bloggang.com mainmenu search




11-17 มีนาคม ที่ผ่านมาเราได้เดินทางไปเที่ยวอินเดียเป็นครั้งที่ 3 ค่ะ

เมื่อผ่านสมรภูมิอินเดีย รอบ 1-2 มาแล้ว รอบสามก็บังเกิด จากคนที่ไม่ชอบอาหารอินเดียเลย ก็ยังไม่ชอบเหมือนเดิม 555

 กลับมาแทนที่จะผอมลง แต่กลับเท่าเดิม เพราะซัดน้ำอัดลมไปเยอะมาก ชนิดที่ว่าดื่มแทนน้ำเปล่าก็ว่าได้

เพราะไปรอบนี้นานกว่าทุกครั้งด้วย  

ไปมาสองรอบ ก็เจอพ่อค้าคนโกงทั้งสองรอบ ทั้งโดนกระชากเงินจากมือวิ่งหนีไปต่อหน้าก็เจอมาแล้ว

แต่ยังไม่เข็ด !!

Smiley

ครั้งนี้เราจะไปเยือนกัน 3 เมือง 3 สีค่ะ คือ นครสีชมพู นครสีทอง และนครสีฟ้า Jaipur - Jaisalmer- Jodhpur 

แต่รีวิวในวันนี้เราตัดภาพมายังเมืองสีทอง นามว่า Jaisalmer ก่อนใครเลย เพราะชอบมาก

ที่เราและชาวคณะเห็นพ้องต้องกันว่า ชอบเมืองนี้ที่สุดในทริปแล้ว ส่วนเหตุผลคืออะไรนั้น อยากให้ไปอ่านกันค่ะ


และอยากบอกว่า การได้มาใช้ชีวิตในทะเลทรายในครั้งนี้ ค่าใข้จ่ายคนละ 800+ บาทเท่านั้น 

หือออ ฟังไม่ผิดหรอกค่ะ สำหรับแพ็คเก็จนี้ เราจ่ายคนละ 1625 รูปี เป็นเงินไทย 812 บาทคุ้มมากกก

กับการได้ขี่อูฐ นอนกลางทะเลทราย ในช่วงเวลาที่สวยที่สุด

กลางวันร้อน แต่กลางคืนหนาว และดาวสวยมาก !!

Jaisalmer


เพี้ยนปูเสื่อรอ





เมืองแรกที่เราบินมาลงคือ Jaipur หรือที่คุ้นหูกันคือ "ชัยปุระ" ที่เราเคยเที่ยวแบบจริงจังในอินเดียครั้งแรกนะคะ
แต่ความสาแก่ใจในการท่องเที่ยวครั้งนี้ไม่เล่าแบบตามวัน ขอข้ามมาเมืองทะเลทรายก่อนเลย 555

เริ่มจากการเดินทางด้วยการนั่งรถไฟตู้นอน ชั้น 3a คนละ 800 บาท ข้ามเมืองจาก #Jaipur มากว่า 15 ชั่วโมง
 เช้ามืดมาโผล่ที่เมือง Jaisalmer โดยมีเจ้าของเกสเฮาส์ มารับส่งไปยังที่พักที่อยู่ในป้อมปราการ

และนี่เป็นการนั่งรถไฟครั้งแรกของเราในอินเดีย เนื่องจากมีพี่ๆในทริปให้ความเห็นว่า เราควรจะซึมซับวิถีชีวิตของชาวอินเดียแท้ๆ บ้างสิ

เคยดูหนัง ดูทีวีมาเยอะ เห็นรถไฟอินเดียแล้วตกใจมาก นั่งบนหลังคาก็มี นั่งแออัดยัดเยียดมาก แต่ที่แน่ๆ ตอนนี้ มีฝรั่งนอนบนหัวเราด้วยล่ะ 555

