Iceicy Blog Dhamma หน้าแรก หลักธรรม ปรัชญา ท่องเที่ยวธรรม เก็บตกธรรม บทสวดมนต์ บทเพลงธรรม เว็บบอร์ด iceicy ไอที ไดอารี่
Link to us:
Group Blog
 
All blogs
 

เรื่องทุกข์ ของพระปีติมัลลเถระ










 





พระไตรปิฏก "ฉบับทางพ้นทุกข์" หน้า ๓๘๓
โดย พระมหาบุญหนา อโสโก


เรื่องทุกข์ ของพระปีติมัลลเถระ


ภิกษุอีกรูปหนึ่ง ชื่อ ปีติมัลลเถระ ครั้งเป็นคฤหัสถ์ท่านถือธงมาเกาะลังกา ถึง ๓ รัชกาล เข้าเฝ้าพระราชาแล้ว ได้รับพระราชานุเคราะห์ วันหนึ่ง เดินทางไปประตูศาลา ที่มีที่นั่งปูด้วยเสื่อลำแพน ได้ฟังนตุมหากวรรค(ในสังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค) ว่า

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย รูปไม่ใช่ของท่าน
ท่านจงละรูปนั้นเสีย รูปนั้นท่านละได้แล้ว จักมีเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข ตลอดกาลนาน
ดั่งนี้แล้วก็คิดว่า มิใช่รูปเท่านั้น เวทนาก็ไม่ใช่ของตน
เขาทำพระบาลีนั้นให้เป็นหัวข้อ แล้วออกไปยังมหาวิหาร ขอบวชบรรพชาอุปสมบท แล้วกระทำมาติกา ให้ทั้งสองคล่องแคล่ว พาภิกษุ ๓๐ รูป ไปยังลาน ณ ตำบลควปรปาลี กระทำสมณธรรม เมื่อเท้าเดินไม่ไหวก็คุกเข่าเดินจงกรม

ในคืนนั้น พรานเนื้อผู้หนึ่งสำคัญว่าเนื้อ ก็พุ่งหอกออกไป หอกก็แล่นถูกท่านถึงทะลุ ท่านก็ให้เขาชักหอกออก เอาเกลียวหญ้าอุดปากแผล ให้เขาจับตัวนั่งบนหลังแผ่นหิน ให้เขาเปิดโอกาส เจริญวิปัสสนา ก็บรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทา พยากรณ์ แก่ภิกษุทั้งหลาย ที่พากันมาโดยให้เสียง ไอ จาม เปล่งอุทานดังนี้ว่า

พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด ที่สรรเสริญกันว่า
เลิศทุกแหล่งล้า ทรงภาษิตไว้ว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย รูปนี้มิใช่ของท่าน
ท่านทั้งหลายพึงละรูปนั้นเสีย
สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ มีเกิด
และเสื่อมไปเป็นธรรมดา เกิดแล้วก็ดับ
ความสงบระงับแห่งสังขารเหล่านั้น เป็นสุข.



Create Date : 13 ธันวาคม 2549    
Last Update : 17 พฤษภาคม 2551 22:59:07 น.
Counter : 1092 Pageviews.  

"ทุกข์ของพระติสสเถระ"พระไตรปิฏก "ฉบับทางพ้นทุกข์"











 


พระไตรปิฏก"ฉบับทางพ้นทุกข์" หน้า ๓๘๑
โดย พระมหาบุญหนา อโสโก

เรื่อง ทุกข์ของพระติสสเถระ



เล่ากันว่า ในกรุงสาวัตถี บุตรของกุฏุมภีชื่อ ติสสะ
ละทรัพย์ ๔๐ โกฏิ ออกบวชโดดเดี่ยวอยู่ในป่า
ที่ไม่มีบ้าน ภริยาของน้องชายท่าน ส่งโจร ๕๐๐ ให้ไปฆ่าท่านเสีย พวกโจรไปล้อมไว้ ท่านจึงถามว่า


"ท่านอุบาสกมาทำไมกัน"
พวกโจรตอบว่า
"มาฆ่าท่านนะซิ"
ท่านจึงพูดขอร้องว่า
"ท่านอุบาสกทั้งหลาย โปรดรับประกันอาตมา
ให้ชีวิตอาตมาสักคืนหนึ่งเถิด"
พวกโจรกล่าวว่าสมณะ
"ใครจักประกันท่านในฐานะอย่างนี้ได้"


