2010-01-14 ไปดูแขกชักว่าวกัน... Kite festival
ทุกวันที่ 14 มกราคม ของทุกปีเป็นวันฉลองเริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิ Makar Sankranti. การเรียกชื่อและวิธีการเฉลิมฉลอง จะแตกต่างกันไปแล้วแต่เมืองและศาสนา. การฉลอง Sankranti มีมาเป็นเวลาประมาณ 6,000 ปีมาแล้ว ซึ่งนักโบราณคดีสัณนิษฐานว่าชนเผ่ามายาในอเมริกาใต้ก็ฉลองเทศกาลอย่างนี้เช่นกัน. สำหรับที่ Jaipur การฉลองเป็นไปในรูปแบบของเทศกาลว่าว. ก่อนวันที่ 14 ทุกบ้านจะทำความสะอาดบ้าน, ขัดล้างภาชนะเครื่องใช้ต่างๆ ก็คงเหมือนวันขึ้นปีใหม่ของบ้านเรา ที่ทุกบ้านต่างทำความสะอาดบ้าน.. ขึ้นปีใหม่, ใส่เสื้อผ้าใหม่เพื่อความเป็นศิริมงคล อะไรทำนองนั้น พอวันที่ 14 ก็มีการทำบุญแล้วก็มาฉลองกัน สายๆ หน่อยผู้คนก็จะออกมาชักว่าวกัน แต่เราไม่ได้ไปร่วมเทศกาลหิ... แล้วจะเล่าให้ฟังตอนท้ายๆ ก็แล้วกัน

หอดูดาว Jantar Mantar

ตื่นเช้าด้วยความกระปรี้กระเปร่า... สูดอากาศสดชื่นของ Jaipur เมืองสีชมพู หลังจากเสร็จกิจวัตรประจำวันตอนเช้าแล้วก็ขึ้นไปทานอาหารเช้าบนดาดฟ้า... นั่งคุยกันจนเกือบสิบโมง Mr.โกวะดันและไกด์ชื่อ Mahendra ก็มารับ จุดแรกที่จะไปชมคือหอดูดาว Jantar Mantar เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวของ Jaipur ที่เราสนใจมากที่สุด ทึ่งในความสามารถของสมองอัฉริยะของคนในอดีต. Jantar หมายถึง เครื่อง ส่วนคำว่า Mantar คือ สูตร หรือ คำนวณ ดังนั้นสถานที่นี้มีไว้ใช้คำนวณจักรราศี. หอดูดาวแห่งนี้สร้างโดย Maharaja Jai Singh II เมื่อประมาณ 280 ปีก่อน ที่จริงพระองค์ทรงสร้างหอดูดาวแบบนี้ถึง 5 แห่ง รวมทั้งที่ Delhi ด้วย แต่ที่ Jaipur แห่งนี้เป็นหอดูดาวที่ใหญ่ที่สุด และในปัจจุบันก็เป็นแห่งที่มีการอนุรักษ์ที่ดีที่สุดจากทั้ง 5 แห่ง. เสียดายที่ไกด์เร่งๆๆๆๆๆ เหมือนต้อนควายไปหนอง (อุ๊ย!! ว่าตัวเองเป็นควายหรือนี่ ) เข้าไปตอน 10 โมง 50 นาที ออกตอน 11 โมง 10 นาที ก็เท่ากับเข้าไปดูแค่ 20 นาทีเท่านั้นเองหิ อยากอยู่ต่ออีกสักชั่วโมงแต่เนื่องจากเราเป็นปรสิตทัวร์ (เกาะเค้ามาเท่วอ่ะนะ) เลยไม่มีปากมีเสียงใดๆ


บรรยากาศมุมหนึ่งของ Jaipur ยามสาย


ร้านค้าทั่วไปซื้อว่าวมาขายเฉพาะช่วงเทศกาลว่าว


อยู่เมืองไทยเป็นไกด์ตัวจริง... อยู่อินเดียเป็นไกด์ตัวปลอม... ภาพนี้ถ่ายจากทางเข้า Jantar Mantar


กระเบื้องแต่ละช่อง, สีกระเบื้องที่ต่างกัน จุดประสงค์หลักไม่ได้มีไว้เพื่อตกแต่งเพื่อความสวยงาม แต่เป็นเครื่องคำนวณบอกวัน, เวลา, ฤดูกาล ซึ่งอุปกรณ์ชิ้นนี้ใช้เงาจากแสงอาทิตย์เป็นเครื่องอ่านค่า


นาฬิกา + ปฏิทิน แดด...


