เรื่องราวหลากหลายเทคโนโลยีน่ารู้เพื่อคุณ
Group Blog
 
All Blogs
 

หุ่นยนต์กำลังจะฉลาดเท่ามนุษย์ ?

สวัสดีครับ สำหรับวันนี้มีเรื่องหุ่นยนต์มาเล่าให้ฟังอีกแล้วครับ หลังจากที่ได้เล่าไว้แล้วหลายเรื่อง( รวมมิตรข่าวเกี่ยวกับหุ่นยนต์, หุ่นยนต์ปลารักษาสภาพแวดล้อม, อีกไม่นานหุ่นยนต์จะมาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเรา ) สำหรับในส่วนแรกของเรื่องนี้น่าจะตอบคำถามของคุณ fleuri ซึ่งได้เปรย ๆ ไว้ว่าอยากจะได้หุ่นยนต์ช่วยงานบ้านสักตัวหนึ่ง มีการจัดงาน RoboBusiness conference ขึ้นที่ Boston โดยมีบริษัทหลายแห่งได้นำหุ่นยนต์ที่ใช้ในงานด้านต่าง ๆ มาแสดงครับ ก็มีตั้งแต่หุ่นยนต์นักดับเพลิง หุ่นยนต์คนสวน หุ่นยนต์พนักงานต้อนรับ หุ่นยนต์ไกด์ หุ่นยนต์ช่วยงานบ้าน และหุ่นยนต์ยาม ในปัจจุบันคาดกันว่ามีหุ่นยนต์ที่ใช้ในวงการอุตสาหกรรมต่าง ๆ เป็นล้าน ๆ ตัว โดยอยู่ในญี่ปุ่นมากที่สุด รองลงมาก็คือสหรัฐอเมริกา ขณะที่จีน และอินเดียก็เพิ่มการลงทุนทางด้านหุ่นยนต์มากขึ้น เรามาลองดูวีดีโอบรรยากาศในงานกันหน่อยเแล้วกันนะครับ



ที่ญี่ปุ่นก็มีหุ่นยนต์แม่บ้านครับ หุ่นยนต์ตัวนี้สามารถเลื่อนเก้าอี้ กวาดพื้น เอาจานเข้าเครื่องล้างจาน และเอาผ้าเข้าเครื่องซักผ้าได้ ดูได้จากวีดีโอเลยครับ



ส่วนอินเทลได้พัฒนาหุ่นยนต์ที่สามารถทำงานได้ด้วยตัวเอง ซึ่งเขาเรียกมันว่า Herb ซึ่งย่อมาจาก Home Exploring Robotic Butler โดยเจ้าห่นยนต์ตัวสามารถจำหน้าคน และสามารถปฏิบัติตามคำสั่งอย่างเช่น "ทำความสะอาดตรงนี้ซิ" ได้ ดูวีดีโอของ HERB ได้เลยครับ




ในส่วนที่สองที่จะเล่าให้ฟังเป็นเรื่องเกี่ยวกับการทำให้หุ่นยนต์มีความฉลาดเหมือนคนเราครับ คุณ Justin Rattner จาก Intel กล่าวว่าการพัฒนาด้านดังกล่าวมีความก้าวหน้าไปมากกว่าที่ใครจะคิดถึงในช่วง 40 ปีที่ผ่านมา เขากล่าวอีกว่าในอีกไม่นานนักหุ่นยนต์จะมีความสามารถในการให้เหตุผลได้มากกว่าคนเรา อย่างไรก็ตามผู้เฃี่ยวชาญกล่าวว่าการที่จะพัฒนาหุ่นยนต์ให้ทำงานบางอย่างเช่นล้างจานยังเป็นงานที่ยากอยู่ และการสร้างหุ่นยนต์ให้มีความฉลาดเหมือนคนก็เป็นงานที่ท้าทายมาก เพราะการทำงานของสมองนั้นมีความซับซ้อน นี่ยังไม่ต้องพูดถึงสมองคนนะครับ แม้แต่การทำงานของสมองของสัตว์อย่างแมลงสาบ หรือแมลงวันก็ถือว่ามีความซับซ้อนแล้ว แต่คุณ Ray Kurzweil ซึ่งเป็นนักเทคโนโลยี และเป็นผู้เขียนหนังสือชื่อ The Singularity is Near เอาไว้ในปี พ.ศ. 2548


ภาพจาก ebooks about science


และได้นำข้อมูลจากหนังสือดังกล่าวมาสร้างเป็นหนังชื่อ The Singularity Is Near: A True Story About the Future (หนังเรื่องนี้มีกำหนดฉายในหน้าร้อนนี้ของอเมริกา)