แต่..รถไฟอินเดียมีหลายเกรดค่ะ ครั้งนี้จึงทำการจองล่วงหน้ามาก่อน และได้ชั้น 3A ชั้น 1-2 เต็ม และมีแอร์ด้วย คือดีกว่าชั้น 3 ธรรมดาที่แออัดยัดเยียดมาก เป็นตู้นอน 3 ชั้น 

ระยะทางในครั้งนี้คือ 700 กว่าโล โดยวิ่งฉึกฉักจาก Jaipur เพื่อไปยังเมือง Jaisalmer นีคือนั่งมาตั้งแต่ 4 โมงเย็นแล้วนะคะ มีกำหนดถึงประมาณ ตี 5htmlentities(' >')<</p>

เนื่องจากเป็นการนั่งรถไฟครั้งแรกในอินเดีย จึงมาแต่ตัวและกระเป๋า พร้อมน้ำคนละขวดจริงๆ





มื้อเย็นนี้เราจึงได้ขุดคุ้ยเสบียงในกระเป๋าแต่ละคนมาล้อมวงกินข้าวกันได้ มีทั้งมาม่า ส้มตำ และต้มยำกุ้งอบแห้ง เพียงเติมน้ำ ก็กินได้แล้ว โดยไม่เสียรสชาติ ของ Thaivory ที่เราขนมาจากไทยมากินอย่างเอร็ดอร่อยบนรถไฟ รอดไปอีกหนึ่งมื้อ ในภาพถ่ายยังไม่ได้เติมน้ำนะคะจะเห็นภาพเป็นแห้งๆ
พอเติมน้ำร้อน หรือน้ำธรรมดาขนๆ ก็อร่อยกับอาหารไทยในอินเดียแล้วค่า

และแสงเช้าตรู่เรามาโผล่กันที่ Sugar Guesthouse โดยมีเจ้าของขับรถจิ๊บมารับพวกเราถึงท่ารถไฟเมือง Jaisalmer

และรายละเอียดแพ็คเก็จที่เราเลือกในเมืองนี้จะอยู่ในเวปค่ะ เผื่อใครสนใจ เราเอาลิงค์มาแปะให้นะคะ
https://www.kamalsprivatecameltour.com/





เหตุผลที่ชอบเมือง เมือง Jaisalmer แม้จะได้นอนเมืองนี้แค่คืนเดียว แต่ทว่า ได้ใช้ชีวิตได้ยาวนานมากว่าเมืองอื่นๆ 
เพราะ ได้เห็นแสงเช้าของพระอาทิตย์เริ่มวันใหม่ และได้เห็นแสงเย็นพระอาทิตย์ตก รวมทั้งได้เห็นดาวเห็นเดือนในคืนเดียวกันด้วย

กับแสงเช้าบน Rooftop บน Sugar Guesthouse ที่มีทำเลดีมากคือที่พักแห่งนี้จะอยู่ภายในป้อมปราการ Jaisalmer Fort เลย
ทำให้พวกเราได้เห็นแสงเช้าพระอาทิตย์ขึ้น มองเห็นเมืองสีทองได้อย่างสว่างไสว

เพี้ยนออกทริป






แสงเช้ากับเมืองสีทอง นามว่า Jaisalmer หรือจะอ่านแผลงๆ แบบไทยๆว่า เมือง ใจสั่งมาค่ะ 555
ได้มองเห็นป้อมปราการตรงที่เราอยู่ มองเห็นบริเวณรอบๆ 360 องศาทั่วทิศทาง

ทางที่พักได้เปิดห้องพักให้เราไว้เก็บกระเป๋า อาบน้ำแต่งตัว ห้องพักมาตรฐานทั่วไปค่ะ แต่ไม่มีแอร์ มีแต่พัดลม
อากาศก็ถือว่ายังเย็นสบายอยู่นะคะช่วงที่เราพักในตอนเช้า ส่วนตอนบ่ายไม่รับประกัน 555





