Group Blog All Blog
|
ชื่อเล่น หรือ นิคเนม
ชื่อเล่น หรือ นิคเนม
ส่วนใหญ่ทุกคนจะมีชื่อเล่น ที่พ่อแม่หรือปู่ย่าตายายตั้งให้ และใช้ชื่อเล่นเรียกกัน ไม่ว่าจะมียศถาบรรดาศักดิ์ ตำแหน่งใหญ่โตเพียงใด คนที่ไม่มีชื่อเล่นอาจโดนเพื่อนบูลลี่ ตั้งนิคเนมแทนชื่อเล่น ให้ฉายา สมญานาม ชื่อล้อตามรูปร่าง จุดด้อย เพื่อให้เขาได้อับอาย หรือเพื่อให้ชัด ๆ กันไปเลย ว่าลักษณะนี้ต้องเป็นคนนี้แน่นอน แล้วคนที่โดนเรียก ไม่อาจไปบอกหรือขอร้องว่า อย่าเรียกเช่นนั้นเลย ทำได้ไหม ยิ่งกว่ายากเสียอีก ปล่อยไป ช่างหัวมัน จนชินกันไปเอง เพื่อนทุกคนมีชื่อเล่น แม้แต่พี่น้องมีชื่อเล่นด้วย พี่น้องผู้ชายขึ้นต้นด้วย ป ปลา เปี๊ยก ปุ๋ย ป้อม ที่แปลกบ้านลุงฝ่ายพ่อกับแม่มีชื่อ เปี๊ยก กับ ปุ๋ย ทั้งสองฝ่ายเลย เปี๊ยกมี 3 เปี๊ยก พี่ชายเรา เปี๊ยกลูกลุงปรีชาฝั่งพ่อ และเปี๊ยกลูกกู๋เผือกฝ่ายแม่ ส่วยปุ๋ยมี 2 ปุ๋ย เลยสร้อยต่อท้ายว่า ปุ๋ยดำลูกลุง กับปุ๋ยขาวพี่ชายเรา ป้อมไม่มีซ้ำกับลูกพี่ลูกน้อง แต่ซ้ำกับบิ๊กป้อม ผู้ใหญ่โตของเมือง ยกเว้นเราคนเดียวนี่แหละ คนที่ไม่ชื่อเล่น เพื่อนตั้งชื่อเล่นหรือนิคเนมให้เอง จำได้ว่าครั้งหนึ่ง เคยถามพ่อว่า “ทำไมหนูไม่มีชื่อเล่นเหมือนใคร ๆ” “พ่อไม่อยากให้มีผู้ชายมาเรียกชื่อเล่นของลูกพ่อ” พ่อตอบเช่นนั้น หวงลูกสาวตั้งแต่แรกเกิดเลยนะ พ่อคงไม่รู้ว่า การไม่ตั้งชื่อเล่น แล้วเพื่อนคงจะเรียกชื่อเต็มว่า “พรรณี” ตามความคิดของพ่อ แต่ไม่มีใครเรียก “พรร” หรือ “ณี” สักคนเดียว ด้วยเป็นคนผอมแห้งแรงน้อย เหมือนกุ้งแห้ง เพื่อนที่เมรี่เลยใช้สมญานามเรียกแทนชื่อเล่นว่า “แห้ง” สมัยนั้นชื่อเล่นมีคำเดียวโดด ๆ ง่าย ๆ เลยไม่มีใครเรียกกุ้งแห้ง “แห้ง” ในความหมายนี้คือกุ้งแห้งตัวเล็กกระจ๋อยหรอยไร้ราคา ไม่ใช่กุ้งแห้งตัวใหญ่ราคาแพง เมื่อแก่ตัว ไม่ว่ากุ้งแห้งฝอยยังมีราคา ส่วนกุ้งแห้งเบิ้ม คงได้แต่มอง ยิ่งเป็นราคาที่ตลาดเก่าเยาวราชกับในห้าง ต้องมองตาปริบ ๆ เสียดายเงิน ทั้งที่จริงต้องคิดว่า ยังไง ถูกกว่าราคากุ้งสด กว่าจะแห้งได้เท่านี้ต้องใช้กุ้งสดมาก ๆ ชื่อแห้งจึงติดตัวมาจนบัดนี้ พอจบมอต้นมาเรียนต่อมอปลายที่ชลชาย มีเพื่อนจากเมรี่มาเรียนด้วย เพื่อนที่ชลชายเลยเรียกแห้ง พอจบจากชลชายมาต่อปริญญาตรีที่บางแสน มีเพื่อนจากชลชายมาเรียนด้วย เลยชื่อแห้งต่อมาอีก ส่วนปริญญาโทและเอก ไม่มีเพื่อนจากที่เดิมมาเรียนด้วย ชื่อแห้งเลยยุติแต่บัดนั้น ครั้นเนตก้าวหน้าอย่างรวดเร็วมีเฟสบุ๊คและไลน์ ชื่อแห้งเลยวนเวียนมาเตะตาอีก ตอนเรียนแมรี่ จำว่าซิสเตอร์ฟรานซิสเคยบอกเพื่อนในห้องว่า ห้ามเรียกว่าแห้ง เพราะยิ่งเรียกจะยิ่งผอมกระหร่อง ถ้าเรียกเช่นไร จะเป็นเช่นนั้น ฉะนั้นอยากให้ลูกเป็นเช่นไร ควรตั้งชื่อเล่น