สองคนในร่างเดียว

เรื่องที่ 8 : ...เจ้าสามสีหน้ามึน...

ระหว่างเดินทางมาทำงานเมื่อเช้า ฉันก็เดินไปท่าน้ำสะพานกรุงธน เพื่อจะใช้บริการเรือด่วนเจ้าพระยาตามปกติ…และแน่นอนฉันก็มีเรื่องสนุก เล็กน้อยของวันมาเขียนอีกจนได้…

บ้านที่จะพูดถึงนี่เป็นบ้านไม้ชั้นเดียวที่อยู่ติดกับร้านอาหารขนาบน้ำ ที่ท่าน้ำซังฮี้นั่นเอง…บ้านนั้นมี สุนัขอยู่ 3 ตัว เป็นสุนัขพันธุ์ทางทั่วไป… มีสามสีตัวผู้ สามสีตัวเมีย และลูกชาย 1 ตัว สีขาวล้วน เดิมทีฉันก็ไม่ได้สนใจหรอก เพียงแต่ว่า มีอยู่วันหนึ่งฉันสังเกตได้ถึงความผิดปกติของเจ้าตัวลูกสีขาว เพราะมีผ้าพันขาหลังไว้คล้ายเฝือกอ่อนเหมือนจะโดนรถชนจนขาหัก…ตั้งแต่นั้นมาก็เลยได้คุยทักทายเล็กน้อยกับทั้งคนและสุนัขนั่นแหละ

เมื่อปีใหม่ปีที่แล้วฉันได้ซื้อขนมสำหรับสุนัขแวะไปเยี่ยมบ้านนี้ด้วย หลังจากนั้นก็ไม่มีอะไรมากนักสำหรับคน เพราะฉันไม่ค่อยได้เจอกับคนที่เป็นเจ้าของเจ้า 3 ตัวนี้เท่าไหร่ เพราะเวลาที่ฉันผ่านเป็นเวลาที่เขายังไม่ออกจากบ้านมา… หลายคนคงสงสัยว่า แล้วทำไมฉันถึงทักทายสุนัขของเขาได้ตลอด…ก็ขอให้เพื่อน ๆ ที่อ่านได้นึกตามว่าบ้านเขาเป็นบ้านไม่มีบริเวณอะไรเลย ลักษณะคล้ายบ้านไม้ชั้นเดียวเก่า ๆ จะพังมิพังแหล่อยู่แล้ว ตั้งอยู่ริมถนนใต้สะพาน แน่นอนคนพวกนี้เลี้ยงสุนัขตามทางนั่นเอง…

เสน่ห์ของเจ้าสามสีตัวผู้และตัวเมียนี่คล้าย ๆ กัน ตรงที่ว่า ทุกเช้า เจ้าสองตัวนี้จะเดินข้ามสะพานกรุงธน(หรือสะพานซังฮี้) ไปกับเด็ก ๆ บ้านนั้น เหมือนเป็นการส่งเด็ก ๆ ไปโรงเรียน เพราะโรงเรียนของเด็กอยู่อีกฝั่งซึ่งอยู่ใต้สะพานตรงข้ามบ้านพอดี พอส่งเสร็จเจ้าสามสีสองตัวก็เดินกลับมาเฝ้ายามที่บ้านเหมือนเคย

และอีกเหตุการณ์เมื่อเช้า ขณะที่ฉันกำลังเดินไปถึงท่าน้ำ เจ้าสามสีตัวผู้ยืนทำธุระอยู่ ฉันก็ทักตามปกติ ฉันเชื่อแหละว่ามันจำฉันไม่ได้หรอก มีแต่ตัวเมียเท่านั้นที่จำฉันได้ เพราะมักจะเจอกับเจ้าตัวผู้ไกล ๆ เสมอ ๆ

พอฉันทัก มันก็หันมามอง มือฉันก็ล้วงลงกระเป๋าสะพายเพื่อจะหยิบขนมสำหรับสุนัขเพื่อจะแบ่งให้เคี้ยวอร่อยๆ พอให้ ฉันก็กึ่งเดินกึ่งวิ่งหนีออกมา เพราะกลัวมันตาม ฉันเองก็โรคประสาท รู้ทั้งรู้ว่าถ้าให้แล้วหมาจะตาม แต่ก็ยังให้อีก