บรรยากาศแสงเช้าสาดส่อง แสงแดดอ่อนๆ กับวิถึชีวิตผู้คนที่ยังไม่เดินขวักไขว่มาก เพราะคนอินเดียนิยมนอนตื่นสายกันค่ะ 
ราวๆ 9 โมงเช้าโน่นแหละมั้ง แต่เราชอบช่วงเช้า เพราะมันดูสงบดี

พอสายเข้าหน่อย ก็พากันเดินลงไปชมเมือง Jaisalmer ให้เห็นกับตาบ้างว่าจะสีทองอร่ามตา
และ ไปดูความยิ่งใหญ่ของ Jaisalmer Fort ป้อมปราการในเมืองนี้ว่าอลังการแค่ไหน

ไม่แต่นี้นะคะ เป้าหมายทีเราจะไปอีกคือ คฤหาสถ์เศรษฐีที่ตั้งอยู่นอกป้อมจัยแซลเมียร์





เมือง Jaisalmer กับวิถีชีวิต ผู้คน ขอบอกว่านักท่องเที่ยวเมืองนี้เยอะมากเป็นพิเศษ
 แต่กลับชอบมากกว่าเพราะไม่ต้องระแวงว่าจะเหยียบขี้htmlentities(' >')<</font>

ป้อมปราการจัยแซลเมียร์ (Jaisalmer Fort)
ป้อมปราการขนาดใหญ่ สร้างโดย Bhatti Rajput rule Rawal Jaisal ในปีค.ศ. 1156 บนเขาทิตรีกูฏ 
โดยป้อมนี้ถือว่าเป็นป้อมที่สร้างลำดับที่ 2 ของรัฐราชสถานค่ะ







ระหว่างที่เดินชมอะไรไปเรื่อยเปื่อย ก็จะได้เห็นวิถีชีวิต และพ่อค้าชาวอินเดียต่างๆ ที่พยายมจะขายของให้เราตลอดทางเดิน 555
แต่เราก็ปฏิเสธมาตลอด  อินเดียได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่นักถ่ายภาพต้องชอบค่ะ สำหรับคนที่ชอบถ่ายภาพแนว Life
ที่อินเดียจะเห็นกันเยอะมาก

เท่าที่เราได้สัมผัสนะคะ เมืองนี้จะไม่ค่อยมีขอทานมากเหมือนชัยปุระ เพราะเมืองนี้จะเรียกว่าเป็นเมืองร่ำรวยเลยก็ว่าได้
เศรษฐกิจเมืองนี้ค่อนข้างดีเลยทีเดียว





แต่สิ่งที่ยังเหมือนกันของเมือง Jaisalmer  เช่นเดียวกับเมืองต่างๆ ในอินเดียทั่วไปคือ
ถนนทุกเส้นทุกสาย ไม่มีแบ่งชั้นวรรณะ วัว อูฐ ม้า ลา สัตว์ สรรพสิ่งต่างๆ วิ่งได้บนท้องถนนเช่นเดียวกับรถ
นี่ก็เจอวัวที่มันนอนเล่นบนถนนนี่แหละค่ะ และเสียงอึ้ออึงจากแตรรถที่ดังไม่ขาดสาย

ระหว่างเราเดินชมนั่นนี่ ยังโดนรถมอไซด์เฉี่ยวด้วย ดีที่ไม่แรงและไม่ล้ม ได้แต่กรีดร้องเพราะตกใจ
จนคนอินเดียที่เดินผ่านไปมามองกันเป็นตาเดียว 

เพี้ยนเพลีย







ครั้งนี้เรามาเที่ยวคือเที่ยวจริงๆนะ ไม่ได้อยากช้อปปิ้งอะไรเลย แต่ก็ยังถือโอกาสไปเดินดูของขายต่างๆ ที่ขายกันตามรายทางเยอะมาก
ดูแล้วไม่ซื้อ ไม่ใช่เพราะกลัวโดนโกง แต่ไม่เคยเอาของพวกนั้นมาใช้เกิน 2 ครั้งเลยนะสิที่ซื้อไป 
ไม่ว่าจะเป็นกางเกงผ้าลายสวย หรือแม้แต่ผ้าคลุมไหล่ที่ลองเอาไปซักดูแล้วหยาบมาก ใครมันจะใช้ได้ว่ะ 555