ชื่อจริงให้เป็นมงคล แต่อย่าตั้งให้สูงศักดิ์เกิน ถ้าบุญไม่มากพอ อาจอายุสั้นหรือชีวิตแย่ลง เช่น บางคนตั้งชื่อลูกว่า ฮ่องเต้ สมัยใหม่ ชื่อเล่นเป็นฝรั่งกันแล้ว ไม่มีหรอก จุ๋ม จิ๋ม แดง ดำ ตุ๊กตา แหม่ม เป็นคีโน่ โคนี่ อันดา อาเล็กซ์ หลุยส์ ตอนนี้แก่ตัว อ้วนมาก น้ำหนักเพิ่มขึ้นจากเด็ก ถึง 20 - 30 กิโลกรัม ถ้าเพื่อนจะเรียกแห้ง คงไม่เป็นกระไร จะได้ผอม ๆ พอได้เป็นดอกเตอร์ เพราะจบปริญญาเอกแล้ว ส่วนใหญ่คนรอบตัวจะเรียกเต็มยศว่า ดร.พรรณี เป็นการให้เกียรติ แต่มีบางคนเรียก “อีด๊อก” พร้อมเสียงหัวเราะ ตอนนี้คนเรียกไปอยู่บนสวรรค์ ถ้ายังเหยียดคนเช่นนี้ อาจตกสวรรค์นะ รายการนี้คิดเองแล้วกันว่า ผู้พูดคิดเช่นไร อาจสนุกที่ได้พูด หรือเหยียดเล็กน้อย เพราะคิดว่าตนจบจากสถาบันดังกว่า แต่ไม่มีโอกาสจบสูง ปกติไม่คิดมากเรื่องชื่อ เพราะเป็นคนมั่นใจในตน ใครจะเรียกชื่อเช่นไร ตามใจพี่ท่านเลย และจะได้รู้ว่า ผู้ที่กำลังพูดด้วย ตีค่าเราไว้ในสถานะใด ให้เกียรติหรือเหยียดหยาม รู้เช่นเห็นชาติกันตรงสรรพนามที่เขาเรียก แม้แต่ถ้อยคำภาษาที่ใช้ บ่งบอกถึงการยกในที่สูง หรือกดให้ต่ำเตี้ยเรี่ยดิน อยากเป็นมิตรกับใคร ยกย่องให้เกียรติผู้นั้นเสมอด้วยนะ จำไว้ ไม่มีใครอยากคบกับคนที่ไม่ให้ราคากับความเป็นตัวตน วันนี้ เขาอาจไม่มี แต่วันหน้าอาจมากมี ร่ำรวยเงินทอง หรือยศศักดิ์สูงกว่า ชีวิตคนมันบ่แน่ดอกนาย ทุกคนเป็นมิตรต่อกันได้ จากวันนั้นถึงวันนี้
จากวันนั้นถึงวันนี้
เด็กหญิงผอมแห้งแรงน้อยตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งถือกำเนิดและเติบโตมาที่หน้าวัดใหญ่ พอเติบใหญ่ขึ้นมาย้ายไปหลายถิ่นหลายที่ สุดท้ายจะไปอยู่ที่ใดยังไม่รู้เลย วัดใหญ่อินทาราม อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี เป็นแหล่งถิ่นที่อยู่สมัยเด็ก ความทรงจำจากประสบการณ์ทั้งหลายทั้งมวลคงเริ่มต้นที่นี่ ที่ที่หล่อหลอมจนกลายมาเป็นตัวตนในวัยต่อมา วัดมีอยู่ทุกหนแห่ง ชีวิตคนไทยคงไม่พ้นและห่างไกลจากวัดหรอก เมื่อโตขึ้น เรียนจบปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ บางแสนได้รับราชการเป็นครูตรี โรงเรียนชลบุรี “สุขบท” บริเวณวัดเขาบางทราย ต่อมาย้ายไปอยู่กับครอบครัว สามีทำงานที่กระทรวงสาธารณสุข ได้เป็นอาจารย์ 1 โรงเรียนเบญจมราชาลัย บริเวณวัดสุทัศน์เทพวราราม อีกนานหลายสิบปี ย้ายมาสอนที่โรงเรียนสตรีวิทยา ห่างจากที่เดิม 3 ป้ายรถเมล์เท่านั้น เหตุผลมีเยอะแยะ จำไม่ได้ โรงเรียนอยู่ใกล้วัดบวรนิเวศ ทั้งวัดใหญ่อินทาราม วัดเขาบางทราย วัดสุทัศน์เทพวราราม วัดบวรนิเวศ ล้วนแล้วแต่เป็นวัดใหญ่โต มีชื่อเสียงระดับประเทศ สงสัยว่า ชาติก่อนคงได้ทำบุญมาพอควร จึงมีโอกาสใกล้ชิดวัดดัง ๆ ส่วนบ้าน ตั้งแต่ย้ายมาอยู่กรุงเทพ บ้านติดวัดเพลงวิปัสสนา ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่อีกเช่นกัน น่าจะต้นกรุงรัตนโกสินทร์ พ.