พระเถระก็จับหินก้อนใหญ่ทุบกระดูกขาทั้งสองข้าง แล้วกล่าวว่า "ประกันพอไหม" เหล่าโจรพวกนั้น
ก็ยังไม่หลบไป กลับก่อไฟนอนเสียที่ใกล้จงกรม พระเถระข่มเวทนา พิจารณาศีล อาศัยศีลที่บริสุทธิ์
ก็เกิดปีติและปราโมช ลำดับต่อจานนั้น ก็เจริญวิปัสสนา ทำสมณธรรมตลอดคืน ในยามทั้งสาม
พออรุณขึ้น ก็บรรลุพระอรหัต จึงเปล่งอุทานว่า

" เราทุบเท้าทั้งสองข้า ป้องกันท่านทั้งหลาย
เราเอือมระอาในความตายทั้งที่ ยังมีราคะ
เราคิดอย่างนี้แล้ว ก็เห็นแจ้งตามเป็นจริง
พอรุ่งอรุณมาถึง เราก็บรรลุพระอรหัต"


Create Date : 11 ธันวาคม 2549    
Last Update : 17 พฤษภาคม 2551 22:57:51 น.
Counter : 750 Pageviews.  

โอวาท ท่านปรมาจารย์ ตักม้อ








 








โอวาท ท่านปรมาจารย์ ตักม้อ
"ผู้ยิ่งใหญ่ แห่ง วัดเส้าหลิน"
สังฆปรินายกองค์ที่ ๒๘ แห่งชมพูทวีป
และเป็นองค์ที่ ๑ แห่งจีน สมัยราชวงศ์ซ่ง


๑. ...เมื่อละทิ้งความคิดเพ้อเจ้อ
ใจย่อมสุขสงบเอง ตามธรรมชาติ...
"ใจสงบก็คือ ความรู้สึกเหมือนหิน
ตกลงบนพื้นโลกอันกว้างใหญ่..."

๒."...อย่าดำรงชีวิต โดยเกาะแน่น
กับความกลุ้มใจเด็ดขาด.."

๓. หลักแท้ในการบำเพ็ญวิปัสสนาญาณ
ต้องมีปัญญาคอยกำกับ และต้องปฏิบัติตาม
หลัก ๔ ประการขณะบำเพ็ญ คือ
๑.ชดใช้บาป ๒.ตามลิขิตกรรม
๓.ไม่แสวงหาสิ่งใด ๔.ยึดถือธรรม

๔. ...ผจญทุกข์ไม่บ่น รับไว้โดยเต็มใจ...

๕. ถ้าใจเกิดความละโมบ..ทุกข์ตามมาทันที

๖. "..จิตเดิมแท้นั้นคือธรรม..ต้องละทิ้งความคิด
เพ้อเจ้อ ตั้งหน้าปฏิบัติธรรมสู่ความว่าง
ละทิ้งใจที่ตระหนี่ถี่เหนียว"

๗. สวรรค์และนรกต่างก็อยู่ที่ใจ...
อย่าดื้อรั้นถือตัวจนเกินไป...!
๘.หลงและตื่นตัว เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน...
ถ้าไม่หลง ก็ไม่สำนึก!

๙. "ให้เข้าใจความว่าง แต่อย่าหลงความว่าง...
ไม่ยึดมั่น ใจจึงว่าง"

๑๐. "มองดูทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านไปในอดีต
เหมือนภาพในความฝัน...
มองดูทุกสิ่งทุกอย่างในปัจจุบัน เหมือนเป็นฟ้าแลบ..
มองดูทุกสิ่งทุกอย่างในอนาคต..
เหมือนเมฆหมอกที่ล่องลอยอยู่ไปมา.."

๑๑. ..อารมณ์ความคิดทั้งหลายก็ล้วน เกิดดับ..

๑๒. "ไม่ยึดมั่นในเรื่องได้เสีย
จิตที่เป็นทุกข์ จะเป็นอิสระ"

๑๓. "ดำรงชีวิตด้วยใจอิสระ
ไม่ถูกความอยากควบคุม..."

