"GROWING OLD IS MANDATORY,
GROWING UP...OPTIONAL" By Henri-Frédéric Amiel
|
|||||
2010-01-14 ไปดูแขกชักว่าวกัน... Kite festival ทุกวันที่ 14 มกราคม ของทุกปีเป็นวันฉลองเริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิ Makar Sankranti. การเรียกชื่อและวิธีการเฉลิมฉลอง จะแตกต่างกันไปแล้วแต่เมืองและศาสนา. การฉลอง Sankranti มีมาเป็นเวลาประมาณ 6,000 ปีมาแล้ว ซึ่งนักโบราณคดีสัณนิษฐานว่าชนเผ่ามายาในอเมริกาใต้ก็ฉลองเทศกาลอย่างนี้เช่นกัน. สำหรับที่ Jaipur การฉลองเป็นไปในรูปแบบของเทศกาลว่าว. ก่อนวันที่ 14 ทุกบ้านจะทำความสะอาดบ้าน, ขัดล้างภาชนะเครื่องใช้ต่างๆ ก็คงเหมือนวันขึ้นปีใหม่ของบ้านเรา ที่ทุกบ้านต่างทำความสะอาดบ้าน.. ขึ้นปีใหม่, ใส่เสื้อผ้าใหม่เพื่อความเป็นศิริมงคล อะไรทำนองนั้น พอวันที่ 14 ก็มีการทำบุญแล้วก็มาฉลองกัน สายๆ หน่อยผู้คนก็จะออกมาชักว่าวกัน แต่เราไม่ได้ไปร่วมเทศกาลหิ... แล้วจะเล่าให้ฟังตอนท้ายๆ ก็แล้วกัน หอดูดาว Jantar Mantar ตื่นเช้าด้วยความกระปรี้กระเปร่า... สูดอากาศสดชื่นของ Jaipur เมืองสีชมพู หลังจากเสร็จกิจวัตรประจำวันตอนเช้าแล้วก็ขึ้นไปทานอาหารเช้าบนดาดฟ้า... นั่งคุยกันจนเกือบสิบโมง Mr.โกวะดันและไกด์ชื่อ Mahendra ก็มารับ จุดแรกที่จะไปชมคือหอดูดาว Jantar Mantar เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวของ Jaipur ที่เราสนใจมากที่สุด ทึ่งในความสามารถของสมองอัฉริยะของคนในอดีต. Jantar หมายถึง เครื่อง ส่วนคำว่า Mantar คือ สูตร หรือ คำนวณ ดังนั้นสถานที่นี้มีไว้ใช้คำนวณจักรราศี. หอดูดาวแห่งนี้สร้างโดย Maharaja Jai Singh II เมื่อประมาณ 280 ปีก่อน ที่จริงพระองค์ทรงสร้างหอดูดาวแบบนี้ถึง 5 แห่ง รวมทั้งที่ Delhi ด้วย แต่ที่ Jaipur แห่งนี้เป็นหอดูดาวที่ใหญ่ที่สุด และในปัจจุบันก็เป็นแห่งที่มีการอนุรักษ์ที่ดีที่สุดจากทั้ง 5 แห่ง. เสียดายที่ไกด์เร่งๆๆๆๆๆ เหมือนต้อนควายไปหนอง (อุ๊ย!! ว่าตัวเองเป็นควายหรือนี่ ![]() ![]() บรรยากาศมุมหนึ่งของ Jaipur ยามสาย ![]() ร้านค้าทั่วไปซื้อว่าวมาขายเฉพาะช่วงเทศกาลว่าว ![]() อยู่เมืองไทยเป็นไกด์ตัวจริง... อยู่อินเดียเป็นไกด์ตัวปลอม... ภาพนี้ถ่ายจากทางเข้า Jantar Mantar ![]() กระเบื้องแต่ละช่อง, สีกระเบื้องที่ต่างกัน จุดประสงค์หลักไม่ได้มีไว้เพื่อตกแต่งเพื่อความสวยงาม แต่เป็นเครื่องคำนวณบอกวัน, เวลา, ฤดูกาล