เพี้ยนเพลีย






ยิ่งเดินและยิ่งเพลิน ที่ได้เห็นความยิ่งใหญ่ของ Jaisalmer Fort  ชมความสวยงามของปราสาททรายที่ตั้งตระหง่านท่ามกลางทะเลทราย
 ภายในป้อมมีบ้านพักของชาวบ้านที่พำนักอยู่อาศัยมานานนับร้อยปี 

และในที่สุดเราก็เดินมาถึง คฤหาสน์ของเสนาบดีแห่งเมือง Jaisalmer ที่ได้ชื่อว่าร่ำรวยที่สุด
คือ Nathmal Ji Ki Haveli สูงถึง 5 ชั้น





คฤหาสน์ของเศรษฐี ค่าเข้าชมสำหรับนักท่องเที่ยวแบบเราคือคนละ 250 รูปี (125 บาท)
ต้องเดินขึ้นบันได มีทางเดินไปยังห้องต่างๆ ภายในบ้านหลังนี้ 






บ้านเศรษฐีหลังนี้ถูกสร้างโดย Lalu และ Hathi 2 พี่น้องศิลปินและสถาปนิกเอก ที่สร้างอย่างวิจิตรบรรจง อลังการงานสร้างมากกกก
แม้ผ่านมาเป็นร้อยๆ ปี แต่ทว่า ความละเอียด อ่อนช้อย ลวดลาย ยังสวยงามมีคุณค่าเหมือนเดิม  
ซึ่งภายในจะจัดแสดงสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ ยอมรับว่าแต่ละห้องยังมีข้าวของเครื่องใช้และรุปภาพเก่าแก่ คงไว้เช่นเดิม
ดูแล้ว ก็ขลังและน่ากลัวเหมือนกันนะ ในสายเรา 

อย่าหลงไปเดินเข้าห้องไหนคนเดียวล่ะกัน !





สิ่งที่เราชอบในบ้านเศรษฐีคือ ที่นี่เขาให้นักท่องเที่ยวถ่ายภาพภายในได้ด้วยค่ะ
แต่ถ้าเป็นวังเก่าๆ ของอินเดีย เหมือนวังบ้านเราก็ไม่อนุญาตถ่ายภาพได้นะ
ดีที่มีภาพภายในมาให้เพื่อนๆ ได้เห็นด้วย  ขอบอกว่าของจริง เก่าแก่ และขลังมาก
มีห้องถ่ายภาพ ห้องเล่นหมากรุก ที่มองแล้วทำให้นึกถึงวิถีชีวิตความผ่อนคลายย้อนไปยังสมัยร้อยปีได้เลย อิอิ

เดินไปจนชั้นดาดฟ้าของบ้านเศรษฐีจะสามารถมองเห็นสีทองอร่ามเรืองรองไปทั่วบริเวณด้วยค่ะ
แต่ ณ ช่วงเวลานั้นเที่ยงวันล่ะเราขอตัวกลับไปยังเกสเฮาส์ก่อนดีกว่า

ได้มีเวลาเจียวไข่กินเองด้วย หลังจากต้องอ้าปากค้างเพราะพ่อครัวเกสเฮาส์เจียวไข่ให้เราชนิดที่ว่าบางกรอบอย่างกะทำแป้งนาน 555
พอได้เวลาเหมาะสมที่แดดร่ม ลมตก ประมาณบ่าย 3 โมง พวกเราและชาวคณะก็พร้อมกันนั่งรถจิ๊บห้อตะบึงไปยังทะเลทรายธาร์
ในระยะทาง 40 กิโลเมตร ใช้เวลา ราวๆ 1 ชั่วโมงค่ะ
ที่นอนของเราสำหรับค่ำคืนนี้ โดยมีกระเป๋าเป้ใบเล็กๆ ติดตัวไปคนละใบเท่านั้นจริงๆ





