เสพภาพยนตร์เป็นจานหลัก พักสายตาฟังเจป๊อบเป็นจานรอง ให้อาหารสมองด้วยโดระมะ แปลเนื้อเพลงญี่ปุ่นเป็นงานอดิเรก
Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2556
 
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
6 ตุลาคม 2556
 
All Blogs
 

Like Father, Like Son (a.k.a. そして父になる) สำรวจความรักของพ่อในหนังใหม่จาก โคเระเอะดะ ฮิโระคาสุ


หลัง ๆ มานี่ทั้งเรื่องการงาน ทั้งเรื่องชีวิตหลาย ๆ อย่างกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนแปลง เลยไม่ค่อยได้มีเวลาอัพบล็อก เขียนแนะนำหนังสักเท่าไหร่ จนกระทั่งเพิ่งจะมีเวลาหายใจหายคอช่วงเดือนที่ผ่านมา แต่ช่วงดังกล่าวก็ไม่ได้มีหนังที่ได้ดูแล้วอยากหยิบมาพูดสักเท่าไหร่ เพราะเดือนที่ผ่านมาเป็นช่วงซัมเมอร์ของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นช่วงที่หนังซัมเมอร์ของฮอลลีวู้ดรอจังหวะมาลงโรงกันช่วงนี้หลายเรื่องมาก (แต่ในไทยหลายเรื่องก็ลาโรงไปนานแล้ว) 

เป็นเรื่องโชคดีเหลือเกินที่หนังญี่ปุ่นที่จะเอามาแนะนำกันวันนี้ ที่เมืองไทยจะได้ดูในวันที่ ๕ ธ.ค. นี้ ที่เฮาส์ อาร์ซีเอ (และคิดว่าอาจจะมีอีกสักโรงหนึ่ง โปรดติดตามข้อมูลได้จากเวปไซด์หรือหน้าแฟนเพจของทางค่ายหนังเองนะครับ) ก็เป็นหนังที่มีกระแสออกมาตั้งแต่ช่วงกลางปีที่ผ่านมาแล้วหละครับ เพราะหนังเรื่องนี้เป็นหนังในรอบหลายปีมาก ๆ ที่หนังญี่ปุ่นได้รางวัลใหญ่ ๆ ในเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ ซึ่งถือว่าเป็นเทศกาลภาพยนตร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นธรรมเนียมครับ ที่สื่อญี่ปุ่นก็จะประโคมข่าวในเรื่องความสำเร็จนี้กันอย่างครึกโครม (ในขณะที่เมืองไทยได้แต่เห่อชุดสวย ๆ กับดราม่าเรื่องไม่เป็นเรื่องของนางแบบกับนักแสดงไทยสองคน ที่ไม่ได้มีหนังจากประเทศเราไปฉายเลย) 

Like Father, Like Son (a.k.a. そして父になる) ผลงานภาพยนตร์เรื่อง่าสุดของผกก. โคเระเอะดะ ฮิโรคาสุ หลังจากหายไปสองปีจากหนังเรื่องก่อนหน้า I wish (a.k.a. 奇跡) (เคยเขียนแนะนำไว้ในหน้านี้ครับ... ) ซึ่งการตลาดของทั้งสองเรื่องต่างกันตรงที่ Like Father, Like Son เอาไปเปิดตัวในเทศกาลให้กระแสมาก่อนการตลาดในประเทศ ส่วน I wish เปิดตัวในประเทศก่อนที่จะเอาไปฉายตามเทศกาลอื่น ๆ แต่ผลที่ได้มันก็เกินคุ้มจริง ๆ ครับ เพราะการที่หนังได้รางวัลระดับใหญ่ขนาดนี้ ส่งผลให้เกิดกระแสในญี่ปุ่นจนค่ายหนังตัดสินใจเลื่อนฉายก่อนกำหนดหนึ่งสัปดาห์ (พร้อมกิจกรรมส่งเสริมการตลาดอีกเพียบ) ส่วนกระแสหนังเรื่อง I wish ในประเทศนั้น เงียบฉี่...

