม่ เพราะสุดท้ายมันคือภาพลวงตาทั้งสิ้น สิ่งที่คุณต้องอยู่ด้วย และสู้ไปกับมันคือปัจจุบัน และอนาคต จำไว้ว่า ชีวิตของคุณคือการเดินทาง ไปข้างหน้า ไม่มีใครเดินทางย้อนกลับไปหาอดีตอันสวยงามได้หรอก

14. ขจัดนิสัย “ยึดติดกับทุกสิ่ง”

แน่นอนว่าเรื่องนี้ทำได้ยาก แต่ก็ไม่ใช่ว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะทำ การเลิกยึดตืึด คือการที่คุณปล่อยวางกับทุกสิ่ง แต่คุณไม่จำเป็นต้องหยุดความรู้สึกรักใคร่ชอบพอกับสิ่งๆ นั้น เพราะคุณยังสามารถมีความรู้สึกดีๆ กับสิ่งนั้นได้ แต่คุณต้องไม่ยึดติด ว่าถ้าไม่มีสิ่งนี้ ไม่มีสิ่งนั้น แล้วคุณจะอยู่ไม่ได้ คุณจะไม่มีความสุข นั่นคือสิ่งที่ “ความยึดติด” นำมาให้คุณ มันคือ “ความกลัว” ที่วันหนึ่งคุณจะเสียสิ่งต่างๆ ที่คุณมีไป และถ้าคุณกำจัดมันออกไปได้ เหลือแต่ความรู้สึกที่ดีกับสิ่งๆ นั้น คุณก็จะปล่อยวางและมีความสุขได้เสียที



15. เลิกใช้ชีวิตตามที่คนอื่นอยากให้เราเป็น

หลายต่อหลายคนค้นหาความสุขในชีวิตไม่เจอซักที เพราะอะไรน่ะหรอ? เพราะเขาไม่ได้ใช้ชีวิตในแบบที่เขาอยากเป็นน่ะสิ เขาใช้ชีวิตตามที่พ่อแม่ เพื่อน คนรอบข้าง อาจารย์ หรือสังคมบอกว่า สิ่งนี้ดี สิ่งนั้นไม่ดี และเราควรทำอะไร ไม่ทำอะไร การที่คุณปล่อยให้คนอื่นๆ มีอิทธิพลเหนือชีวิตคุณแบบนี้นั่นแหละ ที่ทำให้คุณไม่มีทางค้นหาความหมายของความสุขในชีวิตของคุณเจอ จำไว้นะว่า คุณเกิดครั้งเดียว ตายครั้งเดียว และนี่คือชีวิตของคุณ ใช้ซะ!


H/T: Luminita Daniela Saviuc & Lifebuzz




 

Create Date : 14 พฤศจิกายน 2557    
Last Update : 14 พฤศจิกายน 2557 7:34:43 น.
Counter : 663 Pageviews.  

18 ความลับของ “คนนอนดึก” ที่ใครไม่นอนดึก ไม่มีทางรู้!

หากคุณเป็น “คนนอนดึก” สิ่งที่คุณจะเจอต่อไปนี้ คือสิ่งที่คุณเข้าใจอย่างแน่นอน แต่ถ้าคุณไม่ใช่ “คนนอนดึก” ละก็ นี่คือสิ่งที่คุณไม่เคยรู้ หรือรู้สึกมาก่อน!

1. การเห็นพระอาทิตย์ขึ้นเป็นเรื่องปกติ แต่ไม่ใช่พระอาทิตย์ขึ้นจากการตื่นเช้าหรอกนะ!
sunrise-cityscape-bangkok-natthawat-jamnapa

2. การ “take a nap” หรือของีบซักพัก คืออะไรที่สุดยอดมาก!


จำความรู้สึกฟินของการนอนกลางวันสมัยอนุบาลได้ใช่มั้ยล่ะ! นั่นแหละ ใช่เลย!

3. มันน่าอายมากที่กดไลค์สเตตัสเฟซบุ๊กของคนที่ชอบตอนดึกๆ!


ลองนึกภาพว่า คุณไปกดไลค์ภาพของคนที่คุณชอบตอนไปชายหาดเมื่อสี่ปี่ก่อนดูสิ มันน่าอายแค่ไหน…

4. ร้านที่เปิด 24 ชั่วโมงคือขุมทองของ “คนนอนดึก”
Mc24

5. การต้องตื่นเช้าพร้อมกับพวกที่นอนเร็วมันช่าง…แย่สุดๆ ไปเลย!


โอ๊ย..ไม่อยากตื่นเลย

6. มื้อดึกนี่มันช่างอร่อย และก็รู้สึกผิดพิลึก!


อ่า…ไม่น่ากินมาม่าเยอะเลย…

7. เกลียดนาฬิกาปลุกที่สุดในชีวิต!


8. ตั้งไว้เวลาเดียวคงไม่พอสินะ…
time

9. อยู่โดยไม่หลับมาหลายสิบชั่วโมง รู้สึกว่าตัวเองเป็น “Superpower”


แบบนี้ไม่ค่อยดีนะ…แต่บางทีมันก็จำเป็นนี่นา

10. หัวจะแล่นมากในตอนดึกๆ


มันคือความจริงจ่ะ!


11. กาแฟคือเพื่อนรักที่สุดในชีวิต!
coffee girl

12. ยิ่งตอนกลางวันด้วยแล้ว…กาแฟไม่อั้น!




13. หาวจนเป็นเรื่องปกติ…


ระวังจะหาวตามกันเป็นทอดๆ นะ!

14. วันหยุดหรอ..ห้ามชวนไปไหน นอนยาว!


วันเสาร์คือโอเอซิสของ “คนนอนดึก” ใครจะเอาไปไม่ได้ทั้งนั้น นอนอย่างเดียว!