แน่นอน หมาบางตัวฉลาดกว่าฉัน พอฉันคิดว่าพ้นแล้วก็กำลังนั่งลงที่เก้าอี้ท่าเรือ สรุปฉันได้ยินกระเป๋าท่าเรือไล่หมา… ฉันเงยหน้าไปเห็นฉันขำกึ่งตกใจ ไม่ใช่อะไรหรอก…เจ้าสามสีก็เดินหน้าเนียน ๆ งง ๆ มาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ส่วนกระเป๋าท่าเรือก็ไล่ตามหน้าที่ ก็เพราะไล่ตามหน้าที่นั่นแหละ เจ้าสามสีกลัวที่ไหนหล่ะ หันไปมองหน้ากระเป๋า ฉันเห็นไม่ได้เรื่อง และประกอบกับตัวฉันเองที่เป็นต้นเหตุเลยรับผิดชอบโดยการเดินออกมาจากท่าเรือและพามันไปส่งบ้าน พอเดินออกมาส่งถึงหน้าบ้าน ฉันบอกให้คอยตรงนี้ ทำเสียงดุ ๆ ด้วย พลางชี้นิ้วกำชับอย่างเอาจริงเอาจัง (เพราะเดี๋ยวจะเหนื่อยไปกว่านี้ อากาศก็ร้อน) เจ้าสามสีก็เหมือนจะฟัง แต่ก็เดินตาม เราถอยหน้าถอยหลังพร้อมกันอยู่หลายครั้ง…

จนฉันต้องแกล้งเดินเข้าไปในริม ๆ บ้านของเขา ซึ่งก็เป็นกองใบไม้ใบหญ้า เหยียบไปก็ดังกรอบแกรบ เดินเข้าไปได้ประมาณ 4-5 ก้าว ฉันต้องหยุดชะงักและร้องกรี๊ด ๆ ออกมาแทบจะไม่ทัน ไม่ใช่อะไรนักหรอก ต้นเหตุคือ เสียงตุ๊กแกร้อง ประมาณ 2-3 ตัวได้ คือว่า ฉันกลัวสัตว์เลื้อยคลาน ชนิด งู จระเข้ ตุ๊กแก เป็นต้น

คือจริง ๆ แล้ว ที่ฉันเดินเข้าไปตรงนั้นก็เพราะ บางวันฉันเห็นเจ้าพวกสามสี มันเดินเข้าไปดม ๆ เดินเล่น นอนบ้าง ฉันก็คิดว่ามันจะเดินตามเข้าไปบ้าง … สรุป เจ้าสามสีไม่เดินตามฉันเข้าไปหรอก ได้แต่นั่งมองฉันอย่าง งง ๆ อยู่ตรงฟุตบาท…. เวรกรรมตัวเองเป็นที่สุด..

ตอนนี้ฉันมานั่งนึกหน้าเจ้าสามสี เพราะสีหน้าและนัยตาของมัน มองฉันเหมือนฉันเป็นตัวประหลาดเลย แต่ที่สำคัญฉันก็อดไม่ได้เสียงพี่ตุ๊ก นึกแล้วขนลุกไม่หาย สยองเป็นที่สุด

"อึ๋ยยย!"




 

Create Date : 02 กุมภาพันธ์ 2549   
Last Update : 2 กุมภาพันธ์ 2549 11:26:29 น.   
Counter : 333 Pageviews.  

เรื่องที่ 7 : หนึ่ง จาก ล้าน อารมณ์ ของผู้หญิงคนนี้

เมื่อวานเย็นได้รับโทรศัพท์ ปรึกษาหารือเรื่องสุนัขที่จะโดนพวกท่าแร่มาจับน้องหมาตรงท่าเรือข้ามฟากฝั่งท่าเป็บซี่ เรื่องราวนี้น้องเขาบอกมาอย่างนั้นนะคะ…ฉันเองจะไปสืบเรื่องก็ยังยากอยู่ เพราะมือถือเพิ่งหายไป เบอร์โทรศัพท์ของคนแถวนั้นยังตามกลับมาไม่ครบถ้วนเลย… ได้แต่โทรศัพท์ปรึกษาหารือเพื่อนฝูง และโทรจ้าละหวั่นกับน้องที่โทรมาไม่ขาด…

ทราบว่าน้องเขาได้โทรปรึกษาเพื่อน ๆ พี่ ๆ ในพันทิบ และได้รับความช่วยเหลือและคำแนะนำต่าง ๆ อย่างเต็มที่…และอีกทางหนึ่งน้องเขาได้รบกวนคุณวินมารับสุนัขบางตัวตรงนั้นไปฝากไว้ด้วย… แม้จจะช่วยเอาไว้ไม่ได้ทั้งหมด เพราะจำนวนน้องหมามากเกินขนาดของรถนั่นเอง…

ฉันกับน้องเขาก็คุยกันตลอด… มาขาดการติดต่อที่ยาวสุดก็เมื่อสลบบนเตียงนอน ชนิดเรียกได้ว่ากึ่งหลับกึ่งตื่นนั่นแหละ… พะวง…ห่วงไปหมด พอทราบแล้วช่วยอะไรไม่ได้เต็มที่ก็จะมีอาการอย่างนี้ประจำ…

ตอนแรกที่ทราบเรื่อง บอกตรง ๆ ว่าไม่ตกใจเลยเพราะเป็นเรื่องปกติอย่างมาก…ในประเทศไทย… คนทำงานมันว่างไม่มีอะไรจะทำ ก็มาจับหมา… หางานอะไรทำไม่ได้ก็มาจับหมาแมวไปขาย… หาอะไร กินไม่ได้ก็เอาหมาแมวไปกิน…นี่คือมนุษย์…