ภาพจาก Innovation Economy


ได้พยากรณ์ว่าหุ่นยนต์จะฉลาดได้เหมือนคนในอีก 20 ปีข้างหน้า ถึงตอนนี้หลายคนอาจสงสัยว่าจะมีวิธีการทดสอบได้อย่างไรว่าหุ่นยนต์มีความฉลาดในระดับเดียวกับคน วิธีการทดสอบนี้เรียกว่า Turing Test ครับ วิธีการทดสอบก็คือให้ผู้เชี่ยวชาญคุยกับเครื่องและคนปกติ ซึ่งทั้งคนและเครื่องนี่จะถูกซ่อนไว้นะครับ โดยถ้าผู้เชี่ยวชาญไม่สามารถบอกได้ว่าสิ่งที่ตอบกลับมา มาจากคนหรือเครื่องก็ถือว่าเครื่องมีความฉลาดในระดับเดียวกับคน


แต่ผู้เชี่ยวชาญคนอื่นกลับมีความเห็นต่างออกไป คุณ Rattner บอกว่าการที่จะทำให้หุ่นยนต์มีสภาพทางจิตใจที่ใกล้เคียงกับคน (ถ้าสามารถทำได้) จะไม่เกิดขึ้นก่อนปี พ.ศ. 2593 ส่วนผู้เชี่ยวชาญอีกหลายคนบอกว่าอาจต้องใช้เวลาเป็นศตวรรษกว่าที่หุ่นยนต์จะเป็นได้แบบนั้น โดยบางคนยังบอกอีกว่าเขาพอจะวาดภาพออกได้ว่าในอนาคตอาจจะมีหุ่นยนต์ที่สามารถ
ทำคะแนนสอบ A-Net ได้เป็นอันดับหนึ่ง หรือชนะเลิศในรายการแฟนพันธุ์แท้ แต่เขานึกภาพไม่ออกว่าหุ่นยนต์จะมีความสามารถในการเลียนแบบท่าทางของคนอื่น ๆ (อย่างที่พวกเราบางคนอาจจะชอบเล่นกัน เช่นเลียนเสียงหรือท่าทางของคนดัง) หรือการที่หุ่นยนต์จะมีจินตนาการในเรื่องต่าง ๆ เหมือนกับคนเราได้อย่างไร


ยังมีผู้เชี่ยวชาญบางคนมองไปอีกมุมหนึ่งครับ คือพวกเขามองว่าปัญหาที่ว่าหุ่นยนต์จะฉลาดเหมือนมนุษย์เมือใดนั้น ไม่น่าสนใจเท่ากับประเด็นที่ว่า จะเกิดอะไรขึ้นหลังจากที่เรามีหุ่นยนต์ที่ฉลาดขนาดนั้น ซึ่งคุณ Paul Saffo จาก Stanford กล่าวว่า ถ้าเราโชคดีเจ้าหุ่นยนต์ก็จะดูแลเราเหมือนว่าเราเป็นสัตว์เลี้ยง แต่ถ้าไม่เราก็จะกลายเป็นอาหารของพวกมัน ในข่าวไม่ได้บอกเหตุผลนะครับว่าทำไมคุณ Saffo ถึงได้คิดไปในแนวนั้น เขาอาจจะคิดถึงหนังเรื่อง Terminator อยู่ หรือเขาอาจจะพูดจากความจริงที่มองเห็นผ่านทางความจริงเกี่ยวกับคนเรา นั่นคือคนเก่งสามารถนำเอาความเก่งนั้นมาใช้ในเชิงสร้างสรรค์หรือทำลายก็ได้

ถึงตอนนี้หลายคนอาจจะคิดว่าทำไมนักวิจัยถึงต้องการจะสร้างหุ่นยนต์ให้มีความสามารถมากขนาดนั้นถ้ามันจะทำให้เกิดปัญหา ทำไมไม่ทำแค่สร้างให้มันมาช่วยงานในชีวิตประจำวันของเราได้ก็พอแล้ว ในส่วนตัวผมคิดว่าอันที่หนึ่งเลยก็คือเป็นธรรมชาติของนักวิจัยเองที่ต้องการจะเอาชนะสิ่งที่ทำได้ยาก ประการที่สองก็คือการที่สามารถทำอย่างนั้นได้ ก็หมายความว่าเรามีความเข้าใจกระบวนการทำงานของมนุษย์มากขึ้น ซึ่งข้อมูลตรงนี้ก็อาจนำไปแก้ปัญหาในด้านการแพทย์ หรือด้านอื่น ๆ ที่จะทำให้ชีวิตของเราดีขึ้นได้ ผมยังมองอีกว่าการที่หุ่นยนต์จะมีความคิดที่ดีหรือไม่ดี ก็ขึ้นอยู่กับข้อมูลที่เราป้อนเข้าไปให้กับมัน ก็ขอจบเรื่องวันนี้ด้วยคำกล่าวที่หลาย ๆ คนคงเคยได้ยินได้ฟังกันมาแล้ว ก็คือเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นมานั้นจะก่อให้เกิดประโยชน์หรือโทษก็ขึ้นอยู่กับมนุษย์เรานี่แหละครับว่าจะนำมันไปใช้อย่างไร




คำสำคัญ : Human and Robot

อ้างอิง


mcclatchy เข้าอ่านล่าสุด 24 เมษายน 2552




 

Create Date : 25 เมษายน 2552    
Last Update : 25 เมษายน 2552 14:11:21 น.
Counter : 1535 Pageviews.  