15. เจอพวกตื่นเช้าเมื่อไหร่ ยกย่องทันทีว่าทำได้ไง!


พวกเขาทำได้ยังไงกันว่ะเนี่ย??

16. และถ้าจะเดทกับคนตื่นเช้าหรอ…คงต้องเปลี่ยนกันยกใหญ่อ่ะ!


ถ้าตารางเวลาเข้ากันได้นะ…รึเปล่า…

17. แสงอาทิตย์คือศัตรู…ยิ่งกว่าแวมไพร์อีก พูดเลย!


แสงอาทิตย์!!! ออกไป!!!! ไป!

18. สถาพตอนกลางวันปกติจะเหมือน “ซอมบี้”


เตียงอยู่ไหน? เตียงอยู่ไหน? เหมือนคนบ้า…

หากคุณคือ “คนนอนดึก” คุณคงอ่านโพสนี้ตอนดึกสินะ… ยอมรับมา!


ถึงตอนนี้ก็เข้านอนได้แล้ว พักผ่อนบ้าง! หากคุณมีเพื่อนนอนดึก ส่งให้เพื่อนคุณดูเลย! ว่าตรงหรือเปล่า!

H/T: Buzzfeed

//www.kiitdoo.com/




 

Create Date : 12 พฤศจิกายน 2557    
Last Update : 12 พฤศจิกายน 2557 20:48:22 น.
Counter : 685 Pageviews.  

รัฐประหารคืออะไร ปฏิวัติ กับ รัฐประหาร ต่างกันอย่างไร

รัฐประหาร 2557



เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม


รัฐประหาร คืออะไร ปฏิวัติ กับ รัฐประหาร ต่างกันอย่างไร มาดู ความหมาย รัฐประหาร ปฏิวัติ กัน

          จากกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. ในฐานะผู้อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ผอ.รส.) พร้อมด้วย ผบ.เหล่าทัพ และ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้แถลงการณ์ผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจ ระบุว่า จำเป็นต้องเข้าควบคุมอำนาจการปกครองประเทศตั้งแต่นี้เป็นต้นไป โดยขอให้ประชาชนอยู่ในความสงบ ดำเนินชีวิตตามปกติ โดยตนจะเป็นผู้รับผิดชอบทุกประการ

หลังจากที่เพิ่งประกาศ "กฎอัยการศึก" ไปเมื่อเวลา 03.00 น. ของวันที่ 20 พฤษภาคม 2557 ที่ผ่านมา เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และนำความสงบสุขกลับคืนสู่ประชาชนทุกกลุ่มทุกฝ่ายโดยเร็วนั้น ทำให้หลาย ๆ คนอาจสงสัยว่า รัฐประหาร คืออะไร ซึ่งตามมาด้วยคำถามที่ว่า รัฐประหาร ต่างจาก ปฏิวัติ อย่างไร วันนี้เรามีคำตอบมาบอกกันค่ะ

รัฐประหารคืออะไร

รัฐประหาร หรือ การรัฐประหาร (coup d'etat) คือ การยึดอำนาจโดยวิธีการที่ไม่ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ แต่ยังคงใช้รัฐธรรมนูญฉบับเก่าต่อไป หรือประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เพื่อให้มีการเลือกตั้งเกิดขึ้นในระยะเวลาไม่นานนัก เช่น หากทหารเห็นว่ารัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งบริหารประเทศชาติผิดพลาด และจำเป็นต้องบังคับให้รัฐบาลพ้นจากอำนาจ จึงใช้กำลังบังคับให้ออกจากตำแหน่ง โดยประกาศยกเลิกรัฐธรรมนูญ หรือประกาศให้มีการเลือกตั้งใหม่ภายในเวลาที่กำหนด ลักษณะนี้ก็เรียกได้ว่าเป็นการก่อรัฐประหาร ทั้งนี้ หากความพยายามในการก่อรัฐประหาร ไม่ประสบความสำเร็จ ผู้ก่อการมักถูกดำเนินคดีในข้อหากบฏ

ปฏิวัติ คืออะไร

ส่วน ปฏิวัติ (Revoluton) คือ การเปลี่ยนแปลงระบบการปกครองทั้งหมด โดยมีการยกเลิกระบบเดิมและใช้ระบบใหม่ หรือรื้อโครงสร้างเดิม สำหรับในประเทศไทยเคยเกิดการปฏิวัติทางการเมืองขึ้นเพียงครั้งเดียว คือ การปฏิวัติสยาม เมื่อในวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 เป็นการปฏิวัติการปกครอง โดยเปลี่ยนระบอบการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ (Absolute Monachy) กลายเป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (Constitutional Monarchy)



ปฏิวัติ กับ รัฐประหาร ต่างกันอย่างไร 


          ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่าความหมายของ ปฏิวัติ กับ รัฐประหาร ต่างกัน รวมถึงการปฏิบัติก็ต่างกัน อย่างไรก็ตาม รัฐประหารในประเทศไทยเกิดมาแล้ว 13 ครั้ง (รวมครั้งนี้) ได้แก่

1. รัฐประหาร 1 เมษายน พ.ศ. 2476 พระยามโนปกรณ์นิติธาดา ได้ประกาศพระราชกฤษฎีกาปิดสภาผู้แทนราษฎร พร้อมงดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตรา

2. รัฐประหาร 20 มิถุนายน พ.ศ. 2476 นำโดย พลเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา ยึดอำนาจรัฐบาล พระยามโนปกรณ์นิติธาดา

3. รัฐประหาร 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 นำโดย พล.ท.ผิน ชุณหะวัณ ยึดอำนาจรัฐบาล พล.ร.ต.ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์

4. รัฐประหาร 6 เมษายน พ.ศ. 2491 คณะนายทหารกลุ่มที่ทำการรัฐประหาร 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 จี้บังคับให้ นายควง อภัยวงศ์ ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และมอบตำแหน่งต่อให้ จอมพล ป. พิบูลสงคราม