นาฬิกา + ปฏิทิน แดดแบบหลุม...


หอดูดาวสูงเท่ากับตึกห้าชั้น

หลังจากถูกเร่งให้กลับขึ้นรถก็เดินทางไปชม City Palace ซึ่งอยู่ไม่ไกลกัน, ขับรถไม่ถึง 5 นาที ก็ถึงแล้ว. ปัจจุบัน City Palace ได้จัดให้เป็นพิพิธภัณฑ์ มีของเก่าสะสมแยกเป็นจำพวกเช่น ของใช้ส่วนพระองค์ของกษัตริย์, อาวุธต่างๆ. ตอนเดินเข้าประตูเห็นเด็กนักเรียนวัยรุ่น เข้าแถวเพื่อเข้าชมพิพิธภัณฑ์. ภายในพิพิธภัณฑ์ไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพเลยมีภาพเฉพาะนอกอาคาร

ชมพิพิธภัณฑ์เสร็จก็เดินทางไปโรงงานผลิตผ้าพิมพ์ลาย วันนี้เป็นวันหยุดของโรงงานแต่ส่วนของร้านขายยังเปิดบริการอยู่ พนักงานขายผู้เชี่ยวชาญกรรมวิธีการผลิตได้แสดงให้เราดูวิธีการแบบคล่าวๆ เราซื้อของสองสามชิ้น ราคาไม่ถูกเท่าไหร่เลย ป้าแมรี่ซื้อของฝากมากมาย จ่ายเงินเสร็จก็เดินทางไปชมป้อมแอมเบอร์ Amber Fort


นักเรียนต่อแถวเข้าชมพิพิธภัณฑ์หน้าทางเข้า


อยากได้ลานหน้าบ้านแบบนี้อ่ะ


ภายในลานพระราชวังก่อนเข้าไปชมด้านในซึ่งจัดเป็นพิพิธภัณฑ์


ทางออก


เดินทางไปโรงงานผ้าพิมพ์ รูปนี้ถ่ายตอนรถวิ่งอยู่ มองที่เด็กผู้หญิงกำลังเล่นว่าวอาจดูยากหน่อย แต่ถ้าดูที่เงาก็จะเห็นว่าวชัดเจนขึ้น


มีคนนำหญ้ามาให้วัวกินเป็นระยะตลอดสองข้างทาง


ร้านขายของกิน บรรยากาศตอนสายๆ


ตลาดนม


ถึงโรงงานผ้าพิมพ์ พนักงานขายก็แสดงวิธีการพิมพ์ผ้า ที่เห็นคือแม่พิมพ์ทำจากไม้แกะสลัก


ถ้าต้องการให้ชิ้นงานมีหลากสีก็จะมีแม่พิมพ์ตามจำนวนสี ก็คล้ายๆ กับการซิลค์สกรีนนั่นแหล่ะ... เมื่อพิมพ์สีจนครบก็จะนำมาแช่น้ำยา (ไม่บอกสูตร) แล้วนำผ้าพิมพ์ลายไปซัก, รีด แล้วนำออกขาย

ป้อมแอมเบอร์ Amber Fort

ออกจากโรงงานผ้าพิมพ์ก็เดินทางไปเยี่ยมชม Amber Fort. ป้อมแห่งนี้อยู่ห่างจากตัวเมือง Jaipur 11 กิโลเมตร. Amber Fort เป็นที่รู้จักกันดีในด้านสถาปัตยกรรมอันวิจิตร ซึ่งผสมผสานศิลปะแบบชาวฮินดูและชาวมุสลิมไว้ได้อย่างลงตัว ตัวป้อมปราการตั้งอยู่ติดทะเลสาบ Maota มีกำแพงยาวล้อมรอบเมืองชั้นนอกอีชั้นหนึ่งเพื่อปกป้องการรุกรานจากรัฐอื่น ได้รับคำบอกเล่าจากไกด์ (ไม่แน่ใจว่าจริงหรือเปล่า) ว่ากำแพงเมืองอินเดียนี้ มีอายุเก่าแก่กว่ากำแพงเมืองจีนเสียอีก ปัจจุบัน Amber Fort ถือเป็นจุดหมายที่สำคัญของนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยว Rajastan.