การระบุตัวตนโดยใช้เสียงจากหู !

สวัสดีครับ หลังจากได้หยุดสงกรานต์กันนานกว่าปกติ หวังว่าทุกคนคงจะได้พักผ่อนเต็มที่ และมีพลังงานในการทำงานกันต่อไปนะครับ สำหรับวันนี้ผมจะมาเล่าเรื่องที่คิดว่าน่าสนใจและดูประหลาดดีครับ พวกเราคงทราบนะครับว่าตอนนี้เรามีวิธีการหลากหลายในการที่จะระบุตัวตน ไม่ว่าจะใช้ลายนิ้วมือ ม่านตา หรือใบหน้า แต่ตอนนี้นักวิจัยได้ค้นพบแล้วว่าเสียงที่ออกมาจากหูของคนแต่ละคนก็มีลักษณะไม่เหมือนกัน ดังนั้นก็น่าที่จะนำคุณสมบัตินี้มาใช้ในการระบุตัวตนได้ เจ้าเสียงที่ว่านี่เรียกว่า otoacoustic emissions (OAEs) (ไม่รู้ว่าจะแปลว่าอะไรดีครับ) ซึ่งตามข่าวบอกว่าเสียงนี้จะเบามากและต้องใช้ไมโครโฟนที่มีความไวเป็นพิเศษในการตรวจจับ โดยเสียงนี้จะเกิดขึ้นเมื่อมีการดีดนิ้วมือข้าง ๆ หู เสียงดังกล่าวจะเกิดขึ้นที่หูชั้นในของคนเรา และเนื่องจากลักษณะของหูชั้นในของแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน ดังนั้นเสียงที่ได้ออกมาก็จะแตกต่างกันด้วย

ตัวอย่างการนำไปใช้งานก็เช่นการทำธุรกรรมผ่านทางโทรศัพท์ ซึ่งในปัจจุบันเรายังคงต้องป้อนรหัสผ่านกันอยู่ แต่เมื่อโครงการนี้สำเร็จเราก็ไม่จำเป็นต้องป้อนรหัสผ่านแล้ว โดยทางผู้ให้บริการก็จะส่งเสียงดีดนิ้วมา เพื่อให้หูเราส่งเจ้าเสียง OAE นี้กลับไป และถ้าพบว่าไม่ตรงกันผู้ให้บริการก็สามารถตัดการติดต่อได้ทันที อย่างไรก็ตามโครงการนี้ยังไม่สำเร็จนะครับ ยังอยู่ในระหว่างการทดลอง ประเด็นก็คือจากการทดลองในห้องปฏิบัติการพบว่า เสียงที่ออกมาจากหูของแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน แต่ในการใช้งานในสภาพแวดล้อมจริงอาจจะมีปัจจัยอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย

โดยส่วนตัวผมไม่คิดว่ามันจะเป็นระบบรักษาความปลอดภัยที่ดีครับ เพราะถ้ามีคนแอบอัดเสียงนี้ไว้ได้ เขาก็อาจจะสามารถใช้เสียงที่อัดนี้ไว้เข้าสู่บัญชีผู้ใช้ของเราได้ครับ แต่ถ้าคิดในอีกแง่หนึ่งวิธีนี้อาจจะให้ความปลอดภัยกับชีวิตของเรามากกว่าการใช้พวกลายนิ้วมือหรือม่านตานะครับ เพราะถ้าใครชอบดูหนังประเภทแอ๊กชันทั้งหลาย อาจจะเคยเห็นผู้ร้ายตัดเอานิ้วมือ หรือควักเอาลูกตาไปเพื่อเจาะเข้าสู่ระบบ แต่วิธีนี้ใช้แค่พยายามอัดเสียงก็ได้ ยังไงก็คงไม่ฆ่าหรือตัดหูเราไปเพราะไม่มีประโยชน์ในการทำอย่างนั้น เอ...หรือว่าผมจะดูหนังมากไปซะแล้ว



คำสำคัญ : biometric security

อ้างอิง


New Scientist เข้าอ่านล่าสุด 21 เมษายน 2552




 

Create Date : 21 เมษายน 2552    
Last Update : 21 เมษายน 2552 15:40:13 น.
Counter : 760 Pageviews.  