5. รัฐประหาร 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2494 นำโดย จอมพล ป. พิบูลสงคราม ยึดอำนาจรัฐบาลตนเอง

6. รัฐประหาร 16 กันยายน พ.ศ. 2500 นำโดย จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ยึดอำนาจรัฐบาล จอมพล ป.พิบูลสงคราม

7. รัฐประหาร 20 ตุลาคม พ.ศ. 2501 นำโดย จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ยึดอำนาจรัฐบาล จอมพลถนอม กิตติขจร (ตามที่ตกลงกันไว้)

8. รัฐประหาร 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2514 นำโดย จอมพลถนอม กิตติขจร ยึดอำนาจรัฐบาลตนเอง

9. รัฐประหาร 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 นำโดย พล.ร.อ.สงัด ชลออยู่ ยึดอำนาจรัฐบาล ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช

10. รัฐประหาร 20 ตุลาคม พ.ศ. 2520 นำโดย พล.ร.อ.สงัด ชลออยู่ ยึดอำนาจรัฐบาล นายธานินทร์ กรัยวิเชียร

11. รัฐประหาร 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2534 นำโดย พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ ยึดอำนาจรัฐบาล พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ

12. รัฐประหาร 19 กันยายน พ.ศ. 2549 นำโดย พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ยึดอำนาจรัฐบาลรักษาการ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร

13. รัฐประหาร 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นการประกาศรัฐประหารเพื่อให้รัฐมนตรีรักษาการทั้งหมดหมดอำนาจ และเปลี่ยนผ่านสู่การจัดตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่

Photobucket

ขอขอบคุณข้อมูลจาก

- mh.ac.th




 

Create Date : 23 พฤษภาคม 2557    
Last Update : 23 พฤษภาคม 2557 17:39:41 น.
Counter : 1522 Pageviews.  

สรรพคุณ ที่มีประโยชน์มากมายของมะนาว

ถิ่นกำเนิดและการกระจายพันธุ์ของมะนาว

มะนาวมีถิ่นกำเนิดที่ไหนยังไม่ปรากฎหลักฐานแน่ชัด บางคนกล่าวว่าเป็นพืชพื้นเมืองของอินเดีย และประเทศในเอเชียตะวันตกเฉียงใต้ แต่บางคนกล่าวว่ามะนาวเป็นพืชพื้นเมืองของหมู่เกาะอินเดียตะวันออก แล้วได้แพร่กระจายพันธุ์เข้าสู่แผ่นดินใหญ่ของทวีปเอเชีย อย่างไรก็ตามมะนาวก็ได้แพร่กระจายพันธุ์ไปยังส่วนต่างๆของโลก โดยเฉพาะในเขตร้อนและกึ่งร้อนอย่างกว้างขวาง และได้มีผู้สันนิษฐานไว้ว่า ชาวอาหรับเป็นผู้นำมะนาวจากอินเดียไปปลูกในปาเลสไตน์ เปอร์เซีย อียิปต์ และยุโรป หลังจากนั้นมะนาวก็ได้แพร่กระจายไปยังหมู่เกาะอินเดียตะวันตกและอเมริกา ตั้งแต่ คริสต์ศตวรรษที่ 16 โดยนักสำรวจชาวสเปนและโปรตุเกสนำไปปลูก

สำหรับประเทศไทยนั้นเชื่อว่าการปลูกมะนาวมีมาก่อนสมัยรัตนโกสินทร์ และได้มีการปลูกติดต่อกันมาเรื่อยๆจนถึงปัจจุบัน ในสมัยก่อนมักมีการปลูกมะนาวไว้ในสวนหลังบ้าน เพื่อนำผลมาใช้ประกอบอาหารในครัวเรือนเท่านั้น โดยจะปลูกกันเกือบทุกครอบครัว แต่ยังไม่มีใครคิดจะปลูกมะนาวเป็นการค้าอย่างจริงจัง ต่อมาบ้านเมืองเจริญขึ้น ทำให้พื้นที่ทำการเกษตรมีน้อยลง เนื่องจากนำพื้นที่ไปใช้ในอุตสาหกรรม และด้านอื่นๆ ประกอบกับจำนวนพลเมืองที่เพิ่มมากขึ้น จึงทำให้ความต้องการมะนาวไปใช้ประกอบอาหารในครัวเรือน และใช้มะนาวในอตสาหกรรมต่างๆมีมากขึ้นเป็นเงาตามตัว ดังนั้นจึงมีผู้หันมาปลูกมะนาวในเชิงการค้า โดยใช้พื้นที่ปลูกมากๆ มีการปฏิบัติดูแลรักษาที่ถูกต้อง มีการปรับปรุงระบบการปลูก และวิธีเพิ่มผลผลิตต่อพื้นที่ให้ได้มากที่สุด ซึ่งในประเทศไทยมีแหล่งปลูกที่สำคัญๆ ได้แก่ จังหวัดเพชรบุรี อยุธยา ราชบุรี และนครปฐม

ประโยชน์ของมะนาว

มะนาวเป็นผลไม้พื้นๆที่ใช้บริโภคกันในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว แต่มีน้อยคนนักที่จะรู้ว่ามะนาวลูกเล็กๆนั้น มีประโยชน์ในการรักษาโรคต่างๆได้มากมายหลายโรคด้วยกัน ไม่เพียงแต่คนไทยเท่านั้นที่ใช้มะนาวรักษาโรค ประเทศเพื่อนบ้านของเรา เช่น มาเลเซีย จีน และอินเดีย เขาก็ใช้มะนาวกัน ประเทศเพื่อนบ้านที่ไกลออกไป เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส และประเทศแถบอเมริกาตะวันตกก็ใช้มะนาวแก้ไอและรักษาโรคอื่นๆเช่นเดียวกัน ประโยชน์ของมะนาวในแง่การนำมาใช้เป็นสมุนไพร มีดังนี้

