space
space
space
<<
ธันวาคม 2565
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
space
space
7 ธันวาคม 2565
space
space
space

กรุงเทพฯ-เชียงใหม่-กรุงเทพฯ กับ Tesla model 3 Performance
เมื่อช่วงต้นเดือน ธ.ค. ที่ผ่านมา 1-4 ธ.ค. ก็มีเหตุให้ต้องไปร่วมงามประชุมทางวิชาการที่จ.เชียงใหม่ ซึ่งคำเชิญก็ได้รับตั้งแต่ปีก่อนนู้น ซึ่งตอนแรกก็คิดเล่น ๆ แว๊บ ๆ ว่าขับน้องโบลต์ (Tesla M3P) ไปละกัน  พอถึงเวลาใกล้เข้ามา เราก็เช็คกูเกิลแหมบ ก็พบว่าระยะทางไม่ใช่ปัญหา (685 กม) แต่เวลาที่กูเกิลแหมบแจ้งไว้คือ 9 ช.ม. + ก็เกิดปอดแหกขึ้นมา ถามคนที่บ้าน (ซึ่งจะเป็นคนขับ) ว่าเปลี่ยนใจไปเครื่องบินกันไหม เค้าก็ตอบว่าถึงป่านนี้จองตั๋วไปทันแล้วล่ะ (จริง ๆ ก็ยังได้อยู่ บินในประเทศ) แต่ถ้าตอบแบบนี้แปลว่าเจ้าตัวเค้าตั้งใจแล้วว่าจะขับไป และเค้าเป็นคนขับเอง เรานั่งเฉย ๆ จะไปขัดได้ยังไง ก็ road trip แหละจ้ะ  อันนี้จะเป็น road trip ครั้งแรกในประเทศไทยของเราสองคนที่ระยะทางไกลสุด (ก่อนหน้านี้เคย road trip กันในเมกา หลายปีก่อน)

ทำไมถึงอยากจะ road trip ขึ้นมา

1) ก็ยอมรับว่าไม่เคยขับรถที่เมืองไทยระยะไกล ๆ ขนาดนี้มาก่อน  ถ้าให้ย้อนนึกกลับไปในอดีต น่าจะเป็นเมื่อประมาณกว่า 30 ปีมาแล้ว ที่เคยต้องไปทำงานใช้ทุนที่จ.มหาสารคาม ตอนนั้นก็ได้รับรถขอยืมจากบุพการี (ของคนขับรถเรา) มา 1 คัน ก็จำได้ว่ามีการขับไปถึงที่นู่นจากกทม. แต่ระยะทางกทม.-ขอนแก่น มันก็ไม่ไกลเท่า กทม.-เชียงใหม่  แถมอันนั้นเป็นการขับไปและอยู่ตรงนั้น คือไม่ใช่ขับแล้วขับกลับแบบครั้งนี้ มันก็คนละอารมณ์ รอบนี้เป็นรถไฟฟ้า  สรุปว่าเราสองคนต้องการหาประสบการณ์จากการขับรถไฟฟ้าระยะไกล ๆ ในประเทศไทย

2) การขับรถไป ทำให้เรามีโอกาสได้เที่ยวตามรายทาง เช่น จาก กทม.ไปเชียงใหม่ เราก็อาจจะแวะเที่ยวได้ทุก ๆ จังหวัดตามรายทาง อย่างที่เราอยากจะได้ แถมเรายังมีรถใช้ที่จุดหมาย ไม่ต้องไปหารถเช่า ไม่ต้องง้อรถตู้ (ส่วนใหญ่จะถูกจัดหามาโดยสปอนเซอร์) 

3) ทดสอบรถ ก็ต้องลองไปผจญภัยดูเสะว่าน้องโบลต์เราจะสามารถ handle trip ยาว ๆ ได้ไหม ในเมื่อการใช้งานปกติเราก็อยู่เฉพาะระยะทางใกล้ ๆ หรือย่างไกลสุดก็แค่ กทม.-นครนายก มันไม่ได้ challenge อะไรเท่าไหร่ มีหลาย ๆ อย่างที่เรายังไม่ได้เรียนรู้จากการขับระยะไกล

4) ไปพิสูจน์เรื่อง charging infrastructure ไปดูสิว่าที่บ่น ๆ กันว่าไม่พอ มันแย่ขนาดไหนมั้ย หรือมันพอจัดการได้

5) ท้ายที่สุด อาจจะคิดว่าโมเมว่าการที่เราไม่บิน ก็จะคล้าย ๆ ตอนนั้นที่น้อง Greta Thunburg ที่นางไม่ยอมขึ้นเรือบินไปประชุม แอบคิดไปเองว่าถ้าเราสองคนขับรถไฟฟ้าไปกันเอง น่าจะช่วยลด carbon footprint ให้โลกใบนี้ได้มั่งน่ะ (มีคนใกล้ชิดบอกว่า เอ็งไม่บินไปเครื่องบินเค้าก็บินอยู่แล้วเพราะคนอื่นเค้าบินกัน  แต่เอาน่า อย่างน้อยน้ำหนักเราสองคนบวกกระเป๋าเดินทาง มันก็ต้องลดค่าเชื้อเพลิงไปบ้างแระ หรืออย่างน้อยถ้าทุกคนช่วย ๆ กัน เค้าอาจจะลดรอบบิน กทม.-เชียงใหม่ได้นะ)

เอาเป็นว่า ก็ตกลงว่าจะขับไป เดิมเราก็กะว่าจะขับรถเดียวพรวดเดียววันเดียวในวันพฤหัสที่ 1 จากกทม.ถึงเชียงใหม่เลย แต่คงจะไม่ได้แวะเที่ยวอะไรเลย พอเอาเข้าจริง ๆ ก็ปอดแหก คิดว่าอายุปูนนี้แล้ว อย่าเลย เราออกก่อนวันนึงละกัน เพราะวันพุธที่ 30 พ.ย. เราก็ออกตั้งแต่ตอนบ่าย ๆ เย็น ๆ ก็ได้ แล้วก็ไปนอนเอากลางทาง วันรุ่งขึ้น ค่อยออกเดินทางต่อแต่เช้า ทีนี้ก็จะมีเวลาแวะเที่ยวขาไปเพิ่มขึ้นและไม่ต้องเครียดมาก ก็พยายามหาโรงแรมที่เค้ามีที่เสียบชาร์จละกัน

ตอนให้ google ลากเส้นทางให้เค้าก็เลือกให้ขึ้นไปทางหลวง AH1/AH2 ซึ่งจะพาดผ่าน ปทุมธานี อยุธยา อ่างทอง สิงห์บุรี ชัยนาท นครสวรรค์ กำแพงเพชร ตาก ลำปาง ลำพูน เชียงใหม่ ซึ่งเส้นนี้จะสั้นกว่าวิ่งไปทางตะวันออกอีกนิดนึง (บางคนเลือกผ่านทางพิจิตร พิษณุโลก อุตรดิตถ์ ลำปาง ลำพูน เชียงใหม่ ซึ่งระยะทางจะไกลกว่าอีกประมาณ 69 โล แต่ความโหดมันอยู่ที่ลักษณะเส้นทางจาก พิษณุโลกไปลำปางนี่มันตัดแนวสันเขาเยอะเมื่อเทียบกับเส้นแรก ซึ่งเค้าจะวิ่งไปตามแนวเขา ดังนั้นระยะเวลาที่ใช้ก็จะนานขึ้นหากเลือกเส้นพิษณุโลก ก็มีคนแนะนำว่าให้ขาไปขึ้นทางเส้น นครสวรรค์ ตาก แต่ขากลับ กลับทาง ลำปาง อุตรดิตถ์ แวะเที่ยวสุโขทัยได้ อะไรประมาณเนี้ย

