เรื่องราวหลากหลายเทคโนโลยีน่ารู้เพื่อคุณ
Group Blog
 
All Blogs
 

เมื่อถึงยุคที่คอมพิวเตอร์แข่งกันลดเวลาเปิดเครื่อง

สวัสดีครับ กลับมาแล้วครับ หลังจากหายไปอีกแล้ว (หลายคนคงชินแล้ว แต่อย่าเพิ่งเบื่อนะครับ) ไม่อยากใช้คำเดิม ๆ ครับ แต่ยุ่งจริง ๆ แทบไม่มีเวลาจะเข้าบล็อกเลย บางทีก็มีโอกาสเหมือนกับเป็นการพักผ่อนชั่วครู่ ก็โฉบแวบเข้ามาอ่านบล็อกของเพื่อน ๆ บ้าง แล้วก็ต้องรีบบังคับตัวเองให้ออกไปครับ ถ้าอย่างนั้นก็จะยาว คือจะอ่านบล็อกตอบบล็อกกันยาวจนไม่ทำงานทำการครับ เป็นโรคติดบล็อกอย่างอ่อน ๆ (หรืออย่างแก่ ๆ ) ก็ไม่ทราบ

สำหรับเรื่องที่จะเล่าให้ฟังกันวันนี้ ผมอยากจะเริ่มด้วยคำถามครับว่าพวกเราทำอะไรกันครับ ระหว่างที่เรารอ หลังจากที่เราเปิดเครื่องแล้ว จนเครื่องมันพร้อมที่จะทำงาน ซึ่งช่วงเวลาตรงนี้นี่ผมคิดว่าหลาย ๆ คนอาจใช้เวลาเป็นนาทีเลยใช่ไหมครับ อย่างเครื่องที่ทำงานผม จะใช้เวลาประมาณ 3 -4 นาทีกว่าที่จะพร้อมทำงาน ดังนั้นสิ่งแรกที่ผมทำเมื่อเข้าไปที่ทำงานก็คือเปิดเครื่อง แล้วก็ไปทำธุระอย่างอื่น เช่นเข้าห้องน้ำ ล้างหน้าแปรงฟัน หรือไปคุยกับเพื่อน พอกลับมาก็จะสามารถใช้งานเครื่องได้ แต่กรณีนี้นี่จะทำได้ก็คือต้องไม่รีบนะครับ ถ้ารีบนี่ก็จะรู้สึกหงุดหงิดครับ นั่งจ้องหน้าจอ (ทั้ง ๆ ที่รู้ว่ามันก็ไม่ได้ทำให้เร็วขึ้น)

ซึ่งปัญหานี้ผมคิดว่าหลาย ๆ คนก็คงจะเป็นเหมือนผมนะครับ และก็คงเป็นกับผู้ใช้คอมพิวเตอร์ทั่วโลก นอกจากนี้ยังมีการเอาไปเปรียบเทียบกับโทรศัพท์มือถือหรืออุปกรณ์ประเภท PDA ทั้งหลายด้วยนะครับ ซึ่งพวกเราคงเห็นด้วยนะครับว่าอย่างมือถือนี่ พอเราเปิดเครื่องเราจะรอไม่นานอาจจะสักครึ่งนาทีเราก็สามารถใช้งานได้เลย ดังนั้นตอนนี้ก็เลยมีการพูดถึงเรื่องนี้กันมากครับ บริษัทผู้ผลิตคอมพิวเตอร์รายใหญ่ไม่ว่าจะเป็น Hewlett-Packard, Dell, และ Lenovo ก็ได้ใช้แผงวงจร จากผู้ผลิตแผงวงจรรายใหญ่ อย่าง Asus (จริง ๆ ตอนนี้ Asus ไม่ได้ผลิตแค่ผงวงจรแล้วนะครับ) ซึ่งได้พัฒนาโปรแกรมสำหรับทำให้เครื่องพร้อมจะทำงานได้เร็วขึ้น โดยการทำงานอย่างเช่น อ่านอีเมล หรือท่องเว็บสามารถทำได้หลังจากเปิดเครื่องไม่เกิน 30 วินาที แม้แต่ไมโครซอฟต์เองก็บอกนะครับว่าเวลาที่เครื่องควรจะพร้อมทำงานให้เราหลังจากเราเปิดเครื่องไม่ควรจะเกิน 15 วินาที แต่ในปัจจุบันนี้ถ้าพิจารณาที่วินโดวส์เวอร์ชันล่าสุดคือ Vista ตามข่าวบอกว่ามีผู้ใช้เพียงร้อยละ 35 เท่านั้น ที่สามารถปรับแต่งระบบปฏิบัติการให้สามารถพร้อมที่จะทำงานได้ใน 30 วินาทีหลังจากการเปิดเครื่อง