1. แก้ไอออกเลือด (ไอมีเลือดปน)
- ใช้น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา มะนาว 4 ลูก เกลือ 1 ช้อน หรือประมาณ 3-4 เม็ด ผสมให้เข้ากันดี ให้มีรสเปรี้ยวเค็มหวาน ใช้จิบทุกครั้งที่ไอ
-.ใช้มะนาว 108 ใบ เบี้ยจั๊กจั่น 11 ตัว ปูนขาวหนักประมาณ 4 บาท
วิธีทำ คั้นน้ำมะนาว ใส่เบี้ยจั๊กจั่นและปูนขาวปนกัน ดองประมาณ 3 คืน รับประทานครั้งละจอกชา แก้ไอออกเลือดดี

2. ต่อมทอนซิลอักเสบ
- เอาน้ำมะนาว น้ำผึ้งและปูนขาวผสมดื่ม แก้ทอนซิลอักเสบ

3.แก้ซาง,ตุ่มในคอเด็ก,เสมหะ
- เมล็ดมะนาวขับเสมหะแก้โรคซางของเด็ก แก้เม็ดยอดในปากโดยเอาเม็ดมะนาวเผาไฟ บดให้ละเอียด ใช้น้ำมะนาวหรือรากของมะนาวฝนกันน้ำเป็นกระสาย ผสมเข้าด้วยกัน แล้วกวาดซางเด็ก
- ให้เอาน้ำมะนาว 1 ช้อนชา แล้วเอารากมะนาวฝนให้ข้นดี แล้วจึงเอาไปล้วงคอเด็กสัก 2-3ครั้งก็หาย
- ใช้เม็ดมะนาวเคี้ยวกิน ขับเสมหะ ใช้ติดต่อกัน 7 วัน ได้ผลดี

4. แก้เสียงแหบแห้ง
- มะนาวทำให้เสียงไม่แหบแห้ง ตื่นตอนตอนเช้าทุกครั้งให้ผ่ามะนาวครึ่งหนึ่ง จิ้มเกลือบีบน้ำลงคอกลืนกิน ทำทุกเช้าทุกวัน ทำให้เสียงไม่แหบแห้ง

5. ก้างติดคอ
- เมื่อก้างปลาติดคอ เอามะนาว 1 ลูกคั้น เอาแต่น้ำ เติมเกลือ น้ำตาลนิดหน่อยกรอกลงไปให้ตรงก้างที่ติดคอ อมไว้สักครู่ แล้วจึงค่อยกลืน ก้างจะอ่อนตัวหลุดลงไปในกระเพาะ
- ก้างปลาติดคอซึ่งเป็นชิ้นเล็กๆ เมื่อกลืนน้ำลายจะทำให้รำคาญเท่านั้น ให้ผ่ามะนาวแล้วนำมาอมไว้ในปาก อมจนรู้สึกรสเปรี้ยวของมะนาวเจือจางสัก 2-3 หน จะทำให้ก้างหลุดออกไปได้

6. แก้ไข้
- นำใบมะนาวมาหั่นฝอยๆ ชงด้วยน้ำเดือด ดื่มแบบน้ำชาจะช่วยลดไข้และใช้อมกลั้วคอฆ่าเชื้อโรคได้อีกด้วย
- ประเทศในทวีปอาฟริกาตะวันตกนิยมใช้เปลือกรากมะนาวต้มเป็นยาแก้ไข้อย่างดี และใช้ใบทำเป็นยาชงกินแก้ไข้ที่มีอาการตัวเหลืองเล็กน้อย นอกจากนี้ยังใช้น้ำมะนาวดื่มแก้กระหายน้ำ แก้ไข้อีกด้วย
- ที่ประเทศอินเดีย ถ้าเป็นไข้หวัดใหญ่ นิยมรักษาโดยดื่มน้ำมะนาวแล้วพักผ่อน ถ้าเป็นไข้หวัดธรรมดา จะรับประทานผลอินทผลัมและดื่มน้ำมะนาวรักษา

7. แก้ไข้ทับระดู
- เอาใบมะนาว 100 ใบ มาต้มกินแล้วหาย

8. แก้ปวดศีรษะ
- เอามะนาวมาฝานเป็นซีกบางๆ แล้วเอาปูนที่กินกับหมาก ละเลงด้านหน้าของซีกมะนาวนั้นบางๆ แล้วปิดตรงขมับ ทำอยู่ประมาณ 2 อาทิตย์ อาการปวดก็ค่อยหายดีขึ้นทุกวัน
- ใช้น้ำมะนาวผสมกับน้ำตาลสัก 1 แก้ว ดื่มตอนเช้า ช่วยให้หายจากโรควิงเวียนและปวดหัว
- ชาวมาเลเซีย ใช้ใบมะนาวผสมกับน้ำมะนาว บดทำเป็นยาใส่ผมแก้ปวดศีรษะ
- ประเทศในทวีปอาฟริกาตะวันตก ใช้ใบมะนาวตำให้ละเอียดถูศีรษะหรือเคี้ยวรากมะนาวแก้ปวดศีรษะ

9. แก้เลือดออกตามไรฟัน
- เกิดจากการขาดวิตามินซี ทำให้เหงือกบวมและมีเลือดออกตามไรฟันเป็นประจำ หรือมีเลือดออกได้ง่าย เช่น มีเลือดกำเดาไหล มีจุดพรายย้ำขึ้นตามผิวหนัง อาจมีเลือดออกจนซีดได้ ถ้าอาการรุนแรง จะมีอาการปวดน่อง ข้อเท้าบวม การรักษาให้กินมะนาวหรือผลไม้เปรี้ยวๆ เช่น ส้ม จะแก้ได้
- แก้โรคลักปิดลักเปิดหรือเลือดออกตามไรฟัน ใช้มะนาวถูฟันสักพักเลือดก็จะหยุด