หลังจากลงรถจิ๊บมาแล้ว เราก็ต้องมาเปลี่ยนพาหนะการเดินทางเป็นอูฐด้วยนะ
กรี๊ดดดดดดดดด นี่เราจะได้ขี่อูฐเป็นครั้งแรกด้วยเหรอเนี่ย ว่ะฮ่าๆๆๆ
จะมีอูฐมานั่งรอรับพวกเราค่ะ หมวกอะไรให้เก็บไว้เลยเพราะหากเราอยู่บนหลังอูฐ หมวกปลิวตกไปจะไม่มีทางลงไปเอาแล้วนะคะ
เราจึงใช้วิธีโพกผ้าคลุมหัวกันฝุ่นเอา มัดยังไงก็ไม่เป็น เจ้าของเกสเฮาส์ต้องมามัดให้

มัดได้เท่อีกต่างหาก อิอิ





หลังอูฐมันเป็นเยียงนี่นี่เอง มันส์ดีโว้ยยยยย บอกตัวเองแบบนี้ พร้อมกับต้องคอยระวังเวลาอูฐเดินเร็วหรือวิ่งลงเนินด้วยนะ 
เราจับจังหวะไม่ได้นักหรอก บนหลังอูฐจะมีสลักที่จับให้ รวมทั้งเชือกอยู่สองข้างหลังมือเรากันตก

ยังสามารถที่จะถ่ายภาพบนหลังอูฐได้อย่างอิสระเสรี ใช้เวลาอยู่บนหลังอูฐเดินเข้าหาทะเลทรายไปอีกราวๆ 1 ชั่วโมงค่ะ







ขอบอกว่าช่วงแสงเย็นในวันนั้นทะเลทรายธาร์ งามมากกกกก
แม่เจ้าโว้ยยย นี่เรามาเห็นของแท้แล้วนะ ดีใจกับเราหน่อยสิ  ฮ่าาา !

เพี้ยนสู้สู้

ทะเลทรายธาร์ หรือเรียกอีกชื่อว่า ทะเลทรายเกรตอินเดียน เป็นทะเลทรายขนาดใหญ่ 
ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศอินเดียและปากีสถาน มีพื้นที่มากกว่า 200,000 ตร.กม. 
ถือเป็นพื้นที่แห้งแล้งที่ใหญ่เป็นอันดับ 9 ของโลกอีกด้วย





พอถึงแค้มป์ ลงจากหลังอูฐแล้ว สังเกตว่า อูฐทุกตัวแทบสลบค่ะมันเหนื่อยมากกกกก บางตัวถึงก้บนอนเหยียดแผ่หราเลย 555
เรานี่ตัวอ้วนๆ น้ำหนักเกือบ 55 โลเห็นแล้วก็อดที่จะสงสารอูฐไม่ได้จริงๆ ฮือออ

แต่เดียวนะขอซบอูฐนอนแปปนึง อิอิ







ที่ที่เรานอนไม่ใช่ที่ที่อูฐลงจอดนะคะ ต้องเดินผ่านทะเลทรายมาอีกนิดหน่อย จะเป็นแคมป์เรา
 ระหว่างนั้น เจ้าของเกสเฮาส์และลูกทีม ก็ยกเตียงผ้าใบมาให้พวกเรานั่งรอ รวมทั้งหาเครื่องดื่มมาให้
 เป็นเครื่องดื้มที่เราสั่งกันเองว่าจะรับอะไร เรารับโค้กมาเป็นลิตรๆ เลยค่า 
เครื่องดื่มนี่คือจ่ายเองนอกเหนือจากแพ็คเก็จนะคะ แพ็คเก็จ 800 กว่าบาทนี่คือรวมถึงรถจิ๊บ ค่าขี่อูฐไปกลับ 
และค่าอาหารเย็นและอาหารเช้าในทะเลทรายนี่แหละค่า แค่นี้ก็ถือว่าคุ้มค่ามากๆ แล้ว 