๑๔. "มองเห็นจิตเดิมแท้ของตน"
...นี่คือจุดหมายของวิปัสสนาญาณ

๑๕. ถ้าเราสำคัญสิ่งใดเป็นสิ่งดี และเข้าใกล้มัน
ใจเราเริ่มเอียงเอนแล้ว...

๑๖. ...สนใจธรรมมากเกินไป
ย่อมผูกมัดตนเองไม่มีอิสระ...

๑๗. นักปราชญ์ผู้สร้างประโยชน์แก่มนุษย์
รู้ว่าใจ คือ ธรรม..
...แต่คนโง่เที่ยวแสวงหาธรรม
ไปในที่ต่างๆ อย่างไร้จุดหมาย

๑๘. "ใจ คือ พระธรรม...ดังนั้น
จึงไม่ต้องไปหาพระธรรมนอกใจ"

๑๙. "ถ้าคิดที่จะปฏิบัติธรรม...
ต้องพัฒนาจิตใจให้ยิ่งใหญ่
เกรียงไกรและต้องวางใจ
ไว้นอกเหนือกฎเกณฑ์ที่มีเขตจำกัด.."

๒๐. ...ไม่สนใจจุดยืน
ไม่เป็นผู้ยึดมั่นใดๆ ทำใจสงบสุข..

๒๑. "เพียงอาศัยคำสอน ของผู้มีชื่อเสียง
ไม่ใช่สัจธรรมแท้...ไม่ใช่สัจธรรมแท้..."

๒๒. ...ยึดมั่นในความคิดของตนเกินไป
จะไม่สามารถเข้าถึงพุทธธรรม

๒๓. "รวมทุกข์ กับสุข เป็นอันหนึ่งอันเดียว...
นั่นคือ หนทางแห่งพุทธธรรม"

๒๔. เห็นสรรพสิ่ง แต่ใจไม่หวั่นไหว
สับสน ใจไม่ฟุ้งซ่าน...

๒๕. ...แท้จริง "เกิดกับตาย คือ นิพพาน"
ซึ่งอยู่ ณ กลางใจ..



แปลโดย วันทิพย์ สินสูงสุด
หนังสือ อภิมหามงคลธรรม





Create Date : 29 พฤศจิกายน 2549    
Last Update : 17 พฤษภาคม 2551 22:58:08 น.
Counter : 980 Pageviews.  

พระโอวาท พระอรหันต์จี้กง







 




พระโอวาท พระอรหันต์จี้กง


ชีวิตย่อมเป็นไปตามวิถีแห่งกรรมลิขิต
วอนขออะไร

วันนี้ไม่รู้เหตุการณ์ในวันพรุ่งนี้
กลุ้มเรื่องอะไร

ไม่เคารพพ่อแม่แต่เคารพพระพุทธองค์
เคารพทำไม

พี่น้องคือผู้ที่เกิดตามกันมา
ทะเลาะกันทำไม

ลูกหลานทุกคนล้วนมีบุญตามลิขิต
ห่วงใยทําไม

ชีวิตย่อมมีโอกาสประสบความสำเร็จได้
ร้อนใจทำไม

ชีวิตใช่จะพบเห็นรอยยิ้มกันได้ง่าย
ทุกข์ใจทำไม

ผ้าขาดปะแล้วกันหนาวได้
อวดโก้ทำไม

อาหารผ่านลิ้นแล้วกลายเป็นอะไร
อร่อยไปใย

ตายแล้วบาทเดียวก็เอาไปไม่ได้
ขี้เหนียวทำไม

ที่ดินคือสิ่งที่สืบทอดแก่คนรุ่นหลัง
โกงกันทำไม

โอกาสจะได้กลายเป็นเสีย
โลภมากทำไม

สิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่เหนือศีรษะเพียง 3 ฟุต
ข่มเหงกันทำไม