อีกปัจจัยที่หนังเรื่องนี้ได้รับกระแสเป็นอย่างดี ก็เห็นจะเป็นการได้นักแสดงนำอย่าง ฟุกุยาม่า มาซาฮารุ นักร้องนักแต่งเพลงชื่อดัง ที่หลัง ๆ หันมาเอาดีกับงานแสดงมากขึ้น และได้รับบทดี ๆ เรื่อยมา ดังเช่น ซีรี่ย์ทางโทรทัศน์เรื่อง Galileo ทั้งสองภาค ตามมาด้วยภาพยนตร์ภาคต่อของซีรี่ย์เรื่องนี้ อย่าง Suspect X (a.k.a. 容疑者Xの献身), Midsummer Formula (a.k.a. 真夏の方程式) และซีรีย์ฟอร์มยักษ์ Ryoma Den (a.k.a. 龍馬伝) และมีรับเชิญเรื่องอื่น ๆ บ้าง แต่ด้วยความที่ผู้สร้างละครกับหนังอยากจะดึงความเป็นซุปเปอร์สตาร์ของฟุกุยาม่ามากเป็นพิเศษ บทบาทที่ออกมาเลยพยายามใส่ความเป็นฮีโร่ให้กับฟุกุยาม่ามากไป จนส่วนตัวมองว่า ฟุกุยาม่า สอบตกในฐานะนักแสดงมาโดยตลอด ไม่รู้ว่าเป็นเพราะดูขี้เก็กไปหรือไม่มีมุมที่ดูมีความเป็นมนุษย์บ้าง ก่อนที่จะได้มาดู Like Father, Like Son เลยไม่แน่ใจว่า ผกก.โคเระเอะดะ (และบรรดาพวกโปรดิวเซอร์) ตัดสินใจพลาดรึเปล่าที่เอาเขามาเล่น (เพื่อแค่เกาะกระแสความดังเฉย ๆ) เพราะเนื้อหาหนังดูมีความเป็นดราม่าสูง และบทไม่มาแนวพระเอกฮีโร่จ๋า เลยไม่แน่ใจว่าเขาจะเอาหนังเรื่องนี้อยู่ทั้งเรื่องหรือไม่ แต่พอได้ชมแล้วคงต้องขอถอนคำพูดแล้วหละ 

เนื้อหาหนังเกี่ยวกับครอบครัวโนโนมิยะกับครอบครัวซาอิกิ ที่อยู่มาวันหนึ่งได้รับการติดต่อจากโรงพยาบาลที่ทั้งสองครอบครัวเคยไปทำคลอดลูกชายของทั้งสองครอบครัวไว้ว่า ลูกชายของทั้งสองครอบครัวถูกสลับตัวกันในระหว่างที่แม่และเด็กกำลังพักฟื้นหลังคลอดที่โรงพยาบาลแห่งนี้ ปัญหาที่ตามมาอาจจะไม่ได้อยู่ที่ว่าทั้งสองครอบครัวจะเอาเรื่องกับทางโรงพยาบาลอย่างไร แต่สิ่งที่ทั้งสองครอบครัวต้องคิดกันอย่างหนักคือ จะต้องทำอย่างไรกับอนาคตของเด็กทั้งสอง เพราะเด็กทั้งสองก็โตกันจนถึงอายุที่จะเข้าโรงเรียนประถมแล้ว