ศ. 2375 โดยกรมหลวงรักษ์รณเรศ โปรดให้เจ้ากรมปลัดขำ สร้างวัดฝ่ายวิปัสสนาธุระขึ้น เดิมเป็นสวนผักของชาวจีน และพระเจ้าตากสินเคยเสด็จมา ชาวบ้านมาร้องเพลงถวาย เลยได้ชื่อว่า วัดเพลงวิปัสสนา โบสถ์เก่าเริ่มผุพัง จึงสร้างโบสถ์ใหม่มาทดแทน จากอนุบาลจนถึงมัธยมต้น ป้าอุไรหรือที่เราเรียกติดปากว่าป้าอาโก เป็นพี่สาวของพ่อ เมื่อแม่เรียก อาโก ลูก ๆ จึงเรียกป้าอาโก ป้าเปิดร้านชื่อเจริญดีขายหนังสือ ขายหลายอย่าง คงเหมือนร้าน 7 - 11 ปัจจุบัน ร้านของป้าใหญ่โตและคงดีที่สุดในยุคนั้นของเมืองชล อยู่ใกล้ตลาดบน เมื่อนักบวชจากนิกายคาทอลิคคิดจะตั้งโรงเรียนเด็กผู้หญิง คงได้ติดต่อกับป้าเพื่อจำหน่ายหนังสือหรืออุปกรณ์ต่าง ๆ พร้อมกับให้ช่วยหาเด็กไปเรียน การทำธุรกิจหรือทำมาหากินจำเป็นอย่างยิ่งต้องมีเครือข่าย เพื่อนสนิทมิตรสหายที่จะได้ช่วยเหลือเกื้อกูลกันด้วยใจจริง วันแรกที่เปิดรับสมัคร เราและลูกหลานของป้าจึงไปสมัครเป็นกลุ่มแรก เราได้เลขประจำตัว 10 ของโรงเรียนเมรี่อิมมาคูเลตคอนแวนต์ Mary Immaculate Convent จากวันนั้น จนจบชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น ม.3 เรียนเมรี่มาตลอด ค่าเทอมคงแพงกว่าพี่น้องเพราะบางเทอมแม่บ่นปวดหัวจิ๊ด หาเงินค่าเทอมไม่พอ ซิสเตอร์ต้องส่งใบเตือนว่า จ่ายค่าเทอมได้แล้ว นี่แปลว่า แม่ไม่มีเงิน จำว่าค่าเทอม 385 บาทกระมังแพงมาก ๆ ในสมัยนั้น เพราะเรียนที่นี่ ทำให้เข้าใจว่าโรงเรียนเอกชนที่มีแม่ชีคริสต์นั้น ทำให้ลูกศิษย์เก่งกล้าทุกคน โดยเฉพาะในรุ่นของเรา รุ่น 5 ของเมรี่ ที่กล้าพูดเต็มปาก หลังจากได้รวมตัวกันเมื่อกระแสโซเชียลวิ่งเร็วจนเพื่อนเลยวัยเกษียณแล้วได้มาพบปะและพูดคุยถามไถ่กัน เพราะ Line แท้ ๆ ณ ที่แห่งนี้ จึงสร้างตัวตนที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตนของเราในกาลต่อมา ถึงแม้ว่าฐานะทางการเงินอาจต่ำเตี้ยเรี่ยดินกว่าเพื่อน ๆ ด้วยรับราชการ แต่ตำแหน่งทางราชการนับว่าสูงเด่นไม่อายใครได้เลย อาจารย์ 3 ระดับ 9 ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์สายที่ 3 สาขาแนะแนว คนแรกของประเทศกระมัง แถมจบปริญญาเอกสาขาการวิจัยและพัฒนาหลักสูตร มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร เรื่องที่คุยได้เสียงดัง คงเรื่องเรียนกับตำแหน่งหน้าที่การงาน เรื่องมั่งมีทรัพย์สินคงยาก รับราชการครู ไม่มีโอกาสรับเงินจากใคร ได้แค่นี้ ต้องยกนิ้วให้แล้ว ใช่ไหม เมื่อคุยกับเพื่อน ๆ งดคุยโอ่เรื่องเงินจะได้ไม่อายปาก เพราะอะไรน่ะหรือ เพราะการอบรมเลี้ยงดูในวัยเด็กสร้างสังคมประกิต