ก่อนเดินทางก็มีการสำรวจเรื่องเครื่องชาร์จไฟ เราก็อยากนอนโรงแรมที่เค้ามีที่ชาร์จไฟ (destination charge0 จะได้ไม่ต้องไปใช้ DC supercharger มาก ช่วยลดปัญหาเรื่องแบตเสื่อมได้ ก็โทรไปถามที่ Shangri-La Chiangmai ก่อนเลย เค้าก็ตอบว่ามีที่ชาร์จค่ะ เราก็สงสัยนักเชียวเพราะตอนค้นใน plugshare ไม่เห็นโผล่อะไรขึ้นมา แต่โรงแรมเค้ายืนยันว่ามีก็ต้องเชื่อเค้า ก็พาซื่อถามไปว่าต้องจองมั้ย ไม่ต้องค่ะ จบ

ทีนี้ถ้ากะจะพักกลางทาง จุดที่อยู่กลางงทางของเส้น AH1/2 จริง ๆ ระหว่างกทม.-เชียงใหม่ก็คือ กำแพงเพชร ปรากฎคนขับรถเราเค้ายืนยันว่าเค้าไม่สามารถหาโรงแรมที่มีที่ชาร์จรถไฟฟ้าที่กำแพงเพชรได้เลย ก็ยื่นคำขาดมาว่าถ้าไม่แวะพักนอนที่นครสวรรค์คืนนึงก็ต้องเลยไปถึงตากเลย เนื่องจากวันพุธที่เราออกเดินทาง คงออกจากที่ทำงานได้ช่วงบ่าย ๆ หรือเย็น ๆ ไม่ได้ออกแต่เช้า ก็เลยต้องตัดใจเลือกนครสวรรค์ไป ก็หาโรงแรมที่มีที่ชาร์จ ก็ไปเจอ 42C Chic hotel ก็เลยตัดสินใจโทรไปจองเลย เนื่องจากเราสองคนไม่ได้เดินทางบ่อย ๆ ก็ไม่แน่ใจว่าควรจะต้องสำรองห้องพักหรือไม่อย่างไร รู้แต่ว่าอายุปูนนี้ คงไม่อยากกางเต๊นท์นอนที่แคมป์หรือนอนในรถแบบน้อง ๆ ยูทูปเบอร์เค้าแชร์กัน (จริง ๆ เราแอบอยากอยู่ แต่คนขับเราไม่เอาด้วย)

ก็สองคนเตรียมตัวออกเดินทางไกล สมัยก่อนปะป๊าก็จะสั่งไว้ว่าต้องเช็คลมยาง ต้องเปิดฝากระโปรงขึ้นมา ดึงไอ้ก้านเช็คน้ำมันเบรกขึ้นมาดู เช็ดกระดาษ จุ่มลงไป ดึงขึ้นมาดูใหม่ว่าระดับโอเคมั้ย งานนี้ เปิดกระโปรงขึ้นมาก็เจอแต่ที่เก็บของ เติมได้อย่างเดียวคือน้ำยากระจกรถ  ส่วนยางได้ สั่งคนขับไป เค้าเอาไปเติมไนโตรเจนหน้าปากซอย ขนาดเราบอกแล้วว่ามันไม่ sig (significant) หรอก 100% N2 vs 78.8% N2 เนี่ย แต่เอาเถอะ เค้ารอบคอบกว่าเรา สั่งให้เราเอาที่สูบยางติดไปด้วย เราก็จัดไป + pyrofuse (ที่เคยซื้อมาสำรองไว้) รวมทั้งอุปกรณ์ปะยาง สเปรย์ slime 2 กระป๋อง พร้อม

ภาวนาอยู่สามอย่าง กลัวเศษหินดีดกระเด็นจากรถบรรทุกมาทำกระจกหน้ารถ หรือหลังคารถแตก  สอง กลัวยางรั่ว  สาม กลัว pyrofuse ระเบิด  ไม่มี range anxiety เลย เพราะยังไง ๆ ก็ไปถึงนครสวรรค์แน่นอน

ก็ชาร์จไฟไว้ 95% พอ  มิกล้าและมิอยากชาร์จ 100% ด้วยสองเหตุผล กลัวแบตเสื่อม และงกจะเก็บ 5% บนไว้สำหรับ regen

โชคดีเหลือเกินและต้องกราบขอบพระคุณโควิดที่ทำให้โลกนี้รู้จักซูม บ่ายเป็นประชุมซูม เสร็จสิ เราก็แอบประชุมซุมจากในรถได้ งานมิเสีย งานนี้ขอแอบออกก่อน rush hour นิดนึง กลัวรถติด แล้วก็ไปตามทางที่ google วาด

ไปเรื่อย ๆ road trip นั่งประชุม  ประชุมเสร็จ ฟังเพลง ลุ้นว่าจะหลุดจากกทม.และปริมณฑลก่อนรถติดไหม พอพ้นออกไปก็เจอฝน

Tesla นี่ถือว่าดีเกือบทุกอย่าง จะเหลือก็แต่เรื่องการปัดใบปัดน้ำฝนเนี่ยแหละ  เป็นเรื่องน่าเบื่อมากเพราะไอ้เจ้า rain sensing wiper ของมันมิเคยเวิ้ค ส่วนใหญ่จะออกแนวเร็วเกินไป และเหมือนที่บอกคือคนขับเราเค้าดันไปติด windshield protection film  ราคา 5 หลักและร้านขู่ไว้ว่าอยู่ได้ 1-2 ปี พอใบปัดมันปัดเยอะ ๆ ก็เกิดอาการงกเหมือนเดิม คือกลัวมันจะเป็นรอยขูด สองคนนี่ทุกวันนี้หลังล้างรถเสร็จก็ต้องฉีดซิลิโคนหล่อลื่นไว้กับใบปัดน้ำฝน ใบปัดอันเก่าก็รีไทร์ไปเรียบร้อยเพราะมันเป็นยาง เปลี่ยนเป็นใบปัดซิลิโคนเรียบร้อย (kim blade ราคาไฮโซที่ซื้อมาน่ะ สุดท้ายติดลงไปแล้วก็เอาเก็บขึ้นไป เพราะงกอีก เนื่องจากไปสอยใบปัดซิลิโคนอีกอันมาจาก aliexpress ถูกกว่ากันประมาณ 7 เท่าตัว ปัดได้เหมือนกัน) ก็ต้องยอมรับว่าใบปัดซิลิดโคน เสียงมันเบากว่า แต่จังหวะการปัดของมันไม่เคยเป็นที่ถูกใจ เพราะมันไม่ใช่ปริมาณฝนเยอะหรือน้อยอย่างเดียว มันสัมพันธ์กับการวิ่งช้าวิ่งเร็วด้วย คือต่อให้ตกน้อย ถ้าวิ่งเร็วก็ต้องปัดเร็วขึ้น พอไอ้เจ้า auto มันไม่เวิ้ค ก็เราเนี่ยแหละต้องเป็นคนกด เปิด ปิด เปลี่ยนสปีดการปัด เนื่องจากทุกอย่างมันต้องกดบนหน้าจอ ไม่มีปุ่มจริง ๆ ให้กด กลัวคนขับรถเค้าไม่มีสมาธิขับ  เอาเป็นว่าที่บ่นมายืดยาวขนาดนี้ จะบอกว่าเราสองคนไม่ชอบการขับรถทางไกล ๆ ที่ฝนตกเลย เพียงเพราะเรื่องใบปัดน้ำฝนเนี่ยแหละ