ลาภยศเหมือนดอกไม้ที่บานอยู่ไม่นาน
หยิ่งผยองทำไม

ทุกคนย่อมมีลาภยศตามวาสนาที่ลิขิต
อิจฉากันทำไม

ชีวิตลำเค็ญเพราะชาติก่อนไม่บำเพ็ญ
แค้นใจทำไม บำเพ็ญไวไว

นักเล่นการพนันล้วนตกต่ำ
เล่นการพนันทำไม

ครองเรือนด้วยความประหยัดดีกว่าขอพึ่งผู้อื่น
สุรุ่ยสุร่ายทำไม

จองเวรจองกรรมเมื่อไรจะจบสิ้น
อาฆาตทำไม

พูดเท็จทอนบุญจนบุญหมด
โกหกทำไม

ดีชั่วย่อมรู้กันทั่วในที่สุด
โต้เถียงทำไม

ใครจะป้องกันมิให้มีเรื่องเกิดขึ้นได้ตลอด
หัวเราะเยาะกันทำไม

ฮวงจุ้ยที่ดีอยู่ในใจใช่ที่ภูเขา
แสวงหาทำไม

ข่มเหงผู้อื่นคือทุกข์ รู้ให้อภัยคือบุญ
ถามโหรเรื่องอะไร

ทุกสิ่งจบสิ้นลงด้วยความตาย
วุ่นวายทำไม

( ที่มา ไทยแวร์ธรรมะ)




Create Date : 27 พฤศจิกายน 2549    
Last Update : 17 พฤษภาคม 2551 22:59:27 น.
Counter : 1148 Pageviews.  

โอวาท ท่านปรมาจารย์ ตักม้อ"ผู้ยิ่งใหญ่ แห่ง วัดเส้าหลิน"










 








โอวาท ท่านปรมาจารย์ ตักม้อ
"ผู้ยิ่งใหญ่ แห่ง วัดเส้าหลิน"
สังฆปรินายกองค์ที่ ๒๘ แห่งชมพูทวีป
และเป็นองค์ที่ ๑ แห่งจีน สมัยราชวงศ์ซ่ง


แปลโดย วันทิพย์ สินสูงสุด
หนังสือ อภิมหามงคลธรรม




๑. ...เมื่อละทิ้งความคิดเพ้อเจ้อ
ใจย่อมสุขสงบเอง ตามธรรมชาติ...
"ใจสงบก็คือ ความรู้สึกเหมือนหิน
ตกลงบนพื้นโลกอันกว้างใหญ่..."

๒."...อย่าดำรงชีวิต โดยเกาะแน่น
กับความกลุ้มใจเด็ดขาด.."

๓. หลักแท้ในการบำเพ็ญวิปัสสนาญาณ
ต้องมีปัญญาคอยกำกับ และต้องปฏิบัติตาม
หลัก ๔ ประการขณะบำเพ็ญ คือ
๑.ชดใช้บาป ๒.ตามลิขิตกรรม
๓.ไม่แสวงหาสิ่งใด ๔.ยึดถือธรรม

๔. ...ผจญทุกข์ไม่บ่น รับไว้โดยเต็มใจ...

๕. ถ้าใจเกิดความละโมบ..ทุกข์ตามมาทันที

๖. "..จิตเดิมแท้นั้นคือธรรม..ต้องละทิ้งความคิด
เพ้อเจ้อ ตั้งหน้าปฏิบัติธรรมสู่ความว่าง
ละทิ้งใจที่ตระหนี่ถี่เหนียว"

๗. สวรรค์และนรกต่างก็อยู่ที่ใจ...
อย่าดื้อรั้นถือตัวจนเกินไป...!
๘.หลงและตื่นตัว เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน...
ถ้าไม่หลง ก็ไม่สำนึก!

๙. "ให้เข้าใจความว่าง แต่อย่าหลงความว่าง...
ไม่ยึดมั่น ใจจึงว่าง"

๑๐. "มองดูทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านไปในอดีต
เหมือนภาพในความฝัน...
มองดูทุกสิ่งทุกอย่างในปัจจุบัน เหมือนเป็นฟ้าแลบ..
มองดูทุกสิ่งทุกอย่างในอนาคต..
เหมือนเมฆหมอกที่ล่องลอยอยู่ไปมา.."

๑๑. ..อารมณ์ความคิดทั้งหลายก็ล้วน เกิดดับ..

๑๒. "ไม่ยึดมั่นในเรื่องได้เสีย
จิตที่เป็นทุกข์ จะเป็นอิสระ"

๑๓. "ดำรงชีวิตด้วยใจอิสระ
ไม่ถูกความอยากควบคุม..."

๑๔. "มองเห็นจิตเดิมแท้ของตน"
...นี่คือจุดหมายของวิปัสสนาญาณ

๑๕. ถ้าเราสำคัญสิ่งใดเป็นสิ่งดี และเข้าใกล้มัน
ใจเราเริ่มเอียงเอนแล้ว...