หนังเปิดให้เราเห็นถึงความสมบูรณ์ของครอบครัวโนโนมิยะ ที่เหมือนตัวแทนของครอบครัวในฝันของคนชั้นกลางของญี่ปุ่น อันประกอบไปด้วยคุณพ่อเรียวตะ (ฟุกุยาม่า มาซาฮารุ) พนักงานบริษัทหนุ่มไฟแรงซึ่งกำลังไปได้ดีทั้งหน้าที่การงานและชีวิตครอบครัว คุณแม่มิโดริ (โอโนะ มาจิโกะ) แม่บ้านที่พื้นฐานทางครอบครัวที่ดีในต่างจังหวัด และเคตะ (นิโนมิยะ เคตะ) แต่ด้วยเรื่องดังกล่าวครอบครัวนี้จึงได้พบกับครอบครัวซาอิกิ ซึ่งประกอบไปด้วยพ่อบ้านยูได (ลิลี่ แฟรงกี้) ประกอบธุรกิจส่วนตัวเป็นร้านขายและรับซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าแห่งหนึ่งในย่านชาญเมืองโตเกียว แม่บ้านยูคาริ (มากิ โยโกะ) และลูกอีกสามคน ซึ่งลูกคนโตริวเซ (หวง โชเกน) เป็นเด็กที่ถูกสลับกับโนโนมิยะ เคตะ ซึ่งครอบครัวซาอิกิเป็นครอบครัวที่มีวิถีแบบชาวบ้านทั่ว ๆ ไป ทำมาหากินแบบพอเลี้ยงครอบครัว และการอบรมเลี้ยงดูลูกก็ไม่ได้เหมือนกับทางบ้านโนโนมิยะ ที่อาจจะดูแลลูกให้อยู่ในกรอบในระเบียบมากกว่าทางครอบครัวซาอิกิ

หลังจากที่ทั้งสองครอบครัวรับทราบเรื่องดังกล่าว มีทางเลือกเพียงสองทาง คือ ๑. เลือกความถูกต้องด้วยตรรกะ คือ ลูกใครก็เอากลับไปเลี้ยง หรือ ๒. เลือกที่จะลืมเรื่องนี้ไป และดำเนินชีวิตไปอย่างปกติ แต่จนแล้วจนรอด มันก็เป็นประเด็นที่ขัดแย้งมาก เพราะหากเลือกที่จะให้เด็กกลับไปยังครอบครัวที่แท้จริง จะต้องเจอกับการปรับตัวครั้งใหญ่มาก ๆ เพราะทั้งสองก็มาจากพื้นฐานครอบครัวที่ต่างกันเกินไป หรือหากจะดำเนินชีวิตไปด้วยสภาพที่เป็นอยู่ สักวันลูกที่เติบโตขึ้นหน้าตาก็จะไม่เหมือนตัวเองจนดูห่างเหินออกไปเรื่อย ๆ และเกิดคำถามกับตัวเองว่ายังสามารถรักเด็กคนนี้ได้เหมือนเดิมรึเปล่า ทั้งหมดทั้งมวล หนังมุ่งที่จะนำเสนอประเด็นดังกล่าวโดยเน้นไปที่มุมมองของละครหลักอย่างตัวโนโนมิยะ เรียวตะเป็นหลัก

ด้วยเซ็ตอัพของหนังแบบนี้ หนังมันสามารถลงเอยไปในจุดจบหลาย ๆ แบบที่จริง ๆ แล้วคนดูสามารถเดาได้ไม่ยาก เพียงแต่สิ่งสำคัญคือ หนังมีประเด็นย่อย ๆ อะไรที่จะพาคนดูไปยังบทสรุปดังกล่าว อันนี้ขออนุญาตไม่สปอยล์เรื่องนะครับ แม้หนังจะเป็นเรื่องดราม่าที่ดูเรียบง่าย และไม่ซับซ้อนใด ๆ แต่อยากจะบอกว่าครั้งนี้ โคเระเอะดะ ยังคงเก่งในการพาคนดูไปสู่ในประเด็นที่เขาหวังจะพูดกับคนดู และควบคุมอารมณ์ของหนังได้ดีเช่นเคย เรื่องนี้อาจจะต่างจากงานส่วนใหญ่ของเขาเล็กน้อยตรงที่ ปกติเขาจะเป็นผกก.ที่ยึดวิธีการทำหนังคล้าย ๆ กับสารคดี คือตกแต่งให้น้อยที่สุดแต่ดูจริงมากที่สุด (อันนี้ไม่นับรวมเรื่อง Air Doll, a.k.a. 空気人形 ที่ออกไปทางแฟนตาซีเลย) แต่เรื่องนี้การนำเสนออาจจะด้วยตัวเรื่องที่เน้นประเด็นเรื่องของความสัมพันธ์ในครอบครัว เลยดูมีความเป็นเมโลดราม่ามากที่สุดเท่าที่เคยทำมา 