ก็ดีแระ ที่ไม่ได้แพลนจะเที่ยวตอนขาไป เพราะพออกจากทม.ก็เจอฝนตลอดทาง เบาบ้างหนักบ้าง กว่าจะไปถึงนครสวรรค์ มีบางช่วงนี่ตกหนักแบบว่ามองไม่เห็นอะไรข้างหน้าเลยและก็ลมแรงมาก ไม่ใช่ว่ารถสั่นหรอกนะ รถมันสั่นไม่ได้หรอก มันหนักตั้ง 1.8 ตัน ที่รู้ว่าลมแรงเพราะกิ่งไม้มันหักกระเด็นกระดอนลงมาบนพื้นถนน รวมกับขับฝ่าพายุ มองไปข้างหน้าก็ไม่เห็น จะชลอรถก็กลัวข้างหลังจะมาสอยตูด จริง ๆ แอบกลัว โชคดีว่าไอ้ช่วงตกหนัก ๆ แรง ๆ มันเป็นแค่ช่วงสั้น ๆ พอผ่านไปได้ บางจุดก็แอบมีแดดบ้างไรบ้าง แต่ส่วนใหญ่ตลอดทางคือตกตลอด ตกจนไปถึงนครสวรรค์

ข้อมูลใน TeslaFi ก็แสดงให้เห็นว่าขับจากคอนโด ออกประมาณ 14:42 ลุยฝนเกือบ ๆ ตลอดทาง ระยะทาง 248.92 กม. ไปถึงโรงแรม 42C Chic hotel เวลา 17:41 ขับได้ 159 Wh/km (livetime average 151 Wh/km) ใช้แบตจาก 94% เหลือ 37% ถ้าจะวิ่งต่อไปก็น่าจะไปได้ถึงตากได้ไม่ยากไม่เย็น แต่อาจจะเหลือแบตเป็นเลขตัวเดียว เกิด range anxiety เปล่า ๆ อายุก็ปูนนี้แหละ ฝนก็ตก (โค ตะ ระ หนัก บางช่วง) นอกพักที่นี่ก่อนแหละ ถึงจะไปยังไม่ถึงครึ่งทาง แต่ก็ดีกว่าออกจากกทม.พรุ่งนี้เช้า แค่นี้ก็ง่ายขึ้นเยอะแระ คืนนี้ก็ชาร์จ AC ที่โรงแรมนี่แหละดวกดี

ปรากฎว่าตู้ชาร์จของโรงแรมนี้ใหม่มาก มีอยู่ด้วยกัน 3 เครื่องเป็น type 2 AC แบบ 32A เลย เครื่องใหม่กิ๊ก ข้อเสียคือกลางแจ้ง ไม่มีหลังคา และอยู่ห่างออกมาจาก hotel lobby พอควร (เดินด้าย แต่ฝนมันตก และของก็ต้องขน) คือถ้ามันมีหลังคาสักเล็กน้อย เวลาออกไปเสียบชาร์จก็คงจะไม่เปียกฝน อ้อ สำหรับคนที่สงสัยว่าไม่กลัวไฟดูดเหรอ ไม่ต้องกลัวครับ ปกติมาตรฐาน safety ของหัวตรวจเค้า ไฟมันจะไม่จ่ายมาจนกว่าเค้าจะคุยกันเรียบร้อย ตัวขั้วต่อหัวเสียบอะไรจิปาถะ ต้องมี seal มีฉนวนกันจะไม่สามารถที่จะเกิด short circuit กันได้ แปลว่าสามารถเสียบชาร์จท่ามกลางสายฝนได้ ที่เค้าว่ามาแบบนั้น แต่...​(เด้วเล่าให้ฟังต่อไป)

ห้องดูสะอาด โรงแรมดูใหม่ ทุกอย่างสอบผ่าน ราคาถูก 1200 บาท/คืน (วันพุธ) นอกเหนือจากเรื่องไฟดับประมาณ​ 2-3 รอบ (ฝนมันตกหนักตลอดคืน) ที่เหลือไม่มีอะไรเป็นพิเศษ ตื่นมา ได้นอนหลับพักผ่อนสดชื่น อ้อ ราคานี้มี buffet breakfast ตอนเช้าให้ด้วย และไม่กาจอกนะจ๊ะ อาจจะสู้ Shangri-La หรือ Sheraton มิได้ แต่เราก็ว่าดีมากแล้วสำหรับโรงแรมระดับนี้ ดีจนขนาดที่ว่า ขากลับก็ว่าจะแวะมานอนนี่อีกรอบ (เดิมวางแพลนว่าจะนอนที่เวียงตาก ซึ่งมีที่ชาร์จเหมือนกัน) ตอนเช็คอินตอนเช้าก็เลยขอจองห้องวันขากลับ ซึ่งจะเป็นวันอาทิตย์ที่ 4 ธ.ค. (ค่าห้องกลายเป็น 1500/คืน)

วันที่ 1 (วันพฤหัส) เราก็ออกเดินทางต่อ ชาร์จเสร็จเรียบร้อย 95% to go ขานี้ต้องไปอีก 451 km โดยระยะทาง ถ้าจะลากน้องโบลต์ (หมายถึงขับข้า ๆ) จากนครสวรรค์ไปให้ถึง Shangri-La เชียงใหม่ ก็น่าจะไปถึงได้ แต่รับรองว่าจะมี range anxiety อย่างแรงจนอาจจะเกิดภาวะหัวใจวายได้ เนื่องจากแบตอาจจะเหลือเปอร์เซ็นต์เลขตัวเดียว ซวย ๆ เข้าอาจจะไปหมดกลางทางอะไรเงี้ย เนื่องจากขานี้ ขึ้นลงเขาเยอะ (ส่วนใหญ่จะเป็นขึ้นเป็นส่วนใหญ่ ตรงไปตรงมา ท่านกำลังจะเดินทางจากที่ราบไปที่สูง) ดังนั้นไอ้ที่กะว่าจะพอ อาจจะไม่พอ เนื่องจากวัยวุฒิของเราสอง ไม่ชอบความเสี่ยง ก็เลยตกลงปลงใจกันว่า งั้นเราก็แวะกินข้าวและชาร์จที่ตาก ละกัน จะได้ชัวร์ ๆ  มีเซอร์ไพรส์เล็ก ๆ ตอนจะเช็คเอาท์ นั่นคือ จ่ายตังค์ค่าชาร์จรถไม่ได้ ที่เดิมแจ้งว่าว่ายูนิตละ 10 บาท ปรากฎจ่ายไม่ได้ (ผ่านแอพ) เนื่องจากพ่อแม่สอนให้เป็นคน honest เราก็แจ้งทางล็อบบี้ไปว่าเราชาร์จรถแต่จ่ายตังค์ไม่ได้ ให้เค้าคิดรวมไปกะค่าห้อง  น้องตรงเคาน์เตอร์ถึงกับงง ไม่เข้าใจว่าพูดอาราย เค้าก็เลยส่งน้องผู้ชาย (คนเปิดประตู) ไปดูที่ตู้ชาร์จ น้องผู้ชายก็ตามไปดู ฝนยังตกปรอย ๆ เล็ก ๆ อยู่แต่น้อยกว่าเมื่อคืนเยอะ เราก็เปิดแอพเทสลามาดูว่าเค้าชาร์จไฟไปทั้งหมด 42 kWh ให้เค้าถ่ายรูปไว้เป็นหลักฐานด้วย บอกถึงขนาดที่ว่าน้องอาจจะต้องบวกเพิ่มอีก 2-3 ยูนิต เพราะเครื่องชาร์จไฟลงรถ 42 kWh จริง แต่เครื่องอาจจะแหลกไฟมากกว่านั้น (ปกติประมาณ 2-5% ซวย ๆ ถึง 10% ขึ้นกับ charging efficiency ของระบบ) อันนั้นเราไม่มีตัวเลข ต้องดูจากในแอพเค้า น้องเค้าคงไม่ค่อยเก็ท แต่เค้าไม่รู้จะทำยังไง เค้าก็ยกหูโทรหาวิศวกรที่เค้ามาเดินระบบ แล้วก็บอกเราว่าช่วงนี้โปรฯ ไม่เก็บตังค์ ก็ประหยัดไปได้ 420 บาท ดีที่จองห้องขากลับไปแล้ว เด้วขากลับ (วันที่ 4) หวังว่ายังไม่หมดโปรฯ จะกลับมาชาร์จอีก