เช้าวันนี้ฉันตื่นเช้าผิดปกติ ตื่นง่ายไม่งัวเงีย แต่งตัวออกมาเร็ว จุดประสงค์แรกคือ ไปที่จุดเกิดเหตุเมื่อคืน พอมาถึงที่ท่าฝั่งสาทร แทนที่จะขึ้นรถไฟฟ้าตรงมาทำงาน ฉันก็ เดินไปลงเรือข้ามฟาก เพื่อไปที่ท่าน้ำดังกล่าว พอเหยียบถึงที่… ก็เห็นน้องหมา ยังหลับสบาย… ดูจากจำนวนแล้ว…ที่เดินตรวจตราดูแล้ว… ถ้ามีพวกท่าแร่มาจับหมาจริง ๆ คงจับไปแค่ตัวหรือไม่ก็สองตัว… นั่นหมายถึง น้องหมายังคงอยู่เหมือนเดิม…

เรื่องจำนวนสุนัข ฉันก็ไม่มั่นใจนักหรอก เพราะความจริงแล้วฉันไม่ได้ข้ามมาฝั่งนี้นานแล้ว จะ 2-3 เดือนได้ หรือนานกว่านั้นไม่รู้ จำได้ว่าครั้งสุดท้ายไปกับเพื่อนชื่อนุช….ดังนั้นฉันก็คุ้นเฉพาะกับเจ้าหน้าเดิม ๆ ที่นอนอยู่ประจำนั่นแหละ…

พอพ้นจากตรงที่เรือ เดินออกมา ตามทางที่จะไปสู่ ถนนเจริญนคร… ฉันเจอสุนัขสีขาวนวล ขนยาว มีปลอกคอเป็นโซ่ 1 ตัว วิ่ง หน้าตากังวลอยู่ในสวน.สาธารณะตรงนั้น… ฉันโทรถามน้องเมื่อคืนว่า ใช่ตัวที่เป็นเพื่อนกับตัวที่ไปกับคุณวินหรือเปล่า น้องเขาบอกว่า “ตัวสีครีม ๆ นะคะ น่าจะใช่ค่ะพี่”
ฉันคิดในใจว่า “โถ่ ขวัญคงเสียเน๊อะ… เพื่อนหายหมดเลย…วิ่งอยู่ตัวเดียว” น้องหมาตัวนี้ อยู่รอบ ๆ บริเวณห้องน้ำสาธารณะตรงนั้น…

ระหว่างทางที่เดินออกมา ก็เห็นว่าเขาใช้สถานที่ตรงนั้นจัดงาน สินค้าโอทอป อะไรเนี่ยแหละ…



มองจากหน้างานก็สวยงามดี... คนที่ดูเหมือนเป็นหัวหน้าเดินตรวจตราความเรียบร้อยอยู่...ฉันเองก็เดินเนียนอยู่แล้ว เดินเข้าไปเขาไล่ออกมาก็ออก ไม่ไล่ฉันก็เดินไปเรื่อย ๆ (ทำตัวเหมือนหมานั่นแหละ)


จนเดินมาเรื่อย ๆ จนถึง ทางออกริมถนนเจริญนคร… ก็เจอน้องหมากลุ่มเดิม มาทักทาย….เล็กน้อย…


ระหว่างที่ฉันทักทายกับเด็ก ๆ 2 ชีวิต คนประจำป้อมตรงนั้น เขาก็บอกกับฉันว่า
พี่คนนั้น “เนี่ย… เขาบอกให้มาจับหมาไป”
ฉัน “ใครจะมาจับ”
พี่คนนั้น “ก็เรียกเขามาจับ”
ฉัน “ก็ใครหล่ะที่จะมาจับ เรียกใครให้มาจับ”
พี่คนนั้น “กทม.”
ฉัน “กทม. อีกและ…แหม๋ กทม.เขาทำงานจับหมากันทุกวันเลยเน๊อะ…ฟังเขาพูดมาหรือเปล่าพี่”
พี่คนนั้น “เปล่า ก็คนข้างในเขาบอกมาอย่างนี้ เนี่ยมีจัดงานเขาก็เลยบอกให้จับหมา”
ฉัน “อืม”
ที่ฉันไม่พูดต่อก็เพราะพี่แกก็ไม่ได้ปัญหาหรือต้นเหตุอะไรนักหรอก…แกก็พูดไปเรื่อยกับฉันเพราะเห็นฉันเดินมาทักทายหมาแถวนี้เท่านั้น…แต่ในใจฉันฉุนเอาการ…
บ่อยครั้งที่ พอมีการจัดงานอะไรขึ้นมา… หมาแมวแถวนั้นมักจะได้รับความเดือดร้อนทุกที…. บางที่ หมาแค่ 7-10 ตัว..ก็โอ๊ยยยจะตายเสียให้ได้ “เรียกมาจับ เรียกมาจับ” บอกตรง ๆ ดัดจริตมาก จะผักชีโรยหน้า หรือกะแค่หมา….มันจะมารกลูกกะตามากนักไม่รู้… คิดอยู่แค่ด้านเดียวว่ามันไม่ใช่ที่อยู่ มันไม่ควรอยู่ ไม่สะอาด มันเกะกะ…ปัดโธ่… ถ้ามันมีที่อยู่มันจะต้องมานอนตากยุ่ง เป็นหมาข้างถนนอย่างนี้เหร๊อ… คนพวกนี้ไม่ล้มละลาย ไม่มีที่หลับนอนบ้างไม่สำนึกอะไรหรอก… ความเมตตามันหายไปจากสังคมหมดแล้ว…

