วันวิสาขะวันประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพานของพระพุทธเจ้า ความในพระไตรปิฎก ฉบับประชาชน มีว่า
ครั้นแล้ว..เสด็จเลียบฝั่งนอกของแม่น้ำหิรัญญวดี สู่ป่าไม้สาละของมัลลกษัตริย์ ใกล้กรุงกุสินารา
ให้ตั้งเตียงผินพระเศียรไปทางทิศอุดร ทรงบรรทมมีสติสัมปชัญญะ ตรัสปรารภการบูชา ด้วยการประพฤติธรรมว่ายอดเยี่ยม
นับแต่ทรงประทานเอหิภิกขุอุปสัมปทา ได้ปัญจวัคคีย์เป็น ๕ พระสงฆ์กลุ่มแรก ต่อมาทรงประทานอนุญาตให้สงฆ์บวชกันเอง ด้วยเสียงส่วนใหญ่ ซึ่งเรียกว่า ญัติจตุตถกรรม
จำนวนพระสงฆ์ก็เพิ่มขึ้นมากมาย จนต้องทรงบัญญัติพระวินัย เป็นหลักในการปกครอง
ทรงมีพระดำรัส..สั่งความแก่พระอานนท์ เมื่อเราล่วงลับไปแล้ว สงฆ์ปรารถนา ก็จงถอนสิกขาบทเล็กน้อยเสียได้ สงฆ์พึงลงพรหมทัณฑ์แก่พระฉันนะ คือปล่อยให้ทำอะไรตามชอบใจ ไม่พึงว่ากล่าวตักเตือน
แล้วก็ทรงสั่งความถึงพุทธบริษัท..เมื่อเราล่วงลับไป..ธรรมวินัย ที่เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้ว
จักเป็นศาสดาของท่านทั้งหลาย
ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลาย..ถ้ารูปหนึ่ง..สงสัยเคลือบแคลงในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ในมรรค หรือข้อปฏิบัติข้อใด..ก็ขอให้ถาม
แต่สงฆ์ ๕๐๐ รูปในบริเวณนั้นเป็นพระอริยบุคคลนับแต่พระโสดาบันขึ้นไป ไม่มีรูปใดถาม
เงียบสงัดไปคูร่ใหญ่ ใต้ร่มเงาป่าไม้รัง..ครั้นแล้ว ตรัสว่า
"ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย..บัดนี้เราเตือนท่าน สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม..เถิด"
สิ้นกระแส..ปัจฉิมโอวาท ก็เสด็จดับขันธ์ ปรินิพพาน
แต่พระธรรม...ที่ทรงแสดงไว้ ก็ยังคงธำรงมั่นคงเป็นศาสดา อมตะ สั่งสอนพุทธบริษัท...ถึงบัดนี้
ธรรมะ..ข้อสติปัฏฐาน..จากหนังสือพุทธธรรม ฉบับเดิม ท่านอาจารย์มหาประยุทธ์ สอนว่า องค์หลักธรรมของสติปัฏฐาน ได้แก่ สติ กับ สัมปชัญญะ
สติ..เป็นตัวเกาะจับสิ่งที่พิจารณาเอาไว้
สัมปชัญญะ คือ ตัวปัญญาที่รู้ชัดต่อสิ่งหรืออาการที่ถูกพิจารณานั้น โดยตระหนักว่า คืออะไร เป็นอย่างไร มีความมุ่งหมายอย่างไร
เช่น...ขณะเดิน ก็รู้พร้อมอยู่กับตัวว่า กำลังเดินไปไหน เข้าใจสิ่งนั้น หรือการกระทำนั้นตามความเป็นจริง โดยไม่เอาความรู้สึกชอบใจ หรือไม่ชอบใจ..
เข้าไปปะปนหรือปรุงแต่ง
การปฏิบัติตามหลักสติปัฏฐาน จึงเป็นวิธีการชำระล้างอาการของโรคต่างๆ ที่มีในจิต กำจัดสิ่งที่เป็นเงื่อนปม ถ่วงขัดขวางการทำงานของจิตให้หมดไป
ทำใจให้ปลอดโปร่ง พร้อมดำรงชีวิตอยู่ เผชิญและจัดการกับสิ่งทั้งหลายในโลก ด้วยความเข้มแข็งและสดชื่น
อาจสรุปธรรมะข้อนี้ได้ ด้วยพระพุทธพจน์ต่อไปนี้
ภิกษุทั้งหลาย โรคมีอยู่สองชนิด คือ โรคทางกายและโรคทางใจ สัตว์ทั้งหลายที่ยืนยัน ไม่มีโรคกาย อายุได้ ๒ ปี ๑๐ ปี ๕๐ ปี ถึง ๑๐๐ ปี ก็มีปรากฎอยู่
แต่สัตว์ที่ยืนยันได้ว่า ไม่เป็นโรคทางใจ แม้ชั่วเวลาหนึ่งครู่หนึ่งหาได้ยากในโลก
คัดลอกจาก หนังสือชักธงธรรม
กิเลน ประลองเชิง หน้า ๑๗๓-๑๗๕