กำแพงเมืองแขก


มี Amber Fort เป็นฉากหลัง


ประตูขึ้นด้านหน้า... ถ้านั่งช้างขึ้นมาก็จะเข้าประตูนี้ พวกชราทัวร์ไม่ยอมขึ้น... เราผู้เป็นปรสิตทัวร์เลยอดนั่งช้างเลยหิ เสียดาย... เพราะค่านั่งช้างก็รวมกับค่าทริปอยู่แล้วนิ


นักท่องเที่ยวทั่วไปนั่งช้างขึ้นมาบนป้อม


ขอเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์


Hall of public Audience ห้องโถงว่าราชการ


ซุ้มโดมทางเข้าวัง


ทำความสะอาด


ทางเข้า Hammam หรือ Turkish Baths.


นี่คือปล่องไฟสำหรับจุดไฟต้มน้ำ ที่เห็นเป็นโพลงข้างในคือที่ต้มน้ำ อยู่ใต้อ่างอาบน้ำ


อ่างอาบน้ำ


สุขาของราชา


ระเบียงคดรอบๆ วัง ตกแต่งด้วยลวดลายอันสวยงาม


ซุ้มประตูทางเข้าสวน


ภาพนี้ถ่ายจากชั้นสอง มองสวนในมุมกว้าง


ภายในสวนมีน้ำพุ ซึ่งการจัดการระบบน้ำยังคงใช้ระบบเดิมตั้งแต่มีการก่อสร้างวังแห่งนี้ แต่ตอนที่ไปชมเขาไม่ได้เปิดน้ำพุให้ชม... เสียดายจริงๆ


ประตูเข้าวัง... ข้างในเป็นส่วนที่ไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวเข้าชม


เพดานที่ระเบียงคด มีการตกแต่งประดับประดาแทบไม่เหลือเนื้อที่ว่างเลย


ทางเข้าสู่ห้องโถงภายในวัง ไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวเข้า


ภายนอกอาคาร ภาพนี้เป็นทางเดินสู่ทางออก


ศาลาเอนกประสงค์ สมัยก่อนใช้แสดงดนตรี หรือแสดงการระบำ


หมองู


แพะคุ้ยขยะ ภาพนี้ถ่ายตรงทางออกเกือบถึงรถแล้วหล่ะ

เสียดายที่ไกด์พามาผิดเวลา เพราะใน Amber Ford มีวัดกาลี (Gali Temple) ซึ่งในไกด์บุ๊คบอกว่าน่าสนใจมากเลยทีเดียว ตอนจะเข้าไปเจ้าหน้าที่ที่ประตูวัดบอกว่าเหลือเวลา 3 นาทีจะถึงเวลาปิดประตูวัด เราเลยไม่ได้เข้าชมกัน ใช้เวลาที่ป้อมแอมเบอร์ 1 ชั่วโมง กับอีก 6 นาที จากนั้นเดินทางกลับ ระหว่างทางไกด์บอกให้คนขับจอดรถเพื่อแวะชม Jai Mahal (Lake palace) ใช้เวลาแค่ห้านาที อันนี้พอเข้าใจ เพราะเราอยู่ที่ฝั่งแค่ถ่ายรูปก็พอแล้ว จากนั้นก็ขับรถต่อเข้ามาถึงในเมือง แวะ Hawa Mahal (Wind palace) จอดให้เราชมแค่ด้านหน้าประมาณ 5 นาที พอเราบอกว่าอยากเข้าไปดูข้างใน ไกด์บอกไม่มีอะไรน่าชมหรอก แล้วก็ต้อนเราขึ้นรถเพื่อพากลับโรงแรม ไม่รู้ว่าเร่งอะไรกันนักกันหนา มาถึงโรงแรมตอน บ่ายสองห้าสิบห้านาที