บางที่ที่เจอมาก หมาจะถึง 20 กว่าตัว พอจัดงานก็ร่วมมือเก็บหมาแมวเข้าที่อย่างเป็นสัดส่วน น่ารัก น่าเป็นแบบอย่าง… ฉันไม่ได้หมายถึงว่าการเลี้ยงดูปูเสื่อพวกนี้เป็นตัวอย่างที่ดีนักหนา…

วันนี้ฉันมาบ่นจริง ๆ มันอึดอัด… ฉันเองก็มองโลกด้านเดียวเหมือนกันนั่นแหละว่า…กับหมาแมวพวกนี้ เกิดมาทั้งที ก็เหมือนเป็นที่ไม่ต้องการของมนุษย์อยู่แล้ว… อาศัยเพียงหลับนอน กิน ตามทาง รอความเมตตาจากมนุษย์ แต่ก็กลับมาโดน มนุษย์ส่วนน้อย ที่สมองใช้งานไม่เต็มที่ เบียดเบียนจนได้….



แนะนำ สั่งสอนแจนได้เต็มที่ค่ะ ทุกคน




 

Create Date : 31 มกราคม 2549   
Last Update : 31 มกราคม 2549 14:53:34 น.   
Counter : 409 Pageviews.  

เรื่องที่ 6 : ขอยืมไปนอนกอดสักคืนสองคืนได้ไหม??? @^o^@

เหมียวซัง….

เรื่องวันนี้เป็นเรื่องสั้น ๆ สั้นเสียจนแทบจะไม่เป็นเรื่องเลย… แต่มีความหมายมากสำหรับจิตใจของฉัน…

เมื่อวาน ฉันกลับบ้านค่อนข้างดึก…ระหว่างทางเข้าบ้านฉันจะต้องเดินผ่าน บริษัท ๆ หนึ่ง ซึ่งมีบริเวณกว้างจากถนนใหญ่ตรงที่ฉันลงรถเมลล์ ไปจนถึงปากซอยเล็ก ของบ้านฉันพอดี…

ผ่านป้อมยามขนาดกระทัดรัด ซึ่งปกติมี รปภ. อยู่ตลอดเวลา แต่วันนี้แปลก เพราะว่าวันนี้ไม่มีใครอยู่ประจำป้อมนั้น… ที่แปลกไปกว่านั้นก็คือ… มีแมวนอนหมอบอยู่หน้าป้อม เขาหมอบนอนออกมานอกถนน ซึ่งมีรถผ่านไปมา…

แน่นอน ฉันอดใจไม่ได้แน่ ถ้าจะไม่ทักทาย…. ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติมาก ฉันมักจะทักทายหมาเหมียวแปลกหน้าเสมอ ๆ …

นี่คือโฉมหน้าของเหมียวน้อย


ตอนที่ฉันนั่งลงย่อง ๆ ใกล้ ๆ เหมียว เว้นระยะนิดหน่อยพอไม่ให้เขาตกใจ แล้วเรียก

ฉัน “เหมียว ลูก หวัดดีจ๊ะ หวัดดี”
ไม่ทันไร เหมียวมองหน้าฉันแว๊บเดียว..ก็เดินเข้ามาพันแข้งพันขาฉัน แล้วน้องก็เอาขาหน้าแตะขาฉัน เหมือนจะปีนขึ้นตักของฉัน ฉันปล่อยให้น้องทำตามใจตัวเอง และก็สำเร็จตามใจน้องเหมียวนั่นแหละ

ฉัน “โห…นู๋ น่ารักจังเลยลูก นู๋ อยู่ที่นี่เหรอ…”
ฉันก็พูดกับน้องไป มือก็เกาคางสลับกับลูบตัวเขาไปเรื่อย ๆ

ฉัน “ลายนู๋แปลกดีนะลูก และทำไมนู๋เชืองอย่างนี้หล่ะคะ…ดูแมวส้มนั่นสิ… หน้าหางขอดเหมือนตาส้มที่อยู่กะยายปาดัมเลย… ยังไม่เข้มาหาพี่แจนเลย” (คือระหว่างนั้นมีแมวส้มเดินผ่านมาอย่างระแวดระวัง 1 ตัว)


คือระหว่างที่ฉันนั่งยอง ก็พูดคุยกับน้องอยู่อย่างนั้น…. ก็สังเกตได้ว่าน้องท่าทางจะสบายมากเลย…

สบายจนหลับคาตักไปเลย…
แหม่ อยากขโมยไปนอนกอดบ้านสัก 2-3 คืน


อีกภาพ "หลับจริง ๆ"
ฉันเลยต้องนั่งยอง ๆ อยู่ตรงนั้นซัก 10 นาที
ไม่อยากให้น้องตื่นเร็ว….