เมื่อไมโครซอฟต์ยังแก้ปัญหานี้ไม่ได้ เราก็มาดูว่าโปรแกรมที่ Asus ทำขึ้นมานั้นเป็นอย่างไร หลักการก็คือเวลาเปิดเครื่องแทนที่จะเริ่มต้นทำงานด้วยวินโดวส์ ก็ให้ไปใช้ splashtop ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการลีนุกซ์เวอร์ชันพิเศษ ซึ่งจะเปิดโอกาสให้ผู้ใช้เริ่มทำงานได้อย่างรวดเร็ว โดยในบางรุ่นก็จะให้วินโดวส์เริ่มทำงานของมันไปหลังฉาก ดังนั้นเมื่อเครื่องพร้อมแล้วผู้ใช้ก็สามารถเปลี่ยนไปใช้วินโดวส์ได้ หรือในบางรุ่นก็อาจจะไม่เรียกวินโดวส์ขึ้นมาทำงานเลยก็ได้ จากข่าวล่าสุดเครื่องเน็ตบุ๊ค (โน้ตบุ๊คตัวเล็ก) ของ Lenovo รุ่น IdeaPad S10e ก็จะติดตั้งโปรแกรมนี้มาให้ด้วย ซึ่งก็จะเป็นเวอร์ชันแรกของ splashtop บนเน็ตบุค ถ้าใครกำลังจะซื้อเครื่องใหม่ ก็อาจจะพิจารณาคุณสมบัตินี้ประกอบด้วยก็ได้นะครับ ไม่แน่ครับในยุคต่อไปเราอาจะได้เห็นเครื่องคอมพิวเตอร์แข่งกันโดยใช้เวลาเปิดเครื่องเป็นหลัก เหมือนกับที่รถยนต์แข่งกันโดยใช้เวลาในการเร่งจาก 0 ถึง 100 หรืออะไรประมาณนี้นะครับ

ถ้าใครสนใจว่า splashtop นั้นเป็นยังไงก็ดูได้จากวีดีโอที่โฆษณา splashtop ต่อไปนี้ได้เลยครับ




ส่วนถ้าใครต้องการดูวิดีโอเปรียบเทียบความเร็วของเครื่องที่ใช้ splashtop กับเครื่องที่ไม่ใช้ก็ดูได้จากที่นี่ครับ The Newyork Times


จริง ๆ แล้วผมมองว่าเดี๋ยวนี้พวกเราอดทนกันน้อยลง และดูจะรีบเร่งกันมากขึ้นนะครับ ถ้ามองย้อนกลับไปยุคก่อน สมัยที่เครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล ยังมีความเร็วในหน่วยเป็น MHz มีหน่วยความจำ 640 KB แม้แต่ฮาร์ดดิสก์ก็ยังไม่มี ก็ยังทำงานกันได้ (เอ... มีใครอยู่ในยุคนั้นบ้างไหมครับ หรือผมจะเปิดเผยตัวตนไปแล้วว่าแก่แค่ไหน... )

สำหรับผมแล้วก็อย่างที่บอกครับว่าถ้ารีบ ๆ นี่ก็อยากให้เครื่องมันพร้อมให้ใช้งานได้เร็ว ๆ แล้วก็จะค่อนข้างหงุดหงิดเมื่อมันไม่ได้อย่างใจ แต่พอมานั่งคิดดูอีกทีแล้วชีวิตของเราจะต้องรีบอะไรนักหนา การที่เรามาถึงแล้วต้องการเปิดเครื่องเร็ว ๆ แล้วรีบทำงานเร็ว ๆ บางทีก็หมายความว่าเราอาจบริหารเวลาไม่ดีก็ได้ ยิ่งไปกว่านั้นบางทีช่วงเวลาในการรอก็อาจทำให้เราได้มีโอกาสได้พูดคุยกับเพื่อนร่วมงาน (ซึ่งถ้าเครื่องมันเปิดปุ๊บติดปั๊บนี่บางทีอาจไม่ได้คุยกันเลยก็ได้) หรือในช่วงเวลาที่เรารอนี้อาจเป็นช่วงเวลาที่ทำให้เราได้คิดทบทวนวางแผน หรือแม้แต่จะทำสมาธิ (อันนี้น่าสนครับ เพิ่งคิดได้แล้วจะลองทำดู)

ส่วนใครที่ยังหงุดหงิดอยู่เวลาต้องรอเครื่อง ให้คิดอย่างนี้ก็ได้ครับ อย่างน้อยก็ยังเร็วกว่าเวลาที่ต้องรอให้อีตา motokop มาอั๊พบล็อกนั่นแหละ อันนี้อาจจะช่วยได้ครับ....



อ้างอิง



  • The Newyork Times (เข้าอ่านล่าสุด 29 ตุลาคม 2551)

  • splashtop (เข้าอ่านล่าสุด 29 ตุลาคม 2551)




 

Create Date : 29 ตุลาคม 2551    
Last Update : 29 ตุลาคม 2551 20:28:13 น.
Counter : 779 Pageviews.  