10. แก้เหงือกบวม
- ใช้ลำสีชุบมะนาวเช็ดที่เหงือกวันละ 2 ครั้ง เช้าและเย็น

11. แก้ลิ้นเป็นฝ้า
- ใช้ลำสีชุบมะนาวเช็ดที่ลิ้นวันละ 3ครั้ง

12. ขจัดคราบบุหรี่
- ใช้มะนาวถูฟันที่มีคราบบุหรี่จับ เมื่อใช้มะนาวถู คราบนั้นจะหาย ถ้าฟันผู้ที่รับประทานหมากต้องถูกบ่อยๆ ถ้าจับมากหลายวันแล้วต้องถอดฟันแช่น้ำมะนาวไว้ค้างคืน ( หมายถึงผู้ใส่ฟันปลอมนะ) ฟันจะขาวสะอาดเงางาม

13. ยาบ้วนปาก
- บีบน้ำมะนาวลงในแก้วสัก 2-3 หยดเท่านั้น บ้วนปากได้สะอาดยอดเยี่ยม

14. แก้เป็นลมวิงเวียน อยากอาเจียน
- ใช้มะนาวผ่าซีก โรยเกลือป่น เหยาะน้ำตาลทรายขาวสักนิดบีบกินลงไปพักเดียวหายเป็นปลิดทิ้ง ไม่ว่าจะเป็นอาการคลื่นไส้จากการตั้งครรภ์ เมารถ แพ้อากาศ มะนาวช่วยคุณได้
- ใช้มะนาวจิ้มเกลืออมไว้ในปากสักครูจะรู้สึกสดชื่นจากการเป็นลมวิงเวียน หน้ามืดได้
- ใช้เปลือกมะนาวแกะออกแล้วบีบหรือดมใกล้จมูก แก้เป็นลม วิงเวียน หน้ามืดตาลาย
- ด้านประเทศฟิลิปปินส์และประเทศจีน ใช้เปลือกลูกมะนาวขยี้ใก้ดมแก้คลื่นไส้หรือเป็นลม หมอพื้นเมืองชาวอินเดีย นิยมใช้น้ำมะนาวแก้อาเจียน

15. แก้วิงเวียนเมื่อคลอดบุตร
- เอามะนาวปอกใส่ภาชนะ 2-3 ลูก เพื่อให้คนที่คลอดบุตรนั้นกินแก้วิงเวียน หน้ามืด ตาลาย
- เอามะนาว 3 ผล เกลือป่นและพริกไทยป่นพอควร ละลายด้วยน้ำร้อน แทรกเหล้าโรงประทาณให้ได้สักครึ่งถ้วยชา เวลาตกฟากรับประทาน 1 ครั้ง หรือรับประทาณต่อไปอีกก็ได้

16. แก้เมาเหล้า เมายา
- ดื่มน้ำมะนาวหรืออมกับเกลือ สำหรับคนเมาเหล้าหรือวิงเวียนจะเป็นลม

17. แก้ลมเงียบ
- เอาใบมะนาวมาต้มกินกับยาหอมประมาณ 1 อาทิตย์

18. แก้ตาแดง
- เอามะนาวผ่า แล้วเอาเมล็ดในออกให้หมด แล้วก็บีบเอาน้ำมะนาวหยอดลงในตกทั้ง 2 ข้างหลายๆหยด สัก 1-2 นาที พอหายแสบแล้วล้างหน้าด้วยน้ำสะอาด เช็ดหน้าเรียบร้อยแล้วก็สบาย และใช้มะนาวต่อไปเรื่อยๆจนกว่าจะหายตาแดง

19. บำรุงตา
- ใช้มะนาวสดทั้งลูกฝานตามที่เห็นสมควร แล้วบีบใส่ตาประจำ ประมาณเดือนหรือสองเดือนครั้งก็ใช้ได้ ( เนื่องจากตาเป็นอวันวะที่บอบบางมาก และน้ำมะนาวนั้นหยอดลงไปแล้วจะรู้สึกแสบตา ดังนั้น เพื่อป้องกันอันตรายที่จะเกิดขึ้นจึงไม่ควรใช้น้ำมะนาวนี้หยอดตา)

20. บำรุงผิว
- เอาเปลือกที่บีบเอาน้ำออกแล้ว นำมาทาบริเวณข้อศอก คาง เข่า ฝ่าเท้า ส้นเท้า ช่วยให้ส่วนเหล่านั้นนุ่มนวลได้อย่างดี

21. แก้ผิวแตก
- ใช้มะนาวทาผิวหนังทำให้ชุ่มชื้น ไม่แตกกร้านในช่วงอากาศแห้ง

22. แก้สิวฝ้า
- ในกรณีที่สิวไม่มีการอักเสบติดเชื้อเป็นหนอง การรักษาอย่างง่ายที่ถูกวิธี คือ การทำความสะอาดใบหน้า เพื่อลดไขมันและกำจัดสิ่งอุดตันตามรูขุมขนบนใบหน้า หรือบริเวณอก คอ ที่มีสิวขึ้น ฉะนั้นมะนาวจะช่วยรักษาสิงให้ลดน้อยลงได้ เพราะน้ำมะนาวมีสภาวะเป็นกรดอ่อนๆจะทำให้เนื้อเยื่อที่ตามแล้วหลุกออกไป ทำให้ลดการอุดตันของรูขุมขน กรดอ่อนๆจะช่วยกำจัดเชื้อโรคและช่วยกำจัดไขมันได้บ้าง
วิธีใช้ คือ ล้างหน้าด้วยสบู่ธรรมดาให้สะอาดแล้วผ่ามะนาวทาบริเวณที่มีสิวขึ้นให้เปียกชุ่มจนทั่ว ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที จึงล้างออกด้วยสบู่อีกครั้ง ทำเช่นนี้วันละ 1-2 ครั้ง เช้าและเย็น
- ใช้แป้งดินสอพองกับน้ำมะนาวทาบริเวณที่เป็นสิวก่อนนอนทุกวัน สิวจะค่อยๆยุบหายไปในที่สุด
- ใช้น้ำมะนาว 1 ช้อนชา ไข่ขาว 1 ช้อนชา ผสมกันให้เป็นเนื้อเดียวกัน แล้วเอาไปแต้มที่ตุ่มสิว หรือผู้ที่ไม่มีสิว ใช้ทาบางๆทั่วไปประมาณ 30 นาที แล้วจึงล้างออกด้วยน้ำสบู่ หน้าจะนิ่มนวลอยู่เสมอ