รอบนี้ขาไปก็อากาศดีกว่าเมื่อวาน ตรงที่ฝนไม่ตกเยอะ เรียกว่าแทบจะไม่ตกแล้วแต่ไม่มีแดด (ขับรถตอนกลางวันไม่มีแดดก็ดี ไม่ร้อน) ผ่านบางช่วงอาจจะมีฝนปรอย ๆ บ้างแต่ไม่มีตกแรง ๆ เหมือนเมื่อวาน จากนครสวรรค์ออกมาไม่นานมาก็เข้ากำแพงเพชร ตรงนครสวรรค์จะดูเหมือนเป็นชุมทาง ถ้าเราเลือกไปทางต.อ.นิดนึงก็จะขึ้นเหนือได้เหมือนกัน โดยผ่านสุโขทัย หรือ ถ้าตอ.เพิ่มขึ้นก็ผ่าน พิจิตร พิษณุโลก อุตรดิตถ์ แต่ทั้งสองเส้นทางจะไกลและใช้เวลานานกว่าขึ้นไปทางตาก เนื่องจากแนวเทือกเขาบริเวณนี้เค้าเอื้อให้ถนนที่ทอดตามแนว valley (ระหว่างเขา) ไปทางตาม หมายความว่าถ้าฉีกจากนครสวรรค์ออกไปทางตะวันตก ถนนที่วิ่งขึ้นบนจะต้องปีนเขาลงเขามากกว่า ส่งผลให้เวลาที่ใช้นานกว่า ระยะทางก็ไกลกว่าด้วย ถ้าวิ่งนครสวรรค์ไปเชียงใหม่ผ่านสุโขทัย ระยะทางเพิ่มเป็น 463 กม. ถ้าวิ่งผ่านพิษณุโลก ระยะทางกลายเป็น 475 กม. แต่เวลาที่ใช้เพิ่มขึ้นอีกประมาณ 1 ชม. ทั้งสองเส้น จริง ๆ เราก็อยากแวะเที่ยวสุโขทัย แต่เนื่องจากอากาศขมุกขมัวไม่เป็นใจให้การเที่ยวเลย สุดท้ายก็เลยไปตามทางที่ google ขีดไว้ให้ คือ ผ่านกำแพงเพชร ตาก แล้วก็เข้าลำปาง ลำพูน แล้วถึงจะเชียงใหม่ แต่เนื่องจาก จ.ตากเป็นจังหวัดที่ทอดตัวตามแนวยาวและยาวมาก มีความรู้สึกว่า วิ่งเท่าไหร่ ๆ ก็ยังอยู่ที่ตากเหมือนเดิม

ขับออกจาก 42C Chic hotel ออกมาได้ประมาณ 2 ชม.กว่า ระยะทาง 186 กม. ก็มาถึงปั้ม PT บางจากซึ่งมีสถานีอัดประจุแบบ DC ศักยภาพ 150 kW ติด ๆ กับสถานี จริง ๆคือ ก่อนถึงสถานี PT ก็ตาดีเหลือบไปเห็นร้าน บ้านผักรักตะวัน ดูน่าสนใจ เอาเป็นว่าขอแอบหยุดกินข้าว พัก และก็อัดประจุตรงนี้แหละ ตอนเราไปถึงยังไม่เห็นมีใครมาจอด ภายในปั้มไม่มีอะไรน่าสนใจมาก แต่เดินไปร้านบ้านผักรักตะวันได้ อยู่ติดกัน ก็เลยไปนั่งกินข้าวที่นั่น สถานี Elexa ก็ไม่จำเป็นต้องจอง มาก่อนเสียบก่อน ระบบปรับถ้าจอดแช่ก็ไม่เห็นมี อาศัยความรู้สึกผิดเอา เราสองคนก็จอดเสียบชาร์จ ตอนนั้นฝนยังตกปรอย ๆ อยู่เลย ถึงบนตัวเครื่องจะโม้ว่า 150 kW แต่พอชาร์จจริง (เริ่มที่ 51%) เค้าให้สูงสุดแค่ 75 kW เท่านั้นแหละ ไม่รู้เป็นเพราะมี 2 stalls รึเปล่า แต่ตอนไปทีแรกอีก stall นึงก็ยังไม่ได้มีใครมาเสียบ

ร้านบ้านผักรักตะวัน เค้าก็มีคนมาทานเยอะ ข้าง ๆ ร้านมีแปลงผักซึ่งเหมือนกับทางร้านปลูกไว้เอง โฆษณาว่าเป็นการปลูกแบบ organic อาหารก็อร่อยใช้ได้ ถึงจะเสิร์ฟช้าไปนิดก็ตาม ปัญหาคือตอนแรกเราก็ต้องการจะอัดไฟไม่เท่าไหร่ กะว่าขอสัก 80% ก็พอ (ไม่ชอบ DC fast charge) เอาแค่ว่ามีพอเหลือเดินทางไปต่อ เพราะจากร้านไปถึง Shangri-La Chiangmai ก็อีกแค่ 270 km ไม่ชาร์จก็ยังอาจจะพอไปถึง แต่เราก็กังวลเรื่องทางมันขึ้นเขาเยอะ ก็เลยว่าเอาชัวร์ ๆ ขอชาร์จอีกแค่ 80% แต่พออาหารเสิร์ฟช้า เครื่องชาร์จเค้าก็เติมไปเรื่อย ๆ ตอนหลังเราก็ต้องสั่งแอพ (เทสลา) หยุดไว้แค่ 95% เพราะกินไม่ทันชาร์จ (อาหารมาช้า) พอแหลกเสร็จก็รีบ ๆ จ่ายตังค์ แล้วก็รีบ ๆ กลับไปที่รถ เพราะกลัวคนอื่นจะมาชาร์จแล้วชาร์จไม่ได้ พอกลับไปก็พบว่ามี Porsche Taycan จอดชาร์จอยู่ แต่เค้าไม่จอดเสียบข้างเราดี ๆ เค้าจอดเอียง ๆ (Taycan รูเสียบมันอยู่ด้านข้าง) สายชาร์จพวก DC ไฟแรง ๆ เค้าจะไม่ทำยาว ๆ มาก เพราะอุณหภูมิมันจะขึ้นสูง นอกจากเป็นสายแบบมีระบบหล่อ liquid cooling ดังนั้นพวกรถ EV ที่รูเสียบอยู่ข้าง ๆ นี่จะมีปัญหาเรื่องนี้กันทุกคัน ถ้าแบบสะดวกสุดคืออยู่หน้าไปเลย (MG) แต่ไม่สวยอย่างแรง หรืออยู่ด้านหลัง จริง ๆ แล้วเทสลาก็อยู่ด้านข้างค่อนไปทางข้างหลัง เรียกว่าอยู่หลังละกัน ก็พอเดินกลับมาถึงรถก็ปลดหัวเสียบ จ่ายตังค์ผ่านแอพ (ไปกดจ่ายต่อบนรถได้) ก็มี MG เข้ามาอีกคันจะมาชาร์จ ดีนะ ที่เราออกพอดี มีความเกรงใจไม่อยากจอดแช่ (ถ้ารถ ICE มาจอดบล็อคจุดชาร์จฝรั่งเค้าเรียก icing, แล้วถ้าพวก EV ด้วยกัน ชาร์จเสร็จแล้วไม่ยอมออก นี่ควรจะเรียก Eving ไหมเนี่ย) ก็รอบนี้ชาร์จไปทั้งหมด 34 kWh (ใช้ไฟไป 34.5 kWh, 98.8% efficiency) โดน Elexa by EGAT ชาร์จไป 258.68 บาท (ยูนิตละ 7.5 บาท)

