๑. ขอทราบถึงสาเหตุในการที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๖
ทรงพระราชทานขนานนามสกุล ด้วยเหตุอันใดและมีที่มาอย่างไร
ตอบ พระราชประสงค์ให้มีนามสกุลนั้นนอกจากเพื่อสะดวกในการจัดทำทะเบียนสำมโนครัวหรือปัจจุบันเรียกว่าทะเบียนราษฎร์แล้ว ยังทรง
มุ่งหมายให้นามสกุลเป็นเครืองรำลึกถึงเกียรติประวัติของบรรพบุรุษผู้เป็นต้นสกุล ซึ่งนอกจากลูกหลานจะภาคภูมิใจแล้วยังต้องมีหน้าที่
รักษาเกียรติวงศ์สกุลไว้ด้วย กล่าวง่ายๆ ก็คือ ให้คนนึกสังวรณ์ถึงเกียรติประวัติของวงศ์สกุลซึ่งจะช่วยลดการกระทำผิดคิดร้าย
๒. ในการพระราชทานขนานนามสกุลนั้น ทรงพระราชทานให้ผู้ใดเป็นคนแรก
โดยเป็นการพระราชให้ หรือเป็นการขอพระราชทานขนานนามสกุล
ตอบ พระราชทานให้ทั้งหมด ๕ สกุล คือ
๑) สุขุม พระราชทานเจ้าพระยายมราช (ปั้น) เสนาบดีกระทรวงนครบาล ท่านผู้นี้เคยถวายพระอักษรเมื่อทรงพระเยาว์และเมื่อแรกเสด็จ
ไปทรงศึกษาที่ประเทศอังกฤษ มีบันทึกว่า มีรับสั่งกับเจ้าพระยายมราชว่า ถ้าครูตายฉันจะแต่งขาวไปเผาศพครู
๒) มาลากุล พระราชทานเจ้าพระยาพระเสด็จสุเรนทราธิบดี (ม.ร.ว.เปีย) เสนาบดีกระทรวงธรรมการ และเจ้าพระยาธรรมาธิกรณาธิบดี
(ม.ร.ว.ปุ้ม) เสนาบดีกระทรวงวัง เจ้าพระยาพระเสด็จฯ นั้นเป็นพระอภิบาลและเป็นครูถวายพระอักษรภาษาไทยเมื่อเสด็จไปทรงศึกษาที่
อังกฤษ แต่ถูกเรียกตัวกลับมาจัดแผนการศึกษาชาติก่อน เมื่อเจ้าพระเสด็จฯ ถึงอสัญกรรมล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๖ ทรงพระภูษาขาวเสด็จฯ
ไปพระราชทานเพลิง เจ้าพระยาธรรมาฯ นั้น ทรงไว้วางพระราชหฤทัยในฐานะเป็นข้าราชสำนักผู้ใหญ่ที่รอบรู้ขนบประเพณีในพระราช
สำนักเป็นอย่างดีโดยสืบทอดหน้าที่ต่อกันมาจากสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยาบำราบปรปักษ์ และพระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นปราบปรปักษ์
๓) พึ่งบุญ พระราชทานเจ้าพระยารามราฆพ (ม.ล.เฟื้อ) และพระยาอนิรุทธเทวา (ม.ล.ฟื้น) เจ้าพระยารามราฆพ และพระยาอนิรุทธเท
วานั้นเป็นบุตรของพระนมทัด พระนมในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๖ เสด็จไปทรงศึกษาที่อังกฤษ
ท่านทั้งสองนี้ได้ถวายตัวเป็นมหาดเล็กในพระราชสำนักสมเด็จพระพันปีหลวง เมื่อล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๖ เสด็จกลับจากอังกฤษได้ถวายตัว
เป็นมหาดเล็กในพระองค์ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เป็นมหาดเล็กห้องพระบรรทม เมื่อเสด็จขึ้นครองราชย์แล้วก็ได้ประจำรับใช้ใกล้
ชิดพระยุคลบาทมาโดยตลอด
๔) ณ มหาชัย พระราชทานพระยาเทพทวาราวดี (สาย) จางวางมหาดเล็ก พระยาเทพฯ นี้ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๕ ทรงพระกรุณาโปรด
เกล้าฯ ให้มาประจำรับราชการในพระองค์ตั้งแต่ยังทรงเป็นสมเด็จพระยุพราช พระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นพระเทพทวาราวดี ตำแหน่งเจ้า
กรมขอเฝ้าในสมเด็จพระบรมโอสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร เพราะก่อนที่จะทรงรับสถาปนาเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ นั้น
ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๖ เคยทรงกรมเป็น สมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนเทพทวาราวดีมาก่อน เมื่อเสด็จขึ้นครองราชย์แล้วได้เลื่อนบรรดาศักดิ์พระ
เทพฯ เป็นพระยาเทพทวาราวดี ตำหน่งขางวางมหาดเล็ก แตภายหลังรับพระราชทานนามสกุลไม่นานก็เกิดเหตุทุจริตในแบงก์สยามกัม
มาจลเพราะนายฉลองไนยนารถที่พระยาเทพฯ เป็นผู้แนะนำมาเป็นผู้จัดการฝ่ายไทยในแบงก์ดังกล่าวกระทำการทุจริตจนพระคลังข้างที่
ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ได้รับความเสียหายนับล้านบาท พระยาเทพฯ เลยต้องหางเลขถูกปลดเป็นกองหนุนและเปลี่ยนราชทินนามเป็น พระยา
บำเรอบริรักษ์
๕) ไกรฤกษ์ พระราชทานพระยาบุรุษรัตนราชพัลลภ (นพ) จางวางมหาดเล็ก และพระยาจักรปาณีศรีศีลวิสุทธิ์ (ลออ - ต่อมาเป็น
เจ้าพระยามหิธร) ปลัดทูลฉลองกระทรวงยุติธรรม พระยาบุรุษฯ นั้นเป็นจางวางมหาดเล็กมาแต่รัชกาลที่ ๕ เมื่อเสด็จขึ้นครองราชย์แล้วก็
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้คงรับราชการในตำแหน่งขางวางมหาดเล็กต่อมา ส่วนเจ้าพระยามหิธรนั้นทรงคุ้นเคยมาแต่ครั้งเสด็จไปทรง
กำกับราชการกระทรวงยุติธรรมเมื่อคราวเกิด "คดีพญาระกา" ในตอนปลายรัชกาลที่ ๕ ทรงจระหนักว่าเป็นผู้ที่รอบรู้กฎหมายและมีความ
ชื่่อตรงจงรักภักดีเป็นอย่างยิ่ง ต่อมาได้โปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนเป็นอธิบดีศาลฎีกา และเมื่อพระเจ้าพี่ยาเธอ หรมหลวงปราจิณกิติบดี ราช
เลขานุการสิ้นพระชนม์ ก็โปรดเกล้าฯ ให้ย้ายไปรับราชการเป็นราชเลขาธิการซึ่งเป็นตำแหน่งเทียบเม่าเสนาบดี ท่านได้รับราชการใน
ตำแหน่งราชเลขาธิการมาจนเปลี่ยนแปลงการปกครอง
นามสกุลทั้ง ๕ นี้ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเมื่อวันที่ ๓๐ พฤษ๓าคม พ.ศ. ๒๔๕๖ โดยทรงเขียนเป็นพระราชหัตถเลขา
พระราชทานไปยังบุคคลที่เป็นผู้รับพระราชทานนามสกุลทั้ง ๕ สกุลนั้น พร้อมทรงอธิบายถึงเหตุที่ทรงผูกนามสกุลนั้นๆ
ทั้งนี้ นามสกุลพระราชทานในลำดับต้นๆ เป็นนามสกุลที่รัชกาลที่ ๖
๓. หากมีผู้ต้องการขอพระราชทานขนามนามสกุลต้องทำอย่างไร
ตอบ วิธีปฏิบัติคือ ทำหนังสือกราบบังคมทูลพระกรุณาโดยตรงโดยส่งผ่านกรมราชเลขาธิการ พร้อมกับแนบบัญชีเครือญาติตั้งแต่ทวด ปู่ พ่อ จนถึงผู้ขอพระราชทาน หรือหัวหน้าส่วนราชการรวบรวมรายชื่อพร้อมบัญชีเครือญาตของผู้ที่ประสงต์จะขอพระราชทานนามสกุล
แล้วทำหนังสือกราบบังคมทูลขอพระราชทานไปพร้อมกัน จะมีที่พิเศษเห็นจะได้แก่รายเด็กชายบีว อายุ ๖ ขวบ มหาดเล็กรุ่นจิ๋ว ซึ่งคุณ
บัวท่านกรุณาเล่าให้ฟังว่า วันหนึ่งตามเสด็จไปในเรือพระที่นั่งมหาจักรี แล้วจู่ๆ ก็มีรับสั่งถามว่า บัวมีนามสกุลแล้วหรือยัง เด็กชายบัวได้
กราบบังคมทูลว่า "ยัง" ก็เลยได้รับพระราชทานนามสกุลว่า "ศจิเสวี" ซึ่งคำว่า "ศจิ" นั้น คือพระนาม "ศจี" ชายาพระอินทร์ซึ่งทรง