23. ลบรอยแผลเป็น
- รอยแผลเป็นจากอุบัติเหตุ ใช้น้ำมะนาวผสมดินสอพองทาบริเวณที่เป็น ทำให้หน้าไม่ดำ หรืออาจใช้ใบมะลิสดตำผสมเพิ่มเข้าไปอีกก็ได้

24. แก้ขาลาย
- คนที่มีขาลายเป็นจุดด่างดำเม็ดเล็กๆนั้น แก้ได้โดยเอาน้ำมะนาวบีบใส่ดินสิพองหมาดๆ แล้วทาทุกๆคืนก่อนนอน พอรุ่งเช้าก็ล้างออก ทำอย่างนี้ทุกวัน ไม่นานวันรอยด่างดำก็ลบหายไปเอง

25. แก้น้ำเหลืองเสีย
- ใช้ใบมะนาว 108 ใบกับเกลือหรือดีเกลือ 2 บาท หรือประมาณ 3 ช้อนคาวรวมกัน ต้มรับประทานเป็นยาระบายถ่ายน้ำเหลืองเสีย รับประทานครั้งละครึ่งถ้วยแก้วกลาง วันละ 1 ครั้งก่อนเข้านอน

26. แก้ส้นเท้าแตก
- เอามะนาวสดผ่าซีกแล้วบีบมะนาวให้หยดลงบนบริเวณที่เป็นแผลนั้น เพียงวันละ 2-3 ครั้ ภายใน 7 วัน โรคส้นเท้าแตกจะหายไปเอง

27. ดับกลิ่นเต่า
- ใช้น้ำมะนาวทารักแร้ป้องกันกลิ่นเต่า

28. แก้โรคผิวหนัง
- ประเทศแถบทวีปอาฟริกาตะวันตกและประเทศอินเดีย ใช้น้ำมะนาวทาแก้โรคผิวหนัง แต่ของอินเดีย เวลาอาบน้ำ ห้ามฟอกสบู่บริเวณที่เป็น

29. แก้กลาก เกลื้อน หิด
- นำกำมะถันตำให้ละเอียดบีบมะนาวใส่พอสมควร ทาบริเวณที่เป็นเกลื้อนหลังอาบน้ำและก่อนนอน เคยใช้กับญาติโยมหลายราย ผลออกมาแล้วหายเกือบ 90 เปอร์เซ็นต์
- ใช้มะนาวผ่าซีกแตะผงกำมะถันแล้วมาถูบริเวณที่เป็นหิด กลากเกลื้อนจะกายในเร็ววัน

30. แก้หูด
- เอาเปลือกมะนาวหมักกับน้ำส้มสายชู 2 วัน ตัดเปลือมะนาวมาปิดที่หูด ปิดทับด้วยพลาสเตอร์ค้างคืนไว้ รุ่งเช้าจึงเอาออก ให้ทำเช่นนี้นาน 2 อาทิตย์

31. แก้พุพอง
- ใช้รากมะนาวฝนกับน้ำซาวข้าว ทาแก้พุพอง แสบร้อน

32. แก้น้ำกัดเท้า
- ใช้มะนาวทาที่เป็นตุ่มคัน น้ำกัดเท้า ทาแล้วทิ้งให้แห้ง ล้างออกด้วยน้ำสบู่ ให้ผ้าเช็ดให้แห้ง แล้วเอาแป้งทา ตุ่มคันก็จะหาย

33. แก้ปูนซีเมนต์กัด
- เวลาถูกปูนซีเมนต์กัดตามมือ เท้า เอามะนาวมาตัดกลางลูก แล้วบีบน้ำมะนาวตรงที่ปูนกัดก็จะหาย


34. แก้คัน
- ใช้มะนาวตัดกลางลูกรมไฟพออุ่น ถูทาตามที่คันภายใน 2-3 วัน จะหาย
- เรื่องแก้คันนี้ในประเทศอินเดีย ใช้มะนาวผสมน้ำผึ้ง ทาบริเวณที่คันและเวลาอาบน้ำ อย่าฟอกสบู่บริเวณที่คัน ใช้ทาทุกครั้งเมื่อรู้สึกคัน

35. แก้หนอนคัน
- แถวชนบทมีตัวหนอนหลายชนิด เมื่อเราไปถูกมันเข้าจะทำให้เนื้อตรงบริเวณนั้นคันมาถึงกับเน่าเปื่อยก็มี ถ้าไปถูกตัวหนอนแล้วคันแต่ยังไม่เปื่อยเป็นแผล ให้เอามะนาวผ่าซีกถูตรงที่คันนั้น แต่ถ้าเปื่อยเป็นแผลแล้ว ให้เอาบานไม่รู้โรยมาตำกับปูนที่กินกับหมากผสมน้ำเล็กน้อย ทาตรงแผยเปื่อยรับรองหาย