ปลายปีนี้ มีหนังญี่ปุ่นอีกหลายเรื่องที่กำลังรอคิวเข้า ซึ่งเป็นหนังจากผกก.ที่เคยฝากผลงานดี ๆ อีกหลายท่าน จึงขอเอาตัวอย่างภาพยนตร์บางเรื่องมาแปะแนะนำไว้ตรงนี้ด้วยครับ 

陽だまりの彼女 (A Girl in the Sunny Place) งานล่าสุดของมิกิ ทาคาฮิโระ จาก Solanin (a.k.a. ソラニン) กับ We were there (a.k.a. 僕等がいた)เข้าฉาย ๑๒ ต.ค. ที่ญี่ปุ่น (วันเดียวกับโอชิน)


Beyond the Memories(a.k.a. 潔く柔く きよくやわく) จากผกก. Heavenly Forest (a.k.a. ただ、君を愛してる) กับ I give my first love to you (a.k.a. 僕の初恋をキミに捧ぐ) เข้าฉาย ๒๖ ต.ค. ที่ญี่ปุ่น



The Kiyosu Conference (a.k.a. 清須会議) หนังใหม่ของผกก.ดาวตลกคู่บุญสถานีโทรทัศน์ ฟูจิ เทเลวิชั่นอย่าง มิตานิ โคกิ (Welcome back Mr. McDonald, All About Our House, Worse by Chance) คราวนี้หันมาจับงานพีเรียด แต่สไตล์เบาสมองเช่นเดิม หนังได้ นาคาตานิ มิกิ มารับบทนำ ร่วมกับนักแสดงระดับพระกาฬอีกหลายคน(เช่นเคย) เข้าฉาย ๙ พ.ย. ที่ญี่ปุ่น


The Eternal Zero (a.k.a. 永遠の0) หนังเรื่องล่าของผกก.และมือทำสเปเชี่ยลเอฟเฟกต์ ยามาซากิ ทาคาชิ แห่ง Always: Sunset on Third Street ทั้งสามภาคและ Space Battleship Yamato 






 

Create Date : 06 ตุลาคม 2556
1 comments
Last Update : 6 ตุลาคม 2556 16:26:56 น.
Counter : 9903 Pageviews.

 

อ๋าาาา เพิ่งไปดูlike father like sonมา กว่าจะลากเเม่กับน้องสาวไปดูได้นี่ทั้งอวยทั้งเเดกดิ้น ชอบหนังอารมณ์เเบบนี้มากเลยค่ะ ชอบความธรรมชาติเเละธรรมดาของเนื้อเรื่อง น้องๆ ของริวเซย์น่ารักมาก เเละได้เห็นอารมณ์ที่เเตกต่างของสองครอบครัว

อยากให้หนังญี่ปุ่นมาเข้าไทยเยอะๆ เเต่ก็คงหมดหวัง
เห็นเรื่อง a girl in a sunny placeมาสักพัก เเต่ไม่มีซับอิงเลยไม่รู้ด้วยซำ้ว่าเรื่องนี้เกี่ยวกับอะไร
beyond the memories มาจากมังงะที่ได้รางวัลโคดันฉะที่ชอบมากกกก เเต่คิดว่าดูจากเทรลเลอร์เเล้วคงไม่สามารถเล่าเรื่องให้ลึกซึ้งเเบบในมังงะได้

ขอให้รีวิวหนังญี่ปุ่นอีกเยอะๆ ต่อไปนะคะ จะรออ่านค่า

ปล-ตามมาจากรีวิวโซลานินที่เจอในกูเกิ้ล - ตอนนี้กำลังดูโซลานินซับอิงอยู่ค่ะ

 

โดย: หมูบันไซ IP: 58.8.19.170 9 ธันวาคม 2556 12:54:52 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


Filmism
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




Friends' blogs
[Add Filmism's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.