การพูดแบบมีสี

สวัสดีครับ หลังจากที่พวกเราต้องเครียดกับเหตุการณ์ต่าง ๆ มามากแล้ว วันนี้มาติดตามเรื่องไอทีที่น่าสนใจกันดีกว่าครับ ผมขอเริ่มเรื่องวันนี้ด้วยคำถามครับ เคยมีบ้างไหมครับที่เวลามีการประชุมกันแล้วเรารู้สึกว่ามีใครบางคนพูดอยู่คนเดียว หรือชอบขัดจังหวะเวลาเราพูดไปได้หน่อยเดียว ประเด็นก็คือบางทีคนเราก็มักจะไม่รู้ตัวว่าตัวเองนั้นมีลักษณะการพูดจาอย่างไรในวงสนทนา แต่ถ้ามีกระจกที่แสดงให้เห็นลักษณะการพูดคุยทั้งหมดในภาพรวมล่ะจะช่วยได้ไหม นี่คือเรื่องที่จะเล่าให้ฟังวันนี้ครับ

นักวิทยาศาสตรคอมพิวเตอร์ที่ University of Illinois at Urbana-Champaign ชื่อคุณ Karrie Karahalios ได้พัฒนาวิธีการที่จะแปลงการพูดคุยกันออกมาให้เห็นเป็นภาพครับ ซึ่งคุณ Karrie เรียกมันว่า นาฬิกาสนทนา (conversation clock) ซึ่งหน้าตาของเจ้าตัวนี้ก็แสดงได้ดังรูปครับ



ภาพประกอบจาก Reuters

นาฬิกาสนทนาจะเป็นเหมือนกับกระจกแสดงลักษณะการพูดของเรา โดยการทำงานของมันจะเป็นดังนี้ครับ การพูดของแต่ละคนก็จะแทนสีหนึ่งสี เมื่อพูดเสียงดังขึ้นเส้นก็จะใหญ่ขึ้น เมื่อมีการพูดพร้อม ๆ กันหลายคนเส้นสีก็จะเหลื่อมกัน โดยวงสีที่แสดงการพูดจะแสดงวงใหม่ในทุก ๆ 1 นาที จากการทดลองพบว่าเมื่อผู้ที่อยู่ในวงสนทนามองเห็นผลลัพธ์ที่ปรากฏขึ้น ก็จะพยายามปรับตัวให้สีต่าง ๆ นั้นสมดุล ซึ่งหมายถึงเปิดโอกาสให้แต่ละคนได้พูดพอ ๆ กัน ซึ่งงานวิจัยนี้ได้นำไปใช้แล้วกับเด็กออทิสติกในกลุ่มที่เรียกว่า low-functioning ตามข่าวบอกว่าเด็กกลุ่มนี้จะไม่สามารถพูดเป็นคำได้ แต่มักจะพูดในลักษณะกรีดร้อง หรือคำราม (อันนี้ตามข่าวนะครับ ถ้าท่านใดมีความรู้จะช่วยเสริมก็จะขอบคุณมากเลยครับ) และยังได้นำไปใช้กับส่วนปรึกษาปัญหาครอบครัว (marriage counseling) คิดว่าน่าจะนำไปใช้ให้คู่สามีภรรยารู้จักผลัดกันพูดซะบ้างน่ะครับ


ในตอนนี้คุณ Karrie ก็คิดจะนำงานวิจัยนี้ไปช่วยเด็กที่มีอาการที่เรียกว่า Asperger's Syndrome กล่าวคือเด็กกลุ่มนี้มักจะใข้ศัพท์สูง ๆ และก็มักจะพูดไปเรื่อย ๆ เหมือนกับอาจารย์สอนหนังสือ โดยไม่เปิดโอกาสให้คนอื่นได้พูดบ้างเลย ซึ่งในการฝึกก็คือให้เขานั่งพูดอยู่กับเด็กปกติ และทำสิ่งที่เด็กคนอื่น ๆ ทำก็คือพยายามให้เกิดความสมดุลของสี ซึ่งก็จะทำให้เขาปรับลักษณะการพูดของเขาได้

ในประเทศเราผมว่าเครื่องนี้น่าจะเอามาติดไว้ในสภานะครับ เวลาพวกสส.ผู้ทรงเกียรติทั้งหลายท่านแย่งกันพูด หรือด่ากันคงจะเห็นแสงสีมันดี เอ.. หรือเครื่องมันจะรับไม่ไหวพังไปซะก่อนละนี่




คำสำคัญ: Converstion to Image, Research

อ้างอิง



Reuters เข้าอ่านล่าสุด 8 เมษายน 2552




 

Create Date : 14 เมษายน 2552    
Last Update : 14 เมษายน 2552 12:35:50 น.
Counter : 1316 Pageviews.  