36. แก้พิษแมลงสัตว์กัดต่อย
- ใช้ระงับความเจ็บปวดจากพิษแมลงได้ โดยใช้มะนาวพอกบริเวณปากแผลทิ้งไว้ 2-3 นาทีแล้วเปลี่ยนใหม่ทำดูจะหายปวด
- ในประเทศจีน ใช้ผลสดคั้นเอาน้ำ ทาบริเวณที่ถูกตะขาบกัด แมลงป่องต่อยทันทีจะแก้ได้

37. แก้สังคัง
- ใช้มะนาวผ่าซีก ทาก่อนนอนและหลังตื่นนอน เพียงไม่กี่วันก็หาย

38. ใช้สระผม แก้คันศีรษะ
- ใช้น้ำมะนาวสระผมทำให้ผมสะอาด หอม
- ถ้าคันศีรษะบ่อย ใช้น้ำมะนาวนวดศีรษะให้ทั่วสักครู่ก่อนสระผมจะแก้ได้

39. แก้หัวโน
- ใช้แป้งดินสอพองผสมน้ำมะนาว ทาตรงที่ช้ำบวมสักพักใหญ่ๆ อาการปวดบวม ปูด ก็จะยุบ หมั่นทาวันละ 1-2 ครั้ง ภายใน 2 วันก็จะหายไปเอง

40. แก้ผิวหนังฟกช้ำ
- ผสมน้ำมะนาวกับดินสอพองข้นๆ ทาบริเวณที่มีอาการผิวเนื้อถูกกระแทกเขียวฟกช้ำ หรือบวมโน จะหายเป็นปกติ

41.แก้หนามปัก
- แก้หนามปักคา ใช้มะนาวกับน้ำมันตับปลา ใส่ที่แผลจะดูดหนามออกมาได้

42. แก้เล็บขบ
- เอามะนาวมาผ่าตรงส่วนหัวออกขนาดพอสอดนิ้วเข้าไปได้ ใช้มีดคว้านเอาเนื้อข้างในออกเล็กน้อย เสร็จแล้วเอาปูนทาบางๆ แล้วเอานิ้วสอดเข้าไป แล้วทิ้งไว้ ทำดังนี้ 2-3 ครั้ง อาการเล็บขบจะหายไป

43. แก้ปลาดุกยัก
- ใช้มะนาวผ่าซีกแล้วกดหรือถูครงรอยปลาดุกยักสักพักหนึ่ง จะหายปวดภายใน 4-5นาที

44. แก้งูกัด
- แก้งูกัดให้ปฏิบัติดังนี้
1. ให้คนเจ็บนอนราบๆ เพื่อช่วยให้เลือดไหลเวียนทั่วร่างกายช้าลง และพิษงูจะได้แผ่ซ่านช้าลงด้วย
2. ถ้าถูกงูพิษกัดที่แขนและขา ให้เอาเชือกรัดเหนือแผลหน่อย กะให้รัดอยู่ในระหว่างแผลกับหัวใจของคนเจ็บ การรัดให้รัดพอให้เลือดตรงผิวหนังนั้นหยุดไหลเพื่อกันไม่ให้พิษผ่านเข้าเส้นโลหิตดำเท่านั้น ไม่ต้องรัดแน่นมากจนหลอกเลือดที่อยู่ลึกลงไปพลอยหยุดไหลไปด้วย ถ้ารัดพอดีๆจะสังเกตเห็นน้ำเหลืองไหลซึมออกจากแผลอยู่เรื่อยๆ
3. ใช้ใบมีดโกนที่สะอาดและฆ่าเชื้อแล้ว กรีดลงบนแผลเป็นรูปกากบาท ลึกสัก 1 ใน 8 นิ้ว ยาว สัก 1 ใน 4 นิ้ว ทั้ง 2 เขี้ยว อย่าตกใจว่าจะเสียเลือด เพราะมันจะช่วยล้างพิษออกด้วย ให้ใช้ปากดูดพิษออกมาจากแผลที่กรีด พิษงูจะไม่เป็นอันตรายเมื่อเข้าไปอยุ่ในปาก นอกจากจะมีแผลในปากหรือฟันผุเท่านั้น เมื่อดูดพิษออกมาให้รีบบ้วนทิ้ง แล้ววางน้ำแข็งที่แผลสลับกับการดูดช่วยด้วย และระวังให้แขน ขาที่ถูกงูกัดให้อยู่ต่ำๆไว้
หมายเหตุ ถ้าฟันผุหรือมีแผลในปาก ใช้ขวดอุ่นให้ร้อน (ระวังแตก) เอาปากขวดทาบกับแผล เพื่อช่วยดูดเลือดออกจากแผลแทน
4. ให้กินน้ำมะนาว ขนาดผลโตๆสัก 1 ผล น้ำมะนาวจะไปทำปฏิกิริยากับพิษงูที่แล่นเข้าสู่กระเพาะอาหาร สักครูก็จะอาเจียนออกมา มีเลือดปนเล้กน้อย ซึ่งแสดงว่าพิษงูได้หมดฤทธิ์แล้ว
5.คนเจ็บจะเกิดความมั่นใจและค่อยหายกลัว ให้เขาดื่มกาแฟหรือเครื่องดื่มร้อนๆได้ แต่อย่าให้กินเหล้า
พิษงูมันเดินเข้าหัวใจอย่างช้าๆ แต่หลังจากที่ถูกงูกัด อาจปวดมากจนถึงกับช็อค ให้คนเจ็บอยู่เงียบๆ เพราะถ้าไปทำอะไรเข้า จะเป็นการเร่งพิษเดินทางเข้าสู่หัวใจเร็วเข้าอีก ให้ใช้น้ำแข็งหรือผ้าชุบน้ำแข็งวางที่แผล จะช่วยบรรเทาอาการปวดลงได้ และรีบนำส่งรักษาที่โรงพยาบาล

45. ป้องกันงู
- เมื่อใช้มะนาวคั้นเอาน้ำหมดแล้ว เอาเปลือกวางท้องเอาไว้ใกล้ๆที่นอน จะทำให้งูไม่มารบกวน เพราะได้กลิ่นมะนาว