จาก PT เมืองตากไปถึงเชียงใหม่ ระยะทางอีก 276 กม. ใช้ไฟไป 63% (จาก 95% เหลือ 32%) ก็มีขึ้นเขาลงเขาตามภูมิประเทศ ใช้เวลาขับเกือบสามชั่วโมง (2 ชม. 58 นาที) มีฝนตกบ้างบางพื้นที่ รถมีความเลอะสุด ๆ ตอนวิ่งไปอีท่าไหนก็ไม่ทราบ โดยกูเกิลแหมบ หลอกพาเข้า local มีช่วงวิ่งผ่านลำพูน ที่เราวิ่งผ่านร้านล้างรถ เกือบจะแวะเข้าไปล้างแล้วเชียวเพราะน้องโบลต์วิ่งลุยฝนมา (วันแรกอะ) เลอะเทอะ มอมแมมมาก โชคดีว่าไม่ได้เข้าไปล้าง เพราะพอไปถึงที่โรงแรม Shangri-La เจอฝนห่าใหญ่อีกตูม ถ้าล้างมาก็จะเหมือนล้างฟรีเลย สุดท้ายก็ไปถึงเมืองเชียงใหม่และเข้าที่พักได้ประมาณบ่ายสาม ที่สุดแสนจะเซอร์ไพรส์น่าจะเป็นเรื่องที่เสียบชาร์จที่ Shangri-La เชียงใหม่ ที่เราสอบถามมาล่วงหน้าแล้วว่ามีที่ชาร์จไหมแล้วเค้าบอกว่ามีน่ะ สรุปว่าเค้าให้เราเอารถลงไปจอดที่ B1 แล้วก็หามุมให้เราจอด (วางกรวยไว้ให้เลย) เป็นที่จอดเฉพาะของเราสองคน พอถามหาเครื่องชาร์จ เค้าก็ชี้ไปที่ปลั๊กไฟ  สรุปว่าให้เสียบชาร์จเอาเอง ดีนะที่เราเอา UMC (Universal Mobile Connector) มาด้วย แต่ชาร์จไฟบ้าน จาก 32% กว่าจะชาร์จเต็มนี่ปาเข้าไปอย่างน้อยเกือบ 1 วันเต็ม เนื่องจากชาร์จได้แค่ 10A (10*230V = 2.3 kW ต้องการชาร์จจาก 32% ->95%  = 63% *82 (kWh)/2.3 = 22.4 hr) ที่เจ็บปวดกว่านั้นก็คือชาร์จ ๆ ไป ตั้งไว้ที่ 10A แต่เด้ว ๆ ก็เจอเหลือลดลงไปอยู่ที่ 5A (จากชาร์จ 1 วัน กลายเป็นชาร์จ 2 วัน) เหตุเกิดเนื่องจาก Tesla UMC เค้ามี temperature sensor อยู่ แล้วพอหัวปลั๊กหรือสายมันร้อนเกินเหตุ เค้าก็จะตัดจาก 10A เหลือ 5A ทันที อันนี้เกิดจากสะพานไฟที่เราเอามาต่อกับหัวชาร์จ UMC มันหลวมเอง พอหลวมแล้ว contact มันสัมผัสไม่ดี เค้าก็เลยร้อน ตอนหลังต้องลงไปจับให้มันแน่นดี ๆ แล้วก็ตั้งเหลือแค่ 8A ยอมรถราคา โชคดีว่านอนโรงแรมนี้หลายวัน อยากจะชาร์จเต็มวันหรือสองวันก็เชิญ

ปรากฎว่าหลังเช็คอินขึ้นมาบนห้องรื้อกระเป๋าเดินทางออกมา อีตาคนขับเราบอกว่าลืมหยิบเสื้อสูทที่เราต้องใช้ใส่พูดบนเวทีพรุ่งนี้มา เลยเดือดร้อนต้องออกไปหาซื้อด่วน ก็เลยต้องเอาน้องโบลต์ออกจากโรงแรมมุ่งหน้าไปยังเซ็นทรัลเฟสติวัล ที่เราคิดว่าจะมีที่ชาร์จ ปรากฎรถติดมากออกจากโรงแรมประมาณ 16:16 ใช้เวลาเกือบชั่วโมงไปถึง Central Festival 17:13 ทั้ง ๆ ที่ระยะทางแค่ 7.46 กม. ใช้ไฟฟ้าไปแค่ 4% น้ำตาไหลเลย ยิ่งกว่ารถติดที่กทม. ตอนนั้นฝนก็ยังตกปรอย ๆ และเป็นเวลาตอนเย็นเลิกงานพอดี พอไปถึงก็ถามหาที่เสียบชาร์จ ปรากฎว่าเค้ายกแผงซ่อม renovate ทั้งกะบิ ชาร์จไม่ได้ ไม่มีให้ ก็เลยจอดแบบปกติ หาซื้อเสื้อสูทที่ต้องการแล้วก็กลับมาที่พัก ข้อดีประการเดียวของที่จอดที่นี่คือมีที่จอดส่วนตัววางกรวย เพราะต้องเสียบชาร์จกับปลั๊กไฟตรงเสานี้ ก็เหมือนเดิม ตั้งแต่ 8A แล้วก็ชาร์จไปเรื่อย ๆ หวานเย็น ไม่ได้รีบ