หมายถึง สมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศจี ซึ่งทรงรับอุปกการะ "ลูกบัว" มาตั้งแต่อายุ ๓ ขวบ (บิดามารดาเสียชีวิตไปก่อนแล้ว) ส่วน "เส
วี" มาจากคำว่า "เสวก"
๔. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๖ ทรงพระราชทานขนานนามสกุลทั้งหมดกี่นาม สกุล
และมีนามสกุลใดบ้างที่ไม่โปรดเกล้าฯให้ใช้ในนามสกุล
ตอบ ตามเลขทะเบียนที่บันทึกไว้ใน "สมุดทะเบียฬนามสกุลที่เราให้ไป" เลขทะเบียนลำดับสุดท้ายคือ ๖๔๓๒ แต่ในสมุดทะเบียฬ
นามสกุลนั้นมีนามสกุลที่พระราชทานไปแล้วและโปรดให้ถอนออกจากทะเบียฬอีกหลายสกุล เช่น สกุล "สิวะโกเศศ" ที่พระราชทานนาย
ฉลองไนยนารถ (ยู่เส็ง) เมื่อนายฉลองฯ ต้องพระราชอาญาในคดีแบงก์สยามกัมมาจลฯ ก็โปรดให้ถอนนามสกุลนี้ออกจากทะเบียน
นามสกุล เวลานนท์ พระราชทานวิศวกรชาวเยอรมันที่มาอำนวยการขุดเจาะอุโมงค์ขุุนตาล เมื่อสยามประกาศสงครามกับเยอรมัน มี
พระบรมราชโองการให้ถอดสัญชาติชาวเยอรมันที่โอนชาติเป็นไทย นายเวลเลอร์ วิศวกรเยอรมันจึงโดนถอนสัญชาติกลับเป็นเยอรมันและ
ถูกถูกถอนนามสกุลในคราวนั้น นายเวลเลอร์ถูกส่งตัวไปคุมขังที่อินเดียในฐานะชนชาติศัตรู แต่ไปเสียชีวิตในระหว่างเดินทาง นอกจาก
นั้นยังมีสกุล "ณ พิศณุโลก" ที่พระราชทานแก่หม่อมคัทรินในสมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ ซึ่งมีบันทึกในสมุดทะเบียฬ
นามสกุลแต่่ไม่ลงเลขทะเบียนไว้ กับมีอีกหลายนามสกุลที่เครือญาติต่างคนต่างขอพระราชทานนามสกุลโดยไม่ได้นัดแนะกันเมื่อความ
ทราบฝ่าละอองธึลีพระบาทก็มีพระบรมราชวินิจฉัยให้ใช้นามสกุลหนึ่งและถอนอีกนามสกุลไป กรณีขอนามสกุลซ้ำกันนี้มีตัวอย่างคือ สกุล
อมาตยกุล และเอมะศิริ ซึ่งต่างก็สืบสกุลลงมาจากพระยามหาอำมาตยาธิบดี (ป้อม) แต่พระยามหาเทพกษัตรสมุห (เกษียร) ผู้กราบ
บังคมทูลขอพระราชทานนามสกุลนั้นเป็นทายาทชั้นที่ ๖ เมื่อพระยามนูสารสาตรบัญชา (ศิริ) กราบบังคมทูลขอพระราชทานนามสกุล
จึงทรงทราบว่า พระยามนูฯ นั้นเป็นผู้สืบเชื่อสายมาจากพระยามหาอำมาตยาธิบดี ชั้นที่ ๔ จึงมีศักดิ์เป็นปู่ของพระยามหาเทพฯ หากจะ
ให้ปู่ไปขอใช้นามสกุลน่วมกับหลานก็จะไม่ควร จึงได้พระราชทานนามสกุลให้ใหม่ว่า เอะศิริ โดยเอาชื่อหลวงพิพิธสมบัติบุตรพระยามหา
อำมาตยาธิบดี (ป้อม) รวมกับชื่อ ศิริ ของพระยามนูฯ
นอกจากนั้นยังมีนามสกุลที่พระราชทานแก่พระราชวงศ์ที่สืบสายราชสกุลลงมาจากพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว อีก ๒๔ สกุลที่
มิได้ลงไว้ในทะเบียฬ รวมแล้วนามสกุลที่ทรงคิพระราชทานทั้งหมดมี ๖๔๖๐ นามสกุล
๕. เมื่อได้รับพระราชทานขนานนามสกุลแล้ว ผู้ที่ได้รับพระราชทานเริ่มใช้นามสกุลเลยหรือไม่
ตอบ เมื่อได้รับพระราชทานขนานนามสกุลแล้ว ผู้ที่ได้รับพระราชทานเริ่มใช้นามสกุลได้เลย แต่ต้องไปแจ้งให้นายทะเบียนท้องถิ่นคือ
อำเภอที่มีภูมิลำเนาลงทะเบียนไว้
๖. ประชาชนชาวสยาม ชาวจีน ชาวแขก ทั่วประเทศ
ต่างมีนามสกุลใช้กันครบทุกครัวเรือนได้อย่างไร
และสังคมไทยยุคดังกล่าวตื่นตัวหรือเคอะเขินกับการใช้ชื่อ-สกุลหรือไม่
ตอบ คุณหลวงท่านตอบไว้ชัดเจนแล้วครับ |