รวมมิตรข่าวเกี่ยวกับหุ่นยนต์

ช่วงนี้มีข่าวเกี่ยวกับหุ่นยนต์เยอะมากครับ ประกอบกับผมก็ไม่ค่อยจะมีเวลามาเขียน วันนี้พอมีเวลาก็ขออนุญาตเอามารวมให้อ่านกันเลยนะครับ เลือกมาประมาณ 5 ข่าวครับ

เริ่มจากข่าวแรก หุ่นยนต์ช่วยในการค้นพบสิ่งใหม่ สำหรับงานนี้จะเป็นการใช้หุ่นยนต์เพื่อค้นคว้าสิ่งใหม่ ๆ จากการทดลอง ประเด็นก็คือในการทดลองทางวิทยาศาสตร์จะมีปัจจัยต่าง ๆ ที่มาเกี่ยวข้องหลาย ๆ ประการ ทำให้ต้องทำการทดลองเป็นจำนวนมาก ซึ่งถ้าใช้หุ่นยนต์ทำแทนก็จะทำได้ง่ายและครอบคลุมมากขึ้น โดยการทำงานดังกล่าวหุ่นยนต์จะทำโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องมีคนเข้ามาเกี่ยวข้องเลย จากข่าวหุ่นยนต์ชื่ออดัม (Adam) ได้ค้นพบหน้าที่ใหม่ 12 อย่างของยีน สำหรับเจ้าอดัมนี่ไม่ได้เน้นให้เหมือนคนนะครับ หน้าตาของอดัมก็ดูได้ตามรูปเลยครับ



ภาพประกอบจาก Discovery News

ในท้ายข่าวนี้มีประเด็นที่น่าสนใจอยู่อีกประเด็นหนึ่งครับคือถ้าหุ่นยนต์ช่วยค้นพบอะไรใหม่ ๆ ได้แล้ว ต่อไปคนที่จะเรียนปริญญาโท-เอกด้านวิทยาศาสตร์จะทำวิจัยอะไรล่ะ คำตอบก็คือในตอนนี้หุ่นยนต์ยังไม่เก่งมาก ในสิบปีหรืออีกยี่สิบปีข้างหน้านี้หุ่นยนต์อาจจะยังไม่สามารถมาแทนที่การวิจัยของคนได้ทั้งหมดเอ้าใครจะต่อโท-เอกอะไรก็รีบเรียน ๆ เข้านะครับ เดี๋ยวจะไม่มีงานวิจัยให้ทำ


ข่าวที่สองหุ่นยนต์เหมือนคนจะทำให้เราเข้าใจความฉลาดของมนุษย์ อันนี้เป็นงานวิจัยจาก Imperial College London โดยเขาได้สร้างหุ่นยนต์เหมือนคน โดยตั้งชื่อว่า iCub จุดประสงค์ของ iCub ก็คือช่วยในการศึกษาว่าคนเราเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ รอบตัวได้อย่างไร วิธีการก็คือนักวิจัยจะจำลองการทำงานของสมองด้วยคอมพิวเตอร์ แล้วก็ส่งการทำงานดังกล่าวไปให้เจ้า iCub ทำ ซึ่งในตอนแรกนี้ก็จะทำงานง่าย ๆ เช่นการหยิบลูกบอลขึ้นจากพื้น ซึ่งนักวิจัยเชื่อว่าถ้าทำเรื่องง่าย ๆ ได้สำเร็จแล้ว ก็จะทำให้เราสามารถศึกษาการทำงานที่ซับซ้อนของสมองได้ผ่านทางหุ่นยนต์นี้ ดูวีดีโอของ iCub ได้เลยครับ



ข่าวที่สามเกี่ยวกับการบังคับหุ่นยนต์ด้วยคลื่นสมองครับ อันนี้เป็นของ Honda พวกเราคงจำ Asimo ได้นะครับ ตอนนี้มีการพัฒนาให้สั่งงาน Asimo ได้โดยใช้การคิดเอาครับ อ้อพอดีเห็นมีข่าวนี้เป็นภาษาไทยแล้วครับเป็นข่าวของ ARIP ครับ เอาเป็นว่าอ่านของเขาเลยแล้วกันนะครับ ตะลึง!!! บังคับ Asimo ด้วยคลื่นสมอง ถ้าไม่อยากตามลิงก์เข้าไป ผมตัดเอาวีดีโอมาให้ดูกันในบล็อกผมแล้วครับ



ข่าวที่สี่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างคนกับหุ่นยนต์ครับ ซึ่งงานวิจัยด้านนี้กำลังได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก เหตุผลก็มาจากเรื่องที่ผมเคยเล่าใน อีกไม่นานหุ่นยนต์จะมาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเรา สำหรับในข่าวนี้เป็นข่าวของการวิจัยด้านหุ่นยนต์ของมหาวิทยาลัย Carnegie Mellon อันแรกเป็นหุ่นยนต์ที่ทำหน้าที่เป็นพนักงานต้อนรับที่คณะวิทยาการคอมพิวเตอร์ของมหาวิทยาลัย Carnegie Mellon เจ้าหุ่นยนต์ตัวนี้มีชื่อว่า Tank ครับ Tank จะมีลักษณะการทำงานดังในวีดีโอครับ



