การระบุตัวตนโดยใช้เสียงจากหู !
สวัสดีครับ หลังจากได้หยุดสงกรานต์กันนานกว่าปกติ หวังว่าทุกคนคงจะได้พักผ่อนเต็มที่ และมีพลังงานในการทำงานกันต่อไปนะครับ สำหรับวันนี้ผมจะมาเล่าเรื่องที่คิดว่าน่าสนใจและดูประหลาดดีครับ พวกเราคงทราบนะครับว่าตอนนี้เรามีวิธีการหลากหลายในการที่จะระบุตัวตน ไม่ว่าจะใช้ลายนิ้วมือ ม่านตา หรือใบหน้า แต่ตอนนี้นักวิจัยได้ค้นพบแล้วว่าเสียงที่ออกมาจากหูของคนแต่ละคนก็มีลักษณะไม่เหมือนกัน ดังนั้นก็น่าที่จะนำคุณสมบัตินี้มาใช้ในการระบุตัวตนได้ เจ้าเสียงที่ว่านี่เรียกว่า otoacoustic emissions (OAEs) (ไม่รู้ว่าจะแปลว่าอะไรดีครับ) ซึ่งตามข่าวบอกว่าเสียงนี้จะเบามากและต้องใช้ไมโครโฟนที่มีความไวเป็นพิเศษในการตรวจจับ โดยเสียงนี้จะเกิดขึ้นเมื่อมีการดีดนิ้วมือข้าง ๆ หู เสียงดังกล่าวจะเกิดขึ้นที่หูชั้นในของคนเรา และเนื่องจากลักษณะของหูชั้นในของแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน ดังนั้นเสียงที่ได้ออกมาก็จะแตกต่างกันด้วย ตัวอย่างการนำไปใช้งานก็เช่นการทำธุรกรรมผ่านทางโทรศัพท์ ซึ่งในปัจจุบันเรายังคงต้องป้อนรหัสผ่านกันอยู่ แต่เมื่อโครงการนี้สำเร็จเราก็ไม่จำเป็นต้องป้อนรหัสผ่านแล้ว โดยทางผู้ให้บริการก็จะส่งเสียงดีดนิ้วมา เพื่อให้หูเราส่งเจ้าเสียง OAE นี้กลับไป และถ้าพบว่าไม่ตรงกันผู้ให้บริการก็สามารถตัดการติดต่อได้ทันที อย่างไรก็ตามโครงการนี้ยังไม่สำเร็จนะครับ ยังอยู่ในระหว่างการทดลอง ประเด็นก็คือจากการทดลองในห้องปฏิบัติการพบว่า เสียงที่ออกมาจากหูของแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน แต่ในการใช้งานในสภาพแวดล้อมจริงอาจจะมีปัจจัยอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย โดยส่วนตัวผมไม่คิดว่ามันจะเป็นระบบรักษาความปลอดภัยที่ดีครับ เพราะถ้ามีคนแอบอัดเสียงนี้ไว้ได้ เขาก็อาจจะสามารถใช้เสียงที่อัดนี้ไว้เข้าสู่บัญชีผู้ใช้ของเราได้ครับ แต่ถ้าคิดในอีกแง่หนึ่งวิธีนี้อาจจะให้ความปลอดภัยกับชีวิตของเรามากกว่าการใช้พวกลายนิ้วมือหรือม่านตานะครับ เพราะถ้าใครชอบดูหนังประเภทแอ๊กชันทั้งหลาย อาจจะเคยเห็นผู้ร้ายตัดเอานิ้วมือ หรือควักเอาลูกตาไปเพื่อเจาะเข้าสู่ระบบ แต่วิธีนี้ใช้แค่พยายามอัดเสียงก็ได้ ยังไงก็คงไม่ฆ่าหรือตัดหูเราไปเพราะไม่มีประโยชน์ในการทำอย่างนั้น เอ...หรือว่าผมจะดูหนังมากไปซะแล้ว
คำสำคัญ : biometric security อ้างอิง New Scientist เข้าอ่านล่าสุด 21 เมษายน 2552
Create Date : 21 เมษายน 2552
Last Update : 21 เมษายน 2552 15:40:13 น.