น่าเอ็นดูจริง ๆ เจ้าเหมียวน้อย…. คราวหน้าออกมารอพี่แจนอีกนะ…




 

Create Date : 25 มกราคม 2549   
Last Update : 27 มกราคม 2549 16:30:59 น.   
Counter : 322 Pageviews.  

เรื่องที่ 5 : นารีพิชิตใจของฉัน

ช่วงหนึ่งหมาจรจัดระแวกบ้านของฉันยังเยอะพอควร แต่ก็อยู่ไม่สิ้นอายุไขไปตามกาลเวลาเพราะ มีมือดีเอาข้าวพร้อมด้วยยาขนานดี ยาชนิดที่ว่า "สัตว์ชนิดใดในโลก ลองได้กินเข้าไป รับรองขึ้นสวรรค์ทุกราย..."

ดังนั้นมันก็ลดลงเรื่อย ๆ บางตัวรอด ก็กลายเป็นหมาเอ๋อไปเลยก็มี...

ช่วงที่หมาเบาบางลง ฉันก็ยังคงดำเนินชีวิตตามปกติเช่นเดียวกับพี่แถวนั้น อีก 2-3 คน คือ แวะทักทาย แบ่งปันอาหารและน้ำบ้าง สลับเวลากันไป...

วันหนึ่งฉันก็ พบกับหมาหน้าใหม่... เพศเมีย สูง ลักษณะเป็นสุนัขผสมทั่วไป สีขาวเยอะหน่อย แซมด้วยสีน้ำตาล แต่ก็ไม่ใจนักหรอกว่ามันจะมีสีอะไรอีก แต่ที่แน่ ๆ เป็นขี้เรื้อนกระจายเป็นหย่อม ๆ สภาพคือกัดและเกา ไปจนทั่วตัว... มายืนเล็มเศษอาหารข้าง ๆ ถังขยะ ที่ผ่านการรื้อมาแล้วจากเจ้าถิ่นตรงนั้น...

ฉันยืนมองอยู่สักพักเพราะจะเกิดอาการ...เอ๋อ...ทุกครั้งที่เจอหมาแปลกหน้า...จนเดินเข้าไปใกล้ ๆ นั่นแหละ ถึงดึงสติได้ว่าควรจะแบ่งข้าวให้หล่อนได้ทานบ้าง...

สำหรับฉันและคนแถวนี้(บางคน) คิดว่า...มาก็ต้อนรับ...ไม่มีปัญหาอะไร... โลกใบเดียวแบ่ง ๆ กันอยู่... ขออย่างเดียวอย่าเกเรกัดคน กัดเด็ก เป็นใช้ได้... เอาตัวรอดให้ได้... ยามเมื่อมีคนรังแก... อย่าสู้ขอแค่นี้... แล้วพวกเธอจะอยู่ได้...(ตอนนั้น ฉันคิดอย่างนั้นจริง ๆ)

พอเจอวันที่ 2 ฉันก็มอบชื่อให้เธอว่า "นารี" เพราะเธอนุ่มนิ่ม น่ารัก แม้จะดูแปลก ๆ เพราะท่าทางเธอดูกลัว ตลอดเวลา อาจเป็นเพราะเจ้าถิ่นด้วยก็เป็นได้ เพราะสโลแกนประจำกลุ่มเจ้าถิ่นตรงนี้ก็คือ "รุมทุกกรณีไม่มีเว้น..."

ที่หลับที่นอนของนารี ก็หลายที่เอาการ เหมือนจะเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ เผื่อกลุ่มเจ้าถิ่นจะงง จะใต้รถคันโน้น รถตรงนี้ หรือแม้กระทั่งเวลาจะชมนกชมไม้ก็ยังดูน่าสงสาร เพราะต้องแอบ ๆ นั่งตามมุมตามหลืบของตึก...ไม่เคยเห็นนารีออกมานั่งเชิดคอ อยู่ริมถนนเช่นตัวอื่นเลย

บางทีเห็นนารีนั่งหลบอยู่หลังถังขยะใบใหญ่ ตัวสั่นงันงก... ไม่รู้ไปเจออะไรมา...

เวลาออกมาหาพวกนี้ บางทีฉันจะเดินออกทางหลังซอยเดินอ้อม เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาไม่แน่นอนเท่าไหร่ ซึ่งตั้งใจอย่างนั้น ฉันแอบทักที่ละตัวสองตัว เพราะบางตัวแถวนั้นก็ยังทะเลาะกัน...เวลากิน...