งานประชุม งานพูด งานสังสรรค์ก็ผ่านไปด้วยดี ตั้งแต่วันศุกร์ จนวันสุดท้ายคือวันเสาร์ ซึ่งจริง ๆ เค้ามี session กันไปถึงช่วงบ่าย แต่ที่เราต้องพูดหมดแค่ช่วงเช้า แล้วเค้าก็ใช้งานเราพอควร (3 sessions) เราก็เลยขอเผ่นช่วงบ่ายวันเสาร์ ข้อดีอย่างหนึ่งที่ไม่เคยคิดมาก่อนของการเอารถมาเองก็คือการได้ไปแร่ด ๆ จังหวัดอื่น ๆ ข้างเคียง งานนี้ คนขับเราก็เลือกไปลำพูน ซึ่งอยู่ติดกับเชียงใหม่ และเราก็ไม่เคยไปมาก่อน เพราะมาเชียงใหม่ก็เที่ยวแต่เชียงใหม่ วันนี้ก็เป็นวันที่สองที่แดดออกดี (เมื่อวานก็แดดออก แต่งานประชุมทั้งวัน เผ่นไม่ได้ จบ session ก็พระอาทิตย์คล้อยต่ำแล้ว) ก็จุดแรกเราขับออกจากเชียงใหม่ไปแวะสถานีรถไฟลำพูน ใช้เวลาประมาณ 29 นาที (แอบจอดแวะซื้อสตรอเบอรี่กลางทาง) ซึ่งเป็นสถานที่คลาสสิกเหมาะสำหรับถ่ายรูป ถ่ายหนัง เสร็จแล้วก็ไปวัดหริภุญชัยซึ่งเป็นวัดเก่าแก่ สถาปัตยกรรมสวยงาม ใช้เวลาประมาณ 30 นาที ส่วนใหญ่ก็ถ่ายรูป ชื่นชมความงามสถานที่ แล้วเสร็จก็ไปต่อที่ร้านกาแฟชื่อดัง The Terra Cotta garden  นึกว่าจะจิบแค่กาแฟกับชมสถานที่ ไป ๆ มา ๆ กินข้าว จิบกาแฟ กินเค้ก แต่ไม่ค่อยได้ชมสถานที่เท่าไหร่ เพราะสถานที่มันดูเฟก ๆ แล้วก็ดันมีกรุ๊ปทัวร์เสียงแปดหลอดมาลงกลุ่มเบ้อเริ่ม(ตอนแรกนึกว่าทัวร์จีน ที่ไหนได้ พูดไทยชัดป๋อ) ทำลายบรรยากาศดี ๆ ซะหมด หลังจากย้ายโต๊ะหนีเสียงหนวกหูสามรอบ จนย้ายออกไปนั่งข้างนอก ก็ยังไม่สามารถอยู่รวมกับมลภาวะทางเสียงนี้ได้ ก็เลยต้องเผ่น ขากลับดันโดนกูเกิลแหมบหลอกพากลับทาง local ใช้เวลา 45 นาที ระยะทาง 25 km ถึงโรงแรมประมาณ 4 โมง 44 นาที ก็จอดที่เดิม ที่จอดพิเศษมีกรวยกั้น แล้วก็เสียบปลั๊กชาร์จรถกลับเข้าไป เพราะไม่คิดว่าจะได้ออก ปรากฎว่าตอนเย็นพากันชวนไปเดินโต๋เต๋แถว ๆ ตลาดหน้าห้างเมญ่า ถ.นิมมานเหมินท์ ก็เอารถออกอีกรอบ ไปเดินเล่นย่อยอาหาร สูดไอโควิดเล็กน้อย (น่าจะรอด outdoor) ก็ออกไปอีกทีตอนห้าโมงกว่า กลับมาอีกที 2 ทุ่ม คราวนี้ก็เสียบชาร์จยาวถึงเช้าเลย เราก็สั่งชาร์จถึงแค่ 91% พอ เพราะพรุ่งนี้ก็แพลนจะไปชาร์จกลางทางแถว ๆ ตากทีนึงก็แวะไปนอนนครสวรรค์

วันรุ่งขึ้นก็จบงานเรียบร้อย ถึงเวลาต้องเช็คเอ้าท์ ก็ชาร์จที่โรงแรมรวมกันทั้งหมด 3 คืน นับรวม ๆ กันได้ทั้งหมด 63 kWh ถึงโรงแรมเค้าขอคิดตังค์ยูนิตละ 10 บาท ก็คงต้องจ่าย 630 บาท แต่นี่เค้าให้ฟรี (ต้นทุนจริง ๆ ประมาณ ยูนิตละ 4 บาท เค้าไม่ได้ลงทุนเรื่องเครื่องชาร์จอะไรเลย แค่มีแต่ปลั๊กอย่างเดียว) นับเป็น complimentary อย่างนึงของโรงแรม เราสองคนก็ออกจากโรงแรมกันตั้งแต่ก่อน 8 โมง (7:43 AM) ก็มีรายการแวะหลายที่เนื่องจากวันนี้อากาศดีเป็นพิเศษ (เพิ่งจะแดดออกตั้งแต่เมื่อวาน) สำหรับรายการแวะแห่งแรกคือพระธาตุลำปาง ใช้เวลาเดินทาง จาก Shangri-La 1 ชม. 12 นาที ระยะทาง 97 กม. หมดไฟฟ้าไป 20% (13.3 kWh) ขาลงจากเชียงใหม่ไปลำปางได้ driving efficiency ดี (137 Wh/km - 101.2% efficiency) ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นเพราะทางส่วนใหญ่เป็นแบบลงเขาก็เลยรีเจนเยอะเป็นพิเศษ 

เราสองคนใช้เวลาเกือบชม.อยู่ที่วัดพระธาตุลำปาง หลังจากถ่ายรูปจนสาแก่ใจแล้วก็ออกเดินทางต่อไปยังเขื่อนภูมิพล จ.ตาก  กะว่าจะพาน้องโบลท์ไปรับประทานไฟฟ้าสด ๆ จากเขื่อน เผื่อไฟฟ้าสดจะรสชาติหอมอร่อยกว่าไฟฟ้าดองเค็มที่เก็บไว้ในแบตอะไรเงี้ย เป็นที่น่าผิดหวังที่แหล่งผลิตไฟฟ้า (เขื่อน) ไม่มีสถานีประจุไฟฟ้าแบบ DC supercharger แต่ก็ยังนับว่าเป็นความเมตตาของ EGAT (การไฟฟ้าฝ่ายผลิต) ที่ยังอุตส่าห์มีสถานีชาร์จแบบ AC type 2 ไว้ให้ตรงร้านอาหาร/รีสอร์ทที่อยู่ตรงใกล้ ๆ เขื่อน เอาละ ก็นับว่าเป็นไฟฟ้าค่อนข้างสดพอล่ะ เพราะมันอยู่ใกล้แหล่งผลิตขนาดนั้น  ก็จากวัดพระธาตุลำปางไปถึงเขื่อนภูมิพลเป็นระยะทาง 154 กม. ใช้เวลา 1 ชม. 44 นาที หมดไฟฟ้าไปอีก 26.6 kWh (39%) เหลือไฟฟ้าติดแบตอีกเพียง 31% ก็กะว่าไปถึงสถานีชาร์จที่ตากก็พอ แต่ก็อยากให้โบลต์ทานไฟฟ้าสด ก็เลยแวะจอดและเสียบชาร์จตรงร้านอาหารเฮือนภูแก้ว ใกล้ ๆ ที่เขื่อน แล้วก็เสียบชาร์จ เนื่องจากเป็น type 2 AC ก็ชาร์จได้ประมาณแค่ 10% (@ 32A, ใช้ไฟฟ้าเค้าไป 8.488 kWh, เติมเข้าแบตไปได้ 7.51 kWh คิดเป็นเงิน 46.68 บาท -ยูนิตละ 5.499 บาท) เดิมทีก็ไม่ได้กะจะหยุดอยู่ตรงนี้นาน แต่ความที่อยากให้น้องโบลต์ได้ทานไฟฟ้าสดอิ่ม ๆ และสถานีชาร์จมันดันเป็น type 2 ก็เลยต้องหาเรื่องรับประทานอาหารกลางวันตรงร้านอาหารของเขื่อนนั่นแหละ ร้านเฮือนภูแก้วนั่นแหละ ก็เป็นของทาง EGAT เค้าบริหารจัดการ ก็เสียเวลาอยู่ตรงนี้เกือบชั่วโมงแน่ะ (รออาหารนาน กินไม่นานมาก แต่ก็อิ่ม น้องโบลต์คงไม่อิ่ม กินไฟฟ้าได้แค่ 7.51 kWh)