ซึ่งอุปกรณ์ชิ้นนี้ใช้เงาจากแสงอาทิตย์เป็นเครื่องอ่านค่า ![]() นาฬิกา + ปฏิทิน แดด... ![]() นาฬิกา + ปฏิทิน แดดแบบหลุม... ![]() หอดูดาวสูงเท่ากับตึกห้าชั้น หลังจากถูกเร่งให้กลับขึ้นรถก็เดินทางไปชม City Palace ซึ่งอยู่ไม่ไกลกัน, ขับรถไม่ถึง 5 นาที ก็ถึงแล้ว. ปัจจุบัน City Palace ได้จัดให้เป็นพิพิธภัณฑ์ มีของเก่าสะสมแยกเป็นจำพวกเช่น ของใช้ส่วนพระองค์ของกษัตริย์, อาวุธต่างๆ. ตอนเดินเข้าประตูเห็นเด็กนักเรียนวัยรุ่น เข้าแถวเพื่อเข้าชมพิพิธภัณฑ์. ภายในพิพิธภัณฑ์ไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพเลยมีภาพเฉพาะนอกอาคาร ชมพิพิธภัณฑ์เสร็จก็เดินทางไปโรงงานผลิตผ้าพิมพ์ลาย วันนี้เป็นวันหยุดของโรงงานแต่ส่วนของร้านขายยังเปิดบริการอยู่ พนักงานขายผู้เชี่ยวชาญกรรมวิธีการผลิตได้แสดงให้เราดูวิธีการแบบคล่าวๆ เราซื้อของสองสามชิ้น ราคาไม่ถูกเท่าไหร่เลย ป้าแมรี่ซื้อของฝากมากมาย จ่ายเงินเสร็จก็เดินทางไปชมป้อมแอมเบอร์ Amber Fort ![]() นักเรียนต่อแถวเข้าชมพิพิธภัณฑ์หน้าทางเข้า ![]() อยากได้ลานหน้าบ้านแบบนี้อ่ะ ![]() ภายในลานพระราชวังก่อนเข้าไปชมด้านในซึ่งจัดเป็นพิพิธภัณฑ์ ![]() ทางออก ![]() เดินทางไปโรงงานผ้าพิมพ์ รูปนี้ถ่ายตอนรถวิ่งอยู่ มองที่เด็กผู้หญิงกำลังเล่นว่าวอาจดูยากหน่อย แต่ถ้าดูที่เงาก็จะเห็นว่าวชัดเจนขึ้น ![]() มีคนนำหญ้ามาให้วัวกินเป็นระยะตลอดสองข้างทาง ![]() ร้านขายของกิน บรรยากาศตอนสายๆ ![]() ตลาดนม ![]() ถึงโรงงานผ้าพิมพ์ พนักงานขายก็แสดงวิธีการพิมพ์ผ้า ที่เห็นคือแม่พิมพ์ทำจากไม้แกะสลัก ![]() ถ้าต้องการให้ชิ้นงานมีหลากสีก็จะมีแม่พิมพ์ตามจำนวนสี ก็คล้ายๆ กับการซิลค์สกรีนนั่นแหล่ะ... เมื่อพิมพ์สีจนครบก็จะนำมาแช่น้ำยา (ไม่บอกสูตร) แล้วนำผ้าพิมพ์ลายไปซัก, รีด แล้วนำออกขาย ป้อมแอมเบอร์ Amber Fort ออกจากโรงงานผ้าพิมพ์ก็เดินทางไปเยี่ยมชม Amber Fort. ป้อมแห่งนี้อยู่ห่างจากตัวเมือง Jaipur 11 กิโลเมตร. Amber Fort เป็นที่รู้จักกันดีในด้านสถาปัตยกรรมอันวิจิตร ซึ่งผสมผสานศิลปะแบบชาวฮินดูและชาวมุสลิมไว้ได้อย่างลงตัว ตัวป้อมปราการตั้งอยู่ติดทะเลสาบ Maota มีกำแพงยาวล้อมรอบเมืองชั้นนอกอีชั้นหนึ่งเพื่อปกป้องการรุกรานจากรัฐอื่น ได้รับคำบอกเล่าจากไกด์ (ไม่แน่ใจว่าจริงหรือเปล่า) ว่ากำแพงเมืองอินเดียนี้ มีอายุเก่าแก่กว่ากำแพงเมืองจีนเสียอีก ปัจจุบัน Amber Fort