Counter : 760 Pageviews.
การพูดแบบมีสี
สวัสดีครับ หลังจากที่พวกเราต้องเครียดกับเหตุการณ์ต่าง ๆ มามากแล้ว วันนี้มาติดตามเรื่องไอทีที่น่าสนใจกันดีกว่าครับ ผมขอเริ่มเรื่องวันนี้ด้วยคำถามครับ เคยมีบ้างไหมครับที่เวลามีการประชุมกันแล้วเรารู้สึกว่ามีใครบางคนพูดอยู่คนเดียว หรือชอบขัดจังหวะเวลาเราพูดไปได้หน่อยเดียว ประเด็นก็คือบางทีคนเราก็มักจะไม่รู้ตัวว่าตัวเองนั้นมีลักษณะการพูดจาอย่างไรในวงสนทนา แต่ถ้ามีกระจกที่แสดงให้เห็นลักษณะการพูดคุยทั้งหมดในภาพรวมล่ะจะช่วยได้ไหม นี่คือเรื่องที่จะเล่าให้ฟังวันนี้ครับ นักวิทยาศาสตรคอมพิวเตอร์ที่ University of Illinois at Urbana-Champaign ชื่อคุณ Karrie Karahalios ได้พัฒนาวิธีการที่จะแปลงการพูดคุยกันออกมาให้เห็นเป็นภาพครับ ซึ่งคุณ Karrie เรียกมันว่า นาฬิกาสนทนา (conversation clock) ซึ่งหน้าตาของเจ้าตัวนี้ก็แสดงได้ดังรูปครับ ภาพประกอบจาก Reuters นาฬิกาสนทนาจะเป็นเหมือนกับกระจกแสดงลักษณะการพูดของเรา โดยการทำงานของมันจะเป็นดังนี้ครับ การพูดของแต่ละคนก็จะแทนสีหนึ่งสี เมื่อพูดเสียงดังขึ้นเส้นก็จะใหญ่ขึ้น เมื่อมีการพูดพร้อม ๆ กันหลายคนเส้นสีก็จะเหลื่อมกัน โดยวงสีที่แสดงการพูดจะแสดงวงใหม่ในทุก ๆ 1 นาที จากการทดลองพบว่าเมื่อผู้ที่อยู่ในวงสนทนามองเห็นผลลัพธ์ที่ปรากฏขึ้น ก็จะพยายามปรับตัวให้สีต่าง ๆ นั้นสมดุล ซึ่งหมายถึงเปิดโอกาสให้แต่ละคนได้พูดพอ ๆ กัน ซึ่งงานวิจัยนี้ได้นำไปใช้แล้วกับเด็กออทิสติกในกลุ่มที่เรียกว่า low-functioning ตามข่าวบอกว่าเด็กกลุ่มนี้จะไม่สามารถพูดเป็นคำได้ แต่มักจะพูดในลักษณะกรีดร้อง หรือคำราม (อันนี้ตามข่าวนะครับ ถ้าท่านใดมีความรู้จะช่วยเสริมก็จะขอบคุณมากเลยครับ) และยังได้นำไปใช้กับส่วนปรึกษาปัญหาครอบครัว (marriage counseling) คิดว่าน่าจะนำไปใช้ให้คู่สามีภรรยารู้จักผลัดกันพูดซะบ้างน่ะครับ ในตอนนี้คุณ Karrie ก็คิดจะนำงานวิจัยนี้ไปช่วยเด็กที่มีอาการที่เรียกว่า Asperger's Syndrome กล่าวคือเด็กกลุ่มนี้มักจะใข้ศัพท์สูง ๆ และก็มักจะพูดไปเรื่อย ๆ เหมือนกับอาจารย์สอนหนังสือ โดยไม่เปิดโอกาสให้คนอื่นได้พูดบ้างเลย ซึ่งในการฝึกก็คือให้เขานั่งพูดอยู่กับเด็กปกติ และทำสิ่งที่เด็กคนอื่น ๆ ทำก็คือพยายามให้เกิดความสมดุลของสี ซึ่งก็จะทำให้เขาปรับลักษณะการพูดของเขาได้ ในประเทศเราผมว่าเครื่องนี้น่าจะเอามาติดไว้ในสภานะครับ เวลาพวกสส.ผู้ทรงเกียรติทั้งหลายท่านแย่งกันพูด หรือด่ากันคงจะเห็นแสงสีมันดี เอ.. หรือเครื่องมันจะรับไม่ไหวพังไปซะก่อนละนี่
คำสำคัญ: Converstion to Image, Research อ้างอิง Reuters เข้าอ่านล่าสุด 8 เมษายน 2552
Create Date : 14 เมษายน 2552
Last Update : 14 เมษายน 2552 12:35:50 น.