นี่คือเหตุผลที่กล่าวไว้ในตอนแรกว่าทำไมพวกเราไม่ได้ไปเที่ยวชมเทศกาลว่าว เพราะไกด์เร่งโน่นเร่งนี่แล้วก็รีบกลับไปรับลูกของตัวเองไปเทศกาลว่าวนี่เอง (อันนี้ไกด์บอกเราด้วยปากของเขาเอง... ไม่ได้เสริมแต่งแต่ประการใด) แล้วจะรับงานมาทำไมอ่ะเนี๊ยะ

ขึ้นห้องทำธุระส่วนตัว แล้วนั่งพักผ่อนสักพักจึงพากันออกไปหาอะไรทาน มาทริปนี้กินข้าวไม่เป็นเวลา ดังนั้นเราจึงมีขนมกรุบกรอบติดกระเป๋าไว้เสมออิ..อิ... พากันเดินไปตามทางที่เราออกมาเดินเล่นกับแมรี่เมื่อคืน แต่ไม่เห็นมีร้านไหนเปิด เลยข้ามถนนไปอีกฝั่งแล้วเข้าไปตามถนนที่ดูเหมือนจะมีคนพลุกพล่าน เจอร้านอาหารเล็กๆ อยู่ข้างถนนชื่อร้าน Parantha Hut ราคาไม่แพงเท่าไหร่ ปริมาณอาหารหนึ่งจานทานได้เป็นสิบคนเลยที่เดียว (อันนี้โม้อ่ะ อิ..อิ.. แต่เยอะจริงๆ นะ)

ทานเสร็จก็เดินเล่นไปรอบๆ ไม่ไกลจากโรงแรม (ไม่ได้เอาแผนที่มา... กลัวหลง) เห็นชาวบ้านร้านช่องพากันออกมาเล่นว่าวกันให้อึกทึกครึกโครม เด็กเล็ก..เด็กโต ต่างวิ่งไล่เก็บว่าวที่ปลิวตกลงมา บางคนเก็บได้เป็นกอง คิดว่าประมาณสี่สิบห้าสิบตัวเลยทีเดียว เห็นแล้วก็เพลินดี


Jai Mahal - Lake Palace


Hawa Mahal - Wind Palace


สั่ง Papadum มาทานเล่นก่อน เพราะบ่ายสามกว่าแล้วเพิ่งมาทานเที่ยงกัน


หลังจากทำความสะอาดบ้าน, อาบน้ำ และไปทำบุญมาแล้ว ก็ถึงตอนเล่นว่าวกันให้สนุก


ระหว่างเดินกลับโรงแรมเจอแพะภูเขา (ติ๊ต่างเอาเอง อิ..อิ..)


ส่วนนี่เป็นแพะเมือง, สวมใสแฟชั่นนำสมัย แถมใส่บรา (ถุงครอบนม) ด้วย อิ..อิ..

กลับถึงโรงแรมก็เอนหลังพักผ่อน สองทุ่มกว่าจึงพากันขึ้นไปร้านอาหารที่อยู่บนดาดฟ้าของโรงแรม วันนี้มีการแสดงดนตรีและการเต้นรำ แขกที่มาพักพากันมานั่งทานอาหารเย็นและชมการแสดงจนโต๊ะเต็ม โชคดีที่มีโต๊ะหนึ่งกำลังลุกพอดี เราสั่งอาหารเบาๆ มาทาน เพราะเพิ่งทานอาหารเที่ยงไปตอนบ่ายสามกว่าๆ ยังไม่ค่อยหิวเท่าไหร่ พอทานเสร็จก็กลับเข้าห้อง.. อาบน้ำ... นอนด้วยความเหนื่อยล้า



Create Date : 04 พฤศจิกายน 2553
Last Update : 5 พฤศจิกายน 2553 21:36:40 น.
Counter : 5613 Pageviews.

2 comments
  
↓↓☻
โดย: ยย IP: 125.24.59.237 วันที่: 17 กรกฎาคม 2555 เวลา:12:34:41 น.
  
ขอบคุณคุณ ยย ที่เข้ามาเยี่ยมชมครับ
โดย: นพ (annopwichai ) วันที่: 29 สิงหาคม 2555 เวลา:20:07:39 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

annopwichai
Location :
เชียงใหม่  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 88 คน [?]



ชีวิตอิสระ, ชอบความเรียบง่าย, เป็นโรคภูมิแพ้ IT
New Comments
All Blog
MY VIP Friend