ถัดจากนี้ก็ต้องไปหาสถานีชาร์จแบบ DC จริง ๆ แหละ ใจจริงอยากจะลากไปไกล ๆ หน่อย (ตอนนี้มีอยู่ 41% ไปได้อย่างเก่งก็แค่ 200 กม.) แต่ก็ใจเสาะ ไปได้แค่ 60 กม. (จาก 41% -> 27%) ก็รีบหาที่เสียบชาร์จแระ ไปได้ที่สถานี PEA Volta บางจาก เมืองตาก อันนี้ต้องเรียกว่าจงใจหาสถานีบางจากและ PEA volta เลย รู้ทั้งรู้ว่าเค้าชาร์จช้ากว่า Elexa by EGAT แต่เพราะมันมีเงิน 1000 บาท ที่เราเคยเติมไว้ตั้งแต่ปีที่แล้วและไม่ได้ใช้ กะว่ารอบนี้ต้องหาทางใช้ซะหน่อย เด้วเค้าลืมไปวว่าเรามียอดยังไม่ได้ใช้ค้างอยู่ เนื่องจากเรามีเป้าหมายจะไปนอนพักที่นครสวรรค์ ก็ไม่ได้ไกลจากตากเท่าไหร่ ก็เลยชาร์จขำ ๆ แค่ เติมจาก 27% -> 65% พอ ก็ใช้ไฟฟ้าเค้าไป 27.68 kWh เสียค่าบริการ 127.19 บาท (ยูนิตละ 4.59 บาท) จากตรงนี้ขับไปไม่นานก็วิ่งผ่านกำแพงเพชรแล้วก็เข้านครสวรรค์ ก็ต้องแวะหาซื้อของฝาก คนที่กทม.ซักหน่อย ก็ไปแวะกันที่ ร้านโมจิแม่กุหลาบซึ่งอยู่บนถนนใหญ่ แวะซื้อของฝากแป๊บเดียวแล้วก็ตรงเข้านครสวรรค์เลย ก็พอเข้านครสวรรค์ ก็ไปแวะเที่ยวที่ปากน้ำโพก่อน ที่เรียกว่า พาสาน ตอนไปถึงก็เกือบ ๆ ห้าโมงเย็น ดวงอาทิตย์กำลังคล้อยต่ำมาก แดดเอียงสุด ๆ ก็เดินถ่ายรูป เดินชมปากแม่น้ำกันประมาณครึ่งชั่วโมง ก็ควรจะกลับเข้าโรงแรม แต่ก่อนเข้าโรงแรมก็ขอแวะไปซื้อขนมที่ร้าน Kyoto-Shi นครสวรรค์ก่อน แพร๊บนึง กว่าจะถึงโรงแรม 42C Chic จริง ๆ ก็ปาเข้าไปเกือบ 6 โมง เกือบจะมืดสนิทแระ หน้าหนาวนี่แดดสั้นเป็นพิเศษ พอถึงโรงแรมก็เหลือ 19% ข้อดีก็คือที่โรงแรมนี้เค้ามี type 2 AC charging station อย่างดี ชาร์จได้เต็มที่ 32A นอนคืนเดียวก็พอแน่นอน (แถมชาร์จฟรี - for now อีกตะหาก)

ขากลับทีแรกมันพอมีเวลาเหลือนะ จริง ๆ เราก็สงสัยว่าควรจะไปต่ออีกนิดไหม พรุ่งนี้จะได้ไม่ต้องตื่นเช้ามากหรือมีเวลาเที่ยวอีกนิดหน่อย ตอนแรกก็กะจะชวนคนขับว่าไปให้ถึงอยุธยาเลยดีมั้ย แล้วค่อยหาที่นอน เค้าก็ตอบว่าถ้าไปถึงอยุธยาแล้วก็ไปถึงบ้านที่กทม.เลยไม่ต้องหยุด  ถึงบ้านก่อนเที่ยงคืนแน่นอน  สรุปว่าก็เลยนอนที่นี่แหละ แก่แล้วพักก่อน ได้ชาร์จรถแบบช้า ๆ ด้วย (พวกกลัวแบตเสื่อม) ก็รอบนี้ นอนรอบสองได้ห้องเล็กลง ราคาแพงขึ้น (กลายเป็นคืนละ 1500 บาท) เนื่องจากคืนนี้ ขากลับเป็นวันหยุด (ขาไปเป็นวันธรรมดา ได้คืนละ 1200) นอกจากแพงขึ้นเล็กน้อยยังได้ห้องเล็กลง ตอนนี้เป็นห้องแบบเตียงใหญ่เตียงเดียว แทนที่จะเป็นเตียง twins สองเตียง นอกจากแพง ห้องเล็กลงแล้ว ยังอดกินอาหารเช้าด้วย เนื่องจากพรุ่งนี้เช้าต้องรีบออกตั้งแต่ตีห้า เนื่องจากเรามีเคสต้องไปเร่ิมตอน 9 โมง  อย่างน้อยก็ยังชาร์จฟรีอยู่  สรุปว่าเติมไฟฟ้าฟรีจาก 19% ขึ้นไปถึง 85% (พอถึงกทม.) ใช้ไฟฟ้าไปทั้งหมด 50.7 kWh ถ้าโรงแรมคิดตังค์ยูนิตละ 10 บาท ตามป้ายที่ประกาศไว้ ตรงนี้ก็ 507 บาท แต่บังเอิญยังอยู่ในช่วงโปรก็เลยฟรีไป (จ่ายไปแล้วในค่าโรงแรม หักอาหารเช้า อิอิ) 

วันรุ่งขึ้นก็ออกเดินทางแต่เช้าเนื่องจากกูเกิลแหมบโกหกพวกเราว่าจะต้องใช้เวลา 3 ชม.กว่า ๆ เพื่อไปถึงกทม. เราก็มีเป้าหมายว่าต้องไปให้ถึงก่อน 9:00 น. เผื่อเหลือเผื่อขาดบ้างก็เลยตกลงกันว่าจะออกกันตั้งแต่ตีห้า เอาเข้าจริง ขับไปขับมาเบ็ดเสร็จใช้เวลา 2 ชม. 28 นาทีก็ถึงกทม. ด้วยความที่ไปถึงเร็วเกินเหตุ (ก็ดีกว่าไปไม่ทัน) ก็เลยกลับบ้านไปเก็บข้าวเก็บข้าวก่อน แล้วก็ค่อยออกไปทำงาน ก็สรุปว่า trip ไป-กลับ กรุงเทพ -เชียงใหม่ - กรุงเทพ ด้วยรถไฟฟ้าน้องโบลต์ Tesla M3 Performance ก็จบเรียบร้อย ไม่มีอุบัติเหตุ ไม่มียางแตก ไม่มีกระจกร้าว ไม่มีอุปสรรคในการชาร์จไฟฟ้า 