ฉันมักจะหานารีก่อนตัวใด ๆ เพราะว่า ถือโอกาสที่หมาตัวอื่นยังไม่รู้ว่าฉันจะเดินออกมา... ให้ข้าว ตามด้วยชามน้ำ นารีถึงจะได้กินอย่างสบายใจ ไม่ต้องกินไป เหลียวหลังไป

ไม่นานนัก นารี ก็หายไป... เอาหล่ะสิ คราวนี้ พอให้ข้าวก็รัก ก็ห่วงเป็นธรรมดา... การตามหาก็เกิดขึ้นหล่ะสิ...

ฉันเดินหาไปเรื่อย ๆ ทุกทางที่คิดว่านารีจะไป.. แต่ก็ยากจะคาดเดา... มีอยู่ 2 จุดที่ฉันไม่ได้ไปหา เพราะแน่ใจมาก ว่าไม่มีหมาตัวไหน วิ่งไปทางนั้นแน่ ๆ เพราะเจ้าถิ่นดุกับหมาด้วยกันอย่างเหลือร้าย...

สรุป "ฉันหานารีไม่เจอ"


ฉันเลิกล้มความตั้งใจ...



1 เดือนผ่านไป....ฉันได้มีโอกาสผ่านไปยังจุดหมาดุ ที่ฉันไม่ได้ไปตามหานารี...ฉันพบหมาสีขาว หน้าตาละม้ายคล้ายนารี เดินป้วนเปี้ยนอยู่แถวนั้น รวมกับหมาเจ้าถิ่นตัวเดิม ๆ ที่ฉันเคยเห็น...

ครั้งแรกฉันไม่แน่ใจนักว่าจะใช่นารี จึงนั่งมอเตอร์ไซค์ไปดู 2-3 ครั้ง... จนแน่ใจมากว่าใช่นารีแน่ ๆ แต่ก็ไม่ได้เข้าไปทัก เพราะสังเกตว่า เธอดูไม่มีทีท่าหวาดกลัวเหมือนตอนที่อยู่แถวหน้าปากซอยบ้านฉัน...

ตรงนั้นก็มีคนเลี้ยงหมาจรอยู่ หมาตรงนั้นอ้วนเกือบทุกตัว... ฉันโล่งใจไประดับหนึ่ง แต่ก็ยังแอบไปแสดงความรักบ้างยามดึก...แอบ ๆ ไปเพราะไม่มีคนอยู่... ให้ฉันได้ขัดเขินเวลาคุยกับหมา...

ฉันเห็นสภาพนารี ค่อย ๆ ดีขึ้น ขนขึ้น อ้วนป้าน แต่นัยตายังอ่อนโยนเหมือนเดิม... ปลอกคอเปลี่ยนบ่อย บางทีหน้าหนาวก็มีเสื้อใส่... ส่วนสำหรับที่หลับนอนก็ยังเหมือนเดิมก็คือใต้รถ หรือไม่ก็ริมถนนของซอยนั่นแหละ

เสียดายที่ไม่ได้ถ่ายรูปเมื่อก่อนเอาไว้...แต่ถ้าได้นึกภาพตามที่ฉันเขียนไว้ตอนเริ่ม ก็คงนึกออก ว่า หมาที่กัดและเกาตัวเองจนแดง ๆ เป็นหย่อม ๆ เป็นยังไง

และนี่คือภาพนารีในปัจจุบัน (ยกเว้นปลอกคอ ได้เปลี่ยนไปแล้ว)
ฉัน จอดรถและลงไปทัก "นารี หวัดดีลูก"
นารี ยิ้มหวาน แบบนิ่มนวลเช่นเคย (ในใจอาจจะพูดว่า "ใครวะ")



ฉัน "เป็นไงบ้าง วันนี้ได้กินไก่ไปกี่น่อง"
นารี ดมเท่านั้นที่จะครองโลก (ในใจยังคิดอยู่ว่า "ใครวะ")


ฉัน "เอ๊า ดมอยู่ได้... มา...คนมองใหญ่แล้ว... กินซะนะ เร๊ววว พี่จะไปแล้ว"
นารี ดมขาแข้งฉันอยู่แป๊บดียว เปลี่ยนความสนใจฉันไปที่ตับปิ้ง เธองับและรูดตับปิ้งไปรวดเดียวด้วยความชำนาญ


เห็นไหมว่านารี สวย น่ารัก จริง ๆ ตามที่ฉันได้กล่าวไว้... ไม่ได้เขียนเลิศเลอเกินความจริงแต่อย่างใด

ไม่ว่านารีจะเป็นหมาจร หรือหมาเลี้ยง ก็เป็นหมาที่น่ารักอีกตัวที่ฉันได้พบเห็น

ฉันมานั่งคิดอย่างเข้าข้างหมาจรว่า

"ไม่มีคนรังแก
ไม่มีภัย
แค่ข้าวแค่น้ำ
แค่พื้นที่มุมหนึ่งในโลก
ขอแค่นี้...