เรานี่รอกินอาหารอย่างเดียวเลยค่ะ อันดับแรกคือได้เป็นผักชุบแป้งทอดอันนี้กินได้ๆ แล้วแสงก็หมดลงมืดลงๆ เรื่อยๆ
เจ้าของเกสเฮาส์บอกว่าอย่าเปิดไฟฉายบ่อยนะเพราะจะมีแมลงต่างๆ บินมาหาพวกเรา และอาหารมื้อเย็นเราจะได้คนละ 1 ถาดค่ะ
เป็นอาหารอินเดียผสมอินเตอร์มั้งนั่น เรากินได้คำสองคำแล้ววางเพราะเรามองไม่เห็นว่าจะตักและเขี่ยตรงไหนของจานดี
เพราะมันมืดมากกก ก็งดใช้ไฟฉายไง ช่วงเวลานี้ 

 เดียวไปดูกันต่อนะว่า จะคุ้มค่าแค่ไหน กับประสบการณ์ชีวิตในครั้งนี้ของเรา





กลางวันร้อน แต่กลางคืนหนาว และดาวสวยมาก !!

นี่คือดาวกลางทะเลทรายธาร์ที่เราได้มาเห็นกับตาตัวเองแล้ว ท่ามกลางความเว้งว้างของทะเลทราย
ท่ามกลางลมพัดเย็นสบายๆ

กลางคืนมีการร้องเพลงอินเดีย ตีหม้อตีไห เคาะฝาหม้อเป็นเสียงดนตรีของเจ้าของเกสเฮาส์นั่นแหละ ไอ้เราฟังไม่รู้เรื่องหรอก
 มีการจัดแจงที่นอนให้ แบบนอนกลางทรายโดยมีที่นอนและผ้าห่มให้หนาเท่ากันกันลมกันทรายเข้า
 แต่ถ้าหัวโผล่มาเอาจริงๆ เช้ามาก็มีแต่เม็ดทรายนะ 555

เห็นภาพทะเลทรายหลายคนคงร้องว่าร้อนแน่ๆ แต่เปล่าเลยค่ะ พวกเราไปถึงแปปเดียวก็มืดแล้วอากาศเย็นสบายนะ 
แต่กลางคืนมานี่อย่างหนาวค่า อากาศช่วงที่เราไปกลางวันและกลางคืนต่างกันราว 10 องศา กลางคืนนอนสบายมาก ค่อนข้างหนาวมากด้วยซ้ำ
มุดตัวลงในผ้าห่มหนาๆ นั่นแหละ
ห้องน้ำ ก็อาศัยตามพุ่มไม้เอา เดินไปหาพุ่มไม้ดีดีน่ะ อย่าไปเหยียบเอากองสีทองของนักท่องเที่ยวคนก่อนๆ ทิ้งระเบิดไว้ 555





ตื่นมาแล้ววว หน้าสดเลยสวยมั้ย อิอิ เรานอนหลับนะไม่ใช่นอนไม่หลับ ลมพัดเย็นสบาย คนอื่นนอนได้ เราก็นอนได้สิ
วิธีการนอนเราคือคลุมโปงค่ะ ถ้ามีเสียงไรมาเราจะไม่โผล่หัวออกมาดูเด็ดขาด เพราะไม่อยากเห็นสิ่งที่คิดไว้
เราขอนอนคลุมโปงจนถึงเช้าและตื่นมา พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้น 
ฟ้ายังไม่เปิด

ในขณะที่อีกหลายๆ คนเค้ายังนอนอุตุกันอยู่เลย
นี่แหละ สภาพที่นอนที่เรานอนมาแล้วเป็นแบบนี้จริงๆ  