46. แก้แมงคาเรืองเข้าหู
- นำน้ำมะนาวอย่างเดียว กรองด้วยผ้า ใช้หยอดหู แก้แมงคาเรืองเข้าหู ถ้าตัวยังไม่ตายจะหนีออกมา ถ้าไม่หนีออกมาตัวจะตายในหู

47. แก้ฝี
- แก้ปวดฝีใช้รากสดฝนกับเหล้าทา
- ขูดเอาผิวมะนาว ผสมกับปูนแดงปิด ฝีจะหาย

48. แก้ฝีมะตอย
- เอามะนาวทั้งลูก มาคว้านไส้ในออกให้เอานิ้วเข้าไปได้ แล้วเอาปูน(กินหมาก)ทาเข้าไปในลูกมะนาวเล็กน้อย แล้วสวมเข้านิ้วที่มีฝีขึ้น

49. แก้แผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก
- ให้เอาน้ำมะนาวมาชะโลมบริเวณที่ถูกไฟไหม้หรือถูกน้ำร้อนลวก มีสรรพคุณดับพิษปวดแสบแวดร้อนได้ผล

50. แก้บาดทะยัก
- เมื่อถูกตะปูตำ หนามเกี่ยว หรือถูกของที่มีคม เอาน้ำมะนาวบีบใส่แผลที่เป็น จะป้องกันบาดทะยักได้

51. แก้ปวดท้อง ท้องอืด ท้องเฟ้อ
- แก้อาการปวดท้อง แน่นท้อง เอาผลมะนาวครึ่งผล บีบเอาน้ำมะนาวใช้กินกับน้ำอ้อย หรือน้ำตาล แก้อาการนี้ได้
- เด็กท้องอืดร้องกวนในเวลากลางคืน เอาปูนเคี้ยวหมากขยี้ลงบนฝ่ามือ บีบน้ำมะนาวคลุกให้ทั่ว แล้วทาท้องด็ก สักครู่เด็กจะผายลม 2-3 ครั้ง แล้วหยุกร้องไห้ หลับสบายตลอดคืน เพราะน้ำมะนาวทำปฏิกิริยากับปูน ให้ความร้อนเกิดความอบอุ่น

52. รักษาโรคกระเพาะ
- เปลือกผลมะนาว ใช้ชงกับน้ำอุ่ม ดื่มเป็นยาขับลมและแก้โรคกระเพาะได้

53. แก้ท้องผูก
- ใช้มะนาว ประมาณค่อนแก้วกาแฟ ใส่เกลือเล็กน้อย ให้เค็มพอประมาณ ดื่มทุกวันเป็นยาระบายได้ดี ทำให้เจริญอาหาร

54. แก้ท้องร่วง
- ประเทศอินเดีย ใช้น้ำมะนาวกับน้ำสะอาดดื่มแก้ท้องร่วง

55. แก้อาหารเป็นพิษ
- น้ำมะนาว น้ำปูนใส เติมเกลือให้มีรสเค็ม กินครั้งละ 1 ช้อนโต๊ะ แก้อาหารเป็นพิษ

56. แก้ผิดสำแลง
- รากมะนาว ฝนกับน้ำซาวข้าวรับประทานแก้ผิดอาหาร ถ้าได้รากมะนาวหวานยิ่งดี
- เอามะนาวบีบเอาน้ำใส่ถ้วย แล้วเอาปูนกินหมากมาแช่น้ำ แล้วเอาน้ำใสๆของปูนมาผสมน้ำมะนาว แล้วรับประทานแก้กินของผิดได้เป็นอย่างดี


57. แก้บิด
- ใช้มะนาวกับน้ำผึ้งเอาเท่าๆกัน กินครั้งละ 1 ถ้วยตะไล สัก 2-3 ถ้วย แก้บิดได้ หรือจะผสมน้ำปูนใส อย่างละเท่าๆกัน ก็ได้ผลเช่นกัน
- ชาวมาเลเซียใช้รากมะนาวต้มกินแก้บิด

58. ขับพยาธิไส้เดือน
- ชาวอินเดียใช้น้ำมะนาวผสมน้ำผึ้งดื่มขับพยาธิไส้เดือน

59. แก้นิ่ว
- เอามะนาวมา บีบมะนาวแช่หินปูน หากหินปูนละลาย ก็เอารากมะนาวนั้นมาต้มกิน แล้วนิ่วก็คือหินปูนในกระเพาะปัสสาวะจะอยู่ได้อย่างไรก็ต้องละลายออกมาหมดอย่างแน่นอน หากนิ่วก้อนใหญ่ก็ต้องใช้เวลาหน่อย

60. แก้ปัสสาวะกระปริบกระปรอย
- ใช้ใบมะนาวสดต้มกินกับน้ำตาลแดง ประมาณ 2-3 วันก็หาย

ปล.คุณประโยชน์ยังไม่หมดนะคะ พอดีพื้นที่ไม่พอ เ้ข้าไปอ่านตามเครดิตที่แนบมาได้เลยค่ะ 


เครดิต //variety.mwake.net/story/75/%E0%B8%259...2%E0%B8%A7.html
ขอบคุณ www.mwake.com
ขอบคุณภาพ จาก www.horolive.com, thaikaset, bloggang.com, herbsdd.blogspot.com

//www.247friend.net/blog/anything/2013/02/24/entry-1




 

Create Date : 17 พฤษภาคม 2557    
Last Update : 17 พฤษภาคม 2557 19:24:36 น.
Counter : 1051 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  

jureeporn
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




src='http://roomsite.freeserverhost.com/blogproject/toolbar.js'>
FC Barcelona


Google
จำนวนผู้ชมบล็อกทั้งหมด คน




















[Add jureeporn's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.