แม้ไม่ใช่ทางที่ดีสุด
แต่ก็ไม่ใช่ทางที่แย่ที่สุด"





 

Create Date : 20 มกราคม 2549   
Last Update : 27 มกราคม 2549 16:28:04 น.   
Counter : 490 Pageviews.  

เรื่องที่ 4 : เกือบไปแล้ว(อีกเรื่อง)

เรื่องราวในวันนี้ก็คงจะเริ่มต้นเหมือนเช่นทุกครั้งที่ผ่านมา...คือ... เช้าฉันต้องไปทำงาน ซึ่งเช้าวันนั้นก็จะเป็นเช้าเอาการเหมือนกัน ไม่ได้จะอวดว่ามาทำงานเช้าเป็นนะคะ เพียงแต่ว่ามาเช้าทุกวันค่ะ แต่เฉไฉ ไปทักทายเด็กน้อยริมถนนต่างหาก...

เรื่องนี้ผ่านมาประมาณ 2 เดือนแล้ว ก่อนเรื่องของหมูน้อย ข้างล่างนี้อีก มาเข้าเรื่องกันดีกว่า...

ตอนนั้นเป็นเช้า เวลาประมาณ เกือบ 6 โมงเช้า ยังไม่สว่างดีนัก และก็เช่นเดิม ฉันซิ่งมอเตอร์ไซค์ออกซอย...

พอมาถึงกลางซอย ที่หน้าบ้านบ้านหนึ่ง ฉันเห็นสุนัขตัวเล็กสีดำ พอจะเดาพันธุ์ได้น่าจะเป็นพุดเดิ้ล นั่งอยู่มุมหนึ่งของหน้าประตูบ้าน...

ไม่เอะใจตามเคย...คิดว่ามันคงมานั่งคอยเจ้านายซึ่งคงออกไปไหนมาไหน หรือจับจ่ายตลาดในตอนเช้า ฉันเลยผ่านเลยไป.... แม้ในใจก็คิด ตัดพ้อต่อว่าคนเลี้ยงหมาอย่างนี้ก็เถอะ...

ระหว่างวันฉันก็มีโน่นมีนี่ทำตลอดเวลา หัวสมองไม่เคยหยุดคิด... เลยอาจจะทำให้ลืมไปได้บ้าง แต่พอถึงเวลาที่ฉันมานั่งเช็กเมลล์...ฉันได้รับเมลล์ฉบับหนึ่งของญาติ ซึ่งบอกว่า "ช่วยหาบ้านให้พุดเดิ้ลตัวหนึ่งหน่อยสิ เป็นสีดำ...ฯลฯ" ในใจฉันนึกถึงเจ้าตัวเมื่อเช้าขึ้นมาทันใด...

พอคิดถึงเจ้าตัวนั้นปุ๊บ... ความวิตกจริตของฉันก็เริ่มพุ่งเข้ามาสู่สมอง...

"เอ..ป่านนี้มันจะเข้าบ้านยังหว่า"
"เอ๊ะ แล้วมันอยู่บ้านหลังนี้ ป่าวเนี่ย"
"ตายหล่ะ พื้นตรงที่มันนั่งอยู่ห่างจากถนนแค่ 1 ฟุต มันจะมีพลาดโผล่ออกมามองหาเจ้านายมันไหม"

ต่าง ๆ นา ๆ ที่ จะคิดได้... นี่คือสมองของฉัน บ้าไปเรื่อย ๆ

พอตอนกลับบ้าน... ซึ่งปกติแล้ว ฉันเดินทางไปทำงานอีกทาง แต่กลับอีกทาง...งง ไหมคะ... ไม่ต้องงง ค่ะ ฉันเองก็งงตัวเองมานาน ว่าทำไมถึงได้เดินทางเป็นวงกลมเช่นนี้อยู่จะเกือบ 5 ปีได้... เพิ่งมารู้ตัวเองว่าติดสิ่งเร้าริมทางเช่นเด็กน้อยริมถนน เหล่านี้แหละค่ะ

วันนี้ ฉันกลับทางเดิม นั่งมอเตอร์ไซค์เข้าซอย... ตอนนั้นก็ลืมไปแล้วว่าจะผ่านบ้านเจ้าหมาพุดเดิ้ลสีดำเมื่อเช้า...

เวลานั้นเป็นเวลาประมาณเกือบ 4 ทุ่ม ระหว่างที่ผ่านบ้านหลังนั้นไปนิดหน่อย ฉันได้หันกลับไปมอง ที่ที่ฉันเห็นเจ้าตัวน้อยนั่งอยู่เมื่อเช้า...ภาพที่ฉันเห็นก็คือ..

"หมาพุดเดิ้ลตัวนั้นก็ยังคงนั่งอยู่ตรงมุมหน้าบ้านเหมือนเดิม"

ฉันตัดสินใจบอกให้มอเตอร์ไซค์ วกรถกลับไปจอดหน้าบ้านที่พุดเดิ้ลตัวนั้นนั่งอยู่...