Counter : 1316 Pageviews.
สัญญาอนุญาตครีเอทีฟคอมมอนส์ประเทศไทย
สวัสดีครับ ผมหายหน้าไปนานอีกตามเคย จริง ๆ ถ้านับตั้งแต่วันที่สอนวันสุดท้ายของเทอมจริง ๆ ผมก็น่าจะปิดเทอมมาได้ประมาณเดือนหนึ่งแล้ว แต่ถึงตอนนี้กลับยังไม่ว่างเลยครับ มีงานต่าง ๆ เข้ามาตลอด เอาน่ามีงานทำดีกว่าไม่มีงานทำนะครับ(ปลอบใจตัวเอง) มาเข้าเรื่องที่จะเล่าให้ฟังวันนี้เลยก็แล้วกันครับ วันนี้ผมไม่ได้มีข่าวที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีมาฝาก แต่มีข่าวที่น่าสนใจที่คิดว่าเกี่ยวข้องกับพวกเราที่เขียนบล็อกหรือเผยแพร่ผลงานของเราผ่านสื่อสาธารณะอย่างอินเทอร์เน็ตครับ สิ่งนั้นก็คือสิ่งที่เรียกว่า สัญญาอนุญาตครีเอทีฟคอมมอนส์ ซึ่งตอนนี้ได้ปรับให้เข้ากับกฎหมายไทยแล้ว ก่อนจะมาดูกันว่าสัญญาอนุญาตครีเอทีฟคอมมอนส์คืออะไร เรามาดูคำว่าลิขสิทธิ์กันก่อน ผมคิดว่าพวกเราคงทราบเกี่ยวกับลิขสิทธิ์ดีแล้วนะครับว่าเป็นอย่างไร ประเด็นหลัก ๆ ของลิขสิทธิ์ก็คือผลงานที่เราสร้างขึ้นและนำมาเผยแพร่จะถือเป็นลิขสิทธิ์ของเราโดยอัตโนมัติ ดังนั้นถ้าใครมาละเมิดเราก็สามารถฟ้องได้ทันที ขึ้นอยู่กับว่าเราจะฟ้องหรือไม่ เช่นถ้าผมไปเอารูปที่ถ่ายโดยฝีมือของคุณอนันต์ครับ ที่แสดงอยู่ในบล็อกมาแสดงในบล็อกของผม ก็เท่ากับว่าผมละเมิดลิขสิทธิ์ของคุณอนันต์ครับ ทันที ดังนั้นถ้าจะทำให้ถูกต้องตามกฎหมายก็คือผมจะต้องติดต่อไปที่คุณอนันต์ครับ เพื่อขออนุญาต โดยคุณอนันต์ครับ อาจจะคิดค่าใช้จ่ายจากผมก็ได้ โดยสรุปก็คือลิขสิทธิ์นั้นคุ้มครองผลประโยชน์ให้กับเจ้าของผลงาน แต่คราวนี้สมมติคุณอนันต์ครับ มีจุดประสงค์เพื่อให้งานของตัวเองนั้นเผยแพร่ออกไปสู่วงกว้างอยู่แล้วโดยไม่หวังผลกำไรใด ๆ เพียงแต่อยากให้อ้างอิงกลับมาว่าเป็นผลงานของเขา และไม่ต้องการให้เอาผลงานของเขาไปขายหากำไรเข้ากระเป๋าจะทำได้อย่างไร แน่นอนครับกฏหมายลิขสิทธิ์เดิมคุ้มครองได้อยู่แล้ว เพราะผมต้องขอก่อน และคุณอนันต์ครับ ก็สามารถกำหนดเงื่อนไขต่าง