ถือเป็นจุดหมายที่สำคัญของนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยว Rajastan. ![]() กำแพงเมืองแขก ![]() มี Amber Fort เป็นฉากหลัง ![]() ประตูขึ้นด้านหน้า... ถ้านั่งช้างขึ้นมาก็จะเข้าประตูนี้ พวกชราทัวร์ไม่ยอมขึ้น... เราผู้เป็นปรสิตทัวร์เลยอดนั่งช้างเลยหิ เสียดาย... เพราะค่านั่งช้างก็รวมกับค่าทริปอยู่แล้วนิ ![]() ![]() นักท่องเที่ยวทั่วไปนั่งช้างขึ้นมาบนป้อม ![]() ขอเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ ![]() ![]() Hall of public Audience ห้องโถงว่าราชการ ![]() ซุ้มโดมทางเข้าวัง ![]() ทำความสะอาด ![]() ทางเข้า Hammam หรือ Turkish Baths. ![]() นี่คือปล่องไฟสำหรับจุดไฟต้มน้ำ ที่เห็นเป็นโพลงข้างในคือที่ต้มน้ำ อยู่ใต้อ่างอาบน้ำ ![]() อ่างอาบน้ำ ![]() สุขาของราชา ![]() ระเบียงคดรอบๆ วัง ตกแต่งด้วยลวดลายอันสวยงาม ![]() ซุ้มประตูทางเข้าสวน ![]() ภาพนี้ถ่ายจากชั้นสอง มองสวนในมุมกว้าง ![]() ภายในสวนมีน้ำพุ ซึ่งการจัดการระบบน้ำยังคงใช้ระบบเดิมตั้งแต่มีการก่อสร้างวังแห่งนี้ แต่ตอนที่ไปชมเขาไม่ได้เปิดน้ำพุให้ชม... เสียดายจริงๆ ![]() ประตูเข้าวัง... ข้างในเป็นส่วนที่ไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวเข้าชม ![]() เพดานที่ระเบียงคด มีการตกแต่งประดับประดาแทบไม่เหลือเนื้อที่ว่างเลย ![]() ทางเข้าสู่ห้องโถงภายในวัง ไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวเข้า ![]() ภายนอกอาคาร ภาพนี้เป็นทางเดินสู่ทางออก ![]() ศาลาเอนกประสงค์ สมัยก่อนใช้แสดงดนตรี หรือแสดงการระบำ ![]() หมองู ![]() แพะคุ้ยขยะ ภาพนี้ถ่ายตรงทางออกเกือบถึงรถแล้วหล่ะ เสียดายที่ไกด์พามาผิดเวลา เพราะใน Amber Ford มีวัดกาลี (Gali Temple) ซึ่งในไกด์บุ๊คบอกว่าน่าสนใจมากเลยทีเดียว ตอนจะเข้าไปเจ้าหน้าที่ที่ประตูวัดบอกว่าเหลือเวลา 3 นาทีจะถึงเวลาปิดประตูวัด เราเลยไม่ได้เข้าชมกัน ใช้เวลาที่ป้อมแอมเบอร์ 1 ชั่วโมง กับอีก 6 นาที จากนั้นเดินทางกลับ ระหว่างทางไกด์บอกให้คนขับจอดรถเพื่อแวะชม Jai Mahal (Lake palace) ใช้เวลาแค่ห้านาที อันนี้พอเข้าใจ เพราะเราอยู่ที่ฝั่งแค่ถ่ายรูปก็พอแล้ว จากนั้นก็ขับรถต่อเข้ามาถึงในเมือง แวะ Hawa Mahal (Wind palace) จอดให้เราชมแค่ด้านหน้าประมาณ 5 นาที พอเราบอกว่าอยากเข้าไปดูข้างใน ไกด์บอกไม่มีอะไรน่าชมหรอก แล้วก็ต้อนเราขึ้นรถเพื่อพากลับโรงแรม ไม่รู้ว่าเร่งอะไรกันนักกันหนา