พอลงไปยืนหน้าบ้าน ก็ก้มทักทายเจ้าหมาน้อยทันที ซึ่งเขาก็ตอบรับการทักทายของฉันโดยดี "กระดิกหาง และน้อมหมอบเข้ามา พร้อมกับเลียมือฉันเบา ๆ"

ในใจฉันคิด "โอ้โห... ตายหล่ะตรู เจอหมาน่ารักอีกแล้ว"

"ทำไงดีวะเนี่ย..." คิดซ้ำ...

ตัดสินใจกดกริ่งบ้านนี้ดีกว่า ดึกแล้วก็ดึกเถอะ.. แต่ถ้าหมาอยู่บ้านนี้ก็ต้องเข้าบ้านสิ... แล้วมือฉันก็กดกริ่งประตูบ้าน

กดอยู่ 2-3 ครั้ง มีผู้หญิงคนโผล่หน้าออกมาจากชั้นสองของตัวบ้าน และถามว่า

ผู้หญิง "มาหาใครคะ"
ฉัน "เปล่าค่ะ รบกวนหน่อยนะคะ ทราบว่าดึกแล้ว แต่อยากถามว่า สุนัขที่นั่งอยู่หน้าบ้านนี้ เขาอยู่บ้านนี้หรือเปล่าคะ"
ผู้หญิง "ตัวไหนคะ" พลางชะโงก ยื่นหน้ายื่นตาออกมา

ในใจฉันคิดยังไงก็ไม่เห็นหรอก โถ่...ฉันจึงบอกว่า

ฉัน "รบกวนหน่อยเถอะค่ะ ลงมาดูหน่อยได้ไหมคะ เป็นพุดเดิ้ลสีดำหน่ะค่ะ"
ผู้หญิงเขาก็ตอบว่าค่ะ แล้วก็รีบ กุลีกุจอลงและออกมาดู...

พอเขาเห็นสุนัขพร้อมกับเปิดประตูบ้าน

ผู้หญิง "เฉาก๊วยยย"

เจ้าตัวน้อยก็กระดิกหางดีใจแบบสุดขีด... ย่ำ ๆ เท้า แสดงอาการดีใจ... วิ่งเข้าบ้านนั่นไป...

ฉันมองหน้าผู้หญิงคนนั้น และยิ้ม...

ฉัน "สรุปหมาตัวนี้อยู่บ้านคุณใช่ไหมคะ"
ผู้หญิง "ใช่ค่ะ เขาออกจากบ้านบ่อยค่ะ ที่บ้านจะมีรถเข้าออกบ้านบ่อยมาก ปกติจะเปิดประตูรอทิ้งไว้ให้เขาเข้ามา แต่วันนี้คนที่เข้ามาคงลืมหน่ะค่ะ ขอบคุณมากเลยค่ะ"
ฉัน "ไม่เป็นไรค่ะ ฉันต่างหากที่ต้องขอโทษที่มารบกวนดึกดื่น แต่ว่าว่ากันนะคะ เพราะบังเอิญ เมื่อหกโมงเช้า ฉันก็เห็นเขานั่งอยู่อย่างนี้ พอมานี่จะ 5 ทุ่มอยู่แล้ว ก็ยังเห็นอยู่ที่เดิม คงพอเข้าใจดิฉันนะคะ"
ผู้หญิง "ค่ะไม่เป็นไรค่ะ เออ บ้านอยู่ซอยนี้เหรอคะ"
ฉัน "ค่ะ อยู่สุดซอยใหญ่นี้เลยค่ะ เดี๋ยวคงต้องไปแล้วค่ะ สวัสดีนะคะ"

และฉันก็ไม่ลืมนะคะ ตอนถอยก็หันกลับมาอีกครั้งพร้อมกับเอามือดันประตูที่กำลังปิดไว้นิดนึงและพูดว่า

"แจนเจอพุดเดิ้ลและหมา โดนรถชนคาตามาเยอะ รบกวนเถอะนะคะ อย่าปล่อยเขาออกมาตามลำพังอย่างนี้อีกเลย... ขอร้องหล่ะค่ะ"

ขณะพูดน้ำตาฉันแทบจะไหล...
นี่คือความจริงใจของฉันโดยแท้
ที่อยากให้เขารู้ว่า ชีวิตเล็ก ๆ เหล่านี้มันมีค่ามากแค่ไหนสำหรับคน

มันไม่ใช่แค่หมาตัวหนึ่งเท่านั้น!!!!





 

Create Date : 13 มกราคม 2549   
Last Update : 13 มกราคม 2549 15:17:58 น.   
Counter : 388 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  

Jannyfer
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




เป็นผู้หญิง หลายอารมณ์ เปลี่ยนอารมณ์อย่างเร็วชนิดคนรอบข้างไล่ไม่ทัน... เห็นอย่างนี้ ใจกว้างนะจะบอกให้... ใครโดนโกรธจากเราเนี่ย ซวยโคตร ๆๆๆๆ... 5555
[Add Jannyfer's blog to your web]