socialization หล่อหลอมและก่อเกิดเป็นอุปนิสัยที่ติดตัวมาจนตลอดชีวิต นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่ผู้มีอันจะกินทั้งหลายยอมเสียเงินทองมากมายให้ลูกหลานได้เรียนในโรงเรียนที่ค่าเทอมแพงหูฉี่ด้วยคิดว่า เป็นโอกาสอันดีเพื่อสร้างนิสัยที่ดีงาม มีเพื่อนฝูงที่มาจากครอบครัวในสถานะทางสังคมเดียวกับตน ที่อาจจะคอยอุปถัมภ์ค้ำจุนในอนาคตที่จะตามมา การศึกษาคือการลงทุน คือการหล่อหลอมชีวิตจิตใจ จิตวิญญาณ ถ้ามีลูกหลาน คงต้องยอมเสียเวลาที่เขายังเป็นเด็กตัวเล็ก ๆ พูดอะไรเขาจะฟังและทำตาม และสร้างนิสัยที่ติดตัวได้จวบจนตลอดชีวิตของเขาทีเดียว มีลูกหลาน ยอมทุ่มเท เมื่อเขายังเล็ก อย่าคิดว่าเด็กเล็กไม่รู้เรื่อง จำความไม่ได้เป็นอันขาด พอเป็นวัยรุ่น สิ่งที่อบรมบ่มเพาะจะเป็นเกราะปกป้องคุ้มกันภัยให้เขาได้ เคยมีหนังสือชื่อ รอให้ถึงอนุบาล ก็สายเสียแล้ว แต่อยากเสริมว่า ไม่สายหรอก แต่ให้เน้นมาก ๆ ตั้งแต่แรกปฏิสนธิจนถึงวัยรุ่น และอบรมพูดคุยได้ตลอดชีวิตของพ่อแม่ แต่ด้วยทีท่าที่แตกต่างออกไปนะ #วัดใหม่พระยาทำชลบุรี
#วัดใหม่พระยาทำชลบุรี
วัดใหญ่กับวัดใหม่ติดเขตแดนกัน เหมือนเพื่อนบ้านที่มักไม่ค่อยลงรอยกัน วัดใหญ่นั้นใหญ่โตเขาว่ากษัตริย์เป็นผู้สร้างสมัยอยุธยา และพระเจ้าตากสินเคยเสด็จมาประทับ ส่วนวัดใหม่เป็นเพียงพระยามาสร้างและชาวบ้านช่วยระดมทุนสมทบ จึงต่างกัน แต่มันไม่ใช่สาเหตุหลักหรอก เป็นเด็กไม่รู้อิโหน่อิเหน่ รู้แต่วันดีคืนดี เขากั้นรั้วไม่ให้เดินจากวัดใหญ่ไปวัดใหม่ซะแล้ว แทนที่จะเป็นทางลัด กลับต้องเดินออกมาทางถนนแล้วเข้าหน้าวัดใหม่ ทำให้ไกลขึ้นอักโขสำหรับเท้าเล็ก ๆ ก้าวได้ไม่ยาว มีแต่คนสร้างวัด บอกแล้วคนไทยแต่ก่อนที่มีเงินทองมากเหลือเก็บจะสร้างวัดเพื่อเป็นบุญใหญ่ติดตัวไปชาติหน้า ไม่เข้าใจทำไมสร้างวัดติด ๆ กัน เมื่อมีวัดใหญ่แล้ว ทำไมต้องสร้างวัดใหม่เพิ่ม ส่วนใหญ่เราเรียกแค่วัดใหญ่ ไม่เคยเรียกชื่อเต็ม วัดใหญ่อินทาราม และเรียกวัดใหม่แทนชื่อเต็มวัดใหม่พระยาทำ ใคร ๆ เรียกชื่อเล่นมากกว่าชื่อจริงกันทั้งนั้น ไม่เว้นแม้แต่ชื่อคน ชื่อเล่นนั้นสำคัญนักเพราะใคร ๆ ก็เรียกขาน ความเป็นเด็กจะคุ้นเคยวัดใหญ่ เพราะบ้านอยู่ตรงข้ามวัดใหญ่ แต่เคยไปวัดใหม่ เพราะมีเพื่อนเรียนในบริเวณวัดใหม่ รั้ววัดใหม่จะติดกับฝั่งเมรุของวัดใหญ่ ตอนเด็ก ๆ สามารถเดินจากวัดใหญ่ไปวัดใหม่ได้เลย ทำไปทำมา ทำไมจึงกั้นรั้วซะก็ไม่รู้ได้ เขตรั้วติดกัน แต่ต้องกั้นเขตแดน กีดขวางทางเดินสัญจร ที่วัดใหญ่ จำได้ว่า สามารถเข้าออกได้หลายทาง มีอยู่ช่วงหนึ่ง กั้นทางออกฝั่งถนนตรงโรงไฟฟ้าเก่า ถนนอัครนิวาส ได้ยินเขาพูดกันว่า มีผู้หญิงแอบมาหาพระตอนดึก ๆ เจ้าคุณไพโรจน์เจ้าอาวาสสั่งปิดซะเลย