Windows 7

สวัสดีครับ หลังจากหายหน้าไปหลายวัน เนื่องจากยุ่ง ๆ เรื่องงานตามเคย (คำแก้ตัวเดิม ๆ) วันนี้ก็จะมาขอเขียนเรื่องเกี่ยวกับ Windows 7 ซึ่งทางไมโครซอฟต์ตั้งใจว่าจะให้เป็น Windows ตัวใหม่สำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์สำหรับผู้ใช้ครับ ต้องบอกก่อนว่าตัวผมเอง เครื่องหลักที่ใช้อยู่ก็ยังใช้ Windows XP อยู่เลยนะครับ ยังไม่ได้ลองเล่น Vista จริง ๆ จัง ๆ เลย คือจริง ๆ ก็ไปซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์ใหม่มาเครื่องหนึ่งซึ่งได้ติดตั้ง Vista มาด้วย แต่ตอนนี้ถูกลูกยึดไปใช้แล้วครับ ถ้าอยากเล่น Vista ต้องไปขอเขาเล่นครับ แต่ที่มาเขียนก็เพราะว่ามี เพื่อนชาว bloggang คนหนึ่งได้บอกว่าได้เห็นการโฆษณาเจ้า Windows ตัวนี้แล้ว เลยอยากถามผมว่ามันเป็นยังไงบ้าง มันมีคุณสมบัติเด่น ๆ อะไร น่าใช้ไหม อะไรทำนองนี้ ผมก็เลยคิดว่าน่าจะหาข้อมูลมาเล่าให้พวกเราทั้งหมดได้ฟังกันด้วย แต่คงต้องบอกก่อนนะครับ ข้อมูลที่ผมเล่าให้ฟังนี้ก็เป็นข้อมูลที่ได้แต่อ่าน และรวบรวมจากแหล่งข้อมูลที่พอจะเชื่อถือได้มาเล่าให้ฟังเท่านั้น เพราะจริง ๆ แล้วไมโครซอฟต์นี่ค่อนข้างจะเงียบเกี่ยวกับเรื่อง Windows ตัวนี้นะครับ ทำให้มีข่าวลือต่าง ๆ มากมายเกี่ยวกับคุณสมบัติของ Windows ตัวนี้ ถึงขนาดที่มีวีดีโอซึ่ง(อาจจะ)จริงบ้างไม่จริงบ้าง แสดงถึงคุณลักษณะของ windows 7 อยู่บน YouTube เต็มไปหมด และเนื่องจากมันยังไม่ได้ออกมันก็อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ดังนั้นถ้าพวกเราได้เข้าไปดูวิดีโอกันแล้ว ก็อย่าเพิ่งเชื่อกันนะครับว่ามันจะเป็นอย่างนั้นจริง ๆ

สำหรับวีดีโอที่คิดว่าน่าจะเป็นของจริงเท่าที่ค้นได้ในตอนนี้น่าจะเป็นตัวนี้นะครับ คือเป็นวีดีโอจากงาน D6: All things Digital Conference ซึ่งจัดขึ้นเมื่อ เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา



ซึ่งจะเห็นว่าเป็นการนำเอาระบบ multitouch เข้ามาใช้ คุณสมบัตินี้อาจจจะไม่ใช่เรื่องประหลาดสำหรับคนที่ใช้ iphone อยู่นะครับ และก็ไม่ต้องกังวลสำหรับคนที่ใช้คอมพิวเตอร์ที่ไม่มีจอสัมผัสนะครับ ผมเชื่อว่าเราก็ยังคงใช้งานกันแบบเดิม ๆ ได้ และอีกประการหนึ่งก็คือผมคิดว่าคุณสมบัตินี้อาจจะอยู่ในรุ่น Windows 7 premium อะไรสักอย่างหนึ่ง ซึ่งก็คงจะแพงน่าดู และจอสัมผัสในตอนนี้ก็มีราคาแพงกว่าจอธรรมดาอยู่พอสมควร แต่ถ้าอยากใช้จริง ๆ ถึงตอนนั้นจอสัมผัสอาจเป็นเทคโนโลยีที่มีราคาไม่แพงแล้วก็เป็นได้


ตามกำหนดการที่เป็นทางการของไมโครซอฟต์ Windows 7 จะออกมาให้เราได้ใช้กันในปี พ.ศ. 2553 (ค.ศ. 2010) ข่าวล่าสุดบอกว่าไมโครซอฟต์จะปล่อยตัวเบต้ามาให้นักทดสอบได้ใช้กันประมาณเดือนธันวาคมปีนี้ ดังนั้นใครที่เป็นนักทดสอบของไมโครซอฟต์อยู่แล้วก็คงจะได้ใช้เจ้า Windows ตัวนี้เร็ว ๆ นี้แล้วนะครับ ยังไงก็อย่าลืมเอามาเล่าให้ฟังกันด้วยนะครับ แต่เท่าที่อ่าน ๆ มาเหมือนว่าไมโครซอฟต์จะไม่รับนักทดสอบใหม่แล้วนะครับ ดังนั้นใครที่ต้องการจะสมัครเป็นนักทดสอบเพื่อที่จะได้ใช้เจ้า Windows ตัวนี้อาจจะทำไม่ได้ อีกวิธีการหนึ่งซึ่งเราอาจจะได้ Windows 7 มาใช้ก่อนก็คือลงทะเบียนเข้าร่วมงาน The Professional Developer Conference (PDC) ซึ่งจะจัดระหว่างวันที่ 27-30 ตุลาคม ที่ Los Angeles หรือเข้าร่วมงาน The Windows Hardware Engineering Conference (WinHEC) ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 5-7 พฤศจิกายน ที่ Los Angeles (จะมีใครลงทุนขนาดนี้ไหมเนี่ย) ผมคิดว่าหลังจากงานนี้แล้วเราน่าจะได้เห็นคุณสมบัติจริง ๆ บางส่วนของ Windows 7 นี้สักที ผมก็เลยคิดว่าจะรอหลังจากงานนี้ก่อนแล้วค่อยมาเล่าให้ฟังอีกทีแล้วกันนะครับ

แต่ผมคิดว่าคำถามนี่น่าจะใกล้ตัวพวกเรามากกว่าสำหรับพวกเราที่ยังคงใช้ Windowx XP อยู่ก็คือ แล้วเราควรจะเปลี่ยนไปใช้ Vista ก่อนไหม หรือจะรอ Windows 7 เลย และการเปลี่ยนมาใช้ Windows 7 จะมีปัญหาเหมือนกับการเปลี่ยนจาก Windows XP มาเป็น Vista หรือไม่ ถึงตรงนี้หลายคนที่ใช้เครื่องเก่าที่ไม่ได้ออกแบบมาสำหรับ Vista แล้วเปลี่ยนมาใช้คงทราบดีนะครับว่าผมหมายถึงอะไร เท่าที่ทราบก็คือหลายคนต้องเปลี่ยนกลับไปใช้ Window XP เหมือนเดิม เพราะปัญหาหลัก ๆ ก็คือ Windows Vista ใช้ทรัพยากรของเครื่องค่อนข้างมากประสิทธิภาพไม่ค่อยดี และยังมีปัญหาไม่สามารถใช้งานโปรแกรมเก่า ๆ บางตัวได้อีกด้วย

สำหรับเรื่องการปรับเปลี่ยนจาก Vista ไปยัง Windows 7 นั้น คิดว่าคงไม่มีปัญหาอะไรมากนะครับ ซึ่งที่ผมสรุปตรงนี้ก็มาจากคำตอบของคุณ Steave Ballmer ซึ่งเป็น CEO ของไมโครซอฟต์ที่บอกว่า Windows 7 จะเป็น Vista ที่ดีขึ้นกว่าเดิมอย่างมาก โดยจะปรับปรุงส่วนติดต่อกับผู้ใช้ และเรื่องของประสิทธิภาพ แต่ก็กลับเป็นปัญหาใหม่ขึ้นมาคือก็มีคนถามว่า ถ้าอย่างนั้น Windows 7 ก็จะเป็นแค่เวอร์ชันปรับปรุงของ Vista ใช่หรือไม่ ซึ่งตรงนี้ คุณ Ballmer ยืนยันว่าไม่ใช่ เพราะมันมีการปรับปรุงหลาย ๆ อย่างจนเกินกว่าที่จะเป็นเพียงแค่เวอร์ชันปรับปรุงเท่านั้น คุณ Ballmer ยังกล่าวถึงองค์กรที่ยังรีรอที่จะเปลี่ยนไปใช้ Vista ว่า ถ้าอยากจะรอ ก็ใช้ Windows XP ไปก่อนก็ได้ แต่ถ้าเป็นตัวเขา เขาจะเปลี่ยนมาใช้ Vista ก่อน ฟังจากคำตอบของเขาแล้วนี่เป็นนักการเมืองได้เลยนะครับ

แล้วสำหรับผู้ใช้อย่างเราควรทำอย่างไรดี ความเห็นของผมในเรื่องนี้เป็นอย่างนี้ครับ ถ้าพวกเราไปซื้อเครื่องใหม่และเขาให้ Windows Vista แท้มาด้วย ก็ใช้เถอะครับ เพราะเครื่องเหล่านี้ควรจะเป็นเครื่องที่รองรับ Vista อยู่แล้ว แต่อาจมีปัญหากับโปรแกรมบางตัว ซึ่งเรื่องนี้วิธีแก้ไขก็อาจต้องหาเวอร์ชันล่าสุดของโปรแกรมมาใช้ หรือใช้บริการสนับสนุนของไมโครซอฟต์ดู ไหน ๆ เราก็ใช้ซอฟต์แวร์แท้แล้วก็ใช้บริการเขาหน่อยน่าจะได้นะครับ แต่ต้องบอกก่อนว่าผมไม่เคยใช้บริการนะครับ (ทั้ง ๆ ที่ผมก็ใช้ Windows แท้เหมือนกัน) ไม่รู้ว่าเขาให้บริการเป็นยังไงบ้าง แต่ถ้าใครใช้เครื่องรุ่นเก่าแล้วต้องการใช้ Vista นี่ผมไม่แนะนำให้ลงทุนนะครับ ถึงจะใช้เวอร์ชันพันทิพก็ไม่แนะนำนะครับ เพราะอย่างที่บอกไปแล้วสุดท้ายหลายคนก็ย้อนกลับมาใช้ Windows XP ถ้าใครที่เพิ่งซื้อเครื่องมาแล้วเขาให้เป็น Window XP มาผมก็คิดว่าไม่จำเป็นต้องไปดิ้นรนหา Vista มาใช้ เพราะในความเห็นผมตอนนี้ Window XP นี่ก็ค่อนข้างจะเสถียรพอสมควรครับ คราวนี้หลายคนอาจจะกังวลเพราะทางไมโครซอฟต์ประกาศว่าจะเลิกสนับสนุน Windows XP ภายในสิ้นปีนี้แล้ว แต่ผมคิดว่าเรายังคงใช้ต่อไปได้เหมือนเดิมแหละครับ เจ้า Windows 7 นี่จะออกประมาณต้นปี 2010 เราจะรอซื้อเครื่องใหม่ตอนนั้นพร้อมทั้ง Windows 7 เลยก็คงไม่สาย

อีกประการหนึ่งก็คือผมอยากจะชวนให้พวกเรายึดแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้กับซอฟต์แวร์ครับ คือเราไม่จำเป็นต้องใช้ซอฟต์แวร์เวอร์ชันล่าสุดตลอดเวลาหรอกครับ เราลองคิดให้ดีก่อนว่าเวอร์ชันปัจจุบันมันตอบสนองการทำงานของเราได้หรือยัง เราได้ใช้คุณสมบัติของเวอร์ชันที่เราใช้อยู่ครบถ้วนหรือยัง เวอร์ชันใหม่ที่ออกมามันทำให้เราได้ความสะดวกเพิ่มขึ้นคุ้มค่ากับการลงทุนหรือไม่ และตอนนี้โปรแกรมแบบ open source หลายตัว ก็ให้เราสามารถใช้ได้แบบไม่มีค่าใช้จ่าย และก็มีประสิทธิภาพดีพอสมควร ระบบปฏิบัติการอย่าง Linux ซึ่งก็มีหลากหลายรุ่นให้เลือก การติดตั้งก็ไม่ยากเหมือนสมัยก่อน โปรแกรมอย่าง Open Office ก็มีความสามารถไม่ด้อยกว่า MS Office และก็มีรุ่นที่ทำงานบน Windows ได้ด้วย เราสามารถหามาใช้ได้ โดยทั้งไม่ผิดลิขสิทธิ์ และยังไม่มีค่าใช้จ่ายอะไรอีกด้วย ดังนั้นก็อยากชวนพวกเรามาใช้กันในสภาวะเศรษฐกิจเช่นในตอนนี้ครับ เอ... เริ่มต้นจาก Windows 7 ทำไมมาจบที่ Open Source ได้ละเนี่ย....




อ้างอิง


Infoworld
Vista Blog
Windows 7 News
ZD Net





 

Create Date : 19 ตุลาคม 2551    
Last Update : 19 ตุลาคม 2551 17:43:32 น.
Counter : 722 Pageviews.  

อย่าเข้าใกล้คอมพิวเตอร์ถ้าไม่อยากให้ใครรู้อายุ

ที่มา News Bureau University of Illinois at Urbana-Champaign เข้าถึงล่าสุด 8 ตุลาคม 2551



สวัสดีครับ เรื่องที่ผมจะเล่าให้ฟังวันนี้เป็นงานวิจัยที่มีประโยชน์ แต่อาจเป็นเรื่องที่บางทีพวกเราหลายคนอาจไม่ชอบก็ได้นะครับ เรื่องก็คือตอนนี้มีงานวิจัยที่พัฒนาโปรแกรมให้คอมพิวเตอร์สามารถคำนวณอายุโดยดูจากใบหน้าของเราได้ งานวิจัยนี้เป็นงานวิจัยจาก University of Illinois at Urbana-Champaign (UIUC) ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำทางด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์แห่งหนึ่งของประเทศสหรัฐอเมริกา


ศาสตราจารย์ Thomas S. Hung กล่าวว่าโปรแกรมนี้จะใช้ประโยชน์ได้หลายอย่าง เช่นการป้องกันไม่ให้วัยรุ่นซึ่งอายุไม่ถึงเข้าไปในสถานบันเทิง การป้องกันไม่ให้ซื้อบุหรี่จากตู้หยอดเหรียญ (ไอ้ตู้นี้ผมหวังว่าประเทศไทยคงไม่มีนะครับ ) หรือป้องกันไม่ให้เด็กเข้าไปเว็บลับเฉพาะสำหรับผู้ใหญ่ (ที่ผมไม่ชอบคืออันนี้แหละครับ คือเดี๋ยวมันจะอ่านหน้าผมแล้วไม่ยอมให้ผมเข้าไป )

นอกจากนี้โปรแกรมดังกล่าวยังสามารถใช้ในด้านการค้าได้ด้วย เช่นสามารถจะดูได้ว่ามีผู้ใหญ่ที่เป็นชายหรือหญิงกี่คนที่ซื้อของของเรา หรือมีวัยรุ่นกี่คนที่มาซื้อน้ำอัดลมยี่ห้อนี้ หรืออาจจะใช้ในการโฆษณาเฉพาะบุคคลก็ได้ เช่นถ้าคอมพิวเตอร์จับได้ว่าเป็นชายวัยทำงานกำลังเดินผ่านมา ก็แสดงโฆษณาเกี่ยวกับรถยนต์ ถ้าเป็นผู้หญิงก็อาจแสดงโฆษณาเสื้อผ้าเป็นต้น

ศาสตราจารย์ Hung สรุปว่าสำหรับข้อดีของวิธีนี้ก็คือ สามารถเข้าถึงเราได้โดยไม่ละเมิดความเป็นส่วนตัวของเรา แต่ผมว่าอายุนี่บางคนก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องส่วนตัวนะครับ สาว ๆ ทั้งหลายว่ายังไงครับ




 

Create Date : 08 ตุลาคม 2551    
Last Update : 8 ตุลาคม 2551 20:22:49 น.
Counter : 716 Pageviews.  

ความน่าเชื่อถือของข้อมูลบนเว็บ 2

สวัสดีครับ วันนี้ผมมีตัวอย่างที่น่าจะเข้ากับเรื่องที่ผมเขียนไว้คือความน่าเชื่อถือของข้อมูลบนเว็บ มาเล่าให้ฟังกันครับ จะเรียกว่าเป็นภาค 2 ก็คงพอได้นะครับ คือเมื่อ สัก 2-3 วันก่อน ผมได้รับฟอร์เวิร์ดเมลจากรุ่นพี่เหมือนที่เคยได้รับตามปกติ โดยเนื้อหาในเมลมีดังนี้ครับ



From: CAT TELECOM (telemarketing@cattelecom.com)
Date: 2008/10/3
Subject: ข่าวสารและโปรโมชั่นจาก CAT
To: Undisclosed-Recipient
CAT เตือนภัย ก่อนรับสายทางไกลเรียกเข้าจากต่างประเทศ
พร้อมนำเสนอโปรโมชั่นสุดพิเศษ
กับบริการ CAT2Learn และ CAT4SMS


และมีรูปภาพแนบมาด้วยคือรูปนี้ครับ




ขอย้ำก่อนนะครับว่ารูปภาพที่เห็นนี่อาจจะมีข้อมูลที่ไม่ถูกต้องทั้งหมด และขอให้ดูที่มาด้วยนะครับ ว่ามาจาก (telemarketing@cattelecom.com) ซึ่งทั้งหมดนี่ดูไม่น่าจะมีอะไรใช่ไหมครับ

ผมกำลังคิดว่าจะเอามาเล่าให้พวกเราฟังกันในบล็อกนี่แหละครับ แต่ไหน ๆ แล้ว ลองดูจากต้นทางจริง ๆ เลยดีกว่า ผมก็เลยเข้าไปอ่านข่าวจาก เว็บของ CAT News เลยครับ และก็พบข่าวนี้ ซึ่งผมขออนุญาตคัดลอกและนำมาให้อ่านกันเลยนะครับ ส่วนใครอยากจะเข้าไปอ่านของจริงก็เชิญได้ตามลิงก์ที่ให้ไว้นะครับ ต่อไปนี้คือข้อความในข่าวครับ


CAT เตือนอย่าหลงเชื่อฟอร์เวิร์ดเมล ยืนยันรับสายจากต่างประเทศ ไม่ต้องจ่ายเงิน

ตามที่มีข้อความส่งต่อกันแพร่หลายทางอินเทอร์เน็ต (Forward Mail) ว่า “ประกาศจาก กสท ด่วนมาก ๆ ถ้ามีโทรศัพท์เข้ามือถือของเรา ขึ้นต้นด้วย 8223658232 จำนวนหมายเลขโทรศัพท์ 10 หลัก โชว์ที่หน้าจอมือถือของเรา ห้ามรับเด็ดขาด เนื่องจาก CAT สำนักงานใหญ่แจ้งว่าถ้าเห็นเบอร์ในลักษณะนี้ไม่ควรรับ เพราะว่าเป็นโทรศัพท์มาจากประเทศเกาหลี ซึ่งเป็นหมายเลขที่เรียกเก็บเงินปลายทาง ซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายถ้าเรารับ จะมีคนกลุ่มหนึ่งมักจะสุ่มโทรศัพท์มาที่มือถือประเภทเหมาจ่ายซะส่วนใหญ่ และทาง CAT ฝากแจ้งว่าถ้ามีเบอร์ที่ขึ้น ** หรือ ## และตามด้วยเบอร์โทรศัพท์ 10 หลัก ก็ไม่ควรรับ จึงแจ้งมาเพื่อทราบ”

นายพีรศักดิ์ อรุณสกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) หรือ CAT ขอชี้แจงว่า ประกาศทางอินเทอร์เน็ตดังกล่าวไม่ใช่ประกาศจาก CAT และ ข้อความดังกล่าวไม่เป็นความจริง เนื่องจากการรับสายเรียกเข้าไม่ว่าจากในประเทศหรือต่างประเทศ ผู้รับสายไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น ยกเว้นผู้ใช้บริการ Thailand Direct ที่อำนวยความสะดวกให้คนไทยที่เดินทางไปต่างประเทศแล้วประสบปัญหาเรื่องภาษา ก็สามารถโทรกลับประเทศไทยผ่านพนักงานสลับสาย (Operator) คนไทยและเรียกเก็บเงินปลายทางที่ประเทศไทย แต่ทุกครั้งพนักงานจะแจ้งให้ทราบก่อนว่าผู้รับต้องจ่ายค่าทางไกลต่างประเทศและถ้าผู้รับปฏิเสธพนักงานก็จะไม่ต่อสายให้ แต่จากข้อความที่เผยแพร่ในอินเทอร์เน็ตรวมทั้งที่อ้างว่าพนักงาน CAT ชี้แจงนั้นจึงเป็นข้อความที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง ดังนั้นหากประชาชนต้องการทราบข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับการใช้บริการโทรศัพท์ระหว่างประเทศของ CAT สามารถสอบถามโดยตรงได้ที่ CAT Contact Center โทร 1322 ตลอด 24 ชั่วโมง

นายพีรศักดิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในกรณีการเรียกเข้าจากต่างประเทศเข้ามายังโทรศัพท์มือถือ ที่หน้าจอจะแสดงเครื่องหมาย “+” แล้วตามด้วยรหัสประเทศของประเทศต้นทาง รหัสเมืองหรือรหัสโทรศัพท์มือถือ และหมายเลขโทรศัพท์ ในกรณีที่มือถือในประเทศไทยไม่ได้รับสาย ที่หน้าจอจะแสดง Missed call และเมื่อตรวจสอบเลขหมายของผู้เรียกเข้ามาพบว่าหน้าจอแสดงเครื่องหมาย “+” นำหน้าแล้วตามด้วยเลขหมาย 10 หลักขึ้นไป ถ้ามีการเรียกกลับไปโดยกดปุ่มโทรออกก็จะเป็นการเรียกออกไปต่างประเทศทันที ซึ่งผู้เรียกต้องเสียค่าทางไกลต่างประเทศ ดังนั้นผู้ใช้บริการควรตรวจสอบเลขหมายก่อนทุกครั้งที่จะเรียกออกในกรณีที่มี Missed call หากหน้าจอแสดงเครื่องหมาย “+” แล้วตามด้วยเลขหมาย 10 หลัก ให้พึงระวัง หากต้องการโทรออกต่างประเทศให้กด 001 หรือ 009 จากโทรศัพท์โดยตรงหรือทำการโปรแกรมไว้ในหน่วยความจำของเครื่องโทรศัพท์มือถือจะปลอดภัยกว่า และยังได้รับบริการที่มีคุณภาพเสียงชัดเจนเรียกต่อติดง่าย ไม่มีสัญญาณรบกวนด้วย



ซึ่งผมมีข้อสังเกตดังนี้นะครับ ตอนแรกผมก็คิดว่าจดหมายข่าวที่ได้มาตอนแรกจะเป็นของปลอม แต่ดูไปดูมามันก็มีทั้งข้อความที่ถูกและไม่ถูกปะปนกันอยู่ด้วย ที่เป็นส่วนที่ถูกก็คือถ้ามี missed call แล้วเป็นเบอร์ที่ขึ้นด้วยเครื่องหมาย + ถ้าเราโทรกลับเท่ากับเราโทรไปต่างประเทศ ส่วนที่เป็นส่วนที่ไม่ถูกก็คือไม่ให้เรารับโทรศัพท์ ดังนั้นมันอาจจะเกิดจากความคาดเคลื่อนทางการสื่อสารก็ได้

ผมคิดว่านี่ก็น่าจะเป็นตัวอย่างหนึ่งนะครับที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับความผิดพลาดของข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต และถ้าจดหมายนี้ออกมาจาก CAT จริง ๆ ก็แสดงว่าฝ่ายประชาสัมพันธ์ของ CAT น่าจะมีความระมัดระวังมากกว่านี้ อ้อแล้วอีกจุดหนึ่งข่าวของ CAT ที่อยู่บนเว็บนี่ไม่มีวันที่นะครับ เลยไม่รู้ว่าเป็นข่าวเก่าข่าวใหม่แค่ไหน ตอนนี้ก็เลยชักไม่แน่ใจแล้วว่าไอ้ข่าวที่ได้มาใหม่มันเป็นการปรับปรุงจากข่าวนี้หรือเปล่า

ตอนนี้เวลาผมได้รับฟอร์เวิร์ดเมลข้อความอะไรมานี่ต้องพยายามตรวจสอบมากมายเลยครับว่ามันจริงหรือไม่ ดังนั้นคนที่ชอบหลอกก็อย่าทำเลยนะครับ ส่วนคนที่มีหน้าที่ก็ระมัดระวังสักหน่อยนะครับ ถ้าผิดพลาดก็รีบออกมาชี้แจงให้เข้าใจตรงกันนะครับ




 

Create Date : 07 ตุลาคม 2551    
Last Update : 7 ตุลาคม 2551 20:16:52 น.
Counter : 1135 Pageviews.  

Google ในอนาคต

ที่มา The Official Google's Blog September 09,2008 Last Accessed September 29, 2008

สวัสดีครับ วันนี้ผมจะมาเล่าให้ฟังถึงอนาคตของ Search Engine ตัวหลักที่พวกเราส่วนใหญ่ใช้กันอยู่ก็คือ google คุณ Marisa Mayer ซึ่งเป็นรองประธานฝ่ายผลิตภัณฑ์การสืบค้นและประสบการณ์ผู้ใช้ (search products and user experience) ของ google ได้กล่าวว่าในปัจจุบันนี้การค้นหาข้อมูลจากอินเทอร์เน็ตนั้นยังไม่ง่ายพอ ซึ่งเธอบอกว่าในสิบปีข้างหน้านี้เราน่าจะได้เห็นพัฒนาการของการสืบค้นข้อมูลเช่น การค้นหาผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่เช่นโทรศัพท์มือถือจะสามารถทำได้ง่ายขึ้น

ยิ่งไปกว่านั้นต่อไปจะมีอุปกรณ์อื่น ๆ ที่ไม่ใช่คอมพิวเตอร์สามารถเข้าใช้งานอินเตอร์เน็ตได้มากขึ้น ซึ่งการค้นหาก็น่าจะทำได้หลากหลายวิธีมากขึ้น เช่นการค้นหาโดยใช้เสียงพูด การค้นหาโดยใช้ภาษาที่เราใช้กันในชีวิตประจำวัน เช่นเราอาจจะพิมพ์หรือพูดว่า "ขอข้อมูลของบล็อกที่เกี่ยวกับเรื่องข่าวที่น่าสนใจด้านไอที"

การค้นหาโดยใช้รูปภาพหรือเสียงเพลง เช่นเราอาจจะถ่ายรูปดอกไม้ด้วยกล้องดิจิตอลของเราที่สามารถเข้าอินเทอร์เน็ตได้ แล้วส่งรูปดอกไม้นี้ไปค้นหาข้อมูลที่เกี่ยวข้อง หรือเราอาจกำลังฟังเพลงจากวิทยุซึ่งสามารถเข้าอินเทอร์เน็ตได้ แล้วอยากรู้รายละเอียดเกี่ยวกับเพลง เราก็ส่งส่วนของเพลงนี้ไปค้นหาข้อมูลจาก google ได้เลย

เธอยังมองไปไกลถึงการค้นหาข้อมูลในขณะที่เรากำลังคุยกันตามปกตินี่แหละครับ เช่นเราอาจจะกำลังคุยกันเรื่องพันธมิตร(ที่อยู่ที่ทำเนียบตอนนี้) ขณะที่กำลังขับรถกันอยู่ แล้วเราอาจจะเกิดอยากรู้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับพันธมิตรขึ้นมา แทนที่เราจะต้องไปเปิดคอมพิวเตอร์ แล้วค้นข้อมูล เธอก็บอกว่าน่าจะมีอุปกรณ์ที่ให้เราใส่ไว้ตอนนั่งคุยกัน และอุปกรณ์ดังกล่าวก็สามารถที่จะนำเอาคำที่คุยกัยอยู่ไปค้นข้อมูลจาก google ได้ (ซึ่งอันนี้เธอก็ยอมรับครับว่ายังเป็นแนวคิดที่ยังห่างไกลความเป็นจริงอยู่)

อีกเรื่องหนึ่งก็คือการแปลภาษาครับ เช่นถ้าเราต้องการข้อมูลซึ่งเธอบอกว่าไม่ว่าจะอยู่ในภาษาอะไรก็ตาม google ก็น่าจะสามารถแปลกลับมาให้อยู่ในภาษาของเราได้ ซึ่งตรงนี้เธอบอกว่า google ก็เริ่มทดลองแล้วนะครับ อยู่ที่ cross-language information retrieval tool. ผมลองเข้าไปดูแล้วยังไม่มีภาษาไทยนะครับ แต่ตามความเห็นส่วนตัวคิดว่าเรื่องแปลภาษานี่จะให้ถูกต้องทั้งหมดคงยากครับ เพราะเอาเท่าที่ใช้ google เวอร์ชันไทยอยู่ตอนนี้ ดูคำแปลบางคำก็ดูแปลก ๆ อยู่นะครับ

นอกจากนี้เธอยังเห็นว่าตำแหน่งที่อยู่ของผู้ค้นหา ก็น่าจะนำมาพิจารณาในการค้นหาด้วย ซึ่งน่าจะให้ผลลัพธ์การค้นหาที่ดีขึ้น ซึ่งอันนี้จริง ๆ ผมว่า google ทำอยู่แล้วนะครับ เช่นถ้าเราอยู่ในประเทศไทยเวลาเราพิมพ์ //www.google.com มันก็จะพาเรามาที่ //www.google.co.th โดยอัตโนมัติ (ซึ่งจริง ๆ แล้วบางทีก็น่ารำคาญนะผมว่า) และการค้นหาก็จะอิงกับข้อมูลจากเว็บในประเทศไทยก่อนเป็นต้น และผมคิดว่าพวกเราคงทราบนะครับว่า ผลลัพธ์ที่ได้ก็อาจจะไม่ตรงกับผลลัพธ์ที่เราค้นโดยใช้ //www.google.com

อีกจุดหนึ่งซึ่งเธอมองว่าน่าจะมีส่วนช่วยในการค้นข้อมูลก็คือ ความรู้เกี่ยวกับตัวผู้ค้นข้อมูลครับ เช่นถ้า google มีข้อมูลว่าผมเป็นอาจารย์สอนคอมพิวเตอร์อยู่ และถ้าผมป้อนคำว่า OS ซึ่งเป็นคำที่นักคอมพิวเตอร์ใช้เพื่ออ้างถึง ระบบปฏิบัติการ (Operating Systems) google ก็จะสามารถค้นข้อมูลให้ผมได้ตรงมากขึ้น แต่แน่นอนครับอันนี้ก็หมายความว่า google ก็จะต้องมีข้อมูลของเราไว้ ซึ่งก็อาจเป็นปัญหาเรื่องความเป็นส่วนตัวได้

เป็นยังไงบ้างครับ เห็นแบบนี้แล้วอยากใช้กันเร็ว ๆ ไหมครับ ซึ่งผมคิดว่าเรื่องบางอย่างเราอาจไม่ต้องรอถึงสิบปีก็ได้นะครับ เพราะหลาย ๆ เรื่องมีงานวิจัยรองรับอยู่บ้างแล้ว ตัวอย่างเช่นการค้นข้อมูลด้วยเสียงเพลงนี่ก็มีนักวิจัยหลาย ๆ ที่ รวมทั้งอาจารย์และนักศึกษาที่มหาวิทยาลัยผมทำอยู่ หรือแม้แต่การสืบค้นด้วยภาพก็เช่นกันครับ ซึ่งขณะที่กำลังเขียนเรื่องนี้อยู่ก็ไปอ่านเจอบทความที่เกี่ยวกับการสืบค้นด้วยใบหน้า แล้วจะเอามาเล่าให้ฟังในบล็อกต่อไปครับ




 

Create Date : 29 กันยายน 2551    
Last Update : 30 กันยายน 2551 0:05:27 น.
Counter : 676 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  

motokop
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




สวัสดีครับ สำหรับบล็อกนี้ผมก็ตั้งใจจะให้เป็นข่าวสารที่น่าสนใจทางคอมพิวเตอร์ ทั้งข้อมูลด้านเทคโนโลยีที่น่าสนใจ การพัฒนาโปรแกรม และงานวิจัยต่าง ๆ อาจแทรกไปด้วยเรื่องอื่นๆ บ้าง ตามแต่อารมณ์และสถานการณ์ครับ ยินดีรับความคิดเห็นของทุกคนครับ
Visit InfoServe for backgrounds.

เพื่อนที่กำลังชมบล็อก:

ผู้ชมทั้งหมด:

Friends' blogs
[Add motokop's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.