มาถึงโรงแรมตอน บ่ายสองห้าสิบห้านาที นี่คือเหตุผลที่กล่าวไว้ในตอนแรกว่าทำไมพวกเราไม่ได้ไปเที่ยวชมเทศกาลว่าว เพราะไกด์เร่งโน่นเร่งนี่แล้วก็รีบกลับไปรับลูกของตัวเองไปเทศกาลว่าวนี่เอง (อันนี้ไกด์บอกเราด้วยปากของเขาเอง... ไม่ได้เสริมแต่งแต่ประการใด) แล้วจะรับงานมาทำไมอ่ะเนี๊ยะ ![]() ขึ้นห้องทำธุระส่วนตัว แล้วนั่งพักผ่อนสักพักจึงพากันออกไปหาอะไรทาน มาทริปนี้กินข้าวไม่เป็นเวลา ดังนั้นเราจึงมีขนมกรุบกรอบติดกระเป๋าไว้เสมออิ..อิ... พากันเดินไปตามทางที่เราออกมาเดินเล่นกับแมรี่เมื่อคืน แต่ไม่เห็นมีร้านไหนเปิด เลยข้ามถนนไปอีกฝั่งแล้วเข้าไปตามถนนที่ดูเหมือนจะมีคนพลุกพล่าน เจอร้านอาหารเล็กๆ อยู่ข้างถนนชื่อร้าน Parantha Hut ราคาไม่แพงเท่าไหร่ ปริมาณอาหารหนึ่งจานทานได้เป็นสิบคนเลยที่เดียว (อันนี้โม้อ่ะ อิ..อิ.. แต่เยอะจริงๆ นะ) ทานเสร็จก็เดินเล่นไปรอบๆ ไม่ไกลจากโรงแรม (ไม่ได้เอาแผนที่มา... กลัวหลง) เห็นชาวบ้านร้านช่องพากันออกมาเล่นว่าวกันให้อึกทึกครึกโครม เด็กเล็ก..เด็กโต ต่างวิ่งไล่เก็บว่าวที่ปลิวตกลงมา บางคนเก็บได้เป็นกอง คิดว่าประมาณสี่สิบห้าสิบตัวเลยทีเดียว เห็นแล้วก็เพลินดี ![]() Jai Mahal - Lake Palace ![]() Hawa Mahal - Wind Palace ![]() สั่ง Papadum มาทานเล่นก่อน เพราะบ่ายสามกว่าแล้วเพิ่งมาทานเที่ยงกัน ![]() หลังจากทำความสะอาดบ้าน, อาบน้ำ และไปทำบุญมาแล้ว ก็ถึงตอนเล่นว่าวกันให้สนุก ![]() ระหว่างเดินกลับโรงแรมเจอแพะภูเขา (ติ๊ต่างเอาเอง อิ..อิ..) ![]() ส่วนนี่เป็นแพะเมือง, สวมใสแฟชั่นนำสมัย แถมใส่บรา (ถุงครอบนม) ด้วย อิ..อิ.. กลับถึงโรงแรมก็เอนหลังพักผ่อน สองทุ่มกว่าจึงพากันขึ้นไปร้านอาหารที่อยู่บนดาดฟ้าของโรงแรม วันนี้มีการแสดงดนตรีและการเต้นรำ แขกที่มาพักพากันมานั่งทานอาหารเย็นและชมการแสดงจนโต๊ะเต็ม โชคดีที่มีโต๊ะหนึ่งกำลังลุกพอดี เราสั่งอาหารเบาๆ มาทาน เพราะเพิ่งทานอาหารเที่ยงไปตอนบ่ายสามกว่าๆ ยังไม่ค่อยหิวเท่าไหร่ พอทานเสร็จก็กลับเข้าห้อง.. อาบน้ำ... นอนด้วยความเหนื่อยล้า ↓↓☻
โดย: ยย IP: 125.24.59.237 วันที่: 17 กรกฎาคม 2555 เวลา:12:34:41 น.
|
annopwichai
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ชีวิตอิสระ, ชอบความเรียบง่าย, เป็นโรคภูมิแพ้ IT
Group Blog
All Blog
Link MY VIP Friend |
||||
Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. |