โดยการติดต่อกับ Tank จะต้องติดต่อผ่านแป้นพิมพ์และถ้ามีการพิมพ์ข้อความถ้าพิมพ์คำอะไรที่ไม่ สุภาพ Tank จะอารมณ์เสีย และหลังจากที่ให้ข้อมูลเสร็จ Tank จะบอกว่า "ต่อไปถ้าคอมพิวเตอร์ของคุณไม่ทำงาน อย่าตีมันนะ มันก็มีความรู้สึกเหมือนกัน" นอกจากนี้ยังมีการศึกษาพฤติกรรมของคนเมื่อ มีการนำเครื่องดูดฝุ่นอัตโนมัติ Roomba จาก iRobot ไปใช้ที่บ้าน สำหรับการทำงานของ Roomba ก็ดูได้จากวีดีโอเลยครับ



การทดลองนี้แบ่งครอบครัวที่ใช้เป็นกลุ่มทดลองเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกให้ที่ดูดฝุ่นธรรมดาไปใช้ที่บ้าน กลุ่มที่สองให้ Roomba ไปใช้ ผลการทดลองสรุปได้ดังนี้ครับ กลุ่มที่ได้เครื่องดูดฝุ่นธรรมดาไป ก็มีพฤติกรรมการดูดฝุ่นบ้านเหมือนเดิม ส่วนกลุ่มที่ได้ Roomba ไป มีพฤติกรรมเปลี่ยนไปครับ คือมีการดูดฝุ่นบ่อยขึ้น และการดูดฝุ่นที่เคยเป็นภาระของแม่บ้านคนเดียว พอมีเจ้า Roomba คุณพ่อบ้านกับเด็ก ๆ ก็เข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น นอกจากนี้บางครอบครัวยังตั้งชื่อให้กับ Roomba หรือแต่งตัวให้กับมันด้วย จากการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างคนกับหุ่นยนต์ไม่ว่าจะเป็น Tank หรือ Roomba จะทำให้นักวิจัยพัฒนาหุ่นยนต์ให้โต้ตอบกับคนได้อย่างเหมาะสม และมีความเหมือนคนมากยิ่งขึ้น


ข่าวที่ห้า(สุดท้ายแล้วครับ) ข่าวนี้เป็นผลงานวิจัยจากออสเตรเลียครับ นักวิจัยที่มหาวิทยาลัย Deakin ได้พัฒนาหุ่นยนต์ที่จะส่งความรู้สึกจากสิ่งที่มันสัมผัสมาให้คนที่ควบคุมมันได้รู้สึกไปด้วย คือเหมือนกับคนที่ควบคุมนั้นไปสัมผัสสิ่งของดังกล่าวด้วยตัวเอง โดยคนที่ควบคุมนั้นจะได้รับรู้ถึง มวล ความหนาแน่น และลักษณะของพื้นผิวของวัตถุที่หุ่นยนต์สัมผัสอยู่ โดยตัวคนควบคุมนั้นสามารถอยู่ห่างจากวัตถุที่หุ่นยนต์กำลังสัมผัสอยู่ได้ถึง 500 เมตร ซึ่งประโยชน์ของหุ่นยนต์นี้ก็คือ ส่งมันเข้าไปสำรวจวัตถุต่าง ๆ ในบริเวณที่อันตราย สำหรับข่าวนี้ยังหารูป หาวีดีโอไม่เจอครับ

เป็นยังไงบ้างครับ ได้อ่านข่าวเกี่ยวกับงานวิจัยด้านหุ่นยนต์จากหลาย ๆ ส่วนของโลกแล้ว รู้สึกว่าหุ่นยนต์เข้ามาใกล้ตัวเราขึ้นเรื่อย ๆ ไหมครับ...




คำสำคัญ : Research, Robot

ที่มาข่าวแรก Discovery News เข้าอ่านล่าสุด 6 เมษายน 2552

ที่มาข่าวที่สอง Imperial College London เข้าอ่านล่าสุด 6 เมษายน 2552

ที่มาข่าวที่สาม Computer World เข้าอ่านล่าสุด 6 เมษายน 2552

ที่มาข่าวที่สี่ post-gazette เข้าอ่านล่าสุด 6 เมษายน 2552

ที่มาข่าวที่ห้า The Engineer Online เข้าอ่านล่าสุด 6 เมษายน 2552




 

Create Date : 06 เมษายน 2552    
Last Update : 7 เมษายน 2552 0:16:16 น.
Counter : 1178 Pageviews.  

สัญญาอนุญาตครีเอทีฟคอมมอนส์ประเทศไทย

สวัสดีครับ ผมหายหน้าไปนานอีกตามเคย จริง ๆ ถ้านับตั้งแต่วันที่สอนวันสุดท้ายของเทอมจริง ๆ ผมก็น่าจะปิดเทอมมาได้ประมาณเดือนหนึ่งแล้ว แต่ถึงตอนนี้กลับยังไม่ว่างเลยครับ มีงานต่าง ๆ เข้ามาตลอด เอาน่ามีงานทำดีกว่าไม่มีงานทำนะครับ(ปลอบใจตัวเอง) มาเข้าเรื่องที่จะเล่าให้ฟังวันนี้เลยก็แล้วกันครับ