ๆ มาให้ผมได้ แต่กระบวนการนั้นมันจะยุ่งยากเพราะต้องมีการติดต่อกัน และอาจต้องมีการจ้างทนายมาร่างสัญญา เป็นต้น คำถามก็คือจะมีวิธีการอะไรที่ง่ายกว่านี้ไหม ที่ให้เจ้าของผลงานยังเป็นเจ้าของลิขสิทธื์ในงานของตัวเองเช่นเดิม แต่ประกาศอนุญาตให้คนอื่นนำผลงานไปใช้ได้ภายใต้เงื่อนไขที่เจ้าของผลงานกำหนด สัญญาอนุญาตครีเอทีฟคอมมอนส์อาจเป็นคำตอบของคำถามดังกล่าวครับ โดยมีการรวบรวมเงื่อนไขทั่ว ๆ ไปที่เจ้าของผลงานมักจะกำหนดไว้ สร้างสัญลักษณ์ที่ให้เข้าใจตรงกัน โดยเงื่อนไขในสัญญาอนุญาตครีเอทีฟคอมมอนส์จะมีอยู่ 4 อย่างด้วยกันดังตารางต่อไปนี้ เราสามารถเลือกใช้เงื่อนไขทั้งสี่นี้ประกอบกันเพื่อสร้างเป็นสัญญาอนุญาตได้ ยกเว้น BY ซึ่งจะเป็นเงื่อนไขที่กำหนดว่าจะต้องมีเสมอ ถ้าไม่เข้าใจลองดูตัวอย่างนี้ครับ ซึ่งเป็นสัญญาอนุญาตที่ใช้กับบล็อกของผมครับ เครื่องหมายนี้หมายความว่า ผมอนุญาตให้นำเรื่องต่าง ๆ ที่ผมเขียนไปเผยแพร่ต่อได้ โดยไม่ต้องขออนุญาตจากผม ตราบใดที่อ้างถึงว่าผมเป็นเจ้าของงานนี้ การเผยแพร่นั้นจะต้องไม่ทำไปเพื่อการค้า และผมอนุญาตให้ดัดแปลงแก้ไขงานผมได้ โดยผู้ดัดแปลงจะต้องยอมให้ผู้อื่นดัดแปลงแก้ไขงานต่อไปได้เช่นกัน ต่อไปก็เป็นเรื่องของกฎหมายครับ ประเด็นก็คือสัญญาอนุญาตครีเอทีฟคอมมอนส์นั้นเกิดขึ้นที่อเมริกา ซึ่งแต่ละประเทศก็มีกฏหมายที่แตกต่างจากอเมริกา ดังนั้นก็ต้องมีการปรับปรุงแก้ไขให้สัญญาอนุญาตครีเอทีฟคอมมอนส์ให้เข้ากันได้กับกฏหมายของประเทศนั้น สำหรับประเทศไทยการดำเนินการดังกล่าวเสร็จแล้วครับ ผู้ดำเนินการคือ เครือข่ายครีเอทีฟคอมมอนส์ประเทศไทย และสำนักกฎหมายธรรมนิติ โดยจะมีการแถลงข่าววันที่ 2 เมษายนนี้ ที่หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร เวลา 13.00 ถึง 16.00 น. ครับ เมื่อมีกฏหมายแล้วต่อไปถ้ามีการละเมิด ก็สามารถฟ้องร้องได้ (ถ้าอยากทำนะครับ) สุดท้ายก็คือเราควรใช้สัญญาอนุญาตครีเอทีฟคอมมอนส์หรือไม่ และมันมีประโยชน์อย่างไร อันแรกเลยนะครับ ถ้าเป็นงานซึ่งเราคิดว่าจะนำไปใช้ประโยชน์ไม่ว่าจะเป็นด้านการค้า หรือด้านอื่น ๆ อย่า ใช้สัญญาอนุญาตครีเอทีฟคอมมอนส์ คือจริง ๆ แล้วเราอาจจะอนุญาตไปก่อนแล้วเปลี่ยนใจภายหลังก็ได้ แต่การเปลี่ยนนั้นจะไม่มีผลกับงานที่คนอื่นได้กระทำไปแล้วภายใต้สัญญาอนุญาตที่เราเคยกำหนดไว้ ดังนั้นเราควรจะใช้กับงานของเราซึ่งต้องการให้มีการเผยแพร่ออกไป และเราไม่ต้องการที่จะได้ประโยชน์ใด ๆ จากงานนี้จริง ๆ ประโยชน์จากการใช้สัญญาอนุญาตครีเอทีฟคอมมอนส์ในความเห็นของผมก็คือ ทำให้มีการแลกเปลี่ยนเผยแพร่ และต่อยอดความรู้ออกไปได้อย่างเสรี โดยยังคงให้ความเคารพกับผลงานหรือทรัพย์สินทางปัญญาของผู้อื่น วันนี้เรื่องอาจจะหนักไปสักนิดนะครับ แต่อย่างน้อยต่อไปนี้ถ้าเราไปเจอสัญลักษณ์ของสัญญาอนุญาตครีเอทีฟคอมมอนส์จะได้เข้าใจมากขึ้นว่าหมายถึงอะไร เพราะผมเข้าใจว่าจะมีเว็บจำนวนมากขึ้นที่ใช้สัญญาอนุญาตนี้ หรือถ้าใครต้องการจะใช้สัญญาอนุญาตครีเอทีฟคอมมอนส์กับงานของตัวเอง ก็สามารถเข้าไปกำหนดเงื่อนไข และนำสัญลักษณ์มาติดที่บล็อกของตัวเองได้จาก หน้าขอคำอนุญาตของเว็บครีเอทีฟคอมมอนส์ ได้เลยครับ ถ้าใครอยากรู้รายละเอียดเกี่ยวกับสัญญาอนุญาตตัวนี้มากขึ้น นอกจากเว็บครีเอทีฟคอมมอนส์ แล้ว ก็ยังมีจากบล็อกของคุณ mk แห่ง blognone ซึ่งคุณ mk ก็เป็นกรรมการคนหนึ่งในเครือข่ายครีเอทีฟคอมมอนส์ประเทศไทย ด้วย
คำสำคัญ : Creative Commons, Law, License, Thailand
Create Date : 31 มีนาคม 2552
Last Update : 3 เมษายน 2552 0:03:18 น.
Counter : 3546 Pageviews.
Location :
[Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [? ]
สวัสดีครับ สำหรับบล็อกนี้ผมก็ตั้งใจจะให้เป็นข่าวสารที่น่าสนใจทางคอมพิวเตอร์ ทั้งข้อมูลด้านเทคโนโลยีที่น่าสนใจ การพัฒนาโปรแกรม และงานวิจัยต่าง ๆ อาจแทรกไปด้วยเรื่องอื่นๆ บ้าง ตามแต่อารมณ์และสถานการณ์ครับ ยินดีรับความคิดเห็นของทุกคนครับ