ส่วนวัดใหญ่กับวัดใหม่ ไม่รู้ความว่าเกิดเหตุอันใด หรือเห็นคนเดินไปเดินมา เป็นแค่ทางผ่าน วุ่นวาย เจ้าคุณคงคิดว่า กั้นอาณาเขตวัดให้ชัดเจน รั้วรอบขอบชิด สองวัดนี้นับเป็นเพื่อนบ้านกัน แต่ปิดเส้นกั้นระหว่างกัน ด้วยเหตุจำเป็นอันใด ตอนนั้นยังเด็ก ไม่รู้เรื่องและเหตุผล รู้แต่ทำให้เราลำบากมากขึ้น ด้วยวัดใหม่มีโรงเรียน 2 โรงคือ โรงเรียนพัฒนศิลป์ หมวยนิเรียนที่นี่ กับโรงเรียนเฮงฮ่าง สอนภาษาจีน แต่โดนสั่งปิดสมัยรัฐบาลกลัวจีนคอมมิวนิสต์ มีอยู่สมัยหนึ่งที่ไทยกลัวคอมมิวนิสต์มาก ๆ ในโรงหนังมีโฆษณาว่าที่จีนเอาคนไปแทนควายไถนา ให้คนกลัว นับประสาอะไรที่จะปล่อยให้สอนภาษาจีน ซึ่งอาจสอดแทรกลัทธิคอมมิวนิสต์ อะไร ๆ มันก็ไม่แน่ เมื่อกาลเวลาเปลี่ยนไป แรกเริ่ม ไทยจีนนับเป็นพี่น้องกัน คนจีนอพยพมาไทยมาเยอะ ตอนกลัว สั่งห้ามทุกอย่างที่เกี่ยวข้องจีน ภาษาจีน ตอนนี้อี๋อ๋อกับจีน ยิ่งกว่าญาติสนิท เพราะจีนเป็นมหาอำนาจ เมื่อต้องไปกับหมวยนิ ทำให้ต้องเปลี่ยนเส้นทางเดิน อ้อมไกลไปอีก ลานวัดใหม่ ส่วนหนึ่งคือสนามบาส ข้าง ๆ สนามจะมีแผงเล็ก ๆ ขายเส้นหมี่ลวกใส่ถั่วงอกใส่น้ำจิ้มราดเป็นซีอิ๊วดำ อร่อยมาก จานเล็ก ๆ จานละ 1 สลึง หรือ 25 สตางค์ เด็กรุ่นหลังไม่รู้จักคำว่าสลึง มารู้ภายหลังว่า คนขายเป็นยายของเพื่อน ทำอร่อยที่สุด ที่สำคัญบ้านนี้ลูกหลานสวยงาม ระดับดารานักแสดงชั้นนำของเมืองไทย #วิ่งควายที่วัดใหญ่ชลบุรี
#วิ่งควายที่วัดใหญ่ชลบุรี
สมัยก่อนวิ่งควายกันที่หน้าวัดใหญ่ ที่บ้านเป็นร้านเสริมสวยอยู่ฝั่งตรงข้ามวัด จึงมีโอกาสเห็นควายมากมายมาเดินหรือวิ่งในช่วงใกล้วันออกพรรษา ทั้งที่ตั้งใจดูหรือไม่ตั้งใจจะได้เห็นควายแต่งตัวกันแปลกตาแน่นอน ถามว่ามีคนมาดูมากมายกันไหม ทั้งจากบ้านไร่ และแถวตลาดแห่แหนกันมาดู ทำให้เจ้าของควายยิ่งอยากมาโชว์ หนุ่ม ๆ บ้านไร่เจ้าของควายแต่งตัวโก้อวดสาว ๆ ในเมือง ถือแส้สวยตีควายให้วิ่งโชว์ วิ่งควายในวันนั้นไม่เหมือนกับประเพณีวิ่งควายในวันนี้ที่จัดงานกันอย่างเอิกเกริก มันต่างกันมาก แบบไหนสนุกกว่ากันคงตอบไม่ได้ วันนี้ให้แข่งกันอย่างจริงจังที่หน้าศาล ออกข่าวเชิญชวนว่าเป็นประเพณีท้องถิ่น มีแห่งเดียวในไทย คนต่างชาติต่างถิ่นมองเห็นเป็นของประหลาดจึงมาดูวิ่งควายกัน เมื่อถึงวันวิ่งควาย แถวหน้าบ้านจะมีคนแปลกหน้าต่างถิ่นมากพอควร ไม่ได้ตั้งใจยืนดูแห่อาจเดินไปเดินมา เพราะไม่ได้มีขบวนแห่ ควายไม่ได้วิ่งแข่งกัน แต่มันจะเดินไปเดินมา คนขี่ควายที่หนุ่มแน่นจะให้ควายวิ่งโชว์ แข่งกันเองระหว่างหนุ่มต่างถิ่น เลยเรียกกันว่า วิ่งควาย วันนี้ควายแต่งตัวสวยตามใจคนขี่ควาย มีผ้าแพรสีสดใส ชมพูสด เขียวแดงเหลือง มีดอกไม้ประดับตกแต่ง ไม่รู้ว่าควายจะรู้ตัวไหมว่าวันนี้มันได้เป็นพระเอกนางเอกมีคนคอยจ้องมอง