วันนี้ผมไม่ได้มีข่าวที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีมาฝาก แต่มีข่าวที่น่าสนใจที่คิดว่าเกี่ยวข้องกับพวกเราที่เขียนบล็อกหรือเผยแพร่ผลงานของเราผ่านสื่อสาธารณะอย่างอินเทอร์เน็ตครับ สิ่งนั้นก็คือสิ่งที่เรียกว่า สัญญาอนุญาตครีเอทีฟคอมมอนส์ ซึ่งตอนนี้ได้ปรับให้เข้ากับกฎหมายไทยแล้ว ก่อนจะมาดูกันว่าสัญญาอนุญาตครีเอทีฟคอมมอนส์คืออะไร เรามาดูคำว่าลิขสิทธิ์กันก่อน ผมคิดว่าพวกเราคงทราบเกี่ยวกับลิขสิทธิ์ดีแล้วนะครับว่าเป็นอย่างไร ประเด็นหลัก ๆ ของลิขสิทธิ์ก็คือผลงานที่เราสร้างขึ้นและนำมาเผยแพร่จะถือเป็นลิขสิทธิ์ของเราโดยอัตโนมัติ ดังนั้นถ้าใครมาละเมิดเราก็สามารถฟ้องได้ทันที ขึ้นอยู่กับว่าเราจะฟ้องหรือไม่ เช่นถ้าผมไปเอารูปที่ถ่ายโดยฝีมือของคุณอนันต์ครับที่แสดงอยู่ในบล็อกมาแสดงในบล็อกของผม ก็เท่ากับว่าผมละเมิดลิขสิทธิ์ของคุณอนันต์ครับทันที ดังนั้นถ้าจะทำให้ถูกต้องตามกฎหมายก็คือผมจะต้องติดต่อไปที่คุณอนันต์ครับเพื่อขออนุญาต โดยคุณอนันต์ครับอาจจะคิดค่าใช้จ่ายจากผมก็ได้ โดยสรุปก็คือลิขสิทธิ์นั้นคุ้มครองผลประโยชน์ให้กับเจ้าของผลงาน

แต่คราวนี้สมมติคุณอนันต์ครับมีจุดประสงค์เพื่อให้งานของตัวเองนั้นเผยแพร่ออกไปสู่วงกว้างอยู่แล้วโดยไม่หวังผลกำไรใด ๆ เพียงแต่อยากให้อ้างอิงกลับมาว่าเป็นผลงานของเขา และไม่ต้องการให้เอาผลงานของเขาไปขายหากำไรเข้ากระเป๋าจะทำได้อย่างไร แน่นอนครับกฏหมายลิขสิทธิ์เดิมคุ้มครองได้อยู่แล้ว เพราะผมต้องขอก่อน และคุณอนันต์ครับก็สามารถกำหนดเงื่อนไขต่าง ๆ มาให้ผมได้ แต่กระบวนการนั้นมันจะยุ่งยากเพราะต้องมีการติดต่อกัน และอาจต้องมีการจ้างทนายมาร่างสัญญา เป็นต้น

คำถามก็คือจะมีวิธีการอะไรที่ง่ายกว่านี้ไหม ที่ให้เจ้าของผลงานยังเป็นเจ้าของลิขสิทธื์ในงานของตัวเองเช่นเดิม แต่ประกาศอนุญาตให้คนอื่นนำผลงานไปใช้ได้ภายใต้เงื่อนไขที่เจ้าของผลงานกำหนด สัญญาอนุญาตครีเอทีฟคอมมอนส์อาจเป็นคำตอบของคำถามดังกล่าวครับ โดยมีการรวบรวมเงื่อนไขทั่ว ๆ ไปที่เจ้าของผลงานมักจะกำหนดไว้ สร้างสัญลักษณ์ที่ให้เข้าใจตรงกัน โดยเงื่อนไขในสัญญาอนุญาตครีเอทีฟคอมมอนส์จะมีอยู่ 4 อย่างด้วยกันดังตารางต่อไปนี้



เราสามารถเลือกใช้เงื่อนไขทั้งสี่นี้ประกอบกันเพื่อสร้างเป็นสัญญาอนุญาตได้ ยกเว้น BY ซึ่งจะเป็นเงื่อนไขที่กำหนดว่าจะต้องมีเสมอ ถ้าไม่เข้าใจลองดูตัวอย่างนี้ครับ ซึ่งเป็นสัญญาอนุญาตที่ใช้กับบล็อกของผมครับ เครื่องหมายนี้หมายความว่า ผมอนุญาตให้นำเรื่องต่าง ๆ ที่ผมเขียนไปเผยแพร่ต่อได้ โดยไม่ต้องขออนุญาตจากผม ตราบใดที่อ้างถึงว่าผมเป็นเจ้าของงานนี้ การเผยแพร่นั้นจะต้องไม่ทำไปเพื่อการค้า และผมอนุญาตให้ดัดแปลงแก้ไขงานผมได้ โดยผู้ดัดแปลงจะต้องยอมให้ผู้อื่นดัดแปลงแก้ไขงานต่อไปได้เช่นกัน