ตอนเช้าๆ มาฟ้าไม่ค่อยเปิดเท่าไหร่ แต่ก็ทำให้พวกเราสนุกกับการถ่ายภาพตามสันหลังทะเลทรายมาก 
ทะเลทรายที่เป็นริ้วๆ แบบนี้ ดูเป็นศิลปะอย่างมาก มันสวยแปลกตาดี และละเอียด
เท้าเหยียบไปที่ไหน ก็จมลึกเข้าไป แลดูเวิ้งว้างยิ่งนัก สรุปว่าชอบเลย





อ้อ.... ณ พื้นที่ทะเลทรายที่นี่จะถูกตัดขาดจากสัญญาณมือถือ คลื่นโทรศัพท์นะคะ ไม่มีเน็ตให้ใช้ 
ได้ถอยห่างไกลจากโลกโซเชียลในช่วงเวลาเดินทาง และได้อยู่กับตัวเองมากขึ้น

กลับจากทะเลททรายเรามีรูปสวยๆ เพียบ และไม่ลืมที่จะเอาลูกโป่งไปเป่าด้วย 555

เพี้ยนแบ๊ว


อาหารเช้าของพวกเราในวันนี้ กะเพาะเราเต็มไปกับมะละกอค่ะ หวานมากก ถูกใจยิ่งนัก
ส่วนอย่างอื่นไม่ได้ลองชิมเลย จะมีโอวัลตินร้อนๆ ยกมาให้ด้วยคนละแก้ว 





กับทริปทรหด แห่งความคุ้มค่า หนึ่งในประสบการณ์ชีวิตของเราที่ได้มานอนกลางทะเลทราย 
ห่างจากโชเชียลในราคาแพ็คเก็จ 800+ บาทนับว่าคุ้มค่ามาก เมื่อเราออกจากพื้นที่โดยมีสัญญาณเน็ตโฟสลงเฟสบุ๊คเรื่องนี้
มีคนมาคอมเม้นต์และ Like มากมายเป็นพิเศษ และเป็นอีกหนึ่งความฟินที่เราอยากบอกต่อ

ก่อนเดินทางกับไปยังเกสเฮาส์ในตอนสายๆ ก็มีรถจิ๊บมาจอดรถรับตรงแคมป์นะคะที่จะให้เราเลือกว่า
เราจะเลือกนั่งรถจิ๊บ หรือเลือกนั่งอูฐ กลับไป  เกือบครึ่งหนึ่งคือขอเลือกนั่งรถจิ๊บไปรอยังจุดหมายปลายทาง





ส่วนเรายังไม่เข็ดขอสนุกกับการขี่อูฐต่อไป แต่ขากลับเราไม่เอาเป้มาไว้บนหลังอูฐแล้วนะคะ สงสารอ่ะ 
เรามาแค่ตัวอย่างเดียวจริงๆ ฝากเป้ไว้กับรถจิ๊บไปค่ะ 555
พอลงจากหลังอูฐแล้วก็ไม่รีรอที่จะควักเงินให้ทิปอูฐ 200 รูปีไปด้วย ที่บริการดีมากก และทำให้เราชื่นชอบทะเลทราย
ทำให้เรา ชอบเมือง Jaisalmer มากที่สุดถึงกับเอามาเขียนรีวิวก่อนเลย อิอิ

เมื่อถึงที่พัก อาบน้ำแต่งตัว และนั่งรถยนต์ 3 ชั่วโมงข้ามไปยังเมืองสีฟ้า นามว่า Jodhpur 
เมืองนี้ที่ทำให้เราเห็นแล้วได้แต่อึ้ง !!

ขอบคุณที่ติดตามชมค่ะ
Create Date :07 เมษายน 2561 Last Update :9 เมษายน 2561 12:23:57 น. Counter : 6495 Pageviews. Comments :39