สิ่งที่เรียนรู้สำหรับประสบการณ์ครั้งนี้ก็คือ การเดินทางด้วยรถส่วนตัวซึ่งเป็นรถไฟฟ้าก็สามารถทำได้ ถ้าเราวางแผนดี ๆ ให้เวลาตัวเองพอ ถ้าเป็นไปได้นอกพักกลางทางก็ได้ประโยชน์สองเด้ง คือคนขับก็ได้พัก รถก็ได้พักและได้ชาร์จแบบไม่ใช่ DC (ช้าแต่ดีต่อแบต) ที่เหลือก็ชาร์จ DC เอา ขำ ๆ ไม่ต้องซีเรียสมาก ยังไง ๆ ก็ต้องมีการหยุดพักเพื่อทานข้าวหรือเข้าห้องน้ำอยู่แล้ว ถึงแม้ประเทศไทยยังไม่มี infrastructure ของสถานีชาร์จที่ดีพอเมื่อเทียบเท่ากับตปท.ที่เจริญแล้ว แต่ในระดับภูมิภาคแถวนี้คิดว่าเราเป็นอันดับหนึ่งตอนนี้ ถึงแม้สถานีชาร์จจะยังมีจำกัด และชาร์จไม่ได้เร็วมาก แต่กระนั้นก็ตาม ตอนเราชาร์จ Elexa by EGAT ก็ยังทานข้าวเกือบไม่ทัน ก็นึกไม่ออกเหมือนกันว่าถ้า Tesla V3 supercharger มา ซึ่งชาร์จที่ 250 kW จะเข้าห้องน้ำ จิบกาแฟทันรึเปล่า ส่วนเรื่องสถานีชาร์จแต่ละยี่ห้อ ก็ต้องขอ rank Elexa by EGAT ดีกว่า EV station ปตท. ดีกว่า PEA volta แต่ถ้าดูจำนวนและประเภทร้านหรือสิ่งที่มีให้ทำเพื่อฆ่าเวลา เราว่าสถานีปตท.จะทำได้ดีกว่าสถานที PT (ที่ Elexa -EGAT เค้าไปอยู่ด้วย) ส่วนเรื่องถนนหนทางนี่ ต้องขออนุญาตถอนหายใจห้าร้อยรอบ ขอบอกว่าระบบทางหลวงประเทศไทยอยู่ในระดับน่าสมเพช ตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน คนไทยส่วนใหญ่จะไม่รู้จักคำว่า high way คืออะไร ถ้าจะอธิบายให้คนไทยฟังต้องเรียกว่าทางด่วน แล้วเค้าถึงจะ อ๋อ สรุปว่า ประเทศไทย ขาดแคลนสิ่งที่เรียกว่า high way หรือ ทางด่วนเชื่อมแต่ละจังหวัด อันนี้น่าสงสาร เพราะนี่มันปี 2022 แล้ว อย่างที่สหรัฐ หรือแม้แต่เพื่อนบ้านเรา มาเลเซีย เค้ามี high way จริง ๆ เชื่อมทุกรัฐ ทุกแคว้น ทุกภูมิภาค  ถนนที่ประเทศไทยมี ระดับเชื่อมต่อจังหวัด มันก็เป็นแค่ ถนน local ที่มีหลาย ๆ เลน แต่มันไม่ได้มีคุณลักษณะของ high way คือยังตัดผ่านชุมชน ผ่านตัวจังหวัดตรง ๆ ผ่านตลาด มีสี่แยกไฟแดง มีที่กลับรถ มีขายของข้างทาง อีอยากจอดตรงไหนก็จอดได้ แถมวิ่ง ๆ ไป เด็ด ๆ ยังเจอด่านตรวจ ที่ไม่ได้ทำอะไรนอกจากวางกรวยขวางทางให้รถวิ่งช้า ๆ ผ่านเลนเดียว เพื่อที่จะดูว่ารถอะไรวิ่งไปบ้าง ประมาณเนี้ย เรายังไม่มี high way ที่สามารถใช้ cruise control แบบไม่ต้องแตะเบรคเลย ยิ่งระดับ autobahn ยิ่งไม่ต้องพูดถึง คงจะได้แค่นี้จริง ๆ เพราะเค้าไม่ลงทุนตัดถนนใหม่ ได้แต่ขยายเลน ถนนเดิม (local) ไปเรื่อย ๆ ถ้าจะมีอะไรที่สังเกตเห็นก็จะเป็นว่าถนนใหญ่ ๆ ช่วงที่ผ่านจังหวัดใหญ่ ๆ เช่น ตาก นครสวรรค์ ถนนก็จะกว้างเป็นพิเศษ มีหลายเลนเป็นพิเศษ แต่ก็ยังเป็นลักษณะถนน local road ล้วน ๆ จริง ๆ 

จะเห็นว่าเราบ่นเรื่องถนนหนทางเยอะ แต่เรื่องชาร์จรถไม่บ่น เพราะไม่ได้มีปัญหาอะไรมาก  สิ่งอื่น ๆ ที่เราได้เรียนรู้อย่างคาดไม่ถึงก็คือการที่เราขับรถเราไปเอง แน่นอนว่าช่วยลด carbon footprint ดังนั้น ประเทศที่พัฒนาระบบรถไฟฟ้า bullet train เค้าก็จะช่วยลด carbon footprint ตรงนี้ไปได้เยอะมากทีเดียว นอกจากนี้ การที่เราขับรถไปเอง มันเปิดโอกาสให้เราสามารถเที่ยวตามรายทางได้ เพราะบางจังหวัด เช่น ลำพูน ลำปาง ชาตินี้เราอาจจะไม่ได้เที่ยวเลยก็ได้ ต่อให้บินมาเชียงใหม่กี่รอบ กี่รอบก็ตาม รถดี ๆ ก็ช่วยให้เรามีความสุขในการขับขี่ หรือ ในการโดยสาร ถึงแม้ Model 3 เราจะไม่ได้กว้างใหญ่ไพศาล คงนั่งไม่สบายเท่ารถใหญ่ ๆ พวกที่มี air suspension แต่แค่นี้สำหรับเราก็พอแล้ว ขนาดที่ว่ามีอารมณ์อยากจะถอย Model Y มาอีกคัน เอาไว้เดินทางทั่วประเทศไทย ตามโครงการ แร่ดทั่วไทย เลยทีเดียว  เด้วปลายเดือนนี้เราจะมีงานประชุม (ของคนขับรถเรา) ที่ภูเก็ต นี่ก็ยังชวน ๆ เค้าอยู่ว่าจะขับรถ กรุงเทพ-ภูเก็ตดีไหม  สงสัยว่าจะชวด เพราะกรุงเทพ-ภูเก็ตไกลกว่า และเราไม่ได้เผื่อวันเดินทางเพิ่มหัวท้ายไว้  คงต้องไว้เป็นโอกาสหน้านะคับ ถ้ามีโอกาส long road trip อื่น ๆ อีก คราวหน้าจะมาเล่าให้ฟังจ้า


Create Date : 07 ธันวาคม 2565
Last Update : 10 มกราคม 2566 14:41:52 น. 0 comments
Counter : 743 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 
space

gollygui
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [?]






space
space
[Add gollygui's blog to your web]
space
space
space
space
space