๑๖. ...สนใจธรรมมากเกินไป
ย่อมผูกมัดตนเองไม่มีอิสระ...

๑๗. นักปราชญ์ผู้สร้างประโยชน์แก่มนุษย์
รู้ว่าใจ คือ ธรรม..
...แต่คนโง่เที่ยวแสวงหาธรรม
ไปในที่ต่างๆ อย่างไร้จุดหมาย

๑๘. "ใจ คือ พระธรรม...ดังนั้น
จึงไม่ต้องไปหาพระธรรมนอกใจ"

๑๙. "ถ้าคิดที่จะปฏิบัติธรรม...
ต้องพัฒนาจิตใจให้ยิ่งใหญ่
เกรียงไกรและต้องวางใจ
ไว้นอกเหนือกฎเกณฑ์ที่มีเขตจำกัด.."

๒๐. ...ไม่สนใจจุดยืน
ไม่เป็นผู้ยึดมั่นใดๆ ทำใจสงบสุข..

๒๑. "เพียงอาศัยคำสอน ของผู้มีชื่อเสียง
ไม่ใช่สัจธรรมแท้...ไม่ใช่สัจธรรมแท้..."

๒๒. ...ยึดมั่นในความคิดของตนเกินไป
จะไม่สามารถเข้าถึงพุทธธรรม

๒๓. "รวมทุกข์ กับสุข เป็นอันหนึ่งอันเดียว...
นั่นคือ หนทางแห่งพุทธธรรม"

๒๔. เห็นสรรพสิ่ง แต่ใจไม่หวั่นไหว
สับสน ใจไม่ฟุ้งซ่าน...

๒๕. ...แท้จริง "เกิดกับตาย คือ นิพพาน"
ซึ่งอยู่ ณ กลางใจ..






Create Date : 10 ตุลาคม 2549    
Last Update : 17 พฤษภาคม 2551 23:00:20 น.
Counter : 1319 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  

lcelcy
Location :
ชลบุรี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




มิถุนายน เดือนดี๊ดี " จุดกำเนิด iceicy's blog Dhamma"
ครบรอบ ๗ ปี แล้วค่ะ"

คนมาจากไหน?
เริ่มจาก เกิด แก่ เจ็บ และก็ตาย
คนก็หายไป !!...แต่ความดีไม่เคยหายไปด้วย..
ทุกคนจำวันเกิดตัวเองได้ไหม... ก็คงจำได้กันหมดอะน่ะ
เคยคิดจะทำอะไรดีดี....
ให้กับตัวเองและคนอื่น..ในวันครบรอบวันเกิดของตัวเองไหมค่ะ?

ตั้งแต่เดือนมิถุนายน ปีพ.ศ. ๒๕๔๙ (๗ ปีได้ผ่านมาแล้ว)
ฉันได้ทำสิ่งที่ชอบ และชอบในสิ่งที่ฉันได้ทำ
สิ่งนั้น คือ " บล๊อกเกี่ยวกับหลักธรรมข้อคิดต่างๆ "
เริ่มจากทำไม่เป็น ลองผิดลองถูก ทำจนสำเร็จ
ทั้งนี้ ขอขอบพระคุณ " กำลังใจ " คนรอบข้าง
และทุกท่านที่เข้ามาเยี่ยม iceicy's blog Dhamma น่ะค่ะ
(ซึ้งน่ะซึ้งน่ะเนี่ย!!!!)
<

วัตถุประสงค์ iceicy blog Dhamma
1. เพื่อเผยแพร่และสนับสนุนส่งเสริมพระพุทธศาสนาให้อยู่คู่กับประเทศไทย
2. เพื่อนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ประโยชน์ในทางพระพุทธศาสนา
3. เพื่อแบ่งปันความรู้ทางพระพุทธศาสนา และแลกเปลี่ยนข่าวสารทั่วไป
4. สรรเสริญบุคคลที่ควรสรรเสริญ ยกย่องบุคคลที่ควรยกย่อง

Google



Link to us:
ท่านสามารถนำ code ของ banner นี้
ไปติดที่เว็บของท่านได้ตามสะดวกน่ะค่ะ
ขอขอบคุณและขออนุโมทนามา ณ ที่นี้ด้วยน่ะค่ะ

Iceicy blog dhamma



New Comments
Friends' blogs
[Add lcelcy's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.