มันจะชอบหรือรำคาญ มันไม่เคยบอกใครและคงบอกไม่ได้ มีควายมากมายจากท้องไร่ท้องนามาอวดโฉมที่ตลาด ตัวดำอ้วนพีเชียว ส่วนตัวผอมกะหร่องคงไม่มีทางได้มาหรอก เจ้าของเตรียมอาบน้ำอาบท่าแต่งโฉมให้เด่นสะดุดตาที่สุด ใครเห็นจะได้หันมามองและเอ่ยปากชม ที่รู้สึกไม่ชอบคือคนขี่ควายจะมีแส้คอยหวดให้ควายวิ่ง ไม่เหมือนโคนันทิวิศาลที่ใช้การพูดจาไพเราะก็วิ่งแข่งจนชนะ ควายจะเจ็บไหม บางคนบอกมันหนังหนาคงไม่เจ็บเท่าไรนักหรอก สิ่งที่จดจำได้คือกองขี้ควายเต็มเกลื่อนหน้าบ้าน แรก ๆ กองขี้จะสวยเหมือนขนมเค้ก กลมโตเนียน สักพักควายตัวอื่นเดินมาเหยียบ เละตุ้มเป๊ะสิครับ ส่วนกลิ่นไม่ต้องพูดถึง พอบ่ายคล้อยเท่านั้นทั่วทั้งท้องถนนเละไปด้วยขี้ควายเหม็น ๆ แม่เล่าว่าที่มีวิ่งควายเพราะมีเปรตมาก่อกวน ชาวบ้านกลัวเปรตมากเลยต้องมาทำบุญวันออกพรรษา สมัยนั้นควายเป็นสัตว์ใหญ่ประจำบ้านที่ใช้เดินทางมาทำบุญที่วัดใหญ่ของเมือง ทำไม ใคร ๆ ต้องมาทำบุญที่วัดใหญ่ก็ไม่รู้ อาจเป็นเพราะเป็นวัดใหญ่ที่มีมาแต่สมัยอยุธยา เป็นที่ชุมชนของชาวบ้านร้านถิ่น เมื่อถึงเทศกาลทำบุญใหญ่จึงมาที่นี่แทนวัดเล็ก ๆ ข้างบ้าน เพราะมีที่มาจึงมีที่ไป ใช่ว่าจะเกิดมาโดด ๆ ที่จะเขียนเล่าต่อไปนี้มาจากเนต แต่ไม่ตรงกับที่รู้สักเท่าไร ก่อนออกพรรษา 1 วัน วัดใหญ่จัดงานเทศน์มหาชาติ โดยใช้ควายมาเทียมเกวียนและตกแต่งเกวียนให้แลดูสวยงาม ซึ่งเราไม่เคยเห็น แต่เป็นไปได้ว่าชาวบ้านมาวัดเพื่อติดกัณฑ์เทศน์ ด้วยวัดใหญ่เป็นที่ที่ชาวไร่ชาวสวน นำผลผลิตของตนบรรทุกเกวียนมาขาย เลยเรียกว่า “ท่าเกวียน” ที่ท่าเกวียนห่างจากวัดใหญ่เยื้องไปทางซ้ายมือ เป็นแหล่งขายข้าวหน้าเป็ด เป็ดพะโล้ เมื่อเกวียนเหล่านี้มาพร้อมรวมกันที่วัด โดยมีเกวียน 13 เล่ม (13 กัณฑ์) มีควายที่ใช้เทียมเกวียน 26 ตัว ชาวบ้านในเมืองและชาวไร่ ชาวนา ต่างเมือง ก็มาร่วมบุญกุศลติดกัณฑ์เทศน์กันเป็นจำนวนมาก ส่วนเจ้าของควาย จะนำควายของตนไปอาบน้ำที่สระภายในวัด ตรงนี้ไม่น่าจริง เพราะสระน้ำนี้เป็นสระขุด ต้องเดินลงบันไดไปหลายขั้นอยู่ ถ้าให้ควายลงไปคงไม่สะดวก และสระน้ำคงเหม็น เพราะไม่ใช้สระตามธรรมชาติแต่เป็นสระขุดสี่เหลี่ยม เมื่อมีคนนึกสนุกท้าผู้อื่นขี่ควายแข่งขันประลองฝีเท้าควายขึ้นมา โดยเริ่มจากท่าเกวียนจนถึงวัดกลางบริเวณต้นเลียบ เพื่อความสนุกสนานและเพื่อทดสอบความแข็งแรงของควาย ตรงนี้ไม่แน่ใจเพราะเห็นแต่วิ่งแถวหน้าวัดใหญ่ เราเป็นเด็กไม่รู้ว่ามันวิ่งไปถึงวัดกลางจริงหรือไม่ ส่วนที่ว่าวัดใหญ่จัดงานเทศน์มหาชาตินั้นจริงอยู่ แต่จัดตรงศาลาริมถนน เป็นร้านขายอาหารตอนกลางวัน เมื่อได้เป็นเจ้าของกัณฑ์ จะได้อีกทุกปี จนครบ 13 กัณฑ์ ผู้คนมาทำบุญและฟังเทศน์ ไม่ได้มากมายนักภายในโบสถ์ เราเคยไปนั่งเฝ้ากัณฑ์เทศน์ด้วย ส่วนใหญ่คนทำบุญฟังเทศน์จะหย่อนเหรียญ หรือธนบัตรทำบุญ ไม่ได้เอิกเกริกใหญ่โต และไม่เคยเห็นที่เนตบอก ควายแต่งกัณฑ์เทศน์มาด้วย ตามเนตบอกว่ามีพิธีสู่ขวัญควาย เพื่อแสดงความเมตตาธรรม กตัญญูรู้คุณต่อควาย จัดขบวนแห่ควายเทียมเกวียนเครื่องกัณฑ์เทศน์ 13 กัณฑ์ (ขบวนเกวียนกัณฑ์) รอบเมืองชลบุรี มาที่วัดใหญ่อินทาราม ที่โด่งดังเห็นแต่วิ่งควายแข่งกันจริงที่หน้าศาลมีคนไปดูกันมากมาย เกริ่นนำสักนิด
เกริ่นนำสักนิด
เรื่องราวของเด็กหญิงที่เกิดมาในยุคเจนบีหรือยุคที่เด็กเกิดมาเต็มบ้านเต็มเมือง หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ที่ผู้คนล้มตายลงมากมาย การสร้างเมืองใหม่ให้เจริญ จำเป็นต้องอาศัยพลเมืองจำนวนมาก และโลกจะสดชื่นแจ่มใส ควรมีเสียงเด็ก ๆ ที่น่ารัก เพื่อลืมความหลังอันโหดร้ายช่วงสงคราม เด็กยุคเจนบีจึงมีมากมายที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ และเป็นไปตามความคาดหวังว่า สามารถสร้างโลกใหม่ให้เจริญงอกงามในทุกด้าน โดยเฉพาะในช่วงที่มีลูกหลาน เทคโนโลยีเปลี่ยนโลกให้แคบแค่ลัดนิ้วมือเดียว ชีวิตของเด็กที่เกิดมาในช่วงที่มีการเปลี่ยนถ่ายทางสังคม และความเจริญก้าวกระโดด ควรได้บันทึกไว้ให้รุ่นหลังได้โจษจานถึงสิ่งที่ได้เคยเกิดขึ้น และเปลี่ยนโลกได้ทั้งใบจริง ๆ ถึงแม้เรื่องที่เขียนนี้ เป็นเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งของมนุษย์ยุคเจนบีก็ตาม คงได้สาระประโยชน์บ้างหรอกน่า เด็กหญิงตัวเล็ก ผอมแห้งแรงน้อย เพื่อน ๆ จึงเรียกเธอว่า “แห้ง” และคำนี้จึงกลายเป็นชื่อที่เพื่อน ๆ เรียกจนแก๋เฒ่าเหลาเหย่ และอ้วนตุ๊ต๊ะแล้วก็ตาม เธอไม่ได้เป็นตัวแทนของเด็กหญิงทั้งหมด แต่คือส่วนหนึ่งเท่านั้น อย่าคิดมาก คำสำคัญที่เกี่ยวข้อง ปูพื้นฐานให้เข้าใจ #Developmental Psychology #Mindset #How to #Gen B Baby Bloomers #Disruptive Era #Developmental Psychology จิตวิทยาพัฒนาการ วิชาที่เกี่ยวข้องกับพัฒนาการที่เป็นระบบระเบียบ สามารถคาดคะเนได้ เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ก้าวหน้าของบุคคล อันเป็นผลมาจากวุฒิภาวะและประสบการณ์ ซึ่งเกิดขึ้นตลอดชีวิต ตั้งแต่แรกเกิด เน้นด้านสติปัญญา ความรู้ ความจำ เชาว์ปัญญา และความคิดอย่างมีเหตุผล ด้านอารมณ์ ด้านสังคม การปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อม รวมถึงบุคลิกภาพจากพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อมทั้งนี้เพื่อประโยชน์ในการพัฒนาคนให้เต็มตามศักยภาพที่มีอยู่ในแต่ละคน #Mindset ความคิด ความเชื่อ ที่ส่งผลต่อพฤติกรรม วิธีจัดการกับสถานการณ์ปัญหาที่เกิดขึ้น เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย การเรียงลำดับสิ่งที่เกิดขึ้นและสิ่งที่ควรทำ ผู้นำเรื่องนี้คือ Carol Dweck (2006) นักจิตวิทยามหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด นำเสนอว่า วิธีการคิดที่แตกต่างในแต่ละบุคคล ทำให้เกิดความเชื่อที่ต่างกัน และนำไปสู่การกระทำและความสามารถในการแก้ปัญหาต่างกัน #How to สอนวิธีคิด การคิดที่จะเปลี่ยนแปลงตนเองในการดำเนินชีวิต เพื่อสร้างอุปนิสัยที่โดดเด่น เป็นเคล็ดลับที่หาเรียนไม่ได้ในโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย แต่เกิดจากประสบการณ์ในชีวิต การประสบความสำเร็จ ต้องอาศัยความฉลาด ในการหาวิธีคิดที่ดีและคิดเป็น และรู้วิธีการที่จะทำเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่วางไว้ #Gen B Baby Bloomers กลุ่มคนที่เกิดระหว่างปี พ.ศ. 2489 – 2507 หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สงบลง ทหารเกณฑ์หลังสงครามจบกลับมาอยู่บ้าน แต่งงานและมีลูกเต็มบ้าน ด้วยยังไม่มีการคุมกำเนิด บ้านเมืองสงบ และต้องการกำลังคนมาฟื้นฟูบ้านเมือง คนกลุ่มนี้มีชีวิตเพื่อการทำงาน เคารพกฎเกณฑ์ กติกา มีความอดทนสูง ทุ่มเทให้กับการทำงานและองค์กรมาก สู้งาน พยายามคิดและทำอะไรด้วยตัวเอง เป็นเจ้าคนนายคน ถูกครอบครัวสั่งสอนมาให้ประหยัด อดออม จึงใช้จ่ายอย่างรอบคอบ และระมัดระวัง เป็นพวกอนุรักษ์นิยมเคร่งครัดในขนบธรรมเนียมประเพณี รุ่นลูกเป็น Gen X เกิดมาในช่วงที่ไม่ลำบาก โลกสงบ สันติภาพ เริ่มมีเทคโนโลยีเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น คอมพิวเตอร์ วิดีโอเกม วอล์คแมน ชอบอะไร ง่าย ๆ ไม่เป็นทางการ ให้ความสำคัญกับงานพร้อมกับครอบครัว เรียนรู้ทุกอย่าง ทำทุกเรื่องโดยไม่พึ่งพาใคร เป็นตัวของตัวเองสูง มีความคิดเปิดกว้าง มีความคิดสร้างสรรค์ มีแนวโน้มต่อต้านสังคม ไม่เคร่งศาสนาและยึดขนบธรรมเนียมประเพณี ยืดหยุ่นกับวัฒนธรรมที่เปลี่ยนไป เช่น การอยู่ก่อนแต่ง หรือการหย่าร้างเป็นเรื่องปกติ เพศที่ 3 กล้าเปิดเผยตัว #Disruptive Era ยุคสังคมปั่นป่วน การทำลายล้างสิ่งเดิม ๆ แล้วสร้างสิ่งใหม่ขึ้นมา เกิดจาก Digital Revolution ทำให้คน gen B ยุ่งยากในการปรับตัวเข้ากับสิ่งใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้น เช่น เนตไร้สาย การเล่น Facebook Line วิถีชีวิตเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว เพราะสมองไม่เข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงแบบความเร็วสูง ไม่ใช่การเติบโตแบบทีละก้าว หรือค่อยเป็นค่อยไป |
สมาชิกหมายเลข 4665919
![]() ![]() ![]() ![]() ดร.พรรณี เกษกมล นักเขียน ข้าราชการบำนาญ ครูซี 9 แนะแนว
Friends Blog Link |