ต่อไปก็เป็นเรื่องของกฎหมายครับ ประเด็นก็คือสัญญาอนุญาตครีเอทีฟคอมมอนส์นั้นเกิดขึ้นที่อเมริกา ซึ่งแต่ละประเทศก็มีกฏหมายที่แตกต่างจากอเมริกา ดังนั้นก็ต้องมีการปรับปรุงแก้ไขให้สัญญาอนุญาตครีเอทีฟคอมมอนส์ให้เข้ากันได้กับกฏหมายของประเทศนั้น สำหรับประเทศไทยการดำเนินการดังกล่าวเสร็จแล้วครับ ผู้ดำเนินการคือ เครือข่ายครีเอทีฟคอมมอนส์ประเทศไทย และสำนักกฎหมายธรรมนิติ โดยจะมีการแถลงข่าววันที่ 2 เมษายนนี้ ที่หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร เวลา 13.00 ถึง 16.00 น. ครับ เมื่อมีกฏหมายแล้วต่อไปถ้ามีการละเมิด ก็สามารถฟ้องร้องได้ (ถ้าอยากทำนะครับ)

สุดท้ายก็คือเราควรใช้สัญญาอนุญาตครีเอทีฟคอมมอนส์หรือไม่ และมันมีประโยชน์อย่างไร อันแรกเลยนะครับ ถ้าเป็นงานซึ่งเราคิดว่าจะนำไปใช้ประโยชน์ไม่ว่าจะเป็นด้านการค้า หรือด้านอื่น ๆ อย่าใช้สัญญาอนุญาตครีเอทีฟคอมมอนส์ คือจริง ๆ แล้วเราอาจจะอนุญาตไปก่อนแล้วเปลี่ยนใจภายหลังก็ได้ แต่การเปลี่ยนนั้นจะไม่มีผลกับงานที่คนอื่นได้กระทำไปแล้วภายใต้สัญญาอนุญาตที่เราเคยกำหนดไว้ ดังนั้นเราควรจะใช้กับงานของเราซึ่งต้องการให้มีการเผยแพร่ออกไป และเราไม่ต้องการที่จะได้ประโยชน์ใด ๆ จากงานนี้จริง ๆ ประโยชน์จากการใช้สัญญาอนุญาตครีเอทีฟคอมมอนส์ในความเห็นของผมก็คือ ทำให้มีการแลกเปลี่ยนเผยแพร่ และต่อยอดความรู้ออกไปได้อย่างเสรี โดยยังคงให้ความเคารพกับผลงานหรือทรัพย์สินทางปัญญาของผู้อื่น

วันนี้เรื่องอาจจะหนักไปสักนิดนะครับ แต่อย่างน้อยต่อไปนี้ถ้าเราไปเจอสัญลักษณ์ของสัญญาอนุญาตครีเอทีฟคอมมอนส์จะได้เข้าใจมากขึ้นว่าหมายถึงอะไร เพราะผมเข้าใจว่าจะมีเว็บจำนวนมากขึ้นที่ใช้สัญญาอนุญาตนี้ หรือถ้าใครต้องการจะใช้สัญญาอนุญาตครีเอทีฟคอมมอนส์กับงานของตัวเอง ก็สามารถเข้าไปกำหนดเงื่อนไข และนำสัญลักษณ์มาติดที่บล็อกของตัวเองได้จาก หน้าขอคำอนุญาตของเว็บครีเอทีฟคอมมอนส์ได้เลยครับ ถ้าใครอยากรู้รายละเอียดเกี่ยวกับสัญญาอนุญาตตัวนี้มากขึ้น นอกจากเว็บครีเอทีฟคอมมอนส์แล้ว ก็ยังมีจากบล็อกของคุณ mk แห่ง blognone ซึ่งคุณ mk ก็เป็นกรรมการคนหนึ่งในเครือข่ายครีเอทีฟคอมมอนส์ประเทศไทยด้วย




คำสำคัญ : Creative Commons, Law, License, Thailand




 

Create Date : 31 มีนาคม 2552    
Last Update : 3 เมษายน 2552 0:03:18 น.
Counter : 3546 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  

motokop
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




สวัสดีครับ สำหรับบล็อกนี้ผมก็ตั้งใจจะให้เป็นข่าวสารที่น่าสนใจทางคอมพิวเตอร์ ทั้งข้อมูลด้านเทคโนโลยีที่น่าสนใจ การพัฒนาโปรแกรม และงานวิจัยต่าง ๆ อาจแทรกไปด้วยเรื่องอื่นๆ บ้าง ตามแต่อารมณ์และสถานการณ์ครับ ยินดีรับความคิดเห็นของทุกคนครับ
Visit InfoServe for backgrounds.

เพื่อนที่กำลังชมบล็อก:

ผู้ชมทั้งหมด:

Friends' blogs
[Add motokop's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.