space
space
space
<<
ตุลาคม 2565
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
space
space
24 ตุลาคม 2565
space
space
space

Sikagard on (under) Tesla Model 3 Performance พ่นแดมป์เก็บเสียง กันสนิม
วันนี้เป็นวันหยุดชดเชย 24 ต.ค. 2565 เป็นหนึ่งในหลาย ๆ วันหยุดที่ฝั่งรัฐบาลหยุด แต่เอกชนหลาย ๆ แห่งอาจจะไม่ได้หยุด และก็เป็นวันฤกษ์งามยามดีวันหนึ่งเนื่องจากเป็นวันที่เราไม่มีเคสต้องทำงานอะไรใด ๆ ทั้งสิ้น น่าจะเป็นวันแรกในหลาย ๆ วันหยุดไม่ว่าจะ short weekend, long weekend ก็เพิ่งจะมีวันนี้แหละที่ได้หยุดจริง ๆ จัง ๆ  ก็หลังจากพยายามนัดมาหลายเด้ง แต่ก็ไม่ดวกและเลื่อนมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งในที่สุด ก็ได้พาน้องโบลต์อายุ 14 เดือนมาที่ร้าน 33 clean garage ซึ่งอยู่แถว ๆ ย่านพระราม 2 บางมด จอมทอง ห่างจากที่พำนักของเราออกมาประมาณ 18.9 กม.


 

ที่คนขับเราเลือกร้านนี้ก็เพราะเค้าไลน์คุยกับคุณเบ๊นซ์ผู้เชี่ยวชาญเรื่องการพ่นโฟมเก็บเสียงและพ่นกันสนิม 

อันนี้ก็เป็นอีกหนึ่งในหลาย ๆ เรื่องที่คนก็ดีเบตกันไปใหญ่ว่าจะพ่นกันสนิมไปทำไม รถยนต์หรือรถกะบะ รถเก๋ง ในปัจจุบันเค้าพ่นกันมาแล้วจากโรงงาน ก็ไม่เถียงล่ะ เราก็รู้อยู่แล้วว่ารถยนต์สมัยใหม่โอกาสจะเป็นสนิมก็ค่อนข้างยากแน่นอน เพราะเหล็กที่นำมาใช้ก็จะผ่านกระบวนการชุบซิงค์ กัลวาไนซ์ หรือทำอะไรสักอย่างที่ทำให้มันไม่ขึ้นสนิม ตรงส่วนที่เป็นรอยเชื่อมต่อก็จะมีการพ่นปิดทับแนวรอยต่อที่เป็น raw surface ไว้แล้วเรียบร้อย (ดูรูป) ดังนั้นโอกาสที่จะเป็นสนิมก็ไม่ง่ายเท่าไหร่ เหลือแต่ตรงส่วนนั้น ๆ แหละ ส่วนที่อยู่ตรงเพลามอเตอร์ แต่ตอนนั้นเราก็จัดการไปเรียบร้อย แต่ที่มีวันนี้ได้ก็เพราะตอนโน้นนั่นแหละ ตอนที่เราพยายามหาทางจะพ่นกำจัดสนิมส่วนเพลามอเตอร์ ถึงตอนนั้นจะตัดสินใจลงมือทำเองไป แต่เราก็ได้ค้นคว้าดูยูทูปหาจสถานที่พ่นกันสนิมช่วงล่าง หาไปเรื่อยเปื่อยก็ถึงได้มารู้จักกับ Sikagard และการพ่นเก็บเสียง
 

เอาเป็นว่าการเป็นสนิมนั้นไม่ได้กลัวมาก ส่วนที่มีและมองเห็น ก็ได้กำจัดไปเรียบร้อย แต่รอบนี้ สิ่งที่น่าสนใจมากกว่า ได้แก่ เรื่องการพ่นโฟมแดมป์เพื่อเก็บเสียง

หลาย ๆ คนก็พอจะทราบว่าเวลานั่งรถดี ๆ แพง ๆ ภายในห้องโดยสารมันจะเงียบ ขนาดวิ่งเร็ว ๆ บนไฮเวย์ ก็ยังไม่รู้สึกเสียงลม เสียงล้อ เสียงจากภายนอกเท่าไหร่ ตอนแรกเราก็สองจิตสองใจ เห็นวิธีทำเค้าแล้ว เราเองก็ไม่ค่อยแน่ใจหรอกว่ามันจะช่วยได้จริงมั้ย แต่เนื่องจากเราเองก็มี agenda อย่างอื่น

อันดับแรกก็คือ อีตาคนขับเราเค้าอยากได้ไฟตัดหมอกแบบใหม่ เราไปเห็นในยูทูปหลายอันมันเป็นไฟ LED เป็นดวง ๆ หลาย ๆ อัน แล้วก็เวลายกไฟเลี้ยว มันจะส่งแสงสีเหลือง กระพริบ แล้วก็วิ่งจากตรงด้านในไปนอก เรียกว่า อย่างแรดพอควร คนขับเราก็อ้างเรื่องความปลอดภัย แต่ประเด็นความจริงน่าจะเป็นความกระแดะมากกว่าที่อยากได้ เพราะไฟอันเนี้ยมันอยู่ด้านหน้า ปกติสัญญาณไฟเลี้ยวมันน่าจะมีความหมายมากกว่าสำหรับบอกผู้ที่มาตามหลัง และไฟหลังของน้องโบลต์เรา ตรงส่วนล่างที่ตรงกันชนที่เคยเป็นแค่ passive reflector ธรรมดา ๆ ก็โดนเปลี่ยนเป็น active fishbone LED lamp ไปเรียบร้อยตั้งแต่หลายเดือนก่อน อันนี้ไม่ได้เขียนบล็อกเล่าให้ฟังเพราะว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยมาก ไฟก็หาซื้อจาก aliexpress มีการดัดแปลงสายไฟให้ยาวขึ้นเพื่อให้ติดตั้งง่าย และเราก็ติดตั้งเอง ซึ่งทำได้ง่ายมากเพียงแต่ต้องมีฝีมือในการร้อยสายไฟจากตรงด้านในกระโปรงหลังส่วนไฟท้าย ลงมายังรูที่เดิมที่ไอ้เจ้า reflector นี้มันเคยอยู่ ไม่ต้องไปเจาะรู ไปทำอะไรที่ตัวกันชนใด ๆ ทั้งสิ้น แค่แยงลวดผ่านรูให้ได้ (ใช้ฝีมือ) แล้วก็จะเอาสายขึ้นไปข้างบนได้โดยไม่ต้องแกะกันชน ไม่ต้องแกะไฟท้าย ง่ายระดับลิงบาบูนก็ยังทำได้  ไอ้เจ้าไฟหลังตรงกันชนที่กระพริบเวลาขึ้นไฟเลี้ยว (วิ่งจากในออกนอก) และก็เวลาเหยียบเบรค ก็เห็นชัดดีสำหรับคันหลัง ไม่รู้จะมีใครหมั่นไส้รึเปล่า แต่ถ้าคุณช่างสังเกตเหน่อย รถยนต์ใหม่ ๆ เอาเป็นว่าตั้งแต่หลัง 2012 เป็นต้นมา จะต้องมี reflector สีแดงที่กันชนหลังสองข้างเสมอ อันนี้น่าจะเป็นกฎหมายใหม่กำหนด แต่ถ้าของใครเป็นไฟจริง ๆ ไม่ใช่แค่ reflector แปลว่าเจ้าของเค้าไปติดตั้งเอง

 

ตอนสอย fishbone style LED ไฟท้าย เราก็ซื้อมาในราคา $59.40 (รวมค่าส่ง) หรือประมาณ​ 2,046.33 บาท รายการนี้ถ้าซื้อจาก Hansshow (www.hautopart.com) สนนราคาอยู่ที่ $164 (อาจจะได้ลด 15% และส่งฟรี แต่ยังไง ๆ ลดแล้วก็ยังอยู่ที่ $139)  ส่วนไฟ fog light คู่หน้านี้ก็สอยมาจาก Aliexpress เหมือนกัน ซื้อมาในราคาคู่ละ $110.83 (รวมค่าส่ง) คิดเป็นเงินไทยในบัตร ttb ของเรา 4,077.44 บาท  รายการเดียวกัน ถ้าซื้อจาก Hansshow ก็จะกลายเป็น $253 ต่อให้ลด 15% แล้ว (เหลือ $215.05) ก็ยังแพงกว่าถึง 2 เท่า เราก็บอกไม่ได้หรอกว่าของเหมือนกันรึเปล่า เพราะไม่ได้ซื้อของจากทั้งสองแหล่งมาเปรียบเทียบใกล้ชิดแบบ เรารู้แต่ว่าโอกาสของจะมาจากโรงงานเดียวกันค่อนข้างสูง เวลาซื้อของบน aliexpress ก็มีความเสี่ยงพอควร โดยหลักการเราจะเลือกซื้อจากร้านที่มีจำนวนยอดขายของสินค้าที่เราจะซื้อสูง ๆ หน่อย (พูดง่าย ๆ ก็คือมีคนซื้อไปแล้วหลาย ๆ คน) และอ่านดูรีวิวเค้า หรือร้านที่ขายของเฉพาะด้านนี้ ไม่ใช่ขายจับฉ่าย หรือดูเป็นพวก amateur retailer ส่วนของรายการที่ต้องต่อกับงานระบบ อย่าได้เสี่ยง ไม่คุ้ม หากมีการอัพเดต software แล้วของไม่เวิ้คขึ้นมาจะยุ่งมากถ้าไม่มีการดูแลหลังขาย

นอกจากเรื่องอยากจะเปลี่ยนไฟตัดหมอกคู่หน้า ซึ่งต้องการการยกขึ้น hoist (อีกแระ) และต้องถอดล้อ ถอดแผ่นคลุมซุ้มล้อ (รายการเหล่านี้เค้าต้องทำอยู่แล้วเวลาเอามาพ่นแดมป์ พ่นกันสนิม) เรายังมีอีก 1 รายการที่อยากเก็บงาน ถ้าใครเคยอ่านบล็อกก่อนหน้านี้ของเราก็จะทราบว่ารูปล่อยน้ำจาก condensation ของแอร์ของรถ tesla model 3 เป็นที่ไม่ถูกใจเราอย่างยิ่ง เราอยากจะเอากระปุกไปรองน้ำแล้วต่อท่อระบายออก ไม่ให้น้ำเค้าหยด ๆ ลงบนสายไฟฟ้าแรงสูงที่ผ่านอยู่ใต้ตรงนั้นพอดี
 

ก็ทิ้งช่วงนาน จากที่เคยซื้อของไว้ และตั้งใจว่าจะทำ ไฟตัดหมอกคู่หน้านี้เราก็ซื้อมานานแล้วล่ะ พอได้ของเห็นแล้วก็ขำกลิ้ง คือดูไกล ๆ ดูจากภายนอกมันก็ดูดี๊ ดีนะ แต่พอดูใกล้ ๆ นี่มันเห็นร่องรอยของความไม่แพงได้อย่างชัดเจน เนื่องจากตอนเราได้ของมา ไฟของ original Tesla มันยังอยู่ในรถ ไม่มีโอกาสได้เปรียบเทียบกัน side by side แต่เราเห็น seam รอยต่อระหว่างพลาสติกส่วนใส (ส่วนที่ให้แสงออก) กับส่วนที่เป็นสีดำ (plastic housing) แล้วเราไม่รู้สึกมั่นใจเลยว่าจะมันเป็น seam ที่แน่นหนากันน้ำได้   ระหว่างที่รอติดตั้ง เราก็เลยป้ายกาวยูวีตามแนวรอยต่อรอบด้านเพื่อให้มั่นใจว่าไฟมันจะกันน้ำได้จริง ๆ ไม่งั้นเด้วมีรายการได้เห็น condensation อยู่ข้างในอีก ส่วนตัวปลั๊กไฟ connector ที่ให้มา ดูเหมือนจะเป็นแบบกันน้ำ แต่เค้ามี 3 metal contactor เธอก็ใส่เขี้ยวมาให้แค่ 2 และก็เห็นรูโล่ง ๆ 1 รู แล้วมันจะกันน้ำได้ยังไง สุดท้ายก็ต้องมาหยอดกาวซิลิโคนตรงนี้อีก นอกจากนั้นเรายังเห็น youtube 1 เจ้าที่เค้ารีวิวว่าสายไฟสีแดงไม่ตรงกับของในรถต้องทำการย้ายขั้ว แต่เนื่องจากมีตานี่คนเดียวที่พูด คนอื่นไม่เห็นว่าอะไร เราก็เลยใจเย็น ๆ รอดูรถเราก่อนเพราะ Tesla เค้าขึ้นชื่ออยู่แล้วว่ารถแต่ละรุ่นแต่ละปี อาจจะมีการเปลี่ยนรายละเอียดเล็กน้อยและข้อต่ออาจจะไม่เหมือนกันก็ได้ (ดีที่ไม่ได้ไปเปลี่ยนขั้วตามตานั่น ของเรา Tesla model 3 2021 อยู่ตรงกันอยู่แล้วเสียบได้เลยไม่ต้องทำอะไร)

ทางร้านก็บอกให้เราไปถึงตั้งแต่ 8:30 น. เราก็ไปสายตามฟอร์ม เกือบ 9 โมงแต่ก็ยังไม่มีพนักงานมา มีแต่คุณพี่ (คุณป้า) ซึ่งดูเหมือนจะเป็นญาติเจ้าของร้านเค้าอยู่ตรงนั้นอยู่แล้ว ก็ให้เรานั่งรอ สักพักนึงเกือบ ๆ ชั่วโมง ถึงจะเร่ิมมีเด็ก ๆ ลูกทีมมา แรก ๆ ก็ไม่ทันสังเกต หลังจากเด็ก ๆ ที่ร้านเค้ามากันเกือบครบ เราก็เลยเห็นว่า อ้อ เค้าเป็นทีม myanmar กันทั้งทีมเลย ก็ขยันทำงานกันดี  เริ่มตั้งแต่เอารถขึ้น hoist เราก็พยายามให้น้องเค้าเอาเบ้าที่รองยกรถของ hoist เค้าให้ตรงกับจุดยกที่ Tesla กำหนด ทั้ง 4 จุด อันนี้ก็ไม่ยากสำหรับเค้า หลังจากยกรถขึ้นแล้วเค้าก็เร่ิมบรรเลงโดยการถอดล้อ ถอดตัวหุ้มซุ้มล้อ จุดนี้เราก็รีบจัดหาภาชนะสำหรับรองรับ screws/bolts/fasteners ทั้งหลาย ของแต่ละล้อไม่ให้ปนกัน เพราะกลัวติดกลับเข้าไปไม่ครบ 
 
 

หลังจากซุ้มล้อหน้าถอดออกหมดเราก็ขัดจังหวะเค้าเพื่อเปลี่ยนไฟตัดหมอกคู่หน้า ก็ไม่ยากมาก มันยึดอยู่กับด้านในของกันชนหน้าด้วย T25 torx screw 3 ตัวต่อข้างและเดือยพลาสติก ของใหม่ก็หล่อแบบเบ้ามาเป๊ะ ๆ เพียงแต่ไฟตัดหมอกของใหม่มันดูกระจอกกว่า original Tesla และน้ำหนักเบากว่าอย่างไม่น่าเชื่อ เราก็กะแล้วเชียวว่าไฟเดิมมันน่าจะดีกว่า มันแค่ไม่มีไฟเหลืองๆ กระพริบแค่นั้นเอง  หลังจากติดไฟคู่ใหม่เข้าไปก็ต้องไป tap สายไฟสำหรับสัญญาณไฟเลี้ยวมาให้เค้า ซึ่งจุดที่ tap ได้ง่ายสุดก็คือ tap จากไฟสัญญาณไฟเลี้ยวจากตัวกล้องด้านข้างที่ติดอยู่ตรง fender ด้านหน้าของแต่ละข้าง อันนี้ก็ทำไม่ยาก เราก็หยอดกาวซิลิโคนพัน Tesa tape เข้าไปเรียบร้อยหมดจด จบงาน
 

ส่วนกระป๋องรองน้ำหยดแอร์ที่เราตัดมาจากบ้านไม่พอดี  ต้องมานั่งเล็มตัดใหม่กันหน้างานแต่ท้ายสุดก็ติดตั้งเข้าไปได้โดยเค้ายึดกับตัวผนัง firewell ด้วยแม่เหล็กสองตัว อย่างแน่นหนา ส่วนทางหยดน้ำก็ต่อท่อซิลิโคนออกไป เดิมทีว่าจะไปทิ้งด้านข้าง หลัง ๆ เปลี่ยนใจว่ามันไกลไป เราหยดมันลงตรง ๆ นั่นแหละ ยอมเจาะรูแผ่นอลูมิเนียมให้มันออกตรง ๆ นิดนึง (ดูรูป)
 

เราก็ขัดจังหวะเค้าไม่ถึงชม.ดี หลังจากเราเสร็จงานของเราทั้งสองรายการ น้อง ๆ ทีมพม่าเค้าก็เอาน้ำฉีดล้างช่วงล่างให้สะอาด มีปืนลมเป่าให้แห้ง แล้วเค้าก็เริ่มทำการห่อหุ้มส่วนมอเตอร์ สายไฟ ท่อ จิปาถะ ที่ไม่ต้องการให้โดนโฟมหรือน้ำยาพ่นกันสนิม ตอนนี้ก็มีคุณเบ๊นซ์ซึ่งน่าจะเป็นคนที่เราเห็นในวิดิโอยูทูป เค้าก็มายืนกำกับลูกน้องเค้า เราก็ได้ถามนู่นนี่แลกเปลี่ยนความรู้ เดิมทีเราก็ไม่นึกหรอกว่าการพ่นแค่ตรงซุ้มล้อมันจะช่วยได้ขนาดไหน แต่ปรากฎว่าพื้นที่ซุ้มล้อนี่มันเป็นพื้นที่ใหญ่พอควร เพราะล้อหน้ามันต้องมีการบิดเพื่อเลี้ยวได้ด้วย ดังนั้นพื้นที่ซุ้มล้อหน้ารวมกันน่าจะเกินครึ่งของพื้นที่ส่วนล่างหรือส่วนที่ตรงกับ firewall ที่จะไปยังห้องโดยสาร ซึ่งเสียงจากพื้นถนนส่วนนี้มันจะเข้ายังห้องโดยสารได้เยอะพอควร  ส่วนพื้นล่างที่เป็นพื้นของแบตเตอรี่ เราก็สงสัยอยู่นักเชียวว่าเค้าจะพ่นให้รึเปล่า ซึ่งในใจเราก็คิดอยู่แล้วว่าพ่นไม่พ่นก็ไม่มีความหมายอะไรมาก เพราะแบตมันหนา และมันก็มีโฟมซึ่งเป็น fire retardant หุ้มรอบแพ็คแบตเตอรี่ ดังนั้นส่วนโฟม และความหนาของแบต มันก็กึ่ง ๆ เหมือนกับจะกันเสียงขึ้นมาอยู่แล้ว และถ้าเค้าพ่นท้องรถให้ เค้าน่าจะเสียน้ำยาพ่นพอควรเพราะเป็นพื้นที่ใหญ่ ก็ตามคาด คุณเบ๊นซ์บอกว่าไม่ต้องพ่น พ่นไปก็คงจะไม่ได้ช่วยอะไรมาก ส่วนนี้มันหนาอยู่แล้ว
 
 

เค้าก็เสียเวลานั่งหุ้มห่อ ส่วน brake caliper และส่วนต่าง ๆ มาก นานเกือบ ๆ 3 ชม. รวมเวลาพักกลางวันด้วย ปรากฎรอบ ๆ อู่ มีร้านนู่นนี่น่าสนใจ ที่ประทับใจก็น่าจะเป็นร้านอาหารอิ่มภิรมย์ เป็นความดวงดีของเราสองคนอย่างหนึ่งว่าตอนเดินไปที่ร้านซึ่งเป็นเวลาประมาณ 12:30 มีโต๊ะว่างพอดี ไม่ต้องรอ หลังจากนั้นเราก็เห็นคนรอจนล้นออกไปต้องนั่งด้านนอก อาหารอร่อย รสชาติดี เสริฟ์เร็ว บอกไม่เอาหลอดพลาสติกก็ไม่ยัดเยียดให้มา (ไม่เหมือนบางร้านชื่อดังซะเปล่า บอกไม่เอาก็ยังได้ พูดไม่รู้เรื่อง) สรุปว่าดีหมด ประทับใจ

เราสองคนกลับมาจากทานข้าว น้อง ๆ ทีมพม่าเค้าก็ไปเบรกเหมือนกัน กินเสร็จเค้าก็กลับมาทำงานต่อ ร้านนี้ปรากฎมีรถมารับบริการเยอะมาก (ส่วนใหญ่มาล้าง มาพ่น เคลือบแก้ว) วันนี้มีรถเราคันเดียวที่มาพ่นแด็มป์เก็บเสียง แต่น้อง ๆ ทีมพม่าเค้างานยุ่งถึงยุ่งที่สุด เราก็ดูอยู่ห่าง ๆ พยายามไม่เกะกะ ถ่ายรูปนู่นนี่ กว่าจะได้พ่นแดมป์จริง ก็ปาเข้าไปเกือบบ่ายแก่ ๆ ก่อนเค้าจะลงมือพ่น เค้าก็เอาผ้าคลุมตัวถังรถก่อน เพื่อไม่ให้เศษละอองพ่นโฟมหรือน้ำยากันสนิมมาเปรอะเปื้อนตัวถังรถ  พอคลุมผ้าเสร็จ เค้าจะพ่นเหมือนโฟมเหลือง ๆ ก่อน เป็นโฟมแดมป์เก็บเสียงของ Sikagard แล้วถึงจะพ่นกันสนิมทับเป็นน้ำยาสีดำ (ก็ของ Sikagard) เหมือนกัน น้ำยาสีดำน่ะ แห้งค่อนข้างเร็ว พ่นเสร็จก็เหมือน ๆ กับจะแห้งเลย แต่เจ้าโฟมเหลือง ๆ นี่มันใช้เวลาเซ็ทตัวพอควร เกือบ ชม. กว่า ๆ
 
 
 
 
 
 

ถึงตอนเค้าพ่นเสร็จก็ปาเข้าไปบ่ายแก่ ๆ เกือบ ๆ จะเย็น เราสองคนก็มองตากันเลิ่กลั่กแบบว่าอยากกลับบ้าน อยู่มาแล้วทั้งวัน เบื่อ เดินไปหากาแฟทาน หาขนมกินเล่น มีร้านน่ารัก น่ารัก ชื่อร้านมีรส Meros อยู่ใกล้ ๆ เกือบจะได้ไปร้านสปานวดด้านตรงข้ามกัน แต่เค้าคิวเต็ม เค้าบอกวันหยุด ต้องนัดล่วงหน้า walk-in ไม่ได้  อู๋ขายดีแฮะ

เอาเป็นว่าเกือบ ๆ จะ 5 โมงเย็นละ เราก็สงสัยว่าเค้าจะเริ่มรื้อไอ้เจ้าแผ่นพลาสติก กระดาษกาวทั้งหลายทั้งปวงที่เค้าแปะ ห่อไว้นู่นนี่รึยัง เค้าก็บอกว่ารอแห้งก่อน  เราก็ว่ามันน่าจะเริ่มทำไปได้เลยมั้งเพราะมันรอมาเป็นชม.แล้ว แล้วสุดท้ายเค้าก็ลงมือรื้อกัน พอรื้อเสร็จก็จะติดแผ่นหลังคาซุ้มล้อกลับเข้าไป งานนี้เค้าเอาแผ่นซุ้มล้อไปล้างให้สะอาด แล้วก็แปะแผ่นเหมือนกับพรมหนา ๆ ประมาณ​ 1/2 นิ้วไว้ข้างบนอีกที กว่าจะติดทุกอย่างเข้าไปเสร็จก็ปาเข้าไป 6 โมงกว่า มืดแล้ว ช่วงนี้มืดเร็ว ตอนติดกลับซุ้มล้อก็มีอาการรูหาย  คือ บนแผ่นพลาสติกหลังคาซุ้มล้อมันเหมือนจะมีรูให้ใส่ fastener แต่บนตัวถังรถมันไม่เห็น ตาน้องพม่าเค้าก็แยงหารูใหญ่เลย เค้าคิดว่าที่พ่นแดมป์กับสีกันสนิมมันปิดรูไป จิ้มเท่าไหร่เท่าไหร่ก็ไม่เจอะรู เราก็สงสัยว่ามันไม่มีหรอก เพราะเทสล่าเค้าขึ้นชื่ออยู่แล้วเรื่องการเอาน็อต เอา fastener เอา grommet อะไรออก สรุปว่าไปดูอีกด้านก็เหมือนกัน เหมือนมีรูบนแผ่นพลาสติก แต่บนตัวถังไม่มี โชคดีที่เราเอากระปุกให้เค้าใส่ น็อต/screws/fastener แยก ๆ ไว้เป็นล้อ ๆ ก็พบว่าไอ้ที่มีอยู่มันใส่หมดแล้ว ก็เลยต้องสรุปว่าไอ้เจ้ารูสองรูที่เห็นบนแผ่นพลาสติกมันไม่มีการใส่ fastener หรือหมุดพลาสติกอะไรมาตั้งแต่ต้น คงโดน tesla ตัดออกเพื่อลดต้นทุน ประจำ
 


สุดท้ายก็เหลือเจ้ากระป๋องระบายน้ำแอร์ ก่อนปิดแผ่น skid plate ลงไปเราก็ต้องทดสอบว่ามันเวิ้คจริง ก็ต้องลองสั่งเปิดแอร์ โชคดีว่าสั่งจากแอพได้ ไม่ต้องลด hoist เอารถลงมาเพื่อปีนเข้ารถไปเปิดแอร์ เหมือนที่เล่าให้ฟังว่าท่อซิลิโคนที่ระบายน้ำจากกระป๋องทีแรกจะลากเอาไปออกด้านข้าง แต่ไป ๆ มา ๆ ก็ตัดสินใจเจาะรูเอาท่อซิลิโคนออกโดยตรงด้านล่างค่อนข้างตรงกับตำแหน่งเดิมที่เค้าหยดอย่างสะเปะสะปะ (ดูวิดิโอ)



พอทุกอย่างเสร็จ ก็มืดแระ เกือบ ๆ จะทุ่มนึงแระ เราสองคนก็อยากกลับบ้านเต็มทน น้องเค้าก็บอกว่าต้องล้างรถก่อน หูย .... ไม่ล่ะ ร้านนี้ลูกค้าเยอะมาก ตอนรถเราเสร็จเอาลงมาจาก hoist ยังมีคนเข้ามารับบริการ ตรงช่องล้างรถยังมีรถกะบะ Fortuner อยู่เลย เราก็ไม่อยากล้าง  คุณเบ๊นซ์เค้าก็บอกว่าไม่ล้างก็ต้องขอเช็ด ๆ เพื่อไม่ให้มีคราบฟองโฟมหรือสีกันสนิมติด เราก็โอเค  น้อง ๆ ทีมพม่าก็พากันลงแขก เค้าพ่น ๆ น้ำยา แล้วก็เช็ด ๆ ภายนอกซะเกลี้ยง หนำซ้ำยังลากเครื่องดูดฝุ่นมาดูดภายในอีก ไม่ถึง 20 นาทีน้องโบลต์ก็ใหม่เอี่ยม โชคดีที่มี paint protection film อยู่ ถ้าไม่มีนี่คงรู้สึกลำบากใจพอควรกับการเช็ด ๆ
 

ได้กลับบ้านซะที จ่ายตังค์ไป 17,500 บาท จะว่าแพงก็เอาการอยู่ แต่เค้าก็เสียเวลาทำทั้งวัน แล้วร้านเค้าก็จ้างเด็ก ๆ (พม่า) เยอะมาก ค่า hoist ค่าน้ำยา Sikagard (แอบเห็นวันหมดอายุด้วย) น่าจะหลายตังค์อยู่ ก็เอาเถอะ เด้วมาดูกันว่าคุ้มไหม

ขากลับบ้านต้องไปกลับรถไกลนิดนึง เลยเซ็นทรัลพระราม 2 ขามาระยะทาง 18.92 กม. ใช้เวลาขับมาแค่ 23 นาที (ออกเวลา 8:50 วันหยุด) ขากลับระยะทางกลายเป็น 24.3 กม. ใช้เวลา 41 นาที 

ความประทับใจเริ่มตั้งแต่วินาทีที่ขับออกจากร้านเลย ปรากฎเสียงในรถมันเปลี่ยนไป เสียงถนน เสียงล้อบดกับถนน เสียงยาง เสียงอะไรก็ตามที่มาจากช่วงล่าง มันมีความรู้สึกเหมือนกับช่วงล่างมันหนึบขึ้น ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ทำอะไรกับช่วงล่าง คือแค่เสียงมันเปลี่ยนไป พวกเสียงที่เป็นความถี่สูง ๆ มันหายไปหมด มันเหมือนเสียงมัน dull ขึ้น อย่างรู้สึกได้ เวลาขับผ่านที่ขรุขระ เสียงมันก็ dull ทื่อ นุ่มขึ้น ให้ความรู้สึกดี ๆ อย่างบอกไม่ถูก (มันต้องเสียตังค์เยอะ ๆ อะนะ ถึงจะรู้สึก) ตอนแรกเราสองคนก็ไม่ได้เปิดวิทยุ ไม่เปิดเพลง เพราะจะจ้องจับผิดเรื่องเสียงนี่แหละ  หลังจากขับไปได้สักกว่า 10 โล เริ่มมั่นใจแล้วว่า พ่นแล้วมันเวิ้คจริง ๆ ก็เร่ิมเปิดเพลงฟัง  สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องเหลือเชื่อก็คือ เสียงบางอย่าง ในทีนี้ได้แก่เสียงกลอง เราเคยฟังเพลงนี้มาก่อน แต่ไม่เคยได้ยินเสียงกลองเป็นจังหวะแบบนี้ ขนาดที่ว่าตอนแรกที่เราได้ยินเสียง แช๊ะ แช๊ะ แช๊ะ (เสียงกลอง) เราก็ไม่รู้ว่ามันเป็นเสียงจากเพลงนี้ เรานึกว่าเสียงจากมอเตอร์ไซค์ข้างนอก คิดว่าเป็นเสียงหัวเทียนระเบิดเบา ๆ อยู่ไกล ๆ จนเราสงสัยว่าทำไมมันเป็นจังหวะเข้ากับเพลง กว่าจะรู้ว่ามันเป็นเสียงที่เราอาจจะไม่เคยได้ยินมาก่อน หรือไม่เคยสังเกตมาก่อน ก็ อ๋อ  อีกเพลงก็เหมือนกัน สรุปว่าการที่เราทำการแดมป์เสียงจากซุ้มล้อ จากห้องเครื่อง มันทำให้เรามีบรรยากาศหรือช่วงของคลื่นความถี่เสียงที่เราได้ยินในรถไม่เหมือนเดิม ทำให้ได้ยินเสียงอย่างอื่นได้ดีขึ้น  ไม่น่าเชื่อว่ามันจะเวิ้คขนาดนี้ ประทับใจเลย

หลังจากหมดความตื่นเต้นเรื่องพ่นแดมป์ ต่อไปเราก็มาจับผิดเรื่องไฟตัดหมอกอันใหม่  ก็ขอยืนยันตรงนี้เลยว่า มันห่วยกว่าของเก่าชัดเจน คือของ original Tesla เค้ามี LED ดวงเดียว แต่เป็น LED with lens projector และไฟดวงนั้นมันสว่างมาก มันตัดหมอกได้จริง ๆ สมชื่อไฟตัดหมอก  แต่ไอ้เจ้าไฟใหม่ ดูเหมือนกับมีไฟ LED หลาย ๆ ดวงและมีสองสี คือสีขาวเวลาสว่างปกติ กับสีเหลืองที่ทำหน้าที่เป็นไฟกระพริบ  แต่ อนิจจาความสว่างของมันนี่อยู่ในขั้นน่าสมเพช ในอดีตเวลาเราเปิดไฟตัดหมอก เราจะสามารถสังเกตเห็นความสว่างที่เพิ่มขึ้นบนถนนในระยะใกล้ ๆ ได้แม้จะนั่งอยู่ในรถ  แต่ไฟใหม่ มองไม่เห็น เปิดก็เหมือนไม่เปิดไม่รู้สึก ขนาดมาถึงที่คอนโด ปิดไฟใหญ่แล้ว ข้างหน้าค่อนข้างมืด เปิดไฟตัดหมอก ก็ยังไม่เห็นความสว่างของมันทอดไปบนถนน เมื่อมองจากภายในรถ  ด้วยความสงสัย พอจอดเสร็จก็เลยลงมาดูข้างนอก ก็เลยสังเกตเห็นว่ามันสว่างน้อยจริง ๆ และไม่สามารถใช้เป็นไฟตัดหมอกได้หรอก เป็นได้แค่ไฟประดับและก็กระพริบเวลาเปิดไฟเลี้ยวแค่นั้นแหละ นับเป็นความผิดหวังอย่างแรง พอขึ้นบ้านเราก็เอาไฟตัดหมอก original tesla ไปล้างน้ำ เพราะมันมีคราบน้ำคราบฝุ่นเยอะ ก็ confirm ว่าคุณภาพดีกว่าจริง ๆ มันมีน้ำหนัก มีความแข็งแรงดูดี seam ระหว่างพลาสติกใสกับสีดำที่เป็น housing ก็เป็น watertight seal ล้างน้ำแล้วน้ำไม่เข้า หลังจากล้างเสร็จสะอาดเอี่ยมอ่อง เช็ดและเป่าแห้งแล้ว เราก็ลองไปต่อไป 12V ดู เปรี้ยง สว่างไปถึงผนังห้องอีกด้านนู่น สว่างมาก แอบดูกระแสไฟ 8 amp - 12*8 = 96W   รู้สึกโง่มากที่ไปถอดของดีออกมา  ไอ้เจ้าไฟกระจอกจาก aliexpress ที่ใส่ลงไปไม่สามารถใช้เป็นไฟตัดหมอกได้แน่นอน  ถ้าไปดูวิดิโอ tear down มีคนแกะไฟตัดหมอก tesla ให้ดู ข้างในก็จะมีแผ่นวงจรควบคุมอย่างน้อย 3-4 ชิ้น ตัวไฟที่เป็นไฟหลักมี heat sink มี lens projector ของดีอยู่แล้วดันไปถอดออก  สรุปว่าคราวหน้าเปลี่ยนล้อใหม่หรือสลับล้อ (ปีหน้า) คงจะถอดไฟกระจอกออกและใส่ไฟเดิมกลับเข้าไป หาเรื่องไม่เป็นเรื่อง ถ้าใครมีแพลนจะติด ก็ขอแนะนำว่าอย่าทำเลย เอาไฟตัดหมอกคืนมาดีกว่า เจอหมอกลงหนักของจริงมีประโยชน์กว่า 

 
 
  
4 รูปบนคือสภาพไฟ fog lamp ensemble ของ original Tesla ซึ่งพอถอดออกมาแล้วรู้สึกว่ามีคุณภาพดีกว่าไอ้เจ้าไฟ fog lamp fancy ที่ใส่ลงไปพอสมควร หลังจากเอาออกมาล้างคราบน้ำคราบฝุ่นออกแล้ว ก็ลองดูใกล้ ๆ พบว่าไฟ LED ดวงใหญ่เค้ามี heat sink ของเค้าเอง มีแผงวงจรอยู่ข้างในประมาณ​ 3 แผง ตัวไฟ LED ดวงใหญ่เค้าก็มี lens projector ส่วนตัวของเค้าเวลาจ่ายไฟเข้าไป เค้าจะสว่างมาก ๆ ผิดกันกับความสว่างของ fog lamp (ดูรูปล่างสุด) ของ aliexpress อย่างสิ้นเชิง (รูปล่างนี่จะเห็นความสว่างตกลงบนพื้นไม่ถึง 1 ม.) ไอ้แบบนี้คงเรียกเป็น fog lamp ไม่ได้แล้วล่ะ มันคงจะไม่ช่วยอะไรเวลาหมอกลง ได้แต่มีไฟเหลือง ๆ วิ่งกระแดะ ๆ ไปเวลาเปิดไฟเลี้ยวหรือยกไฟกระพริบ ซึ่งไอ้แบบนี้มันก็ติดเสริมได้ (มี sequential LED strip ขายอันละ $5.99 บน aliexpress เหมือนกัน) ซึ่งเราก็กะว่าเด้วถึงตอนเปลี่ยนยางคราวหน้า (น่าจะปีหน้า) ก็จะต้องมีการยกรถขึ้น hoist อีก ก็คงจะขอร้านยางที่หน้าบ้านติดคืนของเก่ากลับเข้าไป ทีนี้อาจจะมี sequential LED strip แปะบน original fog lamp เพื่อให้ได้ไฟเลี้ยวกระแดะ ๆ อย่างที่คนขับเราเค้าอยากได้ ในขณะเดียวกันเวลาเจอหมอกลงหนัก (ไม่รู้กทม.จะได้ลงเมื่อไหร่ อาจจะหมอก PM2.5) ก็ยังใช้ประโยชน์ไฟตัดหมอกได้อยู่ 

 
อันนี้เป็นงานเดิมที่เราทำไว้ ตรงส่วนเพลามอเตอร์เดิมที่เคยมีสนิมขึ้นและเราลงมือทาน้ำยากัดสนิมเอง ทาสีกันสนิมเอง อันนี้ทำไปเมื่อประมาณเดือนตอนเดือนก.ค. (ตอนน้องโบลต์อายุ 11 เดือน) ที่เราเขียนรายละเอียดไว้ในบล็อกนี้  ก็แอบหมุนดูเห็นร่องรอยที่ทาไม่หมดเล็กน้อย (รูปขวามือ) แต่ก็เป็นพื้นที่เล็กน้อย อภัยให้ได้ ถือว่างานใช้ได้ทีเดียว

 
ไม่นึกว่าจะเห็นตรงไหนที่เป็นสนิมจริง ๆ (นอกจากส่วน disc brake) แต่ก็ยังอุตส่าห์ไปเจอส่วนนี้ ส่วนที่เค้าเหมือนเป็นเหล็กหุ้มรอบกับส่วนที่ต่อไปยังจานล้อ ซึ่งก็หน้าตาเหมือนกับตอนนู้นที่เราเจอสนิมตรงส่วนเพลามอเตอร์เดี๊ยะ  รอบนี้ทางทีมงาน 33 clean garage เค้าก็จัดการทาน้ำยากันสนิมให้แล้วก็ทาสีดำกันสนิมให้เหมือนกัน

หลังจากที่ใช้งานไปสักพักนึง เราก็จะลืม ๆ ไปละว่าก่อนไปพ่นแดมป์เก็บเสียง รถมันวิ่งแล้วเสียงดังยังไง หลังจากพ่นแดมป์กลับไปใหม่ ๆ 1-2 สัปดาห์แรก จะได้กลิ่นน้ำยา Sikagard (น่าจะเป็นส่วนโฟม) ออกมาในห้องโดยสารเวลาเปิดแอร์ เป็นกลิ่นที่พอรับได้ แต่ unique และ remind ให้เราไม่ลืมว่าไปทำอะไรมา หลังผ่านไป 2 สัปดาห์กลิ่นก็จางหาย แต่ความเงียบยังอยู่ เสียงของรถเวลาวิ่งที่เปลี่ยนไปชัดเจน เวลาวิ่งทางไกล เวลาวิ่งผ่านพื้นถนนขรุขระ มันเงียบลงแบบรู้สึกได้ ไม่ต้องใช้เครื่องมืออะไรวัด ขนาดพ่นหลัก ๆ แค่ ซุ้มล้อ  ทำให้เรามีความรู้สึกว่า แหม น่าจะแกะประตู 4 บาน และก็พ่นด้านในให้มันหมดทั้งคันไปเลย (เราว่าพวกรถแพง ๆ เค้าทำแบบนั้น) ถ้าอยากจะกันเสียงมากกว่านี้ คงต้องติดแผ่นแดมป์เสียงข้างใน ใต้พรมรถอีก แต่เราคิดว่ารถมันคงจะหนักขึ้นอีกอย่างน้อย 10 โล และต่อให้พ่นแดมป์แปะแผ่นแดมป์รอบคันอย่างไร ส่วนกระจกรถ ก็เป็นส่วนที่ทำอะไรมากไม่ได้ ยังไง ๆ ก็คงจะต้องยังได้ยินเสียงจากภายนอกอยู่ดี แต่แค่นี้ ก็ทำให้เราสองคนรู้สึกดีขึ้นมากเวลาใช้รถ ถ้าไม่เกี่ยงเรื่องราคา ก็เอาเป็นว่าแนะนำอย่างยิ่ง

สรุปว่าถ้าบังเอิญเราซื้อรถเทสล่าอีกเป็นคันที่สอง (ไม่รู้จะมีวันนั้นรึเปล่า) เราคงจะไปทำอันนี้ตั้งแต่วันแรก บอกให้เค้าทาสีกันสนิม (หรือถ้าเค้าพ่นได้) ตรงส่วนที่เราเคยเห็นว่ามันเคยขึ้นสนิมไปเลย (เพลา ข้อต่อหมุนพวงมาลัย และก็ตรงวงแหวนที่รัดตรงที่ติดกับจานล้อ) มันน่าจะรวมอยู่ในราคานี้อยู่แล้ว และไม่ต้องเหนื่อยเองด้วย สรุปว่าพ่นแล้ว รถเงียบเวลาวิ่งขึ้นจริง คิดว่าคุ้มนะครับ








 


Create Date : 24 ตุลาคม 2565
Last Update : 27 พฤศจิกายน 2565 7:02:08 น. 0 comments
Counter : 1250 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 
space

gollygui
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [?]






space
space
[Add